ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่11 meaning of dahlia

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      78
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 11


    สถานที่ที่ผมยืนอยู่ตอนนี้เป็นห้องบอลลูมขนาดกลางของกองทัพบกซึ่งถูกเช่าเป็นพื้นที่จัดงานพิธีมงคลสมรสของเพื่อนร่วมสถาบัน ภายในงานเลี้ยงแบบคอกเทลดูครึกครื้น ผู้คนมากมายแลดูคุ้นหน้าคุ้นตา บ้างเป็นเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ หรือรุ่นน้อง บางคนก็เป็นเพื่อนต่างคณะที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวสนิทกัน

    ผมเดินหยิบผลไม้ไปฝากไอ้เหยาหลังจากซัดของคาวจนอิ่มแปร้ นายยงยุทธยืนพิงเสาอยู่ด้านหนึ่งของงาน สายตาทอดไปยังภรรยาที่ถูกต้องทางพฤตินัยยิ้มๆ สาวๆดูมีความสุขดีเวลาได้อยู่กันพร้อมหน้า พอผมยื่นสับปะรดให้มันเพื่อนตัวดีก็รับไปโดยไม่ปฏิเสธโดยสายตายังจับจ้องไปยังน้ำตาลแฟนมันที่คบกันตั้งแต่สมัยมัธยมไม่ห่าง



    “เมื่อไหร่จะแต่งวะ มึงอะ?”


    “กูแพลนไว้ว่าอีกสามปี อย่างน้อยๆต้องมีบ้านเป็นของตัวเองก่อน”


    ไอ้เหยาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย อีกสามปีเราก็จะอายุเข้า27 ถือว่าเร็วนะสำหรับผู้ชาย แต่ถ้ามองในแง่ของผู้หญิงแล้วผมว่ากำลังดี ยิ่งมันอยู่กินด้วยกันแบบนี้ยิ่งควรแต่ง อย่างน้อยก็ก่อนตาลจะท้อง



    “ไม่น่าเชื่อเนอะว่าไอ้จ๊อบจะจัดงานได้ดีขนาดนี้ ดูนิสัยไม่เอาโล้เอาพายแท้ๆ”


    “พอถึงช่วงชีวิตนึงมันก็ต้องโตแหละว่ะ มึงเถอะ เมื่อไหร่จะหาเมีย”


    พอวกเข้าเรื่องนี้ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ยงยุทธไม่เคยรู้เรื่องพี่เอิร์ธเพราะมันสนิทกับผมตอนมหาวิทยาลัย ที่จริงเรื่องนั้นเหมือนเป็นตำนานที่ถูกซ่อนไว้โดยไม่มีเหตุผลที่ผมจะยกขึ้นมากล่าวเพราะเชื่อตลอดว่ามันจบแล้ว แต่เปล่าเลย อันที่จริงมันยังคงค้างคาอยู่ในใจผมตลอด ตลอดเวลาที่คิดว่ามันไม่สำคัญ



    “กูไม่แน่ใจว่ะ... ว่าจะยังอยากได้เมียอยู่หรือเปล่า”


    “มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง เสื่อมแล้วหรือจะบวช?”


    “ไม่ใช่แบบนั้น.. ช่วงนี้กู จะพูดยังไงดีวะ สับสนว่ะ”


    “สับสน?”


    “ก็ ประมาณนั้นแหละ มึงก็รู้ว่ากูจบชายล้วน ก็....นะ”


    “เดี๋ยวๆ มึงพยายามจะบอกอะไรกู?”


    ไอ้เหยาเริ่มขมวดคิ้วเป็นปม เล่นเอาผมเล่าต่อไม่ออก เบือนหน้าไปมองนกมองไม้ เห็นซุ้มดอกไม้ไอ้จ๊อบแล้วก็ชวนยงยุทธเปลี่ยนเรื่องคุย



    “นี่ดอกอะไรวะ สวยดี ไม่เคยเห็น”


    “รักเร่ ที่บ้านกูทำสวนอยู่ ว่างๆขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ดิ เดี๋ยวพาไปเดิน”


    ผมพยักหน้ารับรู้ ไอ้เหยามันเหมือนจะคล้อยตามผมครับ แต่ตายังจ้องไม่กะพริบราวกับเป็นคำคาดคั้นโดยไม่มีเสียง



    “ชื่อแม่งไม่เป็นมงคลเลยว่ะ แต่เจ๋งดี มีสองสีในดอกเดียว”


    ผมยังพยายามไม่สนใจ แตะมือไปบนดอกไม้หลากกลีบเบาๆ ไอ้เหยาถอนหายใจยาวละสายตาจากผมไปมองดอกรักเร่ด้วยกันบ้าง



    “ที่มันชื่อดอกรักเร่เพราะแม่งมีสองสีในดอกเดียวกันนี่แหละ แสดงถึงความสองจิตสองใจ โลเลไม่ชัดเจน ความหมายตามตำราหมายถึงการหักหลัง แต่มันมีอีกชื่อว่าดอกรักแรก ไอ้จ๊อบเป็นแฟนคนแรกของเอ้ เอ้ก็เป็นแฟนคนแรกของจ๊อบมันเลยเอาดอกนี้มาประดับที่งานซึ่งกูคิดว่าไอ้สองตัวนั้นน่าจะไม่รู้ความหมายในด้านเหี้ยๆของมันเลยไม่ได้คิดอะไร อะ กูไขปริศนาดอกรักเร่ให้มึงแล้ว คราวนี้พูดเรื่องของมึงให้จบ มึงจะบอกกูว่ามึงเป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ?”


    ผมเงียบ มองดอกรักเร่อยู่นาน 



    รักแรก


    สองรัก


    หักหลัง..




    “...มึงจำพี่เอิร์ธได้ไหม?”


    ผมถามมัน ไอ้เหยาทำท่านึกแค่นิดเดียวมันก็พยักหน้า มันเจอพี่เอิร์ธครั้งเดียวที่ร้านหมูกระทะแต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกถ้ามันจะจำได้ จากนั้นผมเลยค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ยงยุทธฟัง ทั้งหมดที่พี่เอิร์ธทำ และทั้งหมด ที่ผมพอจะรู้ตัวว่าตัวเองรู้สึกอะไร..





    ผมกลับมาที่คอนโดอีกครั้งในช่วงดึกของคืนเดียวกัน ส่งข้อความบอกพี่เอิร์ธว่ากลับห้องแล้ว เหนื่อยมากมันก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปผู้ชายจับมือผู้หญิงมาให้พร้อมกับไล่ผมไปอาบน้ำนอนเพราะพรุ่งนี้ทำงาน ไขกุญแจได้ยังไม่ทันเปิดเข้าห้อง ประตูห้องติดกันก็เปิดผลัวะขึ้นมาก่อน ผมหันไปเห็นภูมินทร์สวมบ็อกเซอร์ตัวเดียวยิ้มแฉ่งให้ก็อดทำหน้าเหรอหราตกใจไม่ได้



    “มึงมาทำอะไรอีก?”


    “กูเช่าห้องนี้ต่อจากพี่เมแล้ว”


    อ้อ ผมพอจะจำได้ครับว่ามินบอกว่าจะมาอยู่คอนโดนี้เพราะรำคาญเสียงพี่สาวมันบ่น ตอนนั้นคิดว่ามันพูดเล่นเพราะที่นี่เดินทางลำบากพอควรเมื่อเทียบกับห้องเก่าของมัน พูดจบมันก็ล็อคประตูห้องตัวเองแทรกตัวเข้าห้องผมก่อนเจ้าของหน้าตาเฉย พอเดินตามมาถึงรู้ว่าไอ้ห่ามินจงใจจะมารื้อตู้เย็นหาของกินนี่เอง



    “ไม่มีอะไรกินเลยวะ”


    มันบ่นปอดแปด ในมือถือนมกล่องติดออกมาด้วย ผมส่ายหัวแล้วตบแปะไปบนหน้าผากมันหนึ่งที



    “ทีหลังมึงก็ซื้อตุนไว้ที่ห้องบ้างสิวะ เงินก็มีเยอะแยะ”


    “ก็กูไม่ค่อยได้อยู่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็บินไปถ่ายหนังที่ญี่ปุ่นอีกแล้ว คราวนี้ไปตั้งเดือนนึง ไม่อยากซื้อไว้ เสียดายของ เน่าหมด มาแย่งมึงดีกว่า แล้วนี่ไปไหนมาเพิ่งกลับ”


    “งานแต่งเพื่อน”


    “เออ แต่งตัวแบบนี้น่ารักดีนะ เซ็ทผมเสียด้วย”


    ปกติไม่ค่อยได้ทำอะไรกับผมหรอกครับ มันยาว เป็นคนผมเส้นเล็กด้วย กว่าจะจัดการทำเป็นทรงได้นี่เป็นชั่วโมง หมดแว้กซ์ไปค่อนกระปุก ตอนเซ็ตผมเสร็จใหม่ๆถ่ายรูปส่งไปให้พี่เอิร์ธดูเหมือนกัน รายนั้นกระเง้ากระงอดใหญ่ว่าทีไปกะมันไม่เห็นจะเคยแต่งตัว คราวนี้กลายเป็นภูมินทร์ที่ยืนกอดอกมองผมยิ้มๆ



    “พอๆ มองอะไรนักหนา เดี๋ยวกูไปอาบน้ำมึงทำอะไรก็ทำ อย่าทำห้องกูเละพอ เค้?”


    พูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีมินก็อยู่ท่าเดิมๆอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด กอดหมอนกาฟิวส์กับรื้อผ้าห่มในห้องนอนผมมาห่มอยู่บนพรมหน้าทีวี



    “ไม่กลับห้องกลับหับ”


    “อยู่คนเดียวมันเหงา”


    ภูมินทร์ตอบหน้ายิ้ม ผมสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวนั่งลงบนโซฟา หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมากางด้วย แต่อาคันตุกะกลับลากผมให้ลงมานอนข้างๆ 



    “อ่านอะไร”


    ผมนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่ไม่สนใจแขก มินยื่นหน้ามาใกล้ผมเลยแบ่งๆมันดูแต่เหมือนไม่พอ ภูมินทร์กวาดแขนโอบรอบไหล่ สักพักก็เอาตัวเองขึ้นไปนอนคว่ำซ้อนทับผมทั้งตัวแล้วเอาคางเกยบ่าอ่านหนังสือด้วยกันอีกที



    “หนัก!”


    ผมหันไปแหว คราวนี้ไอ้บ้ามินกลับใช้เขี้ยวงับผมเบาๆที่หัวไหล่ ไม่เชื่อต้องลองครับ ขนอ่อนลุกชูชันไปทั่วตัวเลย



    “ไอ้เหี้ย เล่นอะไร ถอยไปเลยไป”


    “แค่นี้หวงเหรอ?” ดูแม่ง! ผมพลิกตัวกลับ กะให้มันหล่น แต่ไอ้มินกลับพยุงตัวเองไว้ให้กลายเป็นว่าผมนอนหงายแล้วมันนอนคร่อมผมอีกทีแทน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุด ภูมินทร์รีบซุกจมูกเข้าไซร้คอผมรวดเร็ว “หวงเหรอ แค่นี้หวง หวงนักใช่ไหม?”


    “เฮ้ย ไอ้บ้า ฮ่าๆ ไม่เล่นโว้ย มันจั๊กกะจี๋ ไอ้บ้ามิน!!”


    พอดิ้นขลุกๆใต้ร่างจนไอ้ไซบีเรียนฮัสกี้พอใจแล้วภูมินทร์ก็หอบแฮกมองผมยิ้มๆ ก้มหน้าลงหอมที่แก้มผมอีกฟอดใหญ่ๆ



    “เชี่ยแม่ง! เหมือนหมาสัตว์”


    “อยากจูบอะ”


    สรุปว่าที่กูด่าไปไม่เข้าหัวมึงเลยใช่ไหม? ผมสะบัดตามองมัน แต่ภูมินทร์กลับไม่สำนึก ยิ้มแฉ่งแล้วโน้มตัวลงมาให้ผมเอามือยันหน้ามันไว้



    “เหี้ยอะไร ไม่เอา!”


    “กลัวตั้งอีกเหรอ? ไม่เป็นไร ถ้ามึงตั้งครั้งนี้กูช่วยเอาลงให้”


    “ไม่ต้องเลยไอ้เหี้ย ปล่อยได้แล้ว กลับไปนอนห้องมึงเลยไป”


    “ใจร้าย ทีตอนนั้นยังจูบได้”


    “มันไม่เหมือนกันโว้ย”


    ผมตวาดเสียงแหว ไอ้มินหัวเราะร่าพักหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้เวรนี่เมนส์มาหรือเข้าวัยทอง อารมณ์เปลี่ยนแปลงเหี้ยๆ



    “ล่าสุดนี่มึงจูบใคร?”


    พูดจบหน้าผมก็ร้อนฉ่าขึ้นมา ภาพของพี่เอิร์ธทำเอาหัวใจเต้นยุบยับอีกครั้ง คราวนี้เลยรีบตะกายให้หลุดจากพันทนาการของอดีตว่าที่น้องเขย แต่ภูมินทร์ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น พระเอกหนุ่มกดมือตัวเองลงบนบ่าผมไม่ให้ขยับ ตามันไม่ทอแสงแต่จ้องผมนิ่ง



    “มึงจูบกับไอ้พี่เอิร์ธรึยัง?”


    ผมไม่ได้ตอบ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงปฏิกิริยายังไงออกไป ไอ้มินเลยผุดลุกขึ้นคว้าบุหรี่เดินออกไปที่ระเบียง ผมเห็นท่าไม่ดีจึงเดินตามออกไปบ้าง พระเอกหนุ่มท้าวแขนอยู่ริมระเบียง สายตาทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุดแต่ท่าทางยังดูหงุดหงิดกระวนกระวายอยู่



    “มึงเป็นอะไร?”


    “เปล่า”


    แม่ง ตอบซะเสียงแข็งเชียวฮัสกี้กู ผมหยิบบุหรี่ออกมาจากซองเดียวกันมาสูบบ้าง แล้วถามกลั้วหัวเราะ “เชื่อก็ควายแล้ว เมื่อกี๊ยังกวนตีนกูดีๆ” 


    ภูมินทร์อัดลมหายใจผ่านมวนบุหรี่จนปลายเป็นสีส้มสด มันพ่นลมออกมาพรวดยาว ไม่ขำไปด้วยแต่กลับถามเสียงแข็งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว



    “มึงคิดยังไงกับพี่เอิร์ธ?”



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×