ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Violet Evergarden (end.) (rewrite)
/
Violet
Evergarden
ยังคงเป็นเวลาประมาณสองทุ่มเหมือนเคย กระสุนพุ่งออกมาจากดาบปลายปืนของอัศวินคนนั้น
และถึงแม้มันจะสร้างรอยขีดข่วนบนร่างกายของไวโอเล็ต
แต่เธอก็หลบการโจมตีพ้นและพุ่งเข้าไปโจมตี
การที่ต้องต่อสู้กับคนที่มีจำนวนมากกว่าบนยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้จักเธอ เขาจึงปล่อยให้คนอื่นเข้ามาโจมตีเธอก่อน
ไวโอเล็ตวิ่งไปหาเขาราวกับว่าเขาได้ดูดเธอเข้าไป เขาปกป้องตัวเองจากดาบที่เหวี่ยงใส่เขาด้วยดาบปลายปืน
ไวโอเล็ตหลบเหลี่ยงกระสุนหลายนัดด้วยการรักษาระยะห่างค่อนข้างมาก
และเริ่มออกวิ่งอย่างคล่องแคล่วอีกครั้ง
“สำหรับเพื่อนของพวกเราที่ถูกฆ่าโดยแก!”
ไวโอเล็ตขว้างฝักดาบใส่หน้าของชายคนหนึ่งที่กำลังพูดอยู่
และกระโดดเตะเขาแทนที่จะฟันเขา อัศวินที่ทรงตัวไม่อยู่นั้นดูเหมือนกำลังจะล้มลง
แต่ก็ยังยืนขึ้นมาได้อีก เขายิ้มและดึงไกปืนออกจากดาบปลายปืน
กระสุนถูกยิงออกมา
ไวโอเล็ตมองเห็นมันและหลบหลีกด้วยการขยับหัวอย่างรวดเร็ว ริบบิ้นของเธอหลุดและปลิวไปกับสายลม
มีเลือดประปรายซึมอยู่ในเปียของเธอและผมของเธอก็หลุดลุ่ย หูของเธอถูกกรีด
และมีเลือดไหลออกมา แต่เธอก็ไม่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด
ไวโอเล็ตเตะชายคนหนึ่งที่อกของเขาด้วยปลายรองเท้าบูทของเธอ
เขาร้องและล้มลงไป อย่างไรก็ตามคนที่ล้มลงไปตามเขาก็คือตัวไวโอเล็ตเอง
ถึงแม้ว่าเธอจะใช้ดาบปลายปืนกับดาบถ่วงน้ำหนักหลังเธอไว้
แต่เธอก็เสียการทรงตัวอยู่ดี ดาบในมือเธอก็หายไปแล้วหลังจากที่ถูกยิง
อัศวินที่โจมตีไวโอเล็ตจากด้านหลังพบว่าเธอกำลังโหนตัวกลับเข้าไปทางหน้าต่าง
ในตอนที่ผู้โดยสารพยายามเปิดหน้าต่างนั้น
เธอก็สอดมือเข้าไปในช่องว่างและผลักมันออกด้วยแขนกลของเธอ และเข้าไปในตู้โดยสาร 2
“เกิดอะไรขึ้น?!”
“ผู้หญิงคนนั้น
เธอเข้าไปข้างในครับ...”
อัศวินคนนั้นเริ่มตระหนักเมื่อเห็นไฟในตู้โดยสาร
2
ดับลง และผู้โดยสารก็เริ่มกรีดร้อง
“ระ-เราควรกลับเข้าไปไหมครับ?”
“รอเดี๋ยว”
ชายอีกสองคนเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของหัวหน้าของพวกเขา
ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากหน้าต่างที่ไวโอเล็ตหายเข้าไปอีก
และพวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงแม้แต่เสียงเดียว
ผู้นำของเหล่าอัศวินใช้ความคิด
ยัยทหารแม่มดคนนั้นกำลังจะทำอะไรกันแน่นะ?
“ใคร...อยู่ข้างล่างน่ะ?”
“คนจากองค์กรติดตั้งอาวุธที่เราจ้างมาครับ”
“มีคนจากตู้พาโนรามิคและตู้รับประทานอาหาร
1 ด้วยครับ
แต่คนที่อยู่ในตู้สองตู้สุดท้ายที่ไล่ล่าผู้หญิงคนนั้น...ตายแล้วครับ
แต่พวกเขาก็น่าจะมีคนมาแทนแล้ว”
ไฟดับลงอีกครั้ง เสียงกรีดร้องจากตู้พาโนรามิคและตู้รับประทานอาหาร
1 ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็เงียบลงอีกครั้ง
ผู้นำเหล่าอัศวินรู้สึกว่าร่างกายที่อยู่ภายใต้เสื้อโค้ทสีฟ้าขนลุกขึ้นมาเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่ประหลาดเช่นนี้
“เธอกำลังเคลื่อนไหว”
‘ฟาม
ฟาเตล’ มีทั้งหมดสิบสามตู้ด้วยกันจากหน้าไปหลัง ตู้หัวรถจักร 3 ตู้ ตู้นอนเดี่ยว
2 ตู้ ตู้นอนธรรมดา 2 ตู้ ตู้โดยสาร 2 ตู้ ตู้พาโนรามิค ตู้รับประทานอาหาร 2 ตู้ และตู้สินค้า ไวโอเล็ตได้กระโดดลงไปในตู้โดยสาร 2 และจากนั้นจึงเคลื่อนไหวไปยังตู้พาโนรามิคและตู้รับประทานอาหาร 1 ซึ่งเธอได้เป็นคนล้างตู้รับประทานอาหาร 2 ไปแล้ว
การที่เธอวิ่งไปยังตู้ที่ว่างเปล่าเช่นนั้น เธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ?
“หัวหน้าครับ
ผมว่าเราควรจะเข้าไปนะครับ...” หนึ่งในอัศวินพยายามพูด
แต่แล้วเขาก็ล้มลง มีรูขนาดใหญ่อยู่ในเสื้อของเขา
มีกระสุนปืนตามมาอีกเรื่อย ๆ
“ลงไป!”
กระสุนเฉียดหัวของพวกเขา
อัศวินที่ไม่ได้รับอันตรายพยายามยื่นมือออกไปเพื่อช่วยคนที่บาดเจ็บ
ซึ่งฝ่ามือของเขาก็ถูกยิงเช่นกัน
“ล่าถอย!
กลับเข้าไปด้านในและโทรขอกำลังเสริมซะ!”
“แต่หัวหน้าครับ––”
“เอาปืนที่ใหญ่กว่านี้มา!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาคลานกลับเข้าไปขณะที่พยายามกดแผลของพวกเขาไว้
ทิศของกระสุนปืนมาจากตู้สุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
กระสุนปืนถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็หยุดลงอีกครั้ง
ดวงตาของผู้นำอัศวินเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังเบ่งบานอยู่ในความมืด
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาหนีไปแล้วหรือคะ?
ฉันจะตามพวกเขาไปทีหลังแล้วกัน ถ้าอย่างนั้น อีกครั้งหนึ่งนะคะ” ‘มัน’ พูดอย่างสุภาพกับเขาและรอให้เขาลุกขึ้นยืน
ผู้หญิงคนนั้นเป็นวาทยกรของสนามรบ
เธอเล่นทำนองผ่านการโจมตี เสริมอารมณ์ของผู้ชมด้วยศิลปะการต่อสู้
ทำให้พวกเขาตะลึงงันไปกับการกระทำที่ไม่น่าเป็นไปได้ และยึดครองพื้นที่โดยสมบูรณ์
ไม่ว่าผมของเธอหรือชุดของเธอจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดขนาดไหน หรือจะกี่บาดแผลที่เธอได้รับ...
“ถ้าอย่างนั้น
อีกครั้งนะคะ”
...เธอก็ยังไม่ยอมหยุดสู้
ในตอนนั้นผู้นำเหล่าอัศวินได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงมีชื่อว่านักรบหญิงแห่งไลเดนชาฟต์ลิช
“ไปกันเถอะค่ะ
ผู้พัน”
กระสุนจากไรเฟิลที่เธอขโมยมาจากศัตรูที่อยู่ด้านล่างหมด
เธอทิ้งมันลง และหยิบกริชออกมา ส่วนอาวุธของคู่ต่อสู้ของเธอนั้นคือดาบปลายปืน
น้ำหนักในการแกว่งของมันต่างกันมาก
ทั้งสองเข้าปะทะกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร
เธอสู้กับเขาอย่างต่อเนื่องด้วยมีดอันคมกริบของเธอ
แต่ในท้ายที่สุดกริชของเธอก็พ่ายให้กับน้ำหนักและการกวัดแหว่งของดาบปลายปืน
ไวโอเล็ตโยนอาวุธที่ไม่สามารถใช้งานได้ออกไปด้วยแขนเทียมของเธอโดยที่ไม่แม้แต่เสียเวลาหันไปมองเลยสักนิดเดียว
มันขูดเข้าที่ใบหน้าของผู้นำอัศวิน แต่เขาเองก็เหวี่ยงดาบปลายปืนอย่างเต็มแรงและทุบเข้าที่ร่างของไวโอเล็ต
เมื่อเธอมีท่าทีว่าจะล้มลงไปเพราะการโจมตีนั่น เขาก็โจมตีตามมาอีก
เมื่อไวโอเล็ตหลบปลายดาบของดาบปลายปืน หน้าอกของเธอก็ถูกแทง
เธอจึงยื่นมือออกไปทันที พลิกตัวและรักษาระยะห่างออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะเหนือกว่าคนอื่น ๆ ความว่องไวในการโจมตีจึงต่างออกไป
ไวโอเล็ตมองหาอาวุธในมือ
เธอเอื้อมเข้าไปในกระโปรงและดึงมีดที่ใช้ขว้างออกมาจากสายรัดมีดที่อยู่ตรงต้นขาของเธอ
เข็มที่ซ่อนอยู่ในผมของเธอได้หายไปแล้วเพราะผมของเธอหลุดลุ่ย
มีดขว้างเป็นอาวุธสุดท้ายของเธอ หลังจากนี้เธอจะเหลือเพียงแค่หมัดเท่านั้น
“คุณซ่อนอาวุธไว้กี่ชิ้นกัน?”
“มันมีไว้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้นค่ะ”
เธอหายใจราวกับสัตว์ป่า ไวโอเล็ตถอยหลัง
เธอรู้ว่าการโจมตีครั้งถัดไปจะเป็นตัวตัดสินของการต่อสู้นี้
ถึงแม้ว่าเธอกำลังต่อสู้กับคนที่พละกำลังน้อยกว่าก็ตาม
แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่ยืนขึ้นและต่อสู้มาเรื่อย ๆ แบบนั้นต่างก็หายใจอย่างหนักหน่วงกันทั้งนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมแพ้
และในตอนนั้นเองเธอจึงรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างที่ควรอยู่บนปกเสื้อของเธอหายไป
ลมหายใจของเธอหยุดชะงัก สายตาของเธอลนลานในขณะที่เธอถอยหลังออกมา
“ถึงผมจะเป็นศัตรูของคุณ
แต่ผมก็ชื่นชมในความกระหายอยากเอาชนะของคุณนะ คุณไม่ยอมแพ้เลย”
มันเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรจะกังวลในสถานการณ์แบบนี้
แต่เธอก็ยังมองหาเข็มกลัดอยู่ดี เธอไม่สามารถหาวัตถุที่แวววาว ไม่เข้ากับเธอ และสวยงามที่อยู่บนรถไฟได้ในตอนนี้
“ไม่ใช่ว่า...ฉันอยากเอาชนะหรอกค่ะ
ถึงฉันจะชนะศึกนี้ แต่ฉันก็จะไม่ได้อะไรเลย” ไวโอเล็ตพูดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่ควรปล่อยให้เขารู้สึกตัวว่าเธอกำลังมองหาอะไรอยู่
“ถ้าอย่างนั้นคุณกำลังมองหาอะไรอยู่ล่ะ?”
“เปล่าค่ะ
มันเป็นเพียงแค่สถานการณ์ที่ฉันต้องสู้เท่านั้น ฉันถึงได้ทำแบบนั้น สำหรับฉัน
การต่อสู้คือการใช้ชีวิตค่ะ ถ้าฉันแพ้ ฉันก็จะตาย”
“คุณกำลังบอกว่าคุณไม่รู้สึกอะไรกับมันเลยงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้ค่ะ
ฉัน...ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย ฉันเคยเป็นทหารเก่า
แต่ฉันจำเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยค่ะ มันอาจจะสายเกินไปแล้ว แต่ฉันแค่สงสัยว่า...มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้
ฉันไม่รู้ว่าฉันเกิดที่ไหน ตอนเด็กฉันเป็นยังไง หรือฉันเคยชื่อว่าอะไร
แต่ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ฉันเป็นกังวลหรือไม่ก็ตาม ฉันก็จะบอกว่าไม่ค่ะ
มัน... มัน...” ในขณะที่พูดอยู่นั้น ไวโอเล็ตก็เจอเข็มกลัด มันอยู่ใกล้ ๆ กับเท้าของผู้นำอัศวิน
เขาเองก็เห็นเหมือนกัน
“มันเป็นเพราะว่า...ฉันรออะไรบางอย่างที่จะมาหยุดมันอยู่ค่ะ”
เธอผลักความรู้สึกนั้นและฆ่ามันอย่างรีบเร่งและเริ่มมันใหม่อีกครั้ง
“ที่คุณพูดมาเสียยืดยาวแบบนั้น...ก็เพราะแบบนี้เองสินะ?”
ผู้นำส่งสัญญาณให้เธอหยุดด้วยฝ่ามือของเขาและหยิบมันขึ้นมา
มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าสิ่งนี้มันเป็นของใครบางคน “มันเป็นของสำคัญเหรอ?”
ถ้าเธอพยักหน้าเขาจะโยนมันออกไปไหมนะ?
หรือเขาจะคืนให้เธอ? ไวโอเล็ตไม่รู้เลยสักนิด
แต่ถ้าเธอเป็นเขาและมีคนที่เธอต้องช่วยและสิ่งที่เธอต้องทำไม่ว่ายังไงก็ตามหลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้
เธอพยายามคิดภาพว่าเธอว่าเธอเป็นอย่างเขาเพื่อที่จะได้เข้าใจว่าเขาคิดยังไง
ถ้าเธอเป็นเขา...
“เข้ามาเอาสิ!”
...วัตถุชิ้นนั้นจะกลายเป็นเหยื่อล่อศัตรูของเธอ
โดยไม่ได้คิดเลยว่าของสิ่งนั้นอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอะไรอยู่
เข็มกลัดถูกโยนขึ้นไปกลางอากาศ
ไวโอเล็ตวิ่งในทันที ดาบปลายปืนของผู้นำอัศวินชี้มาที่เธอ
ไวโอเล็ตเล็งไปที่เท้าของเขาและเหวี่ยงมีดขว้างออกไป
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเดาไว้อยู่แล้ว เขาจึงรับมันไว้ได้ ในตอนนั้นเอง
ไวโอเล็ตจับเข็มกลัดไว้ อัญมณีที่กำลังล่องลอยอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเหมือนกับดวงตาของเจ้านายเธอไม่มีผิด
ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่งดงามมากที่สุดในโลก
“ยัยโง่เอ๊ย!!”
เธอป้องกันการโจมตีด้วยแขนข้างซ้ายของเธอ
และเมื่อเธอสูญเสียการทรงตัวเพราะการต่อสู้ที่ติดต่อกันเกินไป
เธอก็ถอยกลับไปสามก้าว จากนั้นแขนข้างซ้ายของไวโอเล็ตก็แตกออกเป็นชิ้นๆในที่สุด
พวกมันถูกทุบและหลุดออกไปจากตัวของเธอราวกับกลีบดอกไม้ที่กำลังกระจัดกระจาย
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ไวโอเล็ตรู้สึกว่าเสียงหัวใจกำลังดังก้องอยู่ในหูของเธอ
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
อยู่ดีๆเวลาก็ผ่านไปช้าลง ผู้นำอัศวินได้เหวี่ยงดาบลงในขณะที่พูดดูถูกเหยียดหยามเธอ
หลังของเธอกระแทกกับพื้น และเมื่อเขาเหยียบลงบนท้องของเธอด้วยรองเท้าทหารของเขา
เธอก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเธอก็จะถูกแทง ทุกอย่างจะถูกเปิดออกมา
แต่ทุกอย่างกลับดูเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
เหนือปลายมีดที่กำลังเข้ามาใกล้เธอนั้น
ไวโอเล็ตมองไปที่เข็มกลัดมรกตที่เธอไม่ยอมปล่อยมันจนกระทั่งถึงนาทีสุดท้าย
เธอจับมันไว้อย่างแน่นหนาด้วยมือข้างขวาของเธอ
เธอแค่อยากที่จะมองดูสีเขียวของมันเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่
มันส่องประกายเหมือนกับคน ๆ นั้นไม่มีผิด
––ผู้พัน
เขาจะไม่ไปไหนอีกแล้ว
––ผู้พัน
พวกเขาจะไม่มีวันแยกจากกันอีกแล้ว
––ผู้พันคะ ฉัน...มีชีวิตอยู่ค่ะ
และมันทำให้เธอ ‘มีความสุข’ อย่างหาที่สุดไม่
––ผู้พันคะ
คุณจำ...ตอนที่คุณกอดฉันไว้ในตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมคะ? คุณกลัวฉันมากเหลือเกิน
อสุรกายย่อมสัมผัสได้ถึงความกลัวอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็เก็บฉันไว้ข้างกาย
ดูเหมือน...ฉัน...จะถูกทิ้ง...จริง ๆ สินะคะ เพราะในตอนนี้ฉันได้ไปอยู่ในความดูแลของคนอื่นแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เพราะคุณต้องการฉัน ฉันถึงอยากทำตัวให้มีประโยชน์สำหรับคุณค่ะ ฉันสงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมคุณต้องบอกให้คนอื่น ๆ บอกฉันว่าคุณจากไปแล้วด้วยคะ
วันหนึ่ง ถ้าฉันได้เจอคุณอีก ฉันอยากจะตอบคำถามที่คุณเคยถามฉันว่า “ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของฉัน” และยังรวมถึงคำว่า
“ฉันรักเธอ” ที่คุณพูดด้วยค่ะ ผู้พันคะ
ฉัน...ไวโอเล็ตของคุณคนนี้...ยังถูกรักโดยคุณอยู่หรือเปล่าคะ?”
แทนที่จะเป็นเสียงของกระดูกและเนื้อที่ขาดออกจากกัน
กลับเป็นเสียงของกระสุนปืนที่ตัดผ่านสายลมแทน ดาบปลายปืนหายไปจากสายตาของไวโอเล็ต
และแขนของผู้นำอัศวินก็ถูกเหวี่ยงราวกับมันเป็นของเล่น
ก่อนที่เขาจะถูกเตะไปยังอีกด้านหนึ่ง
ใครบางคนได้สู้กับเขา
ผู้นำอัศวินได้ตะโกนถามว่าเขาคนนั้นคือใครกัน
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ใครคนนั้นดึงดาบออกมาด้วยความเงียบและปกป้องไวโอเล็ตไว้
จากนั้นเขาจึงเริ่มโจมตีอีกฝ่าย ไวโอเล็ตหยุดหายใจ
เมื่อเห็นวิถีการเหวี่ยงมีดและแผ่นหลังของเขา แผ่นหลังที่เธอเคยเดินตามมันมาตลอด
“ไวโอเล็ต
เธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!?”
เสียงนั่นคือเสียงที่ไวโอเล็ตเล่นมันในหัวซ้ำ ๆ เพื่อพยายามไม่ให้ลืมมัน
เสียงหัวใจของเธอดังก้อง เธอพยายามลุกขึ้นถึงแม้ว่าจะต้องฝืนก็ตาม
ชายคนนั้นฟันผู้นำคนนั้นด้วยดาบของเขาและหันมาหาเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
เบื้องหน้าของเธอนั้นคือคน ๆ หนึ่งที่ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเป็นเลยสักนิด
รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากนับตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกันเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตามก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ เมื่อดวงตาสีฟ้าและดวงตาสีเขียวสบกัน
เวลาของพวกเขาก็หยุดลงไปชั่วขณะ ราวกับมันกำลังบอกว่า “ที่เวลาหยุดลงก็เพราะความงดงามของคุณ”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน
“ผู้พัน!”
ตั้งแต่แรก
ทั้งสองต่างเกิดมาเพื่อมาพบกันในสักวันหนึ่ง
กิลเบิร์ตพุ่งเข้าไปหาไวโอเล็ต “มาเถอะ ไวโอเล็ต” เขาคุกเข่าลง และยกร่างของเธอขึ้นก่อนจะอุ้มเธอไว้ด้านข้าง
เขาถอดเข็มขัดดาบของเขาออกและพันไว้ที่แขนของเขาแทน จากนั้นเขาก็กอดไวโอเล็ตไว้ “ฉันจะ...อธิบายเรื่องนี้ทีหลัง มีหลายอย่างที่ฉันอยากขอโทษเธอ แต่ตอนนี้
ให้อภัยฉันกับสิ่งที่ฉันกำลังจะทำด้วย...อย่าปล่อยมือเด็ดขาดเลยนะ”
ไวโอเล็ตนึกถึงสิ่งที่เธอจับมันไว้อย่างแน่นหนาขึ้นมาได้
– เข็มกลัดมรกตที่เธอหยิบมันมาอย่างเร่งรีบในขณะที่กำลังต่อสู้
เธอค่อย ๆ คลายนิ้วของเธอและแสดงให้กิลเบิร์ตเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
จากนั้นเธอจึงมองไปที่เขา และในตอนที่ภาพของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าของเธอนั้น
ปากของเธอก็สั่นระริก และเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย
เธอแค่อยากให้เขาเห็นสิ่งที่เธอเก็บมาได้เท่านั้น
เมื่อเห็นเข็มกลัดมรกต
ดวงตาของกิลเบิร์ตก็บิดเบี้ยวด้วยความขมขื่น “เธอ...ยังมีมันอยู่หรือ?”
ท่าทางที่เขาหยิบเข็มกลัดมาจากฝ่ามือของไวโอเล็ตและกลัดลงบนหน้าอกของเธอนั้นเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยทำไม่มีผิด
“...พัน”
เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา – อะไรก็ตามที่เธอพูดได้ “ผู้พันคะ!”
อย่างไรก็ตาม
ผู้นำอัศวินที่ควรจะนอนอยู่บนพื้นได้พยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เขาได้เอาปืนลูกซองจากหนึ่งในลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บของเขามา “แก ไอ้สุนัขรับใช้ของไลเดนชาฟต์ลิช...!” ที่คอของเขามีเลือดที่ไหลออกมาจากคมดาบของกิลเบิร์ต
และเขาก็พ่นฟองเลือดออกมา “ฉันจะปลดปล่อยแก! ฉันจะปลดปล่อยพวกแกทั้งคู่ในครั้งเดียว! แกไอ้พวกไร้ค่าในดินแดนแห่งนี้!
หายไปจากโลกนี้ซะเถอะ! หายไปซะ! หายไปซะ! หายไปซะ!”
ทั้งสองฝ่ายคงไม่สามารถสู้ได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ
มันสายเกินไปแล้วที่จะโน้มน้าวให้อีกคนยุติความขัดแย้ง
ไม่มีสิ่งใดถอยกลับไปได้อีกแล้ว
“ผู้พันคะ
ทิ้งฉันไว้เถอะค่ะ” ไวโอเล็ตพูดโดยไม่มีความลังเล
ถ้าเขาปล่อยเธอลงกับพื้นเรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้ เพราะเธอคิดว่าเขาคงไม่มีวันเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
“ฉันบอกไม่ให้เธอปล่อยมือไง”
กิลเบิร์ตส่ายหัว เขาจับแขนและลำตัวของไวโอเล็ตแน่นยิ่งกว่าเดิม
จากนั้นเขาจึงยกมือเทียมของเขาขึ้นเหนือรถไฟ
ผู้นำอัศวินหัวเราะ
ดูเหมือนเขาคิดว่าทั้งสองคนเลือกที่จะตายด้วยกัน
“ผู้พันคะ...ถ้าอย่างนั้น
ได้โปรด” ไวโอเล็ตมองไปที่เจ้านายของเธอ
ที่ซึ่งงดงามยิ่งกว่าอัญมณีที่เธอพยายามปกป้องมันไว้เป็นไหน ๆ “อย่าไปไหนอีกเลยค่ะ”
ปืนเล็งมาที่พวกเขา
“ได้โปรดอยู่เคียงข้างฉัน...ไม่ว่าคุณจะทำยังไงกับฉัน
ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะอยู่กับคุณเท่านั้น แค่นั้นเองค่ะ
ไม่มีอะไร...นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผู้พันคะ ฉัน...”
เธอเรียนรู้ที่จะเขียนและพูดด้วยคำศัพท์ที่มากมายนับไม่ถ้วน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคำไหนที่เหมาะสมพอที่เธอจะพูดกับคนที่เธอรักอย่างสุดหัวใจได้
“...อยากอยู่ด้วยกันกับคุณค่ะ”
คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ตุ๊กตา
แต่เป็นหญิงสาวที่กำลังร้องขอความรักจากชายเพียงผู้เดียว
“ฉันจะไม่ไปไหนอีกแล้ว...ฉันต้องการเธอ
ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอเอง...!” กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียตอบรับคำขอร้องนั้นราวกับกำลังตะโกน
และมันเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากกระสุนกำลังพุ่งเข้ามาในสายตาของพวกเขา
เมื่อเวลา 2
ทุ่ม 20 นาที ซามูเอล ลาบูฟ
วิศวกรของรถไฟข้ามทวีปที่แสนโชคร้ายนั้น
ได้เชื่อฟังคำสั่งจากพันเอกของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชที่ปรากฏตัวขึ้นราวกับสายฟ้าแลบเป็นอย่างดี
และได้ทำตามคำสั่งนั่นไปจนกว่าจะได้ยินสัญญาณ สัญญาณนั่นจะมาในรูปแบบไหนกันนะ?
ถึงคน ๆ นั้นจะบอกว่าเดี๋ยวเขาก็รู้เองก็เถอะ แต่ถ้าเขาพลาดมันจะทำยังไงล่ะ?
แต่ความกังวลของเขาก็ไร้ประโยชน์
เพราะสิ่งที่จะหยุดสถานการณ์ทุกอย่างในตอนนี้นั้นกำลังรอเขาอยู่
เสียงระเบิดขนานใหญ่ดังขึ้น
และแสงจากการระเบิดนั่นก็กระจายอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน ในช่วงเวลานั้น
หายนะที่แสนร้ายแรงกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงข้างหน้าของพวกเขา ในหมู่บ้านริตอร์โน่
“อะไรวะนั่น?!
หยุด หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
สถานีรถไฟกำลังมอดไหม้
กลับไปเมื่อ 7
ชั่วโมง และอีก 50 นาทีที่ผ่านมา
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีหน้าตาดึงดูดพร้อมกับผมสีบลอนด์ทรายและดวงตาสีฟ้าสดใสกำลังคุยโทรศัพท์
"ผมเข้าใจแล้ว" ชุดของเขาไม่เข้ากับที่ชุมนุมเล็ก ๆ ของหมู่บ้านรกร้างนี่เลยสักนิด
“เบเนดิกต์
ท่านประธานบอกว่าไงบ้าง?” ชายผิวดำที่มีผมบางและใส่เสื้อเชิ้ตลายทางพร้อมกับซองหนังที่อยู่บนไหล่ถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“ตาแก่นั่นกำลังจะมาที่นี่
เขามีคำสั่งให้พวกเราสามอย่าง คำสั่งแรกคือทำลายสถานีของหมู่บ้านทันที
เราจะได้เห็นรถไฟที่กำลังมาได้ทัน อย่างที่สอง ช่วยเหลือผู้โดยสารและช่วยชีวิตวี
และอย่างที่สาม ปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ เพราะพวกมันคงจะต้องต่อต้านพวกเราแน่ ๆ
สัญญาซื้อขายได้รับการประทับตราตามกฎหมายแล้ว ที่ดินนี้เป็นของบริษัทพวกเรา
เขาบอกว่าให้พวกเราทำลายมันโดยไม่ต้องลังเลได้เลย เอาล่ะ ไปช่วยชีวิตวีกัน!”
หลังจากได้พูดคุยกับลักซ์
ซึ่งในตอนนี้ได้อยู่ในบริษัท
เธอพยายามจะให้ลูกจ้างของบริษัทซีเอชทุกคนได้ใช้ปืนด้วย และเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทุกคนก็เริ่มคึกคักขึ้นมาทันทีราวกับว่ากำลังอยู่ในงานเทศกาล
พวกเขาทุกคนต่างก็มีอายุและสีผิวที่ต่างกัน
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ฮอดกินส์รวบรวมมาและเรียกทุกคนว่าเป็น “เหล่าคนแปลกที่แปลกประหลาดด้วยเรื่องราวของตัวพวกเขาเอง” คนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์และรีบวิ่งมาที่จุดนัดพบก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเช่นกัน
– และเขาคนนั้นก็คือบุรุษไปรษณีย์ที่ได้เดินทางไปส่งจดหมายทั่วทั้งทวีป
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้รับคำสั่งอย่างเร่งด่วนจากหัวหน้าของพวกเขาให้เข้าไปมีส่วนร่วมในแผนการช่วยเหลือที่แสนอันตรายนี่เลยสักนิด
ในตอนนี้พวกเขาเหมือนกับขี้เมาตามร้านเหล้าไม่มีผิด
ตรงกันข้ามกับพวกเขา
เมื่อคนในหมู่บ้านริตอร์โน่ได้รับแจ้งจากพนักงานบริษัทไปรษณีย์ที่กำลังถืออาวุธไว้ในมือว่าพวกเขากำลังจะทำลายหมู่บ้าน
บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาก็อึมครึมขึ้นมาทันทีราวกับกำลังอยู่ในงานศพ
เบเนดิกต์เดินไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนในหมู่บ้าน
“คุณยายครับ สิ่งที่พวกเรากำลังจะทำอาจจะวุ่นวายไปหน่อย
แต่ถ้ามีคนในหมู่บ้านคนไหนที่พอรักษาคนเจ็บได้
ผมอยากให้คุณยายช่วยพาพวกเขาไปด้วยเท่าที่คุณยายพาไปไหวครับ”
“เธอกำลังหางานให้ฉันทำงั้นรึ?”
การพูดของเธอราวกับว่าเธอกำลังกล่าวหาเขา
เบเนดิกต์ขมวดคิ้ว “พวกคุณยายเองก็เชื่อคำพูดไม่เอาไหนที่ท่านประธานพูดกับเรื่องที่เขาจะขายที่ดินนี่ไม่ใช่หรือครับ?
คุณยายไม่พอใจที่บริษัทของเราจะจ้างทุกคนในหมู่บ้านไปทำงานเหรอครับ? คุณยายครับ
คุณยายเองก็เป็นเพื่อนร่วมงานของเรานะครับ ตอนนี้คุณยายเป็นลูกจ้างของบริษัทแล้ว
เพราะแบบนั้นพวกเราเลยหางานให้คุณยายทำไงครับ
ถ้าคุณยายคิดว่าพวกผมกำลังหลอกคุณยายอยู่ คุณยายคิดผิดแล้วล่ะครับ” เสียงส้นรองเท้าของเขากระทบพื้นจนเกิดเสียงดังก้องในขณะที่เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้นำของหมู่บ้าน
และยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ “คุณยายคิดผิดแล้วล่ะครับว่าหมู่บ้านนี้จะได้รับการปกป้อง
เพราะถ้าตาแก่นั่นคิดจะทำอะไรสักอย่าง เขาคงจะใช้วิธีที่น่ากลัวมาก
แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้นและเลือกที่จะใช้การเจรจาและตกลงเรื่องราคาแทน
ตาแก่นั่น...ท่านประธานของเราอาจจะทำตัวหยาบคายกับคนอื่นก็จริง
แต่เขาก็ยังรักษาพนักงานของเขาไว้ได้ และในตอนนี้
เราก็จะทำสิ่งนี้เพื่อพนักงานคนหนึ่งที่เป็นเหมือนกับลูกสาวของเขา
เธอเองก็เป็นเหมือนกับน้องสาวของผมเหมือนกัน พวกเราเอ็นดูเธอมากครับ
เพราะงั้นอย่ากลัวไปเลยครับ จงภาคภูมิใจกับมันซะเถอะ”
“ใช่แล้วครับ
ท่านประธานจะต้องตอบแทนและให้รางวัลแก่พวกเราให้สมกับที่พวกเราทำงานอย่างหนักแน่นอนครับ
และในอนาคตที่แห่งนี้จะกลายเป็นอุตสาหกรรมอีกด้วย
แต่ในตอนนี้หน้าที่อย่างแรกของพวกเราคือช่วยชีวิตผู้คนก่อนครับ” บุรุษไปรษณีย์อีกคนพูดเสริม เพื่อช่วยคำโน้มน้าวของเบเนดิกต์
“พวกเธอจะทำจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“ครับ ถ้าเราพูดว่าจะทำ
เราก็จะทำอย่างแน่นอนครับ และถึงเราจะแพ้ เราก็จะทำมันให้สำเร็จครับ
นี่แหละครับบริษัทของพวกเรา”
“เธอไม่ได้เกลียดมันใช่ไหม?”
“โอ้ อะไรกันน่ะครับ?
คุณยายเองก็มีสีหน้าเข้มแข็งแบบนั้นด้วยหรือครับ?”
“ถามอะไรโง่ ๆ
ฉันเป็นผู้หญิงที่เกิดและเติบโตขึ้นในเหมืองถ่านหินนะยะ”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาก็ดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
และทุกคนก็เดินตามกันไปที่สถานีรถไฟด้วยความเงียบสงบ
และถึงแม้ว่าพวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับปัญหาที่ว่าพวกเขาจะทำลายสถานียังไงดี
ผู้นำของหมู่บ้านก็ได้เสนอขึ้นมาว่าพวกเขามีเครื่องระเบิดเหมืองอยู่
และมันก็ไม่ถูกใช้มาตั้งนานแล้ว
“คุณยายครับ
คุณยายเองก็เริ่มอยากมีส่วนร่วมกับพวกผมด้วยเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ?” เบเนดิกต์ยกนิ้วให้กับผู้นำหมู่บ้านเพื่อแสดงความขอบคุณ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีใครอีกหลายคนที่รู้สึกช้ำใจที่พวกเขากำลังจะระเบิดหมู่บ้าน
แต่ส่วนใหญ่ก็ทำเพียงแค่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
และบุรุษไปรษณีย์จะเป็นคนติดตั้งระเบิดเองทั้งหมด
“ผม...ตอนที่ผมเกิดเหมืองก็ปิดไปซะแล้ว
เพราะงั้นนี่ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เห็นการระเบิดยังไงล่ะ!”
เด็กที่กำลังร่าเริงเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าเข้ามาใกล้พื้นที่จุดระเบิด
เบเนดิกต์เอ่ยตอบพร้อมกับพาเด็กคนนั้นให้ถอยห่างออกมา
“ถือเป็นโชคดีสำหรับนายเลยนะ”
“ผมคุยกับพวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่
แต่นี่มันมหัศจรรย์ชะมัด!”
“นายคุยกับพวกผู้ใหญ่ไม่เก่งงั้นเหรอ?”
“ก่อนที่ผมจะเกิด
มีการระเบิดเกิดขึ้นในเหมืองของพวกเราน่ะครับ จนถึงตอนนี้มันก็ยังคุกรุ่นอยู่เลย
มีคนตายอยู่ในนั้นเยอะเลยครับ ปู่ของผมทั้งสองคนก็ตายด้วยเหมือนกัน
ผมไม่เคยเจอพวกเขาเลย”
“อืม...”
“ถึงตอนนี้มันจะถูกปิดตายไปแล้ว
แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่โดนหิมะกลบ มันร้อนมาก ๆ เลยครับ
พอคิดว่าปู่ของผมอยู่ในนั้นก็เลยเล่นตลกกับมันไม่ได้
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากเป็นคนงานในเหมืองอยู่ดี แต่ผมก็ไม่อยากจนด้วยเหมือนกัน”
“งั้นหรอ...?” เบเนดิกต์ลูบหัวเด็กน้อยและพยายามที่จะพูดต่อ
เขามองไปที่ผู้นำของหมู่บ้านที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้อีกครั้ง
“เธอเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วครับ”
“เรื่องนี้มันกวนใจฉันมากจริง ๆ
แต่ท่านประธานของเธอจะชดเชยทุกอย่างให้พวกเราจริง ๆ ใช่ไหม...? มันกวนใจฉันจริง ๆ นะ
ถึงการที่พวกเธอทำแบบนี้จะเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสารก็เถอะ...แต่ถ้าสถานีของพวกเราถูกทำลายลง
ไลเดนชาฟต์ลิชคงไม่อยู่เฉยแน่”
“ผมบอกคุณยายแล้วไม่ใช่หรือครับว่าไม่ต้องกังวลน่ะ?
เบเนดิกต์ยกมือขึ้นเท้าสะเอว แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะออกมาซะอย่างนั้น
อาจเป็นเพราะว่าจู่ ๆ หน้าของคน ๆ นั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัวของเขากระมัง “เขาเป็นคนที่น่าเหลือเชื่อมากครับ ถ้าเขาจะทำอะไรสักอย่าง
เขาจะทำมันอย่างแน่นอนครับ เขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยล่ะ เพราะงั้นวางใจเถอะครับ”
เขาพูดด้วยความมั่นใจ
“อย่างงั้นเหรอ...?
ฉันน่ะยอมขายหมู่บ้านก็เพราะค่าใช้จ่ายของหมู่บ้านเราในฤดูหนาวเยอะมาก...ฉันเองก็อยากให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านออกไปตั้งหลักใหม่ที่อื่นด้วยเหมือนกัน
งานของพวกเธอคงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคนในหมู่บ้านนี้แล้ว
ฉันอาจจะไปเจอท่านประธานของพวกเธอในอีกไม่นานนี้
แต่เธอเองก็ต้องบอกเขาเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันนะ”
“ครับ
ผมก็จะคุยกับเขาด้วยเหมือนกัน”
“ฉันขอฝากความหวังไว้ที่เธอแล้วกันนะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเธอ
แน่นอนว่าริ้วรอยเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความชราภาพแต่อย่างใด
แต่เกิดจากความยากลำบากต่างหาก
“คุณยายครับ”
เบเนดิกต์ยกนิ้วโป้ง “คุณเป็นผู้หญิงที่เกิดในเหมืองถ่านหินใช่ไหมครับ?
อย่ากลัวดอกไม้ไฟแล้วกันนะครับ เพราะผมน่ะชอบผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก ๆ เลย”
“เด็ก ๆ อย่างเธอไม่ควรพูดอวดดีอย่างนั้นสิ”
ผู้นำหมู่บ้านหัวเราะ บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอหัวเราะมากเกินไป
น้ำตาจึงไหลออกมาจากหางตาของเธอ
แสงวูบวาบที่ถูกจุดขึ้นบนฟิวส์ราวกับงูที่ลุกโชนและกำลังเต้นระบำไม่มีผิด
เมื่อได้ยินเสียงของเบเนดิกต์
ทุกคนก็เริ่มนับถอยหลัง “ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง!”
ความร้อน ลม และเสียงที่ดังกึกก้อง
พรั่งพรูออกมาและปกคลุมทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ลมกรรโชกที่กำลังพัดอย่างรุนแรงและคลื่นกระแทกปะทุขึ้น ผู้หญิงทุกคนส่งเสียงกรี๊ด
รางรถไฟปลิวออกไป และอาคารของสถานีรถไฟก็พังทลายลงมา
ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง มันเป็นภาพที่สวยงาม
ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในยามเย็น
มันช่างเป็นการทำลายล้างที่งดงามมากเหลือเกิน หญิงชราปรบมือ พวกเด็ก ๆ ร้องไห้
และพนักงานในบริษัทไปรษณีย์ซีเอชทุกคนส่งเสียงและผิวปากกันจ้าละหวั่น จากนั้นพวกเขาก็หยิบอาวุธขึ้นมา
“มันอาจจะสายไปหน่อยที่จะพูดแบบนี้
แต่มันดูเหมือนไม่ใช่งานของบุรุษไปรษณีย์เลยนะเนี่ย”
“ก็นะ
ทำแบบนี้บ้างบางครั้งก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้าเทียบกับงานเก่าของฉัน
ฉันคงจะไม่มีวันปฏิเสธคำร้องขอจากท่านประธานเลยล่ะ เพราะว่าเขาได้หางานที่เหมาะกับฉันมากเลยยังไงล่ะ”
“เราเหมาะงั้นเหรอ?
แต่ว่านะ
การที่เขาให้เรามาทำงานอันตราย ๆ แบบนี้เราจะได้รับโบนัสเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย?”
“ร้อนจังนะว่าไหม
เราไม่ควรดับไฟก่อนที่จะไปช่วยเหลือพวกเขาก่อนหรอ? เบเนดิกต์ เฮ้ หัวหน้าครับ”
“พวกนายนี่ขี้เอะอะโวยวายซะจริง
ฟังนะ ทำให้แน่ใจซะว่าจะไม่ถูกพวกทหารเข้าใจผิดและโดนยิงเข้าซะน่ะ
พวกนายเองก็เข้าใจผิดเหมือนกัน การยิงพวกเดียวกันถือเป็นหายนะร้ายแรงเลยล่ะ
อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นและนอกเหนือจากคำสั่งเด็ดขาด
แล้วก็ถ้ามีพวกนายคนไหนเจอวีแล้ว ให้รีบบอกฉันทันที ยัยนั่นจะต้องโดนสั่งสอนสักหน่อยที่ทำให้พวกเรามาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
แต่ยังไงก็ช่างเถอะ อย่าลืมเด็ดขาดว่าจุดประสงค์หลักของพวกเราคือวี! จำไว้ด้วย!”
พวกเขาได้ยินเสียงของรถไฟที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เบเนดิกต์พันผ้าสีแดงรอบแขนของเขา “ให้ตายสิ งานเทศกาลมาถึงแล้วสินะ” เขาเลียริมฝีปากพร้อมกับปืนที่ถือไว้ในมือเรียบร้อย
เมื่อเวลา 2 ทุ่ม 20 นาที
แรงจากการระเบิดครั้งใหญ่ก็ได้ส่งผลกระทบมาถึงตัวไวโอเล็ตและกิลเบิร์ตเช่นกัน
แสงและเปลวไฟที่พุ่งสูงขึ้นเหมือนกับดอกไม้นั้นพุ่งขึ้นไปสู่ความมืดมิด
ชิ้นส่วนของหลังคาสถานีรถไฟที่กำลังลอยมานั้นตกลงมาและกระแทกที่หลังของผู้นำเหล่าอัศวินและลูกน้องของเขา
ลูกกระสุนที่พุ่งออกมานั้นเปลี่ยนทิศทางทันที
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้จึงตกใจเป็นอย่างยิ่งและกระแทกเข้ากับตัวรถไฟก่อนจะกลิ้งลงมา
ไวโอเล็ตพยายามที่จะยื่นมือออกไปเพื่อช่วยพวกเขา
แต่แขนข้างที่ยื่นออกไปนั้นกลับเป็นแขนที่ถูกทำลายไปแล้ว
“ไวโอเล็ต
อย่าปล่อยมือเด็ดขาดเลยนะ!”
กิลเบิร์ตพยายามอดทนต่อแรงระเบิดนั่นพร้อมกับอุ้มไวโอเล็ตไว้จนกว่ารถไฟจะหยุด
เขาได้ยินเสียงผู้โดยสารกำลังกรีดร้อง รถไฟสามารถหยุดได้ทันเวลาพอดีก่อนที่จะชนเข้ากับสถานีโดยไม่มีการพลิกคว่ำแต่อย่างใด
เสียงปืนดังขึ้นในทันที
พร้อมกับควันที่รั่วออกมาจากด้านหน้าของรถไฟ
ทหารของกองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชเริ่มปฏิบัติหน้าที่เข้าควบคุมรถไฟทันทีเมื่อได้โอกาสเช่นเดียวกันกับกิลเบิร์ต
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่พวกเขาพยายามหลีกสิ่งกีกขวางที่อยู่ในสถานี
มอเตอร์ไซค์มากมายก็ได้ทะยานขึ้นและลอยข้ามรถไฟไป
พวกเขามีทั้งคนขับเดี่ยวและคนขับคู่ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน
“ทุกคนที่อยากจะหนีให้มาทางนี้ครับ!”
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นพนักงานของบริษัทไปรษณีย์ซีเอชทั้งสิ้น พวกเขาขี่มอเตอร์ไซค์ที่โดยปกติแล้วมีไว้ใช้ส่งจดหมายและเริ่มนำทางให้กับทุกคนที่พยายามจะวิ่งหนีให้มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านโดยใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น ท่ามกลางคนเหล่านั้น ก็มีชายแกร่งอยู่คนหนึ่งที่สู้กับนักจี้ที่กำลังพวกเขาผ่านหน้าต่าง และเขาคนนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานของไวโอเล็ต เบเนดิกต์นั่นเอง กองทัพอื่นของไลเดนชาฟต์ลิชที่มาเป็นกำลังเสริมก็ปรากฏตัวเช่นกัน
กิลเบิร์ตถอนหายใจออกมาทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ไวโอเล็ตเองก็เช่นกัน
ดูเหมือนว่ามาตรการทั้งหมดที่มีไว้เพื่อปกป้องผู้โดยสารจะได้ผลดีเยี่ยม
พวกเขานิ่งไปทั้งคู่ด้วยความรู้สึกโล่งใจ
ภาพตรงหน้าของพวกเขานั้นดูน่ากลัวชอบกล ทั้งขี้เถ้า สะเก็ดไฟ
และประกายไฟกระจัดกระจายไปกับสายลมในท้องฟ้าที่มืดมิด
ราวกับพวกมันกำลังเต้นระบำอยู่ในขณะที่กำลังร่วงหล่นลงมา
กิลเบิร์ตถอดเข็มขัดดาบที่เขาผูกไว้กับไวโอเล็ตออก
จากนั้นจึงถอยเสื้อแจ็คเก็ตออกและคลุมไว้บนไหล่ของเธอ “ไวโอเล็ต”
สิ่งต่อไปที่กิลเบิร์ตจะทำคือจัดการกับความวุ่นวายและให้ไวโอเล็ตไปกับทีมช่วยเหลือของบุรุษไปรษณีย์
และเขายังต้องกลับเข้าไปในสนามรบและปราบปรามความโกลาหลอีกด้วย
“ผู้พันคะ”
“ไวโอเล็ต ฟังนะ”
“ฉันจะจับมือเธอไว้
เพราะงั้นเธอต้องลุกขึ้นนะ” นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูด
แต่เมื่อเขามองไปที่เธอ คำพูดเหล่านั้นกลับติดอยู่ในลำคอของเขา
ไวโอเล็ตกะพริบตา
ดูเหมือนน้ำตาของที่กำลังเอ่อล้นนั้นกำลังจะไหลออกมา
“ผู้พัน...”
เธอจับเข็มกลัดที่อยู่บนอกของเธอแน่น
กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
และมันก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นดังเสียจนเสียงของสนามรบก็ไม่สามารถกลบมันไว้ได้
“ฉันก็จะสู้ด้วยเหมือนกันค่ะ
คุณมาเพื่อช่วยพลเรือนใช่ไหมคะ?” บางทีอาจเป็นเพราะเธอทำตัวเหมือนเครื่องจักรมาตลอด
ไวโอเล็ตจึงพยายามทำตัวให้มีประโยชน์สำหรับกิลเบิร์ตอีกครั้ง
ถึงแม้จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ตาม
“เธอเองก็เป็นพลเรือนเหมือนกัน”
“ฉันเป็น...เครื่องมือ...ของผู้พันค่ะ”
“เธอไม่ใช่เครื่องมืออีกแล้ว
เธอ คนที่ฉันพยายามปกป้องอยู่นี้ไม่ควรจะต่อสู้อีกแล้ว หน้าที่นั้นเป็นของฉัน
กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย พันเอกแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช
และมันก็เป็นงานของผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันด้วย
ฉันจะพาเธอไปส่งที่จุดปลอดภัยเดี๋ยวนี้แหละไวโอเล็ต”
ใบหน้าของไวโอเล็ตในตอนนี้เหมือนกับคนที่ได้รับผลกระทบบางอย่างไม่มีผิด
“ผู้การ... ผู้พัน... ผู้การ... กิล... เบิร์ต”
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธอจะเรียกฉันว่า
‘ผู้พัน’ น่ะ”
“ผู้...พ....กิลเบิร์ต...”
ไวโอเล็ตซ่อนใบหน้าไว้หลังมือขวาของเธอ
น้ำตามากมายไหลรินลงมาไปตามช่องว่างระหว่างนิ้ว
เธอกำลัง ‘เศร้า’
“ถ้า...ฉันไม่ใช่เครื่องมือ
ทำไม...คุณถึงบอกว่าคุณจะไม่ยอมปล่อยล่ะคะ...?”
การที่เขาบอกเธอว่าจะไม่ยอมปล่อยทำให้เธอรู้สึก
‘สุขใจ’ แต่ถึงอย่างนั้นการที่เธอถูกปฏิเสธตัวตนนั้นก็ทำให้เธอ
‘เศร้าใจ’ เป็นอย่างมาก
ถ้าการที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเธออีกครั้งแบบนี้
ทำไมเขาถึงไม่ยอมให้เธอกลับไปเป็นเครื่องมืออีกแล้วล่ะ? ในความคิดของไวโอเล็ตนั้น
เธอรู้ตัวดีว่าคุณค่าของเธอนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงในตัวเธอเท่านั้น
“ไวโอเล็ต”
ในตอนที่เธอกำลังสับสนว่าเธอเป็นเครื่องมือหรือว่าเป็นมนุษย์กันแน่นั่น
ในตอนนั้นเอง
กิลเบิร์ตได้พยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างให้กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักความรักอีกครั้ง
“ฉันทำให้ชีวิตของเธอพังไปหมด
ฉันพาเธอเข้าสู่สงคราม ฉันทำร้ายเธอ และฉันก็เสียใจมากเสียจนฉันอยากจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
และฉันก็รู้ว่าเธอเองตามหาฉันมาตลอด
ถึงฉันจะตัดสินใจแล้วก็ตามว่าฉันจะปกป้องเธอจากที่ไกล ๆ
แต่สุดท้ายฉันก็ทนไม่ได้และตัดสินใจมาหาเธอแทน ฉัน...ไม่ใช่คนอย่างที่เธอคิดหรอกนะ
ฉันไม่ใช่เจ้านายที่สง่างามของเธอ และฉันก็ไม่ได้เป็นคนที่มีเกียรติอะไรด้วย
ฉันไม่คู่ควรกับเธอเลยสักนิด”
เขาได้พยายามบอกกับเธอว่าความรักของเขาจะไม่มีวันหมดลง
ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน หรือแม้ว่าเธอจะเป็นคนโง่ก็ตาม
“แต่ถึงอย่างนั้น
แม้กระทั่งตอนนี้ ฉันก็ยังรักเธอ รักในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สำหรับฉัน
เธอไม่ใช่เครื่องมือหรอกนะ”
“ถึงฉันจะ...ไม่ใช่...เครื่องมือ...หรือคะ...?”
“และฉันก็ไม่ใช่เจ้านายของเธอด้วยเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากอยู่เคียงข้างเธออยู่ดี”
เงียบกริบ
“ไวโอเล็ต?”
ไวโอเล็ตได้ยอมให้บางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนกำลังจะเผาไหม้ลำคอของเธอผ่านเข้าไป
ขอบตาของเธอร้อนผ่าว และมันก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความรู้สึกของเธอที่ทั้งชีวิตของเธอมีอยู่เพียงน้อยนิด
ครั้งแรกที่เธอร้องไห้ออกมานั้นคือตอนที่เธอยังเป็นทหารอยู่
ในตอนนั้นเธอเป็นแค่เครื่องมือที่มีดวงตาสีฟ้าที่แสนงดงามราวกับอัญมณีและขนตาสีทอง
“ฉัน...”
ส่วนสูงของเธอในตอนนี้นั้นไม่ได้เท่ากับตอนที่เธอและกิลเบิร์ตเจอกันเป็นครั้งแรกอีกแล้ว
รูปร่างหน้าตาของเธอเองก็ไม่ได้เหมือนกับตอนที่เธออยู่ในสนามรบด้วยเช่นกัน
ผมของเธอยาวขึ้น และเธอก็ได้กลายเป็นหญิงสาวที่แสนสง่างามเหมือนกับตัวเธอที่กำลังอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้
คนที่เขารักได้เติบโตขึ้นแล้ว
คนที่เขาได้ปล่อยมือไปคนนั้นได้มาอยู่ตรงหน้ากิลเบิร์ตแล้ว
“ฉัน...”
หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี
ในที่สุดเธอก็ได้มาถึงที่ที่เธอสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของเธอได้แล้ว
“ในตอนแรกฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ...ว่าทำไมผู้พันถึงทิ้งฉันไว้ ส่งฉันไปเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สามีภรรยาของตระกูลเอเวอร์การ์เดน
และฝากให้ท่านประธานฮอดกินส์ดูแลฉัน หรือเหตุผลที่คุณบอกให้ฉันเป็นอิสระ
ฉันไม่เข้าใจมันเลยค่ะ ฉันแค่...สงสัยมาตลอดว่าถ้าฉันไม่เป็นที่ต้องการแล้ว
แล้วทำไมคุณถึงไม่ทิ้งฉัน ฉันไม่เข้าใจ...ความรู้สึกของคุณเลยค่ะผู้พัน
แม้แต่ตอนนี้ ถึงผู้พันจะบอกกับฉันแบบนั้น
แต่ฉันก็ยังคิดว่าถ้าฉันเป็นเครื่องมือมันคงจะดีกว่า
ฉัน...ฉันไม่...คู่ควรกับคุณเลยค่ะผู้พัน...ตัวตนของฉัน...เหมือนกับสิ่งล้มเหลวที่ถูกสร้างมาจากความผิดพลาดเลยค่ะ
คนอื่นเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน... แต่ว่า...”
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากดวงตาสีฟ้าของเธอ
มันไหลไปตามคางของเธอ และร่วงลงบนเข็มกลัดมรกตของเธอ
“ฉันเริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกบ้างแล้วค่ะ
ด้วยชีวิตใหม่ที่ผู้พันให้กับฉัน ถึงจะเริ่มเข้าใจทีละนิด แต่ฉันก็เริ่มที่จะเข้าใจมันแล้วค่ะ
ทั้งความเศร้าและความสุข...ความภาคภูมิใจ ความกลัว ทุก ๆ ความรู้สึก...ที่คน ๆ หนึ่งสื่อไปถึงอีกคน...
แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นด้วยตัวฉันเองอยู่ดี แต่ฉันก็เข้าใจมัน
ผ่านจดหมายที่ฉันเขียนให้พวกเขา และผ่านผู้คนที่ฉันได้พบ
ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาค่ะผู้พัน
และฉัน...ก็ค่อย ๆ...เข้าใจ...ความรู้สึกที่คุณบอกกับฉันแล้วค่ะ”
สิ่งที่เขาพูด
สิ่งที่เขาได้บอกมันกับเธอ
“ถ้าฉัน...ซื้อของแบบนั้นให้เธอมากกว่านี้ตอนที่เธอยังเด็ก
ฉันคิดว่าตอนนี้เธอก็คงจะสนใจของพวกนั้นไปแล้วล่ะนะ”
“ถึงเธอจะ...คิดแบบนั้น...แต่สำหรับฉัน
เธอเป็น...”
“เธอ...อยากได้คำสั่งของฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ทำไม...เธอถึงคิดว่าทุกสิ่งที่ฉันพูดถึงเป็นคำสั่งหมดเลยล่ะ?!
เธอคิดว่า...ฉันเห็นเธอเป็นเครื่องมือจริง ๆ เหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็คงไม่อุ้มเธอหรือทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับเธอในตอนที่เธอโตเป็นสาวแบบนี้หรอก!
ไม่ว่ายังไง...เธอก็ไม่เข้าใจ...ความรู้สึกของฉัน...ที่มีต่อเธอเลย
ปกติ...คนอื่น ๆ คงจะ...เข้าใจมันแล้วแท้ ๆ ที่ฉันโกรธและทรมานแบบนี้ก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว”
“เธอไม่ได้ไม่มีความรู้สึกใช่ไหม?
ไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม?
ถ้าเธอไม่มีความรู้สึกจริง ๆ แล้วสีหน้าแบบนั้นคืออะไรล่ะ? เธอทำหน้าแบบนั้นได้ด้วยใช่ไหม? เธอมีความรู้สึก
เธอมี...หัวใจเหมือนกับฉันใช่ไหม!?”
“รักคือ…การที่เธอ…อยากที่จะปกป้องใครคนหนึ่งมากที่สุดในโลก”
“เธอสำคัญ…และมีค่าที่สุดในชีวิตฉัน ฉันไม่อยากให้เธอเจ็บ ฉันอยากให้เธอมีความสุข
ฉันอยากให้เธอมีชีวิตที่ดี เพราะแบบนั้น ไวโอเล็ต…เธอควรจะมีชีวิตต่อไปและเป็นอิสระ
เลิกเป็นทหารและมีชีวิตของเธอเอง เธอจะไม่เป็นไรหรอกถึงแม้ว่าจะไม่มีฉันอยู่แล้วก็ตาม
ไวโอเล็ต ฉันรักเธอ ได้โปรดมีชีวิตอยู่เถอะนะ”
“ฉันเริ่มที่จะ...เข้าใจมันแล้วค่ะ”
ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว
เสียงของเธอก็อ่อนเปลี้ยราวกับมันกำลังร่วงโรย ภาพตรงหน้าของเธอก็พร่าเลือนเช่นกัน
น้ำตามากมายไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตอย่างต่อเนื่อง
ริมฝีปากที่เธอเคยเอ่ยว่าเธอไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นกำลังพูดประโยคที่ต่างไปจากเดิมออกมา
“ฉันเริ่มเข้าใจ...คำว่า ‘ฉันรักเธอ’...มากขึ้นทีละนิดแล้วเหมือนกันค่ะ”
เธอยังไม่เข้าใจหมดทุกอย่างก็จริง อย่างไรก็ตาม
นับจากนี้เธอก็ตั้งใจที่จะพยายามเข้าใจมัน โดยที่ไม่คิดจะปฏิเสธมันอีก
และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตั้งใจของเธอนั้นก็คือคำพูดที่กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียบอกว่ารักเธอ
หน้าอกของกิลเบิร์ตท่วมท้นและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในนั้น
ม่านน้ำตาบาง ๆ ในตาของเขานั้นเกิดจากความเศร้าโศกและความสุขใจ
"ไวโอเล็ต”
กิลเบิร์ตยื่นมือออกไป
แต่แล้วนิ้วที่ยื่นออกไปนั้นก็หยุดชะงัก
กลายเป็นว่าจู่ ๆ เขาก็กลัวที่จะสัมผัสเธอเสียอย่างนั้น –
ความกลัวบางอย่างที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลาได้รู้สึกถึงมันเลยสักนิดเพราะเขาต้องปกป้องเธอ
มันก็คือความรู้สึกที่เขาอยากกอดเธอมากเหลือเกินนั่นเอง
เธอจะยอมรับความรู้สึกของเขางั้นเหรอ?
ถึงเธอจะไม่ใช่เครื่องมือของกิลเบิร์ตแล้วก็จริง
แต่เธอก็ไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ อีกแล้วเหมือนกัน
เขาคงไม่สามารถสัมผัสได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน –
ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดในโลกนั้น – ได้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
และมันก็เป็นครั้งแรกที่กิลเบิร์ตได้รักใครสักคน
เมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจความซับซ้อนระหว่างคำว่ารักหรือถูกรักเลยด้วยซ้ำ
ภายใต้เสียงการสู้รบที่เหมาะกับพวกเขาทั้งสองคนนั้น
บางสิ่งบางอย่างก็ได้เริ่มขึ้น
กิลเบิร์ตชอบท่าทางที่กำลังร้องไห้ของเธอมากเสียจนแทบทนไม่ไหว
“ไวโอเล็ต ฉันอยากเช็ดน้ำตาให้เธอ”
เมื่อได้ยินคำขอร้องนั่น
ไวโอเล็ตก็ยิ่งซ่อนใบหน้าของเธอไว้หลังมือยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
แน่นอนว่าเธอไม่ชอบร้องไห้ ในความคิดของเธอนั้น
เธอกลัวว่าเธออาจจะถูกเกลียดโดยผู้ชายตรงหน้าเธอก็ได้ถ้าเธอร้องไห้แบบนี้
ถึงแม้ว่าความรักจะเป็นสิ่งที่อ่อนโยนและนุ่มนวล แต่มันก็เปราะบางมากเหลือเกิน
“ไวโอเล็ต
ให้ฉันเห็นหน้าของเธอเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเข้าใจแบบไหน
แต่ความรู้สึกของฉันก็จะไม่เปลี่ยนไปหรอกนะ” เมื่อเธอไม่ยอมมองหน้าเขาเสียที
กิลเบิร์ตก็พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย “เห็นไหม
ฉันก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน”
ความจริงเขาได้ร้องไห้ไปแล้วต่างหาก
เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว และไม่มีอะไรหยุดมันได้เช่นกัน
น้ำตาได้เอ่อล้นและร่วงหล่นลงไป เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ
ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดมันได้
“ไวโอเล็ต”
ไวโอเล็ตตัวสั่นเมื่อเธอถูกเรียกชื่อ
– โดยเขา
“ทีละเล็กทีละน้อยก็ได้
ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอ...พยายาม...ที่จะเข้าใจมันน่ะนะ นานแค่ไหนฉันก็จะรอทั้งนั้น
ฉันจะไม่...พยายามรู้คำตอบของเธอในทันทีหรอก จนกว่าเธอจะพูดว่า ‘เข้าใจ’…นานแค่ไหนฉันก็จะรอ...รอเพื่อเธอเท่านั้น
แต่วันนี้ ถึงฉันจะอยากพูดว่า ‘ฉันรักเธอ’ อีกครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากได้คำตอบอะไรจากเธอหรอกนะ”
น้ำตาของเขาเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉัน...จะไม่ขโมยอะไรมาจากเธออีกแล้ว
และฉันก็ไม่หวังที่จะทำอะไรไปมากกว่าการให้เธออีก แต่ถ้าวันหนึ่ง เธอคิดว่าเธอ ‘เข้าใจ’ แล้ว
ฉันอยากให้เธอตอบรับความรักของฉันไวโอเล็ต” ชายหนุ่มเอ่ยกับหญิงสาวที่กำลังสะอึกสะอื้น
และพยายามที่จะเช็ดน้ำตาด้วยแขนเทียมของเธอ “ฉันรักเธอ
ให้ฉันเช็ดน้ำตาให้เธอเถอะนะ”
คนที่อยู่ด้านหลังข้อมือที่เขาจับและดึงมันออกไปนั้นไม่ใช่ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่แสนเงียบขรึมและไร้อารมณ์
แต่เป็นมนุษย์ที่กำลังร้องไห้ด้วยความสุขและความกลัวจากการได้รับความรักจากใครบางคนเป็นครั้งแรก
กิลเบิร์ตโอบกอดไวโอเล็ตที่กำลังร้องไห้และตัวสั่นไว้หลังจากที่ลูบแก้มของเธออย่างช้า ๆ
“ฉันอยากทำแบบนี้มาตลอดเลย” เขาเอ่ยกระซิบพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นยิ่งกว่าเดิม
“ไวโอเล็ต
ฉันรักเธอ”
‘ออโต้เมมโมรี่ดอลล์
(Auto-Memories Doll)’ ผ่านมานานมากแล้วที่ชื่อนี้ก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น
ผู้ที่สร้างสิ่งนี้เป็นนักค้นคว้าเกี่ยวกับตุ๊กตากล
เขามีนามว่าศาสตราจารย์ออร์แลนด์ ส่วนภรรยาของเขา มอลลี่
เธอเป็นนักประพันธ์นิยาย
เรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นหลังจากที่เธอได้สูญเสียการมองเห็นไป
และเมื่อเธอได้กลายเป็นหญิงตาบอด
มอลลี่จมจ่อมอยู่กับความเศร้าที่เธอไม่สามารถที่จะเขียนนิยายได้อีกต่อไปแล้ว
มันเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเธอมาก และมันก็ทำให้เธออ่อนแอลงทุกวัน
และในที่สุดเขาก็ทนเห็นภรรยาของเขาเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหว
ศาสตราจารย์ออร์แลนด์ได้สร้างออโต้เมมโมรี่ดอลล์ตัวแรกขึ้นมา
มันสามารถทำงานได้โดยการออกคำสั่งด้วยเสียงของผู้ใช้งานมัน
เช่นเดียวกับการถอดคำพูดจากเสียงของมนุษย์ –– หรือในอีกความหมายหนึ่ง
มันเป็นเครื่องจักรสำหรับพวก ‘รับจ้างเขียน (Ghost
Writing)’ นั่นเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อภรรยาผู้เป็นที่รักของเขา
แต่หลังจากนั้นมันก็เป็นที่รู้จักและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย
เมื่อไม่นานมานี้ ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ถูกขายในราคาที่สมเหตุสมผล
และถูกจัดให้อยู่ในประเภทที่ใช้ในการเช่าหรือได้รับการว่าจ้างอีกด้วย
ผู้ที่ทำงานเป็นผู้รับจ้างเขียนจัดหมายทั่วทุกมุมโลกนั้นมักจะถูกเรียกว่า
‘ออโต้เมมโมรี่ดอลล์’
มันเป็นอาชีพที่ผู้คนมากมายนับถือกันมานับแต่อดีตกาล
ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับออโต้เมมโมรี่ดอลล์
มีออโต้เมมโมรี่ดอลล์อยู่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
เธอมีเสียงหวานที่ไพเราะเสนาะหูและเข้ากับหน้าตาอันงดงามของเธอ
เธอเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่มีเรือนผมสีทองและตาสีฟ้า
เธอทำงานอยู่ที่บริษัทบริการไปรษณีย์ซีเอชจากประเทศที่ยิ่งใหญ่ทางตอนใต้
นั่นก็คือไลเดนชาฟต์ลิช มันเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง
และได้รับรางวัลจากกระทรวงทหารบกสำหรับความร่วมมือในการแก้ไขเหตุการณ์การจี้รถไฟ ใบหน้าของประธานบริษัทหนุ่มแห่งบริษัทไปรษณีย์ซีเอชได้ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่เขาได้นำเสบียงไปยังที่เกิดเหตุ ภาพของบุรุษไปรษณีย์ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสาร และภาพของคนที่มีผมสีบรูเน็ตที่มีความงามอันน่าประทับใจที่คร่ำครวญขณะกอดผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและห่มพวกเขาด้วยผ้าห่ม
มีรูปของบริษัทปรากฏอยู่หลายรูป
แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความมีชื่อเสียงของเธอแต่อย่างใด
ต้องบอกว่าที่บริษัทเป็นที่รู้จักก็เพราะว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามากกว่า
สแตมป์ที่มีชื่อของเธอที่ถูกตั้งตามเทพีดอกไม้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดจากสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทไปรษณีย์ซีเอช
ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของเธอถูกเผยแพร่ออกไปจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง และไม่รู้เลยว่าข่าวลือนั่นจะเงียบลงเมื่อไหร่
แล้วเธอเป็นคนแบบไหนกันล่ะ? ความประทับใจจากผู้ที่เคยได้พบเธอจริง ๆ นั้นมีอยู่มากมาย
บางคนบอกว่าเสียงของเธอนั้นน่ารื่นรมย์มาก บางคนบอกว่าลายมือของเธอสวย บางคนบอกว่าหัวใจของพวกเขาถูกช่วยเยียวยาโดยเธอ
และบางคนก็ยกย่องความงามของเธอด้วยการกล่าวอ้างว่าพวกเขาถูกเธอทำเสน่ห์ใส่
คุณสนใจที่จะขอใช้บริการจากเธอหรือไม่?
เราจะบอกวิธีจ้างเธอเอง ถ้าคุณอยากจะเจอเธอล่ะก็ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือโทรหาบริษัทเธอเลย
หากคุณหาบริษัทไปรษณีย์ในสมุดโทรศัพท์ คุณต้องหาคนที่ชื่อว่า ‘ฮอดกินส์’ และคุณจะหาเจอแน่นอน และเป็นไปได้ว่า
หญิงสาวคนหนึ่งที่ยังมีน้ำเสียงที่ยังเด็กและดูฉลาดเฉลียวจะตอบรับความต้องการของคุณผ่านโทรศัพท์ทันที
เมื่อคุณถูกถามว่าคุณต้องการออโต้เมมโมรี่ดอลล์คนไหนเป็นพิเศษหรือไม่
ให้บอกชื่อของเธอได้เลย คุณอาจจะถูกลงชื่อในรายการจองก่อน
แต่ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยจะถูกส่งไปให้คุณในอนาคตอย่างแน่นอน
ตราบใดที่ยังมีลูกค้าที่ยังปรารถนาให้เขียนจดหมาย เธอก็จะปรากฏตัวในทุกที่ที่พวกเขาต้องการ
“ฉันจะเดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่ลูกค้าต้องการ
ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนค่ะ”
เธอเป็นผู้หญิงที่แปลกประหลาดอยู่สักเล็กน้อย
30ความคิดเห็น