ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยุทธการสะท้านโลก

    ลำดับตอนที่ #9 : วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้รับการขนานนามว่า "จอมมาร ยุคใหม่"

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 57


    "ถ้าความรุนแรงยังแก้ปัญหาไม่ได้ แปลว่าคุณยังใช้มันไม่มากพอ"

    วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้รับการขนานนามว่า "จอมมาร ยุคใหม่"






    ย้อนกลับไปในปี 1987 สหภาพโซเวียตมีเลขาธิการพรรคคนใหม่(เทียบเท่าผู้นำสหภาพโซเวียต) ชื่อว่า " มิฮาอิล กอบาชอฟ"




    กอลบาชอฟ เล็งเห็นว่า นโยบายแบบเดิมของสหภาพโซเวียตนั้นทำให้ สหภาพตกต่ำ การทหารก็เน้นหนักมากเกินไป ทำให้รัฐต้องแบกภาระหลังแอ่นจากการที่ต้องเข้าไปหนุน รัฐบริวารทางด้านการทหาร เศรษฐกิจอยู่ในมือของรัฐจนหมดสิ้น ทำให้จะทำการอะไรก็ชักช้า ทำให้สู้ประทเศทุนนิยม อย่างสหรัฐอเมริกาไม่ได้

     

    เมื่อเริ่มสมัย กอลบาชอฟ จึงเริ่มวางนโยบายลดความตึงเครียด ระหว่างสองขั้วลง โดยเริ่มจาการลดความสนับสนุนทางด้านการทหาร ให้กับรัฐบริวาร ลดงบประมาณทางด้านทหารลง เป็นการปฏิรูปจากหน้ามือเป้นหลังมือ ที่ไม่เคยมีผู้นำโซเวียต คนไหนทำมาก่อน ในปลายสมัยได้ออกยาแรง ที่ชื่อว่านโยบาย เปเรสทรอยก้า และ กลาสนอสต์ เพื่อการะตุ้นเศรษฐกิจ

     

    เปเรสทรอยก้า คือ การปฏิรูปโครงสร้างภายในให้ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าๆ เอาคนที่เฉื่อยแฉะออกไป เอาคนรุ่นใหม่ เข้ามาทำงาน

     

    กลาสนอสต์ คือ นโยบายเปิดกว้างทางความคิด ให้ประชาชนมี่เสรีภาพมากขึ้น

    ซึ่งแม้ฉาก ภายนอกจะดูดี แต่ความเป็นจริงแล้ว เบื้องลึกมันคือหายนะ

     

    นโยบาย ลดการงบทางด้านการทหารทำให้ ขุนศึกลดอำนาจลง ทำให้ใครที่ยังอยากมี ประมาณ อยากมีอำนาจต้องเข้าหากอลบาชอฟ

     

    เปเรสทรอยก้า เบื้องหลังแล้วก็คือนโยบายการสับเปลี่ยนให้คนของกอลบาชอฟ เข้าไปแทนที่โดย ที่ใครก็ขัดขวางไม่ได้

     

    กลาสนอสต์ การเปิดกว้างทางความคิดทำให้ ประชาชนมีเสรีภาพมากขึ้น สามารถคานกับกำลังกับขุนศึกที่หิวโหย กอลบาชอฟเชื่อว่า ประชาชน จะเลือกขนมปังมากว่าลูกปืน เมื่อเปิดโอกาสให้พูดประชาชนจะอยู่ข้างตน และเมื่อประชาชนอยู่ข้างตน ขุนศึกที่เสียประโยชน์จะทำอะไรไม่ถนัด

     

     

    แต่ทว่ากอฟบาชอฟคิดผิด

    นโยบายนี้สายเกินแก้ โดยเฉพาะการตกต่ำของเศรษฐกิจที่ทรุดหนักทับถมมานาน การให้เสรีภาพแก่ประชาชนทำให้เกิดการแสดงออกมากขึ้น เกิดการเดินขบวนและนัดหยุดงานกันขึ้น อาณานิคมต่างๆ พอได้รับเสรีภาพก็เกิดการเรียกร้องเอกราช ต้องการแยกตัวไปปกครองตนเองมากขึ้น ฝ่ายต่อต้านนโยบายปฏิรูปของกอร์บาชอฟก็มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยมที่ต้องการให้สหภาพโซเวียตกลับคืนไปสู่การปกครองแบบหลังม่านเหล็กอย่างเดิม

     

    นโยบายของกอลบาชอฟ ทำให้ ระบบเส้นสายเป็นที่เฟื่องฟู ใครอยากได้อะไรต้องไปหา เส้นสาย ใครอยากสิ่งใด ต้องรู้จักใครสักคน ระบบนี้ได้ให้กำเนิดกลุ่มคนที่รู้จักกันในภายหลังว่า the family

     

    ในที่สุดก็เกิด รปห.โดยพวกอนุรักษ์นิยม และในตอนนั้นเอง กอลบาชอฟคิดถูก ประชาชน จะเลือกขนมปังมากว่าลูกปืน แต่ทว่า คนที่ประชาชนเข้าข้างไม่ใช่ตน

     

    แต่กลับกลายเป็นมือที่สามที่ชื่อ ว่า บอริส เยลซิน




    เยลซิน ได้เป็นแกนนำรวบรวมประชาชน ขัดขวางรปห. เอาไว้ได้ ทำให้รปห.ครั้งนั้นเป็นหมัน แต่ทว่าถึงแม้ จะหยุดไว้ได้ อำนาจก็ไม่อยู่ในมือของกอลบาชอฟ แม้ว่าจะมีความพยายามจะกลับมาคืนสู่อำนาจอีกครั้งแต่ทว่า อาวุธที่กอลบาชอฟ หมายมั้นปั้นมือจะเอาไว้สู้กับบรรดาขุนศึก ก็คือประชาชน บัดนี้ไม่ได้อยู่ข้างเขาอีกต่อไปแล้ว ประชาชนนิยม ในตัวเยลซินมากกว่า 





    รูปผู้มาชุมนุม ที่ออกมาสนับสนุนเยลซิน

     

    เยลซินจึงขึ้นสู่ ตำแหน่งประธานาธิบดี ดีด กอฟบาชอฟ ให้ตกกระป๋องไป

    และ เยลซินก็ได้ นำรัสเซียลาออกจากสหภาพโซเวียต และแล้ว หนึ่งในจักรวรรดิยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็สิ้นสุดลง

     

    กอลบาชอฟ ได้จากไปแล้ว รัสเซีย ไม่ต้อง แบกภาระอะไร ประชาชนมีเสรี มันคือยุคทอง ประชาชนรัสเซียหลายคนคิดเช่นนั้น

    แต่ทว่า ทุกอย่างไม่ง่ายแบบนั้น

     

    เยลซินเริ่มต้นยุคใหม่ด้วย ขาย เยลซิน ผ่านร่างแผนเศรษฐกิจ รัสเซีย โดย ให้เอกชนเข้าจัดการทุกอย่างเองให้มากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่า ของทุกอย่างควรมีคนเป็นเจ้าของ ตรงข้ามกับ คอมมิวนิสต์ ที่รัฐบาล เป็นเจ้าของทุกอย่าง ทุกอย่างที่เคยเป้นของรัฐถูกแปรรูปไปอยู่ในมือของ กลุ่มคน กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิด

     

    มีคำกล่าวว่า ขณะที่โลกตะวันตกปกครองกันด้วย กฎหมายแต่รัสเซียในยุคของเยลซินนั้นปกครองกันด้วย ความเข้าใจ

     

    และด้วย ความเข้าใจเยลซินได้อนุญาตให้คนที่ใกล้ชิดกับเขาเข้ามาหาประโยชน์กับแผ่นดินรัสเซีย เพื่อสร้างฐานอิทธิพลให้คนเหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็สร้างอิทธิพลให้เยลซินไปด้วย คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า The Family หรือ ครอบครัวประกอบด้วยพวกนายทุน พวกพ้องบริวาร และญาติมิตรของเยลซินเอง ยิ่งคนเหล่านี้ใกล้ชิดเยลซินได้มากเท่าใดก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น

     

     




    The Family  คุ้นๆ คนกลางไหมครับ  ใช่แล้วเสี่ยหมีของเชลซีนั่นเอง

     

     เริ่ม ต้นยุคใหม่ที่ขมขื่น รัสเซียดูขาดแคลนทุกอย่างที่ควรจะมี สิ่งที่ควรเป็นของส่วนกลางกลับกลายเป็นอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น   ยุคของเยลซิน ครอบครัว” ได้แผ่ขยายอำนาจไปควบคุมองคาพยพต่างๆ ของรัสเซียเหมือนกับใยแมงมุม และแมงมุมที่ชักใยอยู่ตรงกลางนามว่า บอริส เบเรซอฟสกี







    บเรซอฟสกีเป็นชาวรัสเซียเชื้อสายยิว เกิดในครอบครัวช่างก่อสร้าง ฐานะธรรมดา รูปร่างภายนอกมิได้โสภานัก คือเป็นคนอ้วน เตี้ย หัวล้าน อย่างไรก็ตามหากใครได้คุยกับเขาสักเพียงเล็กน้อย และสัมผัสถึงความฉลาดเฉลียวของเขาจนลืมลักษณะภายนอกของเขาไปสิ้น

     

    ด้วยสติปัญญาเหนือล้ำกว่าคนอื่น เบเรซอฟสกีได้ร่ำเรียนจบดอกเตอร์ทางคณิตศาสตร์ ต่อมาเขาเข้าสู่วงการธุรกิจ และใช้เล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย และความกล้าได้กล้าเสียเข้าต่อสู้ในวงการทุนนิยมเกิดใหม่ของรัสเซีย มีข่าวลือว่าเขาเคยสังหารเพื่อร่วมงานเพื่อผลประโยชน์ ขณะเดียวกันก็เคยรอดพ้นจากการลอบฆ่าของศัตรูทางธุรกิจ

     

    เบเรซอฟสกีต่อสู้ในสมรภูมิธุรกิจอย่างโชกโชน และผ่านพ้นออกมาอย่างผู้ชนะ กลายเป็นมหาเศรษฐีในระยะเวลาอันสั้น แต่ความสนใจแท้จริงของเศรษฐีผู้นี้ก็หาใช่เรื่องเงินไม่

     

    ครั้งหนึ่งเบเรซอฟสกีเคยกล่าวชมเชยเพื่อนนักคณิตศาสตร์ของเขาว่าเป็นอัจฉริยะ มีคนบอกว่า ถ้าเพื่อนคนนั้นฉลาดจริงทำไมเขาไม่รวยอย่างคุณล่ะ?” เบเรซอฟสกีฟังดังนั้นก็ตอบกลับอย่างอารมณ์เสียว่า ความรวย? ผมจะบอกให้นะว่าการสร้างความร่ำรวยคืออะไร... มันเป็นแค่ทักษะประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง และเป็นทักษะง่ายๆ คนโง่ๆ ก็มีทักษะนี้ได้

     

    สำหรับเศรษฐีผู้นี้ ทักษะที่เหนือกว่าการสร้างความร่ำรวย คือ ความเข้าใจ

     

    ในตอนนั้นเขาสร้างความเข้าใจในรัฐบาลเยลซินอย่างทะลุปรุโปร่ง และมองเห็นลู่ทางที่จะได้อะไรหลายอย่างที่มีค่ากว่าเงินมาก

     

    เบเรซอฟสกีซื้อสถานีโทรทัศน์ใหญ่ของรัสเซียทำให้เขามีอำนาจสื่ออยู่ในมือ เขาหาเส้นสายเข้าไปสนิทกับเยลซิน และแสดงให้เยลซินเห็นว่าเขาสามารถสร้างความสำเร็จหลายอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ โดยการใช้สื่อสนับสนุนเยลซิน และชักชวนให้กลุ่มนักธุรกิจช่วยกันออกเงินสนับสนุนจนเป็นกำลังสำคัญในการทำให้เยลซินชนะการเลือกตั้งครั้งที่สอง ในลักษณะนี้เพียงชั่วเวลาไม่นานเบเรซอฟสกีก็ขึ้นเป็นคนสำคัญที่กุมอำนาจของ ครอบครัวไว้

     

     

    เมื่อเบเรซอฟสกีได้อำนาจมาเขาก็ให้พรรคพวกทำการทุจริตหลากหลายรูปแบบ กวาดซื้อรัฐวิสาหกิจ ไฟฟ้า ประปา น้ำมัน แร่ธาตุ วิทยุ โทรทัศน์ไว้ในราคาถูก ควบคุมบัญชาให้หน่วยงานเหล่านี้ทำงานไปเพื่อประโยชน์ของตน ดูดเอารายได้มหาศาลของประเทศเข้าสู่กระเป๋า

    รัสเซียที่เคยยิ่งใหญ่ บัดนี้ กลับกลายเป็นเสือลำบาก สมองไหลออกนอกประเทศ

     

    โสเภณีเกลื่อนเมือง มาเฟียครองประเทศ ทุกอย่างมองไม่เห็นความหวัง

     

    ยิ่ง ครอบครัวโกงกินมาก ประชาชนก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาในตัวเยลซิน (มีการประมาณกันว่าขณะพ้นตำแหน่งนั้นความนิยมของเยลซินตกต่ำไปอยู่ที่เพียง 2%)

    เยลซินแก้ปัญหาโดยการ โยนความผิดไปให้อดีต นายพลคนหนึ่งชื่อว่า เยฟเกนี พรีมาคอฟ โดยกล่าวหาว่า ทั้งหมดเป็นความผิดของหมอนี่คนเดียวเค้า ไม่เกี่ยวนะครับ





    **********

    เยฟเกนี พรีมาคอฟ

    *****

    นายเยฟเกนี พรีมาคอฟ จึงเปลี่ยนตัวเอง เป็นคู่แข่งทางการเมืองทันที และที่สำคัญประชาชนไม่น้อย ไม่เชื่อน้ำยา เยลซิน

    คู่แข่งทางการเมืองคนใหม่ชื่อนายเยฟเกนี พรีมาคอฟซึ่งมีหัวเอนเอียงไปทางคอมมิวนิสต์กลับจึงเจิดจ้าขึ้นมาทันที

     

    นายเยฟเกนี พรีมาคอฟ ก็ไม่ธรรมดามี เส้นสายโยงใย กับนายพลผู้ทรงอิทธิพล นามว่า Yury Skuratov ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามกับเยลซิน

     

     

    ประชาชน เอือมระอา คู่แข่งไม่ธรรมดา แถมมีเส้นสายระดับบิ๊ก กลุ่มของนายเยลซินเจอศัตรู ผู้จะมาโค่นบัลลังข์ แล้ว แต่แล้วจู่ๆ ก็มีภาพหลุดของ นายพลผู้ทรงอิทธิพล Yury Skuratov เล่นแซนวิชต์ กับโสเภณี ผู้เป็นแบ็คอัพให้กับ เยฟเกนี พรีมาคอฟ








    17/3/1999 Skuratov ถูกถ่ายวีดีโอ ขณะร่วมประเวณีกับ โสเภณี 2 คน และถูกบีบให้ลาออก ทั้งหมดนี้ เป็นฝีมือ ของ ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า

     

    วลาดิเมียร์ ปูติน

     

    เพื่อรักษาฐานอำนาจเอาไว้ ครอบครัวได้พยายามหาทายาททางการเมืองที่จะมาแทนเยลซินได้ ในเวลานั้นเองชื่อของหัวหน้า FSB “วลาดิเมียร์ ปูตินก็เริ่มโดดเด่นขึ้น

     

    มีข่าวลือว่าปูตินทำเรื่องหลายประการในการขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยนอกจากแบล็คเมล์เยลซินให้ยกตำแหน่งทายาทแลกกับการลงจากตำแหน่งอย่างปลอดภัยแล้ว เขายังไปเยี่ยมคารวะเบเรซอฟสกีหลายครั้ง เพื่อโน้มน้าวให้เชื่อว่าเขาเป็นเพียงหมาล่าเนื้อเชื่องๆ ที่พร้อมจะอยู่ใต้อำนาจ

     

    เบเรซอฟสกีเห็นว่าปูตินยังหนุ่ม เล่ห์กลใดๆ คงห่างชั้นกับเขานัก น่าจะสามารถควบคุมได้ง่าย จึงให้การสนับสนุนปูตินในการเลือกตั้งปี 1999 โดยใช้สื่อใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายพรีมาคอฟ และเชิดชูปูตินจนสามารถชนะการเลือกตั้ง

     

    ครั้นส่งปูตินขึ้นสู่บัลลังก์สำเร็จ เบเรซอฟสกีก็วางใจว่าเด็กของเขาได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ต่อไปเขาจะต้องมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นอีก และมีความสบายมากขึ้น

     

    ...อนิจจา นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์...

     

    เมื่อปูตินขึ้นมาสู่อำนาจเขาได้ผลักดันคนสองกลุ่มขึ้นมาเป็นแขนขาของตน

     

    หนึ่งคือกลุ่มปัญญาชนเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประกอบด้วยนักกฎหมาย และนักเศรษฐศาสตร์ที่มากความสามารถจากเมืองบ้านเกิดของปูติน คนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น ฝ่ายบุ๋นหลัก โดยนักกฎหมายดูแลการร่างกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาด และความมั่นคงทางการเมือง ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ดูแลการปฏิรูปเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็ง

     

    และอีกส่วนหนึ่ง

    สองคือกลุ่มนักการเมืองซึ่งมีพื้นเพเป็นคนในเครื่องแบบ เรียกว่าพวก สิโลวิกหลักๆ คือพวกสายลับ FSB ซึ่งปูตินเคยเป็นหัวหน้านั่นเอง ประธานาธิบดีใหม่ใช้คนเหล่านี้เป็น ฝ่ายบู๊

     

    พวกเขามีหน้าที่โดยตรงที่จะทำเรื่องสกปรกไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เช่น การทำจารกรรม ข่มขู่ ลักพา หรือฆ่าคน พวกเขาถูกยึดเหนี่ยวโดย ธรรมะเพียงหนึ่ง คือการกระทำทั้งหมดนี้ต้องมุ่งสู่ผลประโยชน์ของรัสเซียเป็นสำคัญ ภายใต้ยุคของปูติน หน่วยสายลับเหล่านี้จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น และสร้างเรื่องชั่วช้าอีกมากมาย เพื่อชาติ

     

    สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้นปูตินเขียนวิทยานิพนธ์ชื่อ การวางแผนกลยุทธ์เรื่องทรัพยากรภูมิภาคภายใต้การก่อตัวของตลาดสัมพันธ์เนื้อหาของวิทยานิพนธ์นี้สรุปง่ายๆ มาจากวิสัยทัศน์ของปูตินที่ว่า วิธีที่จะทำให้รัสเซียกลับเป็นมหาอำนาจได้อีกครั้ง คือ การควบคุมการส่งออกน้ำมันสู่ทวีปยุโรป

     

    ความที่ประเทศรัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่มีน้ำมันมาก เทียบกับประเทศในยุโรปที่มีอาณาเขตเล็ก ไม่มีน้ำมันแต่มีความต้องการใช้น้ำมันมหาศาล หากรัสเซียทำให้ยุโรปต้องพึ่งพาน้ำมันจากตน จะมีข้อต่อรองเพิ่มขึ้นมากมายบนเวทีโลก

     

    เพื่อการดังกล่าวปูตินได้วางแผนเข้าแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่มีชัยภูมิเหมาะเป็นที่วางท่อส่งน้ำมันจากรัสเซียไปยุโรป พร้อมทั้งยับยั้งการสร้างท่อน้ำมันในประเทศนอกอิทธิพลรัสเซีย

     

    3สัปดาห์หลัง ปูตินรับตำแหน่ง

     

    ดาเกสถานถูกโจมตี แต่ทว่าประชาชนร่วมมือกันถ่วงเวลาผู้บุกรุกเอาไว้ จนทหารรัสเซียมาช่วย มีการระเบิด อาพาร์ทเมนต์ใน มอสโควหลายที่ คนตายไป 300 คน จับผู้ต้องสงสัยเป็น พวก เชเชน ได้ 2 คน ทาง N-TB โทรทัศน์ของ B.Berezovsky แพร่ภาพว่า 2 คนที่ถูกจับเป็นอดีต ทหารเชชเนีย

     

     

    ความวุ่นวายเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อการวางท่อน้ำมัน ของรัสเซียเป็นอย่างมาก

     

    ปูตินจึงประกาศสงครามกับเชชเนีย!!

     

    นี่คือการพูด ออก TV ครั้งแรกของปูติน .."ไอ้คนที่ทำแบบนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าคน มันเป็นแค่พวกสัตว์ป่าบ้าเลือด เราจะตามล่าพวกมัน ไม่ว่ามันจะอยู่ ตลาด สนามบิน หรือบ้านเน่าๆของมัน!! "

     

    และโลก ก็ได้เห็น ประธานาธิบดีรัสเซีย นั่งเครื่องบิน รบ ไปสั่งการที่แนวหน้าด้วยตัวเอง !!







    ใน 2000 ปูตินอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็ต้อง เลือกตั้งใหม่ โดยคู่แข่งเป็นพวกคอมมิวนิสต์เหมือนเดิม แม้ปูตินจะได้คะแนนเสียงจากพวก family หนุนหลังและ การถล่ม เชชเนียจนราบ แต่รัสเซียตอนนั้น ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองเข้าสู่ กลียุค คนรัสเซียต้องการ ความภาคภูมิใจในอดีตกลับมา พวกเขาโหยหาคอมมิวนิสต์ ปูตินชนะเลือกตั้งด้วยคะแนน 52% เขาได้เวลาพิสูจน์ด้วยเองแล้ว..

     

    ปูตินทราบดีว่าประชาชนที่บอบช้ำจากการโกงกินของรัฐบาลในยุคก่อน จำเป็นต้องได้รับพลังใจ และทุนทรัพย์ในการยืนหยัดกลับมาอีกครั้ง

     

    เขาพัฒนาพื้นฐานสังคมให้เข้มแข็ง โดยปฏิรูประบบการศึกษา และสาธารณสุขให้มีความทันสมัย นอกจากนั้นยังมีนโยบายลดภาษี ทั้งภาษีส่วนบุคคล ภาษีบริษัท ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มีการประมาณกันว่าประชาชนรัสเซียภายใต้ยุคปูตินนั้นมีภาระด้านภาษีโดยรวมต่ำกว่าประชาชนแทบทั้งหมดในทวีปยุโรป

     

    นโยบายนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูง ประชาชนมีกำลังในการสร้างเนื้อสร้างตัว ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อภาษีต่ำคนก็ไม่พยายามหนีภาษี ของอะไรที่เคยอยู่นอกกฎหมายก็กลายเป็นของที่รัฐควบคุมได้ ทำให้ในที่สุดรัฐสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นอีกเสียอีก

     

    นอกจากนี้ ปูตินยังเห็นว่ากลุ่มเด็กวัยรุ่นนั้นขาดความภาคภูมิใจในประเทศตนเอง เพราะเติบโตมาในยุคที่โซเวียตล่มสลาย และรัสเซียกำลังอ่อนแอ เขาจึงสนับสนุนให้มีกลุ่มพลังวัยรุ่นชื่อ นาชิ” (แปลพวกเรา) ให้ออกเดินขบวนแสดงพลัง และบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม

     

    เขาบอกพวกวัยรุ่นว่า จงภูมิใจในรัสเซีย” “พวกเธอเป็นลูกหลานของประเทศที่เคยเข้มแข็งที่สุดในโลก” “เราจะต้องทำให้รัสเซียให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งปรากฏว่าแคมเปญนาชินี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงไม่นานก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมาเข้าร่วมเพิ่มจากจำนวนไม่กี่หมื่น เป็นหลายแสนคน ประชาชนรัสเซียมีความภาคภูมิใจในชาติของตนเอง กลายเป็นแรงหลักในการขับเคลื่อนประเทศ




    GDP สมัยปูติน

    *********

    และปูตินเริ่มต้นด้วยการจัดการ กับเห็บร้ายที่กัดกิน ประเทศมานาน กลุ่ม the fammily

     

    ตอนแรกพวก family มอง ปูติน เป็นแค่ เด็กในcontrol ต่อมาพวกเขาต้องคิดใหม่...
    เมื่อเด็กในคาถา เดินเข้ามาบอกตรงๆว่า อะไรที่โกงชาติ  ก็เอาคืนมาซะ

     

    ตอนแรกพวก ครอบครัวเห็นเด็กในสังกัดมาบอกแบบนี้ก็โมโห พากันต่อต้านว่า ตามกฎหมายขายแล้วจะให้คืนไม่ได้!” “ถ้าเอาไปแล้ว จะเอารายได้จากไหนมาสนับสนุนตอนแกเลือกตั้ง!” “เป็นแค่หน้าฉากอย่ามาทำกระด้างกระเดื่อง!

     

    เบเรซอฟสกียังให้สื่อมวลชนต่างๆ ออกข่าวโจมตีปูติน เป็นสัญญานว่าถ้าปูตินซ่าส์มาก เขาก็พร้อมจะถอดออก แล้วหาคนอื่นมาเป็นประธานาธิบดีแทน

     

    จริงอยู่การเอารัฐวิสาหกิจคืนมา หากใช้วิธีตรงๆ ในทางกฎหมายคงทำได้ยาก ปูตินจึงใช้วิธีที่เรียบง่ายกว่านั้นมากเรียกว่า ใครไม่คืนก็ฆ่าซะ!

     

    เมื่อ เริ่มงาน ปูติน เรียก อดีตสายลับ KGB ที่สนิทกันหลายคนเข้ามาร่วมงาน ภารกิจแรกคือ ยึด Gazprom ที่เป็น บ.น้ำมัน คืน!! B.Berezovsky เจ้าพ่อสื่อ ออกมาโวยวายเพราะได้เงินอุดหนุนจาก gazprom เลยโดน ข้อหา ติดสินบนเจ้าหน้าที่และยัดคุก 14 ปี แต่หนีไปต่างประเทศ

     

    ไม่นานนัก เกิดวิกฤติเรือดำน้ำ kursk จม ซึ่งเทคโนโลยีเรือดำน้ำของรัสเซียถือว่าเป็นความลับสุดยอด แถมประเทศที่เสนอหน้ามาช่วย คือ "อเมริกา อังกฤษ สวีเดน" ซึ่งเป็น ศัตรูโดยตรงของรัสเซีย ทำให้ ปูตินเลือกปฏิเสธความช่วยเหลือ

     

    V.Gusinsky เจ้าพ่อสื่อ คนที่เหลือ ออกมาโจมตีปูตินอย่างหนักเรื่อง ไม่ยอมให้ต่างชาติ ช่วยลูกเรือ ทำให้คนรัสเซีย เป็นเดือดเป็นแค้นหนัก แล้ว V.Gusinsky ก็โดนข้อหา ติดสินบนเจ้าหน้าที่แล้วก็เผ่นออกนอกประเทศไปอีกคน..

     

    ด้วยความแค้นเคืองที่นึกไม่ถึงว่าปูตินจะกล้าเล่นงานเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เบเรซอฟสกี หนึ่งใน family ตัวเอ้ จึงปวารณาตัวเป็นศัตรู ใช้ลอนดอนเป็นฐานออกข่าวโจมตีปูติน ให้การสนับสนุนกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ต่อต้านปูติน

     

    แต่ทว่า

    ปรากฏอยู่ๆ เบเรซอฟสกีก็พบว่าตัวเองเกือบจะถูกฆ่าด้วยอาวุธเคมีที่จับมือใครดมไม่ได้ เขาหวาดกลัวมาก ต้องจ้างบอร์ดี้การ์ดชั้นหนึ่งให้มาคุ้มครองตน

     

    ...แต่บอร์ดี้การ์ดคุ้มครองเขาได้คนเดียว...

     

    ปรากฏญาติสนิทมิตรสหายของเบเรซอฟสกีถูกตามเก็บ เพื่อนคนหนึ่งของเขาชื่อ อเล็กซานเดอร์ ลิตวินเน็นโกถูกวางยาสังหารด้วยพิษกัมมันตภาพรังสีซึ่งคนธรรมดาหามาได้ยาก ทำให้เบเรซอฟสกีต้องหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก

     

    เบเรซอฟสกีอยู่อังกฤษนานเข้า เงินเริ่มหมด เห็นโรมัน อับราโมวิช อดีตสหายที่ร่วมโกงกันมากำลังบริหารทีมเชลซีก็นึกแค้น (ตอนที่กลุ่ม ครอบครัวถูกปราบ อับราโมวิชไหวตัวทันเข้าสวามิภักดิ์ปูติน และยอมขายหุ้นที่โกงมาคืนแก่รัฐบาลโดยดี ทำให้สามารถใช้ชีวิตเป็นสุขต่างจากคนอื่นๆ)

     

    อดีตผู้ชักใยประเทศจึงฟ้องอับราโมวิชว่าเคยบีบบังคับซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันจากเขาในราคาถูกเกินจริง พร้อมทั้งใช้เงินมากมายในการต่อสู้คดี

     

    ...ว่ากันว่าเบเรซอฟสกีใช้เงินในการดำเนินคดีครั้งนั้นเยอะมาก ผลสรุปคือเขาแพ้คดีโดยแทบสิ้นเนื้อประดาตัว...

     

    บั้นปลายนายทุนผู้นี้กลับกลายเป็นคนตกอับ มีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว ในที่สุดเขาถึงกับต้องเขียนจดหมายไปขอร้องให้ปูตินให้อภัยตน

     

    ...ซึ่งไม่ปรากฏว่าปูตินตอบกลับอย่างใด...

     

    มีนาคมปี 2013 ที่ผ่านมานี้ โลกได้เห็นเบเรซอฟสกีผูกคอตายในห้องน้ำ ปิดฉากชีวิตซึ่งเคยโลดแล่นผาดโผน สร้างอำนาจบงการประเทศทั้งประเทศ...

     

     





    แน่นอน ว่าทั้งการปราบปรามอย่างเด็ดขาดใช้ทั้งวิธีบนดินและใต้ดินเช่นนี้ย่อมมีเสียงต่อต้านจาก NGO ครั้นจะทำอะไรก็ติดชัดข้อกฏหมาย แต่ ปูตินแก้ปัญาด้วยการ   ปูตินตอบโต้กลับโดยการ  เปิดวีดีโอชิ้นหนึ่งต่อหน้าสื่อมวลชน  เป็นวิดีโอที่เป็นหลักฐานว่าNGO ที่ประท้วงรับเงินจากต่างชาติ ท้ายสุด กฏหมายควบคุมการเคลื่อนไหวของNGO ก็ผ่านร่างได้อย่างง่ายดาย

     



    วีดีโอFSB ที่แสดงให้เห็น กลุ่ม NGO ของรัสเซียรับเงินจากอังกฤษ


    ปูตินอาศัยการ นี้ออกกฎหมายควบคุมกิจกรรมของ NGO ซึ่งมีกว่า 20,000 องค์กรในรัสเซีย โดยอาศัยกรณี อังกฤษส่งเงินสนับสนุน NGO กลุ่มหนึ่งจำนวนมาก แม้อังกฤษจะออกมาเถียงว่าเงินนั้นส่งให้แบบถูกกฎหมาย แต่หน่วยงานความมั่นคงเห็นพ้องต้องกันว่า “NGO คือ รูปแบบการแทรกแซงอย่างหนึ่งจากต่างชาติ

     

     

    และแน่นอน ปูติน ไม่ได้ทำแค่นั้น

     

    แอนนา พูลิคอฟสคายาเป็นสื่อมวลชนที่โจมตีปูตินเรื่องความโหดร้ายในสงครามเชชเนียอย่างหนัก ในปี 2006 เธอถูกยิงตายโดยไม่มีใครทราบว่าผู้ใดเป้นผู้ลงมือ

     

    ปูติน เดินหน้าเซ็น สัญญา วางท่อก๊าซต่อที่ ประเทศ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส และตุรกีร์ เพื่อวางท่อผ่านไปยังยุโรปตอนใต้ ตอนนี้ยุโรปเกือบทั้งหมดพึ่งน้ำมันจากรัสเซีย!! และจะไม่มีประเทศในยุโรปไหนกล้าวิจารณ์รัสเซียในเรื่องสงครามเชชเนียอีกต่อไป!! นอกจากนี้ บริษัท.Gazprom ยังขยายธุรกิจไปการการลงทุนอีกหลายส่วน นอกจากน้ำมันไปทั่วโลกอีกด้วย

     




    ต้นทาง และข้อมูล

     

    http://2g.pantip.com/cafe/library/topic/K8463200/K8463200.html

    http://pantip.com/topic/31430751

    http://www.thaifighterclub.org/

    http://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=393

    http://en.wikipedia.org/wiki/Vladimir_Putin



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×