ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love or Like, Never Mind จะรักไม่รักช่างเธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : รักแบบไม้บรรทัด และ วิทยาศาสตร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      21 พ.ค. 58

     

     

     

    รักแบบไม้บรรทัด และ วิทยาศาสตร์

     

     

    ผมจะจำไว้ว่ารักที่เอมี่ให้อยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง นั้นคือ กระแสนิยม กะอีแค่เครื่องซีดีพกพา ทำไมเธอถึงติดวิทอย่างงมงายขนาดนี้ ตอนนี้เอมี่และวิทได้ครองรักกันมาตั้งแต่สอบปลายภาคเทอมหนึ่ง ทำให้ปิดเทอมเล็กเป็นอะไรที่อึดอัดเสียจริง นอกจากเรื่องรักแล้ว ความรู้ไม่มีใหม่ การต้องนอนเปื่อยอยู่หอเพราะกลับบ้านไม่ได้ บ้านผมกำลังก่อสร้างใหม่ให้กลายเป็นร้านอาหาร ผมไม่อยากกลับไปแล้วนอนๆอยู่เสียงดังตูมตาม เคาะเหล็ก ผสมปูน แค่คิดก็นอนไม่หลับแล้ว

    ผมตื่นมากับความเบื่อหน่าย วิทไม่อยู่หอเพราะกลับบ้านต่างจังหวัด จักษ์ก็เช่นกัน ผมตัดสินใจลุกออกเตียงตอนสิบโมง เอ๊ะ ไม่ใช่สิ นาฬิกามันเจ๊งนี่หว่า ผมเหลือบไปดูนาฬิกาโทรศัพท์ อ้า ... บ่ายโมง เยี่ยมยอด ผมทำกิจวัตร อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวออกไปกินข้าวและหาซื้อถ่านก้อนมาใส่นาฬิกา ผมเดินไปกินข้าวที่ร้านประจำของผม

    “ป้าแหล่มสวัสดีครับ”

    “ว่าไงหนุ่ม เหมือนเดิมรึไง?” ป้าแกกำลังโบกตะหลิวอย่างสนุกสนาน

    “ครับ เหมือนเดิม แต่เพิ่มไข่เจียวไม่ตีไข่”

    “ไข่เจียวอะไรไม่ตีไข่?”

    “ไข่ดาวครับ ไข่ดาว” ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากโต๊ะข้างหลัง โอ้ คนนั้นคือมิ้นดาวคณะวิทยาศาสตร์นี่ เธอช่างสวย น่ารัก ขาวแบบหมวยๆ เขาอยู่กับเพื่อนสาวอีกคนนึง ได้การละ ผมจะได้หาเรื่องคุยกับเธอเสียหน่อยเป็นการดี จีบหญิงใหม่ ให้ลืมหญิงเก่า จะได้หายเศร้า และเขาคือมิ้น

    “มาแล้วๆ ของหนูผัดมาม่า และหนูหมูกระเทียม” ป้าแหล่มเดินไปเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะของมิ้น “ไอ้หนุ่ม รอสักครู่ จานต่อไปของเอ็ง”

    “เดี๋ยวนะ พอโต๊ะสาวสวยพูดเพราะเลยเชียว กับผมนี่ไอ้ๆเอ็งๆเลยหรอ ชักจะน้อยใจ ไม่กินแล้ว” ผมหยอดไปมุกนึงพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ผมแอบเหลือบมองไปซึ่งมิ้นก็กำลังมองมาที่ผมพอดี เหมือนรักแรกพบมีอยู่จริง

    “ขอโทษจ้า พ่อหนุ่มสุดหล่อของป้า” และป้าแกก็โบกตะหลิวต่อไป

    “อย่าลืมไข่เจียวไม่ตีไข่นะ”

    “ไข่ดาวใช่ไหม เอาให้แน่”

    “ครับผม ฮ่าๆๆ” หลังจากนั้น อาหารจารย์เด็ดของผม ข้าวผัดต้มยำรวมมิตรพิเศษใส่ไม่ยั้ง ก็มาอยู่ต่อหน้าผม ผมหิวมากจนผมสามารถล้มช้างล้างบ่อ ล่อสิงโต ผมก็กินได้ ต่อให้น้ำท่วมทุ่ง หมอกฟุ้งเขม่า พระเจ้าส่งนางฟ้าลงมา ผมก็จะกิน

    “นี่เธอชื่อเมธใช่หรือเปล่า” มิ้นเดินมาถามผมที่โต๊ะ

    “ใช่ครับ” ผมวางช้อนลง “แล้วนี่มิ้นใช่ไหมครับ”

    “อ๋อค่ะ รู้จักฉันด้วยหรอ” เธอทำหน้าเขินๆ

    “รู้จักสิครับ ดาวคณะที่ผมเชียร์ทำไมจะไม่รู้” ซะที่ไหน อ้างไปเรื่อย แต่ผมยังสงสัยว่าทำไมเธอถึงมาทักกันน้า “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

    “เราเจอกันครั้งนึงถ้าเธอจำได้นะ ตอนรับน้องมหาลัย เธออยู่คนละทีมกันแต่ฉันได้จับคือกับเธอตอนเล่นเกม” ผมระลึกชาติอยู่พีกใหญ่ แต่ผมก็จำไม่ได้

    “เราต้องขอโทษด้วยนะ คือจำไม่ได้จริงๆ แต่นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องเคยเจอกันใช่เปล่า เธอถึงมาหาถึงโต๊ะขนาดนี้” ผมยังคงนิสัยตรรกะของผมอยู่แบบนี้แหละ

    “ความจริงก็ไม่มีอะไรนะ” เธอแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “คือเราบอกเพื่อนว่าเรารู้จักเธอไง แต่เพื่อนมันไม่เชื่อ เราก็เลยมาหานี่แหละ ฮ่าๆๆ”

    “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เกือบนึกไปว่าเธอชอบเราเสียแล้ว “ถ้าอยากคุยต่อก็คุยผ่านไลน์ก็ได้นะ ตอนนี้แยกย้ายกันกินข้าวเถอะ ฮ่าๆ” การล่อลวงโดยคำพูดเป็นเรื่องที่ถนัดที่สุดของผม

    “แต่เราไม่มีไลน์เธอนะ บอกไว้ก่อน” พร้อมกับใบหน้าเขินๆของเธอ

    “เหมือนกันเลย” ผมยิ้มเล็กๆ “แล้วเราควรทำไงดีมิ้น”

    “หรือเรียก มิ้นดอทเอ็มเอ็ม ก็ได้นะ” เธอพูดแล้วเดินจากไป ผมนั่งให้ความเอ๋อรับประทานสักพัก จึงควักโทรศัพท์มาแล้วพิมในไลน์ Mint.mm และก็โป๊ะฉึกๆ ไลน์มิ้นดาววิทยาฯ มาแล้วครับ ตอนนี้ผมกินข้าวสบายท้องแล้ว ผมหันไปยิ้มให้เธอก่อนกินข้าวต่อ

    “แหม่ๆ กินข้าวอร่อยเชียวนะ” ป้าแหล่มแซวผม แล้วโบกตะหลิวต่อ

    “อร่อยมากเลยครับ” ผมยิ้มแล้วตักช้อนข้าวเข้าปาก แต่ผมเพิ่งนึกได้ว่า “ป้าแหล่มครับ”

    “ว่าไงสุดหล่อ”

    “ป้าครับ ... นี่มันไข่เจียว”

    แน่นอนครับ หลังจากนั้นผมก็กลับห้องหอของผม นอนเล่นอยู่สักพักเพื่อเรียกความกล้าที่จะเปิดประเด็นคุยกับมิ้น ผมนั่งคิดคำทักทายเท่ๆ น่ารักๆ เพราะคนทักก่อน คือคนเริ่มเกมแห่งความรัก คนรู้สึกมากกว่า แพ้!!

    “ทักครับ” ผมพูดกับตัวเองและเงีบยไปสักพัก “ทักกะผีเอ็งดิ เสี่ยวจริงๆเลย” ผมไม่รู้ว่าจะทักเธอว่าไงดี “หรือว่า หวัดดีสุดสวย ... โคตรม่อเลยครับ อ๋อๆ ... หรือว่าจะเอา Hello ... บ้านไม่ใช่ฝรั่งจะทักแบบนั้นทำไมนะ” แล้วผมก็นอนกลิ้งๆอยู่กับเตียงสักพัก

    ผมกำลังคิดว่าจะไม่ทักเธอไป ผมไม่อยากหลงไปกับความงามที่อาจจะทำร้ายผมโดยที่ความสวยของเธอนั้นเรียกผู้ชายอื่นมา แล้วเธอเจอคนที่ดีกว่าผม ผมก็คงจะรับประทานผลไม้ทีเรียกแห้วอย่างแน่นอน ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์จากวิทก็ดังขึ้น

    “โหลๆ ว่าไงๆ” ผมว่า

    “ไอ้เวรเมธ เอ็งจัด F คณิตศาสตร์ไปหนึ่งตัวว่ะ” เสียงวิทท่าทางจะไม่พอใจ

    “เดี๋ยวๆ นี่ เอ็งจะเศร้าแทนข้าหรือด่าว่ะเนี่ย”

    “เฮ้อ...เอาเถอะๆ ไปลงเรียนซ้ำเลยนะ บาย” แล้วเสียงมันก็หายไป ทิ้งผมไว้กับความเงียบและความสับสนว่า การลงเรียนใหม่ต้องทำยังไง แต่แล้วสักพักก็มีเสียงโทรศัพท์อีกสายนึง

    “โหล ไอ้เมธอ๋อ” เสียงจักษ์พูด

    “ไม่ใช่มั้ง แล้วเอ็งโทรมาเบอร์ใครละ”

    “เบอร์ใครว่ะ” มันเงียบวินาทีนึง “เบอร์เอ็งนั้นแหละ”

    “มีไร”

    “ติด F นะนาย ... ข้ารอดโว้ย” จักษ์พูดอย่างเยาะเย้ย

    “ขอบใจที่เตือน ไอ้วิทบอกแล้ว” แล้วผมก็นึกได้ว่าจักษ์มันคุยกับหญิงเยอะ เลยอยากจะถามเรื่องมิ้นเสียหน่อย “เออๆ เอ็งรู้จักมิ้นวิทยาฯรึเปล่าว่ะ”

    “มิ้นอ่อ ใช่ดาวป่าวว่ะ น่าจะๆ เอ้อๆ รู้สึกว่า มิ้นเรียนแมท 1 เหมือนเอ็งนั้นแหละ”

    “ใช่อ๋อ??” ผมตะลึง “เพราะว่าเมื่อกี้ ข้าไปกินข้าว มิ้นมาคุยกับข้าด้วยแหละ แถมบอกจำข้าได้แต่รับน้อง”

    “จริงจัง? ว้าว ... เมธมันร้าย” แล้วมันก็ส่งเสียงคิกคัก

    “แต่ว่าจะไม่คุยว่ะ ขี้เกียจคุยกับใครอื่นแล้ว ยังเจ็บอยู่”

    “เจ็บไรนักหนา ฮ่าๆๆ ... แต่เหมือนมิ้นจะมีคนชอบอยู่แล้วนะ คนที่มิ้นอยู่ในคณะเรานี่แหละ จำไม่ได้ว่าใคร”

    “เออๆ เอาเหอะ บาย” ผมตัดสายและนอนตายต่อ แต่แล้วก็มีเสียงไลน์เด้งมา เขียนว่า ทักๆจากมิ้นดอทเอ็มเอ็ม แหม่ ... อย่าดีกว่า จักษ์บอกแล้วว่ามิ้นมีคนชอบแล้ว ไม่เอาๆ ผมจึงไม่ตอบเขา

     

    วันต่อมา ผมจำเป็นต้องเข้ามหาลัย เพื่อนผมที่อยู่คณะเดียวกันแต่ผมไม่ค่อยได้เจอเขาเลย เหมือนจะไม่ค่อยได้มาเรียนหรือผมสายตาไม่ดี เขาบอกจะชวนผมไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ประเด็นหลักเลย ไอ้นี่ชื่อเคน หล่อ สูง คารมเป็นเลิศ แฟนเขาเป็นนางแบบ แต่ด้วยเคนเป็นคนรักเพื่อน เมื่อตัวเองมีอะไรก็อยากให้เพื่อนมีด้วย เพราะเหตุนั้นเคนจึงนัดผมเพื่อจะหาสาวให้ผม ซึ่งผมบอกเขาแล้วว่าไม่เอา

    “โย่เมธ” เขาทักผมทันทีที่เห็นผม “มาๆๆ” ผมเดินไปหาเขา เขายืนอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มผู้หญิงสามสี่คน น่าจะเป็นสาวที่มันนัดมา

    “ดีเพื่อน ไม่เจอนาน” ผมกอดทักทาย “เป็นไงบ้างๆ”

    “สบายๆ ไม่เดือดไม่ร้อน ฮ่าๆ รอด F ด้วยจะบอกให้” แล้วเขาก็พาผมเดินไปหากลุ่มผู้หญิงใกล้ๆ “นี่พวกเธอ” เคนบอกกลุ่มผู้หญิง “นี่เพื่อนเรา ชื่อเมธ อยู่วิศวะฯ”

    “หวัดดีๆ” ผู้หญิงผมสั้น หน้าออกทอมๆ แต่น่ารักพูดขึ้น

    พร้อมยิ้มที่น่าหลงไหล

    “สวัสดีจ้า” ผู้หญิงผมยาว ย้อมผมสีทองออกน้ำตาล พูดตามๆกัน

    “ไง” ผู้หญิงอีกคนน่ารัก ... เดี๋ยว นี่มันมิ้นดาววิทยาฯนี่นา

    “อ้าๆ เดี๋ยวแนะนำเพื่อนให้นะเมธ” เคนพูดแทรกขึ้นมา “คนแรกชื่อ...” ชื่ออะไรไม่รู้แหละ แต่ผมมองหน้ามิ้นอย่างเดียวเลย มิ้นก็ยิ้มๆให้ผมแบบน่ารักๆ ทำให้ผมอึ้งไปพักใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เรียกพรมลิขิตหรือชีวิตรักกำลังบังเกิดหรือเปล่า “... ส่วนคนนี้ชื่อมิ้น เห็นแบบนี้เป็นดาววิทยาฯเลยนา”

    “เคนรู้จักเมธด้วยหรอ” มิ้นถามเคน แต่ยังคงเหลือบสายตามาทางผม

    “อ้าว ทั้งสองคนรู้จักกันหรอ” เคนถาม

    “เออ อ้า ใช่ๆ เคยเจอกันมาก่อน” ผมพูด

    “ถ้างั้นไปกินข้าวกันเถอะ กินชาบูจิไหม? เฮ้ยเมธ ข้าเลี้ยงเอง ข้าจำได้ว่าติดตังค้าเบียร์อยู่ ไม่ลืม” จะลืมหรือไม่ช่าง ผมชักอยากจะคุยกับมิ้นแล้วสิ แต่ผมก็นึกถึงคำพูดของจักษ์ที่ว่ามิ้นชอบคนๆนึงในคณะวิศวะฯ ก็คงจะไม่พ้นไอ้เคนอย่างแน่นอน ผมจึงเลือกที่จะคุยกับสองคนนี้สักคนนึง ว่าแต่ชื่ออะไรนะ เคนมันแนะนำไปหรือยังหว่า ไม่เห็นจำได้

    เราไปกินชาบูจิกัน ผมอัดชูชิสียเต็มท้องเลย และตอนนี้ผมจำได้แล้วว่าผมสั้นชื่อแก้วและผมยาวชื่อคล้ายๆกัน ไม่ถ้วยก็จานนี่แหละ อ๊อๆ ชื่อฟ้า ใช่ๆ จำได้แล้ว

    “แล้วเมธ เอ็งจะไปไหนต่อ?” เคนเอ่ยขึ้น

    “น่าจะไปร้านกาแฟที่ซอย 5 ตรงข้ามมอเรา” ผมว่าจะไปหาพี่ต้อม เจ้าของร้านกาแฟ ‘Sleepless Café’ เปิด 24 ชั่วโมง แต่เขาจะอยู่เย็นๆถึงดึกๆแล้วค่อยกลับ ซึ่งตอนนี้จะสี่โมงแล้ว กำลังพอดี

    “อ๋อ งั้นเดี๋ยวเอ็งลงพร้อมมิ้นแล้วกัน หอมิ้นอยู่แถวๆนั้นพอดี” เคนว่างั้นผมก็ว่าตาม แต่ผมกลัวว่าเธอจะไม่ชอบใจ ถ้าเธอชอบเคนแล้วให้ผมไปส่งเธออย่างนี้ เอ๊ะ...หรือว่ามันจะเป็นแผนของเคน ตามน้ำไปละกัน

     

    ผมลงจากรถของเคนพร้อมกับมิ้น เราโบกมือบ๊ายบายและลาขาดกับแก้วและฟ้า ผมไม่เข้าใจพวกเธอ พวกเธอชอบพูดถึงหอตัวเองว่ารกอย่างนู่นอย่างนี่ ไม่มีคนเดินไปส่งบ้าง ไม่มีแฟนบ้าง ผมก็ทำได้แค่อ๋อๆ อืมๆ ผมไม่รู้ว่าพวกเธอต้องการอะไรจากผม ช่างน่ารำคาญเสียจริง

    “ร้านกาแฟที่เมธว่าอยู่ไหนหรอ” มิ้นถามผมขณะกำลังเดินไปซอย 5

    “ก็พอเข้าซอย 5 เธอก็จะเห็นร้านกาแฟร้านนึงที่มีสองชั้น ร้านแต่งแนววินเทจๆ เราชอบบรรยากาศร้านนั้นแหละ”

    “อ๋อๆ ฉันจำได้แล้ว คือฉันอยู่ซอยนั้นแหละ แต่ไม่เคยสังเกตเลย เธอรู้ละเอียตกว่าฉันอีกนะเนี่ย”

    “ไม่หรอก ฉันรู้จักร้านพี่ต้อมร้านเดียวเท่านั้นแหละ”

    “แล้วเธอรู้จักเจ้าของร้านได้ไง”

    “ก็เคยเจอที่ร้านสนุกเกอร์แหละ ไม่มีไรมากไปกว่านั้น มีร้านเหล้าร้านเบียร์สองสามครั้ง” และเราก็มาถึงร้านพี่ต้อม เธออยากเข้าไปชมบรรยากาศในร้าน ผมเลยเลี้ยงนมเย็นเธอแก้วนึงแล้วคุยเรื่องนู่นนี่ไปเรื่อน รอพี่ต้อม

     

    ตะวันลับขอบฟ้า ทุ่มกว่าพี่แกก็ยังไม่มา แต่ผมก็ยังคุยกับมิ้นอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน หมดนมเย็นไปสามแก้ว กาแฟแก้วนึง พี่แกหายไปไหนนะ

    “แล้วเธอรู้ไหม ฉันชอบพี่คนนั้นม้ากมากเลยแหละ” เธอกำลังพร่ำถึงพี่รหัสแสนเทพบุตรของเธออยู่ “แต่ไม่น่ามีแฟนแล้วเลยจริงๆ เสียดายเชียว”

    “อย่ามาพูดเลยมิ้น เธอน่าจะมีแฟนแล้วด้วยซ้ำไป น่ารักเสียขนาดนี้”

    “ขอบใจเมธ” เธอเงียบไปพักนึง “เธอว่าอากาศในร้านหนาวๆไหม”

    “ฉันก็ว่าเฉยๆนะ” ผมมองไปรอบ แล้วก็เหลือบไปเห็นรีโมทแอร์ ขึ้นอุณหภูมิว่า 25 องศา “นี่แค่ 25 องศาเองนะ”

    “มือฉันมันเย็นๆอะเมธ” เธอแบมือมาหาผม

    “เราก็เหมือนกัน” ความจริงไม่หรอก ผมเฉยๆ

    “เขาบอกว่าถ้ามือประกบกันจะอุ่นขึ้น”

    “ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เธอลองเอามือประกบกันซิ พอดีมือฉันมันไม่เย็นก็เลยไม่รู้จะลองไปทำไม” ผมเอามือสองข้างมาประกบกัน ซึ่งก็ไม่มีอะไร

    “เออเมธ ฉันว่าฉันจะกลับหอแล้วละ” เธอเริ่มหยิบของใกระเป๋าของเธอพร้อมกับสีหน้าที่เซ็งๆ เหมือนไม่ได้ดังใจ เป็นอะไรของเขานะ

    “เมธว่าจะกลับเหมือนกัน ดูเหมือนพี่แกจะไม่มาแล้วหละ”

    “หอฉันค่อนข้างอยู่ไกล ฉันไม่อยากกลับแบบเปลี่ยวๆ” เธอพูดขึ้นมาทำไมผมยังไม่รู้เลย มาบอกผมทำไมกันนะ

    “งั้นเรารีบไปดีกว่า” แต่และแล้วผมก็นึกถึง วิถีลูกผู้ชาย “ให้ฉันเดินไปส่งเธอนะ”

    “ดีจัง เธอน่ารักจังเลยเมธ” เธอทำผมเขินนิดหน่อย

    “จ้า ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”

    เราเดินออกจากร้านสักพักนึง ผมเริ่มคิดว่าเธออาจจะมีใจให้ผม เพราะเธอก้มหน้าก้มตาแล้วแอบมองผมอยู่บ่อยๆ ตามหลักแล้วนี่มันแอบชอบชัดๆ แต่มันขัดกับเรื่องที่จักษ์บอกว่า มิ้นมีคนชอบอยู่แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นเคนด้วย มีโอกาสค่อนข้างสูงที่เธอจะชอบเคน

    “เมธ” เธอพูดขึ้นมาขณะที่ผมคิดอะไรเพลินๆ “เธอลองขึ้นไปดูห้องฉันไหมหละ เผื่อเธออาจจะชอบหอนี่” เธอรู้ได้ไงว่าผมกำลังหาหอใหม่ ว้าว ... เป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก

    “ไปสิๆ หอเธออยู่อีกไกลไหมเอ่ย”

    “นั้นไง เธอเห็นตึกสวยๆข้างหน้าไหม” ผมมองไปก็เจออยู่ตึกเดียว ก็คือ Loft The Condo เป็นหอซะที่ไหน นี่มันคอนโดชัดๆ แต่ไม่แน่มันอาจจะมีให้เช่าก็ได้

    “อ๋อ ... สวยๆ น่าอยู่จัง เธอว่ามันจะมีให้เช่าไหม” ผมถาม

    “คงไม่มีมั้ง แต่เธอสามารถหารกับเราได้นะ ฮ่าๆ” แล้วเธอก็แอบยิ้มมุมปาก

    “ไม่หละ ขอบใจ” แล้วเราก็เดินเงียบๆไปถึงหน้าหอ

    “เมธ ตกลงเธออยากเข้าไปดูห้องไหม?”

    ผมอยากขึ้นไปนะ แต่ผมคิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้ดูกี่ห้องผมก็ไม่มีปัญญาซื้อหรือเช่าแน่ๆ ท่าจะแพงน่าดู

    “ไม่ดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้นะ” แล้วผมก็เดินจากไป

     

    ผมคุยไลน์กับมิ้นมาตลอดนับแต่นั้น นี่มันก็ใกล้จะเปิดเทอมสองแล้วด้วย ผมอยากจะหาสาวมาเป็นแฟนสักคนจัง ทำไมไม่มีคนถูกใจๆมาหาผมเลยนะ ผมละอึดอัดจริง ว่าแล้ววันนี้ชวนมิ้นไปดูหนังดีกว่า ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ลองชวนเธอดูไม่น่าเสียหาย ผมทักไลน์ไปแต่เธอไม่อ่าน ผมต้องการคำตอบของเธออย่างเร่งด่วน ผมจะได้วางแผนถูก เธอจะไปหรือไม่ ผมจะได้หาอะไรทำอย่างอื่น ผมได้เบอร์เธอมาหลังจากไปส่งเธอที่หอล่าสุดเมื่อสองวันที่แล้ว ผมว่าน่าจะโทรไปหาเธอดีกว่า เผื่อเธองีบอยู่หรือเปิดสั่นไว้ การโทรจะได้ส่งสัญญาณไปถึงเธอได้ ผมกดโทร

    “ฮาโหลๆ นี่มิ้นหรือเปล่า” ผมพูด

    “ช่าย นี่ครายพูด ฮาววว” เธอหาวใส่โทรศัพท์

    “นี่เมธเอง”

    “ว้าย!!” แล้วก็มีเสียงดัง ตุ๊บ ตั๊บ เหมือนเธอจะตกเตียง “โทษทีๆ พอดีเพิ่งตื่นแล้วตกใจนาฬิกาว่าตอนนี้บ่ายโมง แล้วๆๆ แล้วเมธโทรมามีอะไรหรอ” เธอพูดรัวๆยังกับร้องเพลงสากล

    “ว่าจะชวนไปดูหนัง ไปด้วยกันหรือเปล่า”

    “ไป” เพิ่งสิ้นเสียงผมเธอก็ตอบเสียแล้ว “เจอกันที่หน้าปากซอย 5 ละกัน” เธอว่า

    “โอเคๆ เจอกันจ้า”

    ผมขี่เจ้าลิงน้อยของผมพาเธอไปดูหนัง เธอบอกว่าอยากดูหนังเรื่อง Love is All around เป็นหนังดีมาก ผมเห็นคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังดีมาก ดูแล้วร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ใจจริงผมอยากดูเรื่อง The Hero หนังบู้ที่เข้าโรงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผมอยากดูจะตายชัก แต่ผมให้เกียรติผู้หญิงเลือก

    “เธอจะดูเรื่องนี้จริงๆหรอ” ผมถาม

    “ดูๆๆๆ อยากดูมากๆๆๆ” เธอตื่นเต้นและกระโดดเหมือนเด็กประถม

    “โอเคๆ ดูก็ดู” ผมเดินไปซื้อตั๋วหนัง ซื้อขนมขบเคี้ยวแล้วเราก็เข้าโรงไป

    “คนไม่เยอะเท่าไหร่เลยเนาะ” เธอว่า

    “ก็นี่มันบ่ายสาม แล้วก็วันทำงานอีก คิดหน่อยๆ”

    “ฮ่าๆๆ จริงด้วยๆ” เรานั่งดูตัวอย่างหนังไปสักพักนึง เธอก็เริ่มเอามือกอดอก ผมว่าเธอต้องไม่พอใจอะไรสักอย่างแน่ๆ “ฉันหนาวจัง”

    “หรอ” ผมลืมคิดไปได้ไงเนี่ย จากนั้นผมก็ถอดเสื้อแจ็คเก็ตของผมให้เธอ นี่ถ้าผมไม่ใส่มาเพราะต้องขี่มอไซค์มานะ เธอคงเยือกแข็งไปแล้ว “เอานี่ ใส่ซะนะ จะได้อุ่นๆ” เธอรับไปอย่างช้าๆ มือเราสัมผัสกันเบาๆ ผมเขินนิดหน่อยแต่ก็นะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

    หนังเริ่มฉาย เธอหยิบทิชชู่ขึ้นมาเหมือนจะเตรียมไว้สำหรับรองรับของเหลวที่จะไหลออกจากตา ผมละอยากรู้ว่าหนังมันเศร้าขนาดไหนเชียว วิจารณ์มาว่าดีอย่างนู่นอย่างนี้ ถ้าออกมาไม่ดีจะไปโบกเรียงตัวเลย

     

    กระดาษทิชชู่ไม่พอที่จะเช็ดน้ำตาของเราสองคน ผมเดินออกมาจากโรงพร้อมความสงสัย ทำไมนางเองถึงทำอย่างนี้ พระเอกยอมที่จะเลิกกับแฟนที่เอาแต่ใจมาหานางเอกแท้ๆ แต่กลับกลายเป็น นางเอกตายเสียงั้น คนเขียนบทมันต้องมีปัญหากับชีวิตรักมันแน่ๆ

    “ตาเธอแดงๆนะเมธ” เธอเดินกลับมาพร้อมทิชชู่ห่อใหม่

    “ทำไมนะมิ้น เนื้อเรื่องมันเศร้าเกินไป เมธว่านะ ชีวิตรักของคู่นี้มัน...”

    “ฉันว่าเราไปกินข้าวกัน หิวมากเลยเนี่ย” แล้วเธอก็กระโดดลั้ลล้าไปที่ร้านอาหาร ทิ้งผมให้เดินตามพร้อมกับทิชชู่ห่อนึง ซึ่งกำลังจะหมดอีกแล้ว

     

    ผมกลับมาส่งเธอที่หอ เธอถามผมว่าอยากจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม ผมไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะหน้าผมโทรมเสียยิ่งกว่าหมาที่โดนตัดหางปล่อยวัด พอมาถึงห้องของเธอ มันช่างหรูหรายิ่งนัก เปรียบเทียบกับห้องผมแล้วเหมือนกับกล่องใส่ขยะเลยทีเดียว

    “ห้องน้ำอยู่นั่น ประตูน้ำตาล” เธอชี้ไป ถอดรองเท้าไป

    “ห้อง ... สวยเนาะ” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เข้าห้องผู้หญิง กลิ่นช่างหอมเหมือนดมยาสระผมอยู่ตลอดเวลา มีอุปกรณ์สำหรับการแต่งหน้าเยอะพอกับผมมีขยะในห้องผม ห้องน้ำสะอาดเหมือนถูพื้นทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ

    “มีอะไรให้เช็ดหน้าไหม” ผมถามหลังจากล้างหน้าเสร็จ

    “นี่ๆ” เธอถือผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่ “มาๆเช็ดให้ๆ” ผมรับรู้ได้ถึงมืออันอ่อนโยนนุ่มนวลราวมือเด็กทะลุผ้ามาสู่หน้าผม

    “เราเช็ดเองได้นา...”

    “จะเช็ดเองทำไมเล่า ก็เช็ดให้อยู่เนี่ย” เธอพูดตัดบทผมทันที “ได้ข่าวว่าเรียนแมท 1 เหมือนกันหรอ” เธอถาม

    “ใช่ๆ รู้ได้ไงเนี่ย เคนบอก?” ถ้าไม่ใช่เคนจะเป็นใครละ

    “ใช่แล้ว ดีเลย ฉันจะได้มีเพื่อน” เธอว่า “แล้วเธอพอทำได้ไหมล่ะ ฉันมีหนังสือของรุ่นพี่อยู่สองสามเล่ม เธอจะดูก่อนไหม” เธอพูดเสร็จก็เอาผ้าออกจากหน้าผม ถ้าเช็ดนานกว่านี้คงแห้งถึงผิวชั้นในแน่ๆ

    “ก็ดีเหมือนกัน เอามาดูหน่อยซิ” ผมไม่อยากติด F อีกแล้ว ลองขยันแต่ก่อนเปิดเทอมดูก็ดีเหมือนกัน

     

    เราสองคนอ่านหนังสือได้แค่สองนาทีแรกเท่านั้นก็มาคุยเรื่องไร้สาระเหมือนเดิม ผมรู้สึกว่าเธอเป็นมากกว่าเพื่อนผมเสียแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าสถานะอะไร แล้วเธอคิดอย่างไร เธอชอบเคนจริงๆหรือเปล่า แล้วผมจะได้กลับเมื่อไหร่

    “ไปดูวิวที่ระเบียงกัน” เธอว่า “จะบอกให้นะ ระเบียงฉันมองเห็นมอเราด้วยแหละ” เธอเดินกระดี๊กระด๊าไปเปิดประตูที่มาพร้อมกับเสียงฝน ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงฝนเลยนะ “เอ่อ ... ฝนตกอ่ะเมธ” ผมเดินตามเธอไประเบียง

    “โธ่ ... แย่จัง ดีนะจอดมอไซค์ไว้ในร่ม ไม่งั้นแย่แน่เลย” ผมและเธอมองดูเม็ดฝนเป็นหมื่นตกลงสู่พื้น อีกหมื่นตกลงหลังคา น่าจะมีสักพันเม็ดที่กำลังตกใส่หัวคน ผมโดนไปหลายเม็ดแล้วด้วย

    “นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว” เธอพูดเหมือนเขินอาย “เธอจะนอนนี่ไหมล่ะเมธ” ผมโดนผู้หญิงชวนนอนที่คอนโด อะไรมันช่างเหมาะเจาะขนาดนี้ ผมไม่เคยนอนคอนโดมาก่อนในชีวิต ขอบคุณฝนที่ตกลงมาและฟ้าที่มืดมิด

    “ฉันเกรงใจจัง แล้วมันจะดูไม่ดีนะ ผู้ชายมานอนด้วยเนี่ย” ดีเลย ดีเลย ดีมากๆด้วย ตอบตกลงเถอะ อยากนอนคอนโดมานานแล้ว

    “ไม่เป็นไรหรอก” เธอว่า “แต่เธอต้องไปอาบน้ำก่อนและห้ามนอนกรนด้วย นี่สำคัญเลย” เหมือนเดจาวูที่ต้องมาเจอเงื่อนไขนี้

    “ฉันจะไปบังคับได้ไงว่าห้ามตัวเองกรน”

    “ถ้าเธอกรนนะ” เธอมองไปรอบๆ แล้วหยิบไม่บรรทัดขึ้นมา “ฉันจะฝาดปากเธอให้แตกเลย” แหม ผู้หญิงคนนี้โหดใช้ได้เลย

    “ได้ แต่ถ้าเธอกรนล่ะ ... ฉันจะทำยังไงกับเธอดี” ผมย้อน

    “ก็ ....” เธอเงียบไปพักนึง แล้วทำหน้าตาน่ารักๆ แบ๊วๆ “หาอะไรมาประกบปากฉันก็แล้วกัน” แล้วเธอก็เดินไปที่เตียง แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำพร้อมกับความสงสัย จะเอาอะไรไปประกบปากเธอดี ถ้าผมคุยอยู่กับเพื่อนผู้ชายคงจะเป็นเท้าไม่ก็หมัดสักหมัด แต่ช่างมันเถอะ ผมจะแช่อ่างอาบน้ำ

     

    ผมออกมาพร้อมนุ่งผ้าขนหนูสีชมพู แล้วถามหาเสื้อผ้า ซึ่งเธอเอามือปิดตาตัวเองแต่ง้างนิ้วตัวเองให้เป็นช่องเพื่อจะได้มองเห็น แล้วจะปิดตาทำเพื่ออะไรกัน

    “ฉันมีกางเกงบอลกับเสื้อบอลอยู่นะ รีบๆใส่แล้วฉันจะได้ไปอาบน้ำ” เธอชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าขณะที่ร่างเธออยู่บนเตียง ผมเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด จากนั้นผมก็เดินออกมาแล้วเธอก็เดินสวนเข้าห้องน้ำไปในทันที พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูจากมือผมไป ท่าทางเธอจะไม่รังเกียจผมเลย ผู้หญิงแบบนี้หายากยิ่งนัก ผมทิ้งตัวลงบนเตียงที่เต็มไปด้วยกลิ่นของผู้หญิง มันช่างหอมยิ่งนัก ผมน่าจะเดินสำรวจห้องเธอดีกว่า ผมเดินไปเปิดตู้เย็นในห้องรับแขก ไม่มีอะไรนอกจากเลย์ ที่แปลกก็คือ จะใส่ตู้เย็นทำไม ยัยนี่ท่าจะบ๊องเว้ยเฮ้ย

    ผมกำลังดูทีวีพร้อมกับกินเลย์ไปพลางๆบนโซฟาที่นุ่มนิ่ม แต่ผมปิดเสียงทีวีไว้เพื่อไม่ให้เธอได้ยินว่าผมแอบมาดูทีวีข้างนอก เธอเพิ่งเข้าไปแค่ 10 นาที โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงอาบน้ำครึ่งชั่วโมงตามข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผมเลยนั่งดูอย่างสบายใจ แต่แล้วเธอก็ออกมาจากห้องน้ำ ห้องน้ำนี้มีประตูเชื่อมระหว่างห้องรับแขกกับห้องนอน แต่เธอออกมาทางห้องรับแขกทำไมกัน

    “จะบอกให้นะแก้ว” เธอเดินออกมาคุยโทรศัพท์ขณะที่ตัวเองยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ “ไว้วันหลังละกันนะ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ” สงสัยเธอจะไม่สะดวกคุยในห้องน้ำ เพราะเธอยังคงเปิดน้ำทิ้งไว้อยู่เลย ผมอยากจะทักเธอให้รู้ตัวว่าผมอยู่ แต่ช่างประไร นั่งมองผิวขาวนวลของเธอก็พอแล้ว ถึงจะเป็นแค่ไหล่ก็เถอะ “ตอนนี้เมธมานอนที่ห้องไง เพราะฝนมันตกก็เลยให้เขามานอนด้วย” จากทรงแล้วเธอยังไม่รู้ตัวว่าผมอยู่ข้างหลังเธอ ผมทักเธอหน่อยดีกว่า

    “เอ่อ ...”

    “ใช่!! ฉันชอบเขา!! พอใจรึยัง!!” เธอพูดกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์ รู้สึกว่าผมกำลังอยู่ถูกที่ถูกเวลา เธอกำลังพูดถึงคนที่ชอบอยู่พอดี ได้เวลาส่งหูผมไปยังลิ้นไก่เธอแล้ว “เขาน่ารักมากเลย ฉันว่าเขาคงยังไม่รู้ว่าฉันชอบเขาเลยด้วยซ้ำ” เธอเงียบไปสักพักนึง สงสัยฝ่ายนู่นท่าทางจะพูดอยู่ ผมจะอยู่เงียบๆอย่างนี้แล้วกัน “ฉันบอกเขาว่า มือฉันเย็นจังแล้วเขาก็บอกว่า ของผมก็เหมือนกันดูสิแก ทำไมเขาโง่แบบนี้” นั้นสิ ทำไมมันโง่จังว่ะ เขาต้องการให้จับมือ กระบือบาลจริงๆ “แล้วยังไงอีกรู้ไหม ฉันบอกเขาให้ขึ้นห้องมาช่วงแรกๆ ประมาณแบบว่า อยากมาดูห้องฉันไหมเขาตอบว่า ไม่ล่ะ นี้ฉันอ่อยเขาสุดๆแล้วนะ” ไอ้นี้มันโง่บัดซบเลยนี่หว่า จะว่าไปมิ้นก็อ่อยไปหรือเปล่า ถ้าเจอคนไม่ดีคง ... ไม่อยากจะคิดต่อเลย แต่ไอ้กระบือบาลนี้มันมีสมองบ้างไหมเนี่ย “เอาเถอะแก ฉันรีบอาบน้ำต่อดีกว่า ไปละนะ บ๊ายบาย” แล้วเธอก็เดินปิดประตูดังปั้ง ไม่สนใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว ดีแล้วละ ผมกลับเข้าห้องไปน่าจะดี ผมว่าผู้ชายกระบือบาลคนนั้นมันต้องเป็นเคนแน่นอน เพราะไอ้หมอนี่มันโง่แต่ไหนแต่ไรแล้ว

     

    ผมนอนอยู่บนเตียงพร้อมอ่านหนังสือนิยายเล่มนึงที่อยู่บนหัวเตียง ยัยตัวรัก ทำใจร้ายซึ่งมันก็สนุกดีเหมือนกันสำหรับการฆ่าเวลารอเธออาบน้ำอยู่ชั่วโมงกว่า ผมจะไปเขียนบนอินเทอร์เน็ตว่าเฉลี่ยแล้วผู้หญิงอาบน้ำเป็นเวลา นานสุดๆ

    “เสร็จแล้ว” เธอกระโดดออกมาจากห้องน้ำ พร้อมชุดนอนสีชมพูสุดหวานแหวว “รอนานไหม”

    “อีกสักพักจะหลับแล้ว” ผมเก็บหนังสือ “งั้นนอนแล้วนะ ง่วงแล้ว”

    “ง่วงอะไร เพิ่งห้าทุ่มเอง”

    “ก็ฉันจะนอน ใครจะทำไม” พูดเสร็จเธอก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วเอาหมอนข้างของเธอมาตีผม

    “จะนอนหรอ นี่แหนะๆ นอนไปซิ” แล้วเธอก็กระหน่ำหมอนข้างลงบนตัวผม ถ้าผมไม่กันเอาไว้มีสิทธิมึนได้

    “โอ้ย!!” มันชักรุนแรงขึ้น “โอ้ย!!!” แล้วผมชักจะทนไม่ไหวแล้ว “อยากเล่นนักใช่ไหมมิ้น” ผมดึงเธอลงจากท่ายืนเป็นท่านอน บนตัวผม ... ผม ... ผมเธอช่างหอมจัง เหมือนกลิ่นยาสระผม ก็ต้องใช่สิ ไม่ใช่ยาสระผมจะเป็นอะไร ผมของเธอปิดหน้าผม ผมแหวกออกอย่างช้าๆเหมือนในหนังผี ตามบทเธอจะต้อง แฮ่!!’ ใส่ผมแต่เธอก็ไม่ เธอมองผมด้วยสายตาอ่อนหวาน เหมือนมองตาผมเพื่อที่จะมองทะลุไปยังกระโหลกของผม แต่มันอ่อนหวาน ผมควรทำกับเธอยังไงดี

    “มองหน้าทำไม” เธอถามด้วยเสียงหวานๆของเธอ ไม่แบ๊ว แต่น่ารัก เธอทำผมร่างกายอ่อนปวกเปียก ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว

    “เรา ...” ผมกำลังคิดว่า “เรา ... นอนไหม?” เราเงียบกันไปสักพักนึงแล้วเธอก็ลงจากตัวผม มานอนข้างๆแทน

    “ปิดไฟด้วย สวิทช์อยู่ข้างๆเธอแหละ” เธอพูด แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหลับตา แล้วคิดว่า ทำไมคนที่เธอชอบมันไม่ใช่ผมนะ

    เรานอนนิ่งกันสักพัก ไม่ขยับตัวสักนิด แล้วผมเริ่มคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่เจอเธอครั้งแรกจนถึงตอนนี้ การกระทำของเราสองคนนั้นมันมากกว่าคำว่าเพื่อนอย่างแน่นอน ผมรู้สึกได้แล้วถึงความ...

    “เมธ ถามอะไรหน่อยสิ” คำพูดเธอแทรกความคิดผมกระทันหัน ผมลืมเลยว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ “ฉันมีเพื่อนผู้หญิงคนนึง เป็นเพื่อนฉันนะ มันชอบผู้ชายคนนึงนิสัยคล้ายๆเธอ” มันมีบนโลกนี้อีกหรอที่ฉลาด หล่อ นิสัยดีอย่างผม อยากรู้จักเสียจริง

    “แล้วไงต่อๆ”

    “ก็เพื่อนคนนี้ชอบผู้ชายคนนี้มากๆเลย มันอยากจะสารภาพให้รู้ถึงความรู้สึกว่าเพื่อนฉันชอบเขา เธอมีคนแนะนำไหมว่าต้องสารภาพแบบไหน เพราะเธอนิสัยคล้ายๆเขามากเลย จะสารภาพยังไงให้เขารับฟัง”

    “ก็นะ ถ้าผู้ชายคนนั้นนิสัยแบบฉันเลยนะ บอกไปตรงๆเลย”

    “ตรงเลย แบบไหนล่ะ”

    “ก็แบบ ฉันชอบเธอ อะไรทำนองนั้น”

    “ฉันชอบเธอ” เธอพูดเบาๆ

    “ใช่ๆ แบบนั้นแหละ”

    “ฉันชอบเธอ” เธอพูดน้ำเสียงเขินอาย ผมไม่เข้าใจว่าจะย้ำทำไม

    “ใช่ๆ” เราเงียบไปสักพักนึง แล้วผมก็ไม่ร็จะพูดอะไรแล้ว ผมนอนหลับท่าจะดี

    “ฉันชอบเธอ” เธอพูดย้ำอีกครั้งนึง เพื่ออะไร ผมชักโมโหแล้วนะ

    “ใช่แล้วมิ้น บอกเพื่อนเธอแบบนี้นะ ให้ไปบอกเขาแบบนี้ ฉันจะนอนแล้วนะ” ผมบอกเธอแล้วพลิกตัวหันหลังให้เธอ แล้วเธอก็เงียบไป เราเงียบไป เงียบไปนานเกือบครึ่งชั่วโมงได้ล่ะมั้ง แต่ผมนอนไม่หลับ สงสัยจะแปลกที่แปลกทาง

    “เมธ” เธอพูดขึ้นมา ทำเอาผมตกใจ “หนาวอ่ะ” ผมจะจำไว้ว่าเธอเป็นคนขี้หนาว “ช่วยทำให้อุ่นขึ้นหน่อยสิ” เธอขอร้องผมให้ช่วย ทำให้อุ่นขึ้น ผมคิดได้อยู่อย่างเดียวทำให้อุ่นขึ้นได้ แต่มันจะดีหรอ ... แต่เธอขอให้ลูกผู้ชายอย่างผมช่วย ก็คงจะทำไรไม่ได้ นอกจาก

    “นี่” ผมเรียกเธอหันมา “เอาผ้าห่มไปห่มอีกผืนสิ” ผมสละผ้าห่มให้เธอ แล้วผมก็ต้องทนหนาว แต่ไม่เป็นไร เพื่อมิ้นแล้ว ... แล้วผมก็นึกได้ว่าผมคิดอะไรอยู่เมื่อตอนที่กำลังจะนอน ตอนนี้ผมว่าผมบรรลุแล้วว่าผมกับมิ้นอยู่ในสถานะอะไร ผมมองตามิ้น แล้วมองเธออยู่อย่างนั้นสักพักนึง

    “มิ้น” ผมพูดขึ้น

    “เมธ” เธอพูด

    “มิ้น ฉันคิดมาสักพักแล้วว่า” ผมย้อนคิดไปตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน “ฉันไปกินข้าว ดูหนัง คุยไลน์กับเธอทุกวัน แล้วยังมานอนข้างๆเธออีกวันนี้” เธอลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

    “เธอกำลัง ... จะพูดอะไรเมธ”

    “ก็ เราไม่ใช่แค่เพื่อนกันแล้วนะ ทำแบบนี้ เธอว่าไหม” เธอมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มน่ารัก ทรงผมเรียบๆของเธอ และหน้าตาที่ดุจดั่งนางฟ้า ผมว่าเธอนี่แหละ

    “ใช่ๆ มิ้นก็ ... คิดเหมือนกัน” เธอพูดช้าๆอย่างน่ารักๆ “เมธกำลังจะพูดอะไร”

    “เมธว่า เราน่าจะเป็น...”

    “เป็น...”

    “เพื่อนต่างเพศที่สนิทมากเลยไง ... ใช่ไหมซี้มิ้น”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×