ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #84 : พื้นที่การขยายอำนาจของจ๊กก๊ก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 648
      5
      14 ก.พ. 57

    พื้นที่การขยายอำนาจของจ๊กก๊ก
    เมื่อมองดูแผนที่ในยุคในยุคสามก๊ก  ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ เพราะมันเป็นการวาดภาพแผนที่และแบ่งแยกเขตดินแดนลงบนแผนที่ปัจจุบันของประเทศจีน  ซึ่งนั่นมันผิดหลัก, เพราะมันเป็นไม่ใช่บริบทเดียวกัน  บางทีอาจจะเพราะคนจีนยังคงยึดติดกับแผนที่ในปัจจุบัน หรือตู่ว่าพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการบุกเบิกเป็นดินแดนของตนเอง  ในความเป็นจริงเรารู้ดีว่าในสมัยโบราณ เราไม่สามารถอ้างว่าพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการบุกเบิกนั้นเป็นพื้นที่ของเราได้  ฉะนั้นบริเวณพื้นที่เหล่านั้นเราจึงต้องถือว่าเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีใครเข้าครอบครอง
     
    ฉะนั้นในยุคโบราณ จึงมีดินแดนซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของและดินแดนที่เป็นอาณาเขตของเรา ถ้าเพื่อนๆ อยากทราบอาณาจักรที่แท้จริงของสามก๊ก ผมแนะนำให้เพื่อนๆ อ่านเรื่อง "จอมราชันย์อหังการ" เล่มประมาณสามสิบเป็นต้นไป จะมีเส้นทางการขยายอำนาจของสามก๊กในหน้าสุดท้ายของเล่ม
     
    ในการขยายอำนาจของอ้วนเสี้ยวและคนอื่นๆ นั้นมักยึดบริเวณภาคเหนือซึ่งเป็นเขตความเจริญของประเทศเอาไว้  เนื่องจากเป็นเขตเมืองหลวงและปริมณฑล  จะมีก็แต่บางกลุ่มเท่านั้นที่พยายามยึดดินแดนภาคใต้  แต่ก็จะเลือกบริเวณที่ติดแม่น้ำและทะเลเป็นหลัก  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเลี้ยงชีพของประชาชนและขยายดินแดนให้กว้างออกไปตามเส้นทางของสายน้ำและลำธานย่อยๆ  ฉะนั้น, ความแปลกประหลาดของแก๊งค์เล่าปี่คงจะเป็นการที่เขาเลือกที่จะยึดบริเวณมณฑลเสฉวนซึ่งไม่ได้ติดกับทะเล ไม่มีเส้นทางลงสู่ทะเล  และถูกล้อมรอบด้วยป่าเขา  พื้นที่ซึ่งเล่าปี่ครอบครองมีขนาดเพียงเพียงสี่จังหวัดเท่านั้น  ซึ่งถ้าเราไม่ยึดติดกับภาพแผนที่สามก๊กที่เราคุ้นตามากเกินไป  แต่พิจารณาจากสภาพความเป็นจริง เราจะพบว่า ดินแดนของเล่าปี่มีขนาดเล็กกว่าจังหวัดนครราชสีมาของเราด้วยซ้ำ  เพราะนอกนั้นคือพื้นที่ซึ่งไม่มีการบุกเบิกและไม่ได้ใช้ประโยชน์  เนื่องจากเป็นป่าดงดิบที่รกและเต็มไปด้วยโรคระบาด(หมายถึงยุง)
     
    ในครั้งแรก ผมกังขาเกี่ยวกับสติปัญญาของขงเบ้งซึ่งแนะนำสถานที่เช่นนั้นแก่เล่าปี่ในการสร้างเนื้อสร้างตัว  แต่เมื่อมองลึกลงไป มันไม่ใช่สติปัญญาของข่งเบ้งแต่เป็นสติปัญญาของเล่าปี่ต่างหากซึ่งฉลาดหลักแหลมเกินกว่าที่ผมจะคาดการได้  เพราะเหตุผลสำคัญที่โจโฉบุกโจมตีฮั่นจงไม่ใช่เพราะความต้องการรวมประเทศเพราะพื้นที่ตรงนั้นมีสถานเป็นรัฐกึ่งอิสระมาตั้งแต่สมัยโบราณ(โจโฉสามารถรวบรวมประเทศโดยไม่ต้องคิดถึงพื้นที่ตรงนั้นก็ได้) แต่เหตุผลของโจโฉคือการกำจัดเสี้ยนหนามต่างหาก เนื่องจากเล่าปี่คือหอกข้างแคร่ที่สำคัญที่สุดของโจโฉ  แต่หลังจากสงครามครั้งนี้  โจโฉก็ต้องยอมรับความจริงว่าฮั่นจงคือ "กระดูกไก่ที่กินต่อไม่ได้" เพราะมันเป็นพื้นที่ซึ่งรัฐไม่เคยสามารถดูแลได้อย่างแท้จริงแม้จะเขียนในประวัติศาสตร์ว่านั่นคือดินแดนของฮั่น
    ไม่ใช่ข่งเบ้งที่มองเห็นประเทศซึ่งแตกแยกเป็นสามส่วนเหมือนกระถามสามขาที่ค้ำจุนกัน  แต่เป็นเล่าปี่ซึ่งเมื่อสนทนากับขงเบ้งแล้วเริ่มมองเห็นลักษณะภูมิประเทศซึ่งเป็นเอกเทศออกจากฮั่นอย่างสิ้นเชิงของฮั่นจง ทั้งพื้นที่ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงเหมือนเป็นปราการธรรมชาติ ตลอดจนความจำเป็นของฮั่น ซึ่งสามารถพูดได้ว่า โจโฉไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพยายามรวมฮั่นจงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ เพราะมันเป็นกิ่งรัฐมาตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปี  ฉะนั้น, ถ้าเพียงแค่ข่งเบ้งดำเนินนโยบายตามความคิดของเล่าปี่ คือการดำเนินการทางการทูตที่ดีต่อวุ่ยและมีสัมพันธภาพทางการเมืองแนบชิดกับง่อ ทุกวันนี้มณฑลเสฉวนอาจจะยังคงเป็นรัฐอิสระก็เป็นได้
     
    ถ้าเราจะจดจำอีกเช่นกัน  หลังความพ่ายแพ้ของเล่าปี่ ง่อไม่มีความคิดที่จะหักจ๊กลงแม้แต่น้อย ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะต้องการให้จ๊กคานอำนาจกับวุ่ยแน่นอน เพราะสภาพของจ๊กอ่อนแอเกินกว่าจะคานอำนาจกับวุ่ยได้ ฉะนั้นเราอาจจะพูดได้ว่าแท้จริงแล้ว จ๊กไม่ใช่รัฐที่มีความสำคัญเช่นที่เราคิด ตรงกันข้าม การบุกทำลายจ๊กไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากภูมิประเทศไม่เอื้อต่อการพัฒนาหรือขยายดินแดน  พื้นที่ซึ่งพอจะสามารถขยายอำนาจไปได้มีเพียงมณฑลของพวกเบ้งเฮ็กทางใต้เท่านั้น เพราะดินแดนของจ๊กถูกปิดจากอีกสองรัฐที่เหลือโดยภูเขาที่ยาวเหยียด
     
    ฉะนั้น, เราอาจพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า หลังจากพยายามต่อสู้อย่างมากมายเพื่อยึดครองเมืองซักเมือง ในที่สุด เล่าปี่ก็สามารถที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ไม่จำเป็นต้องสามารถครอบครองประเทศทั้งประเทศ  ขอเพียงเขาสามารถเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินซึ่งเป็นของเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว" ส่วนประเทศของเขาจะต้องส่งบรรณาการให้กับประเทศที่ใหญ่กว่าหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายกษัตริย์องค์ต่อไป
     
    แต่ข่งเบ้งอาจไม่คิดเช่นนั้น ในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ไอดอลตัวจริงของข่งเบ้งก็คือโจโฉ, แต่โจโฉไม่ได้เป็นเพียงแค่แบบอย่างให้กับข่งเบ้งเท่านั้น, แต่ยังเป็นเป้าหมายซึ่งข่งเบ้งต้องการโค่นล้มให้ได้ด้วย  เพราะการที่ข่งเบ้งจะสามารถตายตาหลับเขาต้องการเหมือนโจโฉและกระโดดข้ามโจโฉไปให้ได้ ดูจากความกิจกรรมหลายต่อหลายอย่างของข่งเบ้งที่พยายามทำ และความมุ่งมั่นของข่งเบ้งที่จะรวมแผ่นดินและย้ายศูนย์กลางอำนาจทั้งหมดของตนไปอยู่ที่ภาคเหนือ  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นโยบายของเล่าปี่และพรรคพวกแต่เดิม  แต่หลังจากข่งเบ้งขึ้นกุมอำนาจในรัฐจ๊ก เขาก็พยายามที่จะดำเนินนโยบายแบบใหม่ และเพราะการบันทึกประวัติศาสตร์โดยการควบคุมของข่งเบ้ง ตลอดจนสิ่งที่เกิดหลังจากนั้น มันง่ายมากที่คนรุ่นหลังจะสรุปว่า ข่งเบ้งดำเนินนโยบายซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก  ทั้งที่ในความเป็นจริง, นโยบายแรกของจ๊กคือการแบ่งแยกดินแดนออกจากฮั่นโดยสมบูรณ์และขยายอำนาจออกไปโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับวุ่ยและง๊อซึ่งในอนาคตต้องถูกกลืนกินอย่างแน่นอน
     
    บางคนอาจแย้งว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เพราะการที่เล่าปี่ทำสงครามกับง่อหลังความตายของกวนอู น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันว่าเล่าปี่ต้องการรวมประเทศ แต่ถ้ามองในมุมกลับ เล่าปี่อาจต้องการแสดงศักยภาพทางกองทัพให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะหลังจากชนะไม่มีหลักฐานะอะไรว่าเล่าปี่จะล้มอำนาจของตระกูลซุนในง่อ แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นจริง เขาย่อมต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ใหญ่โตไม่แพ้กันอย่างกองทัพวุ่ย แต่เราก็อาจมองมุมกลับว่า หลังชัยชนะเหนือโจโฉ เล่าปี่อาจจะเปลี่ยนนโยบายในภายหลังนั่นเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×