ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่13 งานเข้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.85K
      76
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 013



    แล้วภูมินทร์ก็โทรมาตามที่บุ้ยใบ้บอกผมไว้ครับ แต่เสือกมาตอนผมเพิ่งหย่อนตูดแหมะลงบนเบาะหนังแคมรี่พอดีพอดิบยังกับเลี้ยงกุมารไว้ก็มิปาน จะว่าไปก็คงไม่แปลกถ้ามินจะโทรมาตอนนี้ เพราะห้าโมงครึ่งผมเลิกงานปุ๊บ สิบนาทีถัดมาสายก็เข้าปั๊บ ผมมองเบอร์ที่โชว์หราหน้าจอแล้วกลืนน้ำลายอึก ไม่รับก็พิรุธ รับก็ไม่รู้ไอ้คนข้างๆนี่จะไม่พอใจหรือเปล่า พี่เอิร์ธเคยบอกผมแล้วนี่ว่าไม่อยากให้สนิทกับมินมาก แต่บางทีทฤษฎีกับปฏิบัติมันก็ไม่ได้เป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าใจปะ ใช่ว่าสั่งให้ทำตัวห่างแล้วผมจะห่างได้ตามบัญชา คราวนี้เลยกลายเป็นผมที่ทำท่ากระอักกระอ่วนจนสายตัดไปแล้วโทรมาอีกรอบ



    “ว่าไง..” ในที่สุดผมกดรับจนได้หลังจากริงโทนดังมาครึ่งเพลง พี่เอิร์ธขับรถเงียบๆไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าหูกำลังผึ่งตั้งใจฟังเต็มที่


    “ทำไมเมื่อกี๊ไม่รับสาย”


    “เพิ่งได้ยิน มีอะไร?”


    “มึงโกรธกูหรือเปล่า”


    “เปล่า....” ผมเงียบไปแป๊บนึง เหลือบตามองสารถีนิดๆ “กูจะไปโกรธมึงเรื่องอะไร?”


    “ก็... เปล่า ไม่ได้โกรธก็ดีแล้ว มึงจะกลับมากี่โมง กินข้าวเย็นกัน กูซื้อของสดมาเพียบ กะมึงงอนจะทำกับข้าวง้อเต็มที่ แดกคาโบนาร่าไหม กูทำอร่อยนะ ทำตั้งแต่อยู่ประถมแล้ว แม่กูสอนมา รับรองอร่อยจนมึงไม่ไปกินที่อื่นอีกชัวร์”


    “เฮ้ย มึงทำกินเลย เย็นนี้กูกลับดึก เดี๋ยวกินจากข้างนอกด้วย ไว้วันหลัง”


    เงียบเลยคราวนี้ไซบีเรียนกู ผมรอมันพูดอะไรสักอย่างแต่มันยังถือสายค้างไว้ สีหน้าพี่เอิร์ธก็เริ่มเปลี่ยน ฉิบ... งานเข้าแล้ว ทั้งพ่อทั้งลูกเสือกมางอนเหี้ยอะไรพร้อมกัน ไม่เอาน่า


    “มึงไปไหน ไปกับใคร”


    “ธุระ...”


    “กับไอ้พี่เอิร์ธ? หึ.. ตอนนี้อยู่กับมันใช่ไหม?”

    ภูมินทร์เว้นจังหวะแค่ช่วงเดียวหัวเราะหยันในลำคอก่อนพูดต่อ



    “....กูก็มัวกังวลว่ามึงจะไม่สบายใจเรื่องเจมส์ ที่ไหนได้”


    “มึงจะพูดอะไรพูดมาตรงๆ”


    “ไม่ต้องมาทำเสียงหงุดหงิดใส่กู เชิญระริกระรี้กับมันไปเถอะ! ติ๊ด-- -”


    ห๊ะ???   เหี้ยอะไรเนี่ย!

    พูดยังไม่รู้เรื่องก็วางสาย พอกดโทรกลับก็ปิดเครื่องหนี ผมกดเบอร์มันใหม่ โทรใหม่ ไม่ติดเหมือนเดิมซ้ำๆสองสามรอบจนกระทั่งรถติดไฟแดงพี่เอิร์ธก็ดึงโทรศัพท์ผมไปปาทิ้งไว้เบาะหลัง เจ้าของหน้าตาที่เคยอ่อนโยนจ้องดุจนผมตัวลีบทันที ปากรีที่มักจะคลี่ยิ้มเสมอๆเรียบนิ่ง ไม่เหลือเค้าโครงของพี่เอิร์ธพ่อหนุ่มอารมณ์ดีอีก มีเพียงเสียงเงียบที่ดังอึกทึกครึกโครมในตัวห้องโดยสารรถญี่ปุ่นเท่านั้นที่ดังจนน่าหนวกหู สารถีคอตั้งมองทางเบื้องหน้านิ่งและกดดันด้วยสงครามประสาทกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นเขียวทว่าผมเองก็ยังนั่งเกร็งเหมือนเดิม ไม่แม้แต่จะกล้าเอี้ยวตัวกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่นอนสงบบนเบาะ 
    รถขับเคลื่อนด้วยความเร็วปกติแต่ผมรู้สึกได้ว่าพี่เอิร์ธไม่ปกติไปด้วย กระทั่งมาถึงที่หมายมันก็วนรถเข้าซอง ไม่ดับเครื่อง ไม่ปลดเบลท์ นั่งทิ้งลมหายใจหนักๆจนผมไมเกรนแทบขึ้น



    “มีอะไรจะพูดกับพี่ไหมกันต์”


    “อะ...อะไร?..”


    “มินจีบกันต์จริงๆใช่ไหม?”



    ผมหลุบตาลงต่ำ ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันแกล้งหยอกเล่นตามประสาหรือกำลังสนใจผมจริงๆ มินไม่ได้เดินมาบอกผมว่าชอบเหมือนที่พี่เอิร์ธทำ แต่การกระทำหลายๆอย่างของมันชวนคิด เรื่องนั้นผมไม่เถียง แต่จะให้ทึกทักเอาเองว่ามันจีบ ก็ไม่กล้า แฟนมันก็มีอยู่เป็นตัวเป็นตน ผมเองก็เห็นคาตาด้วยซ้ำ



    “ตอบพี่มาตรงๆ ชอบให้มันมาวุ่นวายนักเหรอ?”


    “พี่เอิร์ธธธ”


    “ตอบ!”


    “มินเหมือนน้องชาย”


    “ส่วนพี่ก็เหมือน’พี่ชาย’?”


    ผมเริ่มไปต่อไม่ถูก ไอ้ห่า อย่าดราม่าได้ปะ กูยังไม่ทันทำอะไรเลยเห็นไหม จะคาดคั้นเอาอะไรนักหนา คราวนี้ผมสะบัดหน้าหนีพรืดไปอีกทาง พี่เอิร์ธกลับดึงไหล่ให้ผมหันกลับมาหามัน ผมทนจ้องตาดุๆนั่นไม่ได้เลยเบือนหน้าหนีอีกครั้ง คราวนี้กลับถูกมือใหญ่บีบคางบังคับให้มองหน้ามันเข้าให้



    “เจ็บ!”


    “เจ็บก็มองหน้าพี่ดีๆแล้วฟัง ถ้าไม่ชอบมันก็มาเป็นแฟนพี่ อย่าเปิดโอกาสให้ใครหลายๆคนพร้อมกัน คนดีๆเขาไม่มีรักซ้อนกันหรอกนะชนกันต์”


    “รักซ้อนบ้าอะไรเล่า! อย่ามัดมือชกได้ไหม กันต์ยังมีสิทธิ์ตัดสินใจนะ กันต์ไม่ใช่คนของใครแล้วก็ไม่ได้มีใครซ้อนด้วย”


    “แล้วสิ่งที่กันต์ทำตอนนี้คืออะไร? เราจูบกันแล้วไม่ใช่หรอ หรือกันต์จะบอกว่ากันต์ยอมให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ทำแบบนี้กับกันต์ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม? มันไม่ได้สำคัญเลยใช่ไหม? แล้วกับไอ้มิน ถึงขั้นไหนกันแล้ว จูบมันเหมือนที่จูบพี่แล้วบอกว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้ใครซ้ำซ้อนอย่างนั้นหรือเปล่า?”


    “อย่าโมโหได้ไหมเล่า! พี่เอิร์ธคิดว่ากันต์อยากให้เป็นแบบนี้หรือไง! ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน ไม่ต้องจีบ ไม่ต้องรอ! ทิ้งกันต์เหมือนที่พี่เคยทำก็ได้!อื้ออออ!!”


    จู่ๆในจังหวะที่นอตหลุดผมก็ถูกอุดปากด้วยปาก พี่เอิร์ธงับปากผมจนเจ็บไปหมด มือใหญ่รั้งผมไว้ไม่ให้ถอยไม่ให้หนี กดย้ำริมฝีปากหนักๆเข้าหา ดุดันด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน ลมหายใจที่รินรดอยู่ข้างแก้มยังร้อนระอุไปด้วย พี่เอิร์ธถอนปากแค่ตอนที่ปรับองศาให้จูบลงลึกขึ้น ผมหลับตานิ่งยกมือจิกที่บ่ากว้าง กระทั่งจูบที่เต็มไปด้วยโทสะค่อยๆผ่อนลงเป็นจังหวะเนิบช้า พร้อมเพรียงกับมือซึ่งล็อคท้ายทอยไว้ในทีแรกค่อยๆนวดคลึงให้ผ่อนคลาย ผมจึงผันแรงที่จิกเกร็งมาเป็นวางนิ่งๆบนลาดไหล่ของรุ่นพี่บ้าง กระทั่งหนำใจมัน พี่เอิร์ธก็ผละตัวห่างออกมานิดเดียว หน้าเรายังติดกันอยู่ ผมได้กลิ่นของลมหายใจที่รินรดอยู่บนข้างแก้ม พี่เอิร์ธพูดทั้งๆที่จมูกยังคลอเคลียไม่ห่างไปไหน สายตาเว้าวอนมองผ่านแว่นเลนส์ใสให้ผมเผลอรู้สึกหวิวในใจ


    “โอกาสของพี่ มันมีจริงๆเหรอกันต์... ทำไมถึงเอาแต่พูดเรื่องที่พี่ทำผิดกับเรา...”


    “.......................”


    “พี่ขอโทษ พีย้อนเวลากลับไปแก้ไขให้กันต์ไม่ได้ กันต์จะให้พี่ทำยังไงถึงจะลืมมันไปแล้วเปิดใจให้พี่จริงๆสักที กันต์บอกพี่มาสิ”


    “...... กันต์ก็ให้โอกาสพี่...” 


     “แต่กันต์แคร์ไอ้มิน อยู่กับพี่แท้ๆกลับสนใจแต่มัน มันโกรธ มันไม่รับสายก็ช่างมันสิ แคร์ความรู้สึกพี่หน่อยได้ไหม? กันต์ก็รู้ว่าพี่คิดยังไง”


    คราวนี้เป็นผมเองที่เงียบ ไปต่อไม่ถูก เอนตัวลงซบบ่ากว้างเพราะหมดเรี่ยวแรง ไม่แปลกที่จะถูกโกรธ ผมรู้... ถ้าเป็นผมเผลอๆคงรุนแรงกว่าที่พี่เอิร์ธทำด้วยซ้ำ มีแต่คำว่าขอโทษๆๆๆอยู่ในใจ อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก มือที่วางบนบ่าค่อยๆเลื่อนไปคล้องคอกอดเภสัชกรหนุ่ม ซบหน้าลงบนลาดไหล่ซ้าย ไม่นานก็สะอื้นฮักอยู่ในอ้อมแขนมัน ผมเครียด กดดัน บางสภาวะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงด้วยซ้ำ สุดท้ายก็กลายเป็นต้องนั่งให้พี่เอิร์ธลูบหลังเกือบๆครึ่งชั่วโมงกว่าจะน้ำตาจะหยุดไหลมันถึงยอมพาผมลงจากรถ 


    พี่เอิร์ธก็พาผมเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นราคาแพงในห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของประเทศในเวลาถัดมา ผมไม่รู้จักชื่อร้านหรอกแต่แพงกว่าแบรนด์ตลาดทั่วไปแน่ๆเพราะภายในคนค่อนข้างน้อย ไม่ได้มีคิวต่อกันยาวเหมือนร้านอื่นๆทว่าลูกค้าแต่ละคนใส่สูทผูกไทค์กันเกรียว ถ้าไม่ได้มากับเภสัชกรสุดเนี้ยบหน้าคงถูกไล่ไปล้างจานหลังร้านแหง ตอนแรกผมรั้นหน่อยๆแต่พอถูกรวบมือจูงเข้าร้านปากปก็นิ่งสนิทเหมือนเป็นใบ้ชั่วคราว กระทั่งได้โต๊ะมุมดี หนุ่มแว่นก็สั่งโป๊ะป๊ะโป๊ะเป้งแบบไม่ให้ผมดูเมนูด้วยซ้ำ เสร็จแล้วก็ท้าวคางมองผมตาฉ่ำ



    “เมื่อกี๊เจ็บหรือเปล่า?”


    “หือ?”


    ผมเลิกคิ้ว ส่งเสียงถามในลำคอ แต่คำตอบกลับเป็นอวัจนภาษาจากหนุ่มแว่น ปลายนิ้วหัวแม่มือยื่นมาเกลี่ยกลีบปากผมที่ยังแสบๆอยู่ให้แก้มผมร้อนฉ่า ผมเบนหน้าออกจากสัมผัสของพี่เอิร์ธ บ้าเอ๊ย! ใครใช้ให้ทำแบบนี้ในที่สาธารณะวะ



    “ช่างมันเถอะน่า แล้วเมื่อกี๊สั่งอะไรไปบ้าง”


    “ก็ของโปรดกันต์ทั้งนั้นแหละ ไม่อยากให้ดูเมนูเดี๋ยวเห็นราคาแล้วโวยวายอีก”


    “แล้วทำไมต้องพามากินอะไรแพงๆเล่า กันต์ไม่ได้ให้พี่เลี้ยงนะ อเมริกันแชร์ แบบนี้สิ้นเดือนกันต์ก็กินแกลบพอดี”


    “ไว้สลับกันดีกว่า วันนี้พี่เลี้ยงกันต์ วันหลังกันต์เลี้ยงพี่ แฟร์เหมือนกัน สิ้นเดือนจะได้กินแกลบกันวันเว้นวันแทนด้วย ดีไหม?”


    “กวนว่ะ แล้วไปร่ำรวยมาจากไหนฮึ?”


    ผมอดจะถามเขม่นไม่ได้ พี่เอิร์ธมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็จริง แต่ไม่ได้ร่ำรวยเป็นไฮโซไฮซ้ออะไร ที่บ้านก็ฐานะดีนั่นแหละ อย่างน้อยก็ดีกว่าผม ไม่แปลกที่จะใช้ของแบรนด์ทั้งตัวตลอดจนถึงกินข้าวเย็นที่พารากอนได้สบายๆ แต่การเอาชีวิตคนอื่นเข้ามาเป็นภาระเนี่ย ผมไม่เห็นด้วย เอาไว้สมบัติมันเหลือใช้แบบไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้ก่อนเถอะค่อยมาอุปถัมภ์ผม ไม่ใช่ข้าวเหนียวหมูปิ้งห่อละยี่สิบตอนมัธยมนะเว้ย จะได้คอยซื้อให้กินได้ทุกวี่ทุกวัน



    “ก็ไม่ได้รวยอะไรหรอก แต่คนๆเดียวพี่เลี้ยงได้ สบายมาก”


    พูดจบพี่เอิร์ธก็ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม มุมปากยกยิ้มนิดๆเบือนสายตามองไปเรื่อยแต่หูนี่แดงก่ำ คนอะไร พูดเองเขินเอง ผมเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวแต่กลับสะดุ้งเมื่อคนถูกมองหันกลับมาสบตาด้วย ฉิบหายละ เอาหน้าไปไว้ไหนล่ะทีนี้



    “มองอะไรครับ”


    พี่เอิร์ธพูดน้ำเสียงนุ่ม วางแขนที่ใช้ท้าวคางเมื่อครู่บนโต๊ะเฉียดมือผมไปนิดเดียว สายตาคมจ้องผ่านแว่นเมื่อเห็นผมก้มหน้างุด แปลกนะครับ อาการแบบนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมจะไม่เขินเมื่ออีกฝ่ายเขิน และถ้าอีกฝ่ายไม่เขิน จะกลายเป็นผมเองที่ร้อนผ่าวขึ้นทั่วใบหน้า โลจิกส์เดียวกับเวลาที่ดูหนังผี เชื่อครับว่าหลายๆคนเป็น ประมาณว่าถ้าดูกับคนไม่กลัวกูจะกลัวผีเวอร์ๆ แต่ถ้าไปดูกับคนขี้กลัวขึ้นสมองยิ่งกว่าเมื่อนั้นแหละหนังสยองขวัญจะกลายเป็นคอมมาดี้ขึ้นทันตา

    พี่เอิร์ธหัวเราะในลำคอนิดเดียวแล้วขยับมือมากุมผมไว้ ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากนั้น ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวจนน่ารำคาญ ขอบคุณพระเจ้าที่พักเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟ พี่เอิร์ธเลยปล่อยมือจากผม ทว่าหลังมือยังอุ่นๆอยู่เลยตอนที่ผมเลื่อนมาจับตะเกียบ รู้สึกเงอะงะทำอะไรไม่ถูกอีกแล้วชนกันต์ พี่เอิร์ธประสานมือมองผมยิ้ม ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ยิ้มนักยิ้มหนา



    “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้กันต์ พี่อยากให้เราทำตัวสบายๆ”


    ก็ใครล่ะวะทำเอากูไปไม่เป็นขนาดนี้ ผมเหลือบตาคนที่จ้องผมตาฉ่ำตั้งแต่แรกอีกครั้งแล้วยัดแซลมอนซาชิมิอัดวาซาบิเข้าปาก อื้อหือ... ขึ้นจมูกน้ำตาเล็ดเลย คราวนี้พี่เอิร์ธไม่แอบหัวเราะแล้วครับ มันขำออกมาจนเห็นรอยลักยิ้มที่แก้มชัดเจนพลางส่งกระดาษทิชชู่ให้ผมที่ยกมือขึ้นบีบจมูกตัวเองทั้งที่แม่งก็ไม่ได้บรรเทาอาการเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศญี่ปุ่นเลยสักนิด


    “เอ้า น้ำตาไหลใหญ่แล้ว เอ้อ... อะไรวะ บทจะสงวนท่าทีก็แข็งเป็นไม้ บทจะสบายๆก็รั่วเป็นคนไม่เต็มเต็ง อย่างนี้จบมื้อนี้ต้องไปกินเบียร์กันหน่อยแล้วมั้งกันต์จะได้ลดๆหน่อยกำแพงของเราน่ะ”


    “กำแพงอะไร... เปล่าสักหน่อย....”


    “ครับ ครับ... พี่แค่อยากให้เราคุยกันได้เหมือนตอนนั้นเท่านั้นเอง ว่าไง สนไหม? เบียร์ดำ พี่มีร้านแนะนำแถวอนุเสารีย์ร้านนึง ดื่มไปคุยไป คล่องคอกว่าใช้วาซาบิล้างเยอะ”


    ผมส่งค้อนวงใหญ่ให้คู่สนทนาฝั่งตรงข้าม คราวนี้มันคีบปูอัดซาชิมิจิ้มวาซาบินิดเดียวมาวางบนจานเล็กตรงหน้าผม พี่เอิร์ธยิ้มกว้างเมื่อเห็นผมคีบเข้าปาก



    “ไม่ไปหรอก พรุ่งนี้กันต์ทำงาน ไม่อยากดื่มเดี๋ยวไม่ตื่น”


    “ไม่เป็นไรพี่ดูแลเราเอง”


    “ทำเป็นพูด นี่กะมอมเหล้ากันต์หรือเปล่า?”


    “มอมได้ไหมล่ะ รอจังหวะมานานแล้ว ถ้าเมากันต์เสร็จพี่แน่ พรุ่งนี้ได้ไม่ไปทำงานเพราะลุกไม่ไหวสมใจอยากชัวร์”


    “ทะลึ่งละๆ พูดแบบนี้คราวหลังกันต์ไม่ไปด้วยดีกว่า เดี๋ยวพลาด”


    พีเอิร์ธหัวเราะ คราวนี้คีบซูชิมาให้ผม “พี่ล้อเล่น ใครจะไปกล้าทำอะไรกันต์”

    มันเว้นจังหวะครู่เดียวตอนที่ยัดซูชิเข้าปากตัวเองบ้าง ผมยกน้ำชาขึ้นดื่มแต่แทบพุ่งพรวดเมื่อเจ้าของสายตาใต้เลนส์กรอบดำกวาดมองผมด้วยความพิศวาสในประโยคถัดมา


    “...เว้นแต่กันต์จะสมยอม”




    TBC


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×