ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love or Like, Never Mind จะรักไม่รักช่างเธอ

    ลำดับตอนที่ #1 : รักแบบตรรกะ และ มนุษยศาสตร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15
      0
      19 พ.ค. 58

     

     

     

    รักแบบตรรกะ และ มนุษยศาสตร์

     

     

            ผมเป็นคนมีเหตุมีผลเหมือนคอมพิวเตอร์ มีแค่ใช่กับไม่ นอกจากนั้นเป็นแค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ในขณะนั้น แต่ผลสุดท้ายก็จะมีแค่ใช่กับไม่อยู่ดี การที่ผมเป็นคนแบบนี้ มักจะมีข้อเสียและดีมาควบคู่กัน มีเหตุผลส่งผลให้ผมเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างไหนพูดอย่างนั้น ขวานผ่าซากยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่า วิท รูมเมทผมย่อมชินและอดทนกับผมได้หลังจากอยู่ด้วยกันมาสามปีตั้งแต่ ม.ปลาย ถ้าเขาชินและทนกับผมได้ย่อมแปลว่าเขาเข้าใจผม ถ้าเขาเข้าใจผมแปลว่าเขาต้องเคยเป็นหรือเป็นแบบผมอยู่แต่เขาเปลี่ยนตัวเอง เพราะเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่พอพูดก็พูดตรงไปตรงมาเหมือนกัน ทำให้ผมคิดว่า การที่ตรงไปตรงมามันอาจจะแย่ไปจนทำให้วิทเปลี่ยนตัวเอง แหม่...ความคิดผมมันช่างเป็นตรรกะอะไรอย่างนี้

    และแล้วก็ถึงเวลาลุกจากเตียง ผมมองไปที่นาฬิกาฝาผนังและเห็นว่า นี่มันก็สิบโมงแล้ว วิชาคณิตศาสตร์จะเริ่มในสามชั่วโมง แล้วตอนนี้วิทก็ไม่อยู่ในห้องด้วย ไปไหนของเขานะ แต่ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์จากหัวเตียง ดึงที่ชาร์ตออก แล้วแนบกับหู

    “โหล?” ด้วยเสียงที่งัวเงีย

    “โหลอะไร นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว!!” เสียงแหลมๆนี้มันใครกันนะ

    “นี่ใครเนี่ย?” ผมถาม

    “พ่อเอ็งมั้ง จักษ์เองไง จะใครละ” แล้วผมก็นึกได้

    “อ้าวเตี้ยเองหรอ ตอนนี้สิบโมงไง ทำไมเอ่ย” ถึงมันจะเตี้ยผอม แต่ยังดีที่สีผิวเป็นสีขาวและหน้าตาที่พอดูดีระดับนึง

    “สิบแม่เอ็ง บ่ายครึ่งแล้วเพื่อน!!” เสียงแสบๆสำเนียงใต้ ทำให้ผมอดขำไม่ได้ แต่เรื่องที่มันบอกว่าบ่ายครึ่งมันก็เป็นการอำที่ขำกว่า

    “เอามาทั้งตระกูลเลยไหมจักษ์ พ่อแก แม่เอ็งอยู่นั้นแหละ แล้วอีกอย่าง ... เมื่อกี้เพิ่งดูนาฬิกา มันสิบโมงเอง อย่าหลอกกันให้ยาก” ผมเหลือบไปมองอีกที มันก็ยังอยู่สิบโมงจริงๆ แสดงว่าผมไม่ได้ตาฝาด

    “เร็วๆเถอะ ก่อนที่จะส่งการบ้านไม่ทัน แค่นี้นะ ... ตื้ด ... ตื้ด ...” ยังไม่ทันพูดสวัสดีลาก่อนก็วางเสียแล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันถึงหลอกผมว่านี่มันบ่ายครึ่ง แย่จริงๆ นอนต่ออีกสักพักน่าจะดี จากนั้นผมก็นอนลง หัวแตะหมอน นอนมองผนังอยู่สิบกว่านาทีกับนาฬิกาที่ไม่กระดิกเข็ม

     

    ผมมันโง่เองที่ไม่ดูนาฬิกามือถือแต่แรก เป็นเหตุที่ทำให้ผมนั้นมาสายชั่วโมงนึง ผมโชคดีมากที่อาจารย์ยังให้ส่งการบ้านอยู่ แต่ช่างโชคร้ายที่ผมไม่ได้เอามา การเร่งรีบทำให้ลืมอะไรหลายๆอย่าง การบ้านก็เช่นกัน ผมว่ามันเป็นเหตุผลที่ดีนะสำหรับการแก้ตัว น่าจะทำให้อาจารย์เกิดเห็นใจขึ้นมาบ้าง หลังจากหมดคาบผมก็ตรงไปหาอาจารย์ ซึ่งเขาเป็นคนมีเหตุผลมากทำให้ผมรู้สึกดีว่าเจอคนแบบเดียวกัน ผมบอกอาจารย์ตามความจริงทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่เหตุผลอาจารย์ชนะอย่างขาดลอย

    “การบ้านมีมาส่งไหม?” อาจารย์ถามอย่างนุ่มนวล

    “มีมาส่ง แต่ยังไม่ได้ส่งครับ” ผมตอบตรงคำถาม

    “มันอยู่บนมือผมไหม?” น้ำเสียงเท่าเดิม

    “ไม่ครับ” ผมยังคงซื่อสัตย์

    “ไม่อยู่ในมือ ไม่มีคะแนน ผมไปละ” แล้วก็เดินจากไปกับการบ้านของคนอื่นที่ไม่มีของผมอยู่ ตรรกะเขาง่ายดี ผมชอบนะ เดี๋ยวผมให้ของขวัญอาจารย์โดยการได้คะแนนสอบเต็มให้เลย

     

    28.5 เต็ม 30 ในการสอบกลางภาควิชาคณิตศาสตร์ เป็นเรื่องธรรมดาครับ แน่นอนว่าเป็นของวิท ไม่ใช่ผม ผมได้น้อยกว่าเขาหน่อยนึง คือ 10.5 เต็ม 30 เป็นคะแนนที่ผมพอใจหลังจากเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจแล้วออกมาอย่างสิ้นหวัง ถือว่าได้เยอะพอสมควร ส่วนจักษ์ยังมึนงงกับคะแนนเลขตัวเดี่ยวของเขาอยู่และผมเดาได้ว่าวันนี้จะลงเอยที่แก้วสุราแน่ๆ

    “เมธ กินเบียร์กัน” ความคิดผมยังไม่ออกจากปากผม ก็ออกจากปากมันพอดีเลย แล้วอย่าเรียก เมธ ได้ไหม เพราะผมชื่อ เมธา ไม่มีชื่อเล่น แต่มาเรียกสั้นๆอย่างนี้ ชื่อเมธาก็จะมีไว้แค่ประดับหน้าอกหรือไงกัน

    “อย่าเลย ช่วงนี้มันปลายเดือนด้วยสิ ตังยิ่งน้อยๆอยู่ ไม่อย่าเป็นโรคทรัพย์จางว่ะ ไหนตอนนี้คะแนนออกอีก ทำให้รู้ว่าฉันด้อยวิชานี้แค่ไหน ฉันว่าจะอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปลายภาคเลย” ผมไม่มีเงินจริงๆช่วงนี้ แล้วอีกอย่างที่สำคัญ ผมได้คะแนนน้อยอย่างนี้ ก็คงต้องอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนี้ เปลี่ยนตัวเองใหม่ให้หมด รีเซ็ตชีวิตประจำวันผมเสีย ผมตัดสินใจแล้ว

    “เลี้ยง” จักษ์เสริม

    “ไป” ผมพูด

     

    ร้านเหล้าประจำของผมชื่อ On Top อยู่ใกล้ๆมหาลัย เป็นชั้นดาดฟ้าของตึก บรรยากาศดีมาก ผมชอบบรรยากาศที่นี่ ถึงแม้หลังๆท้องฟ้าจะเริ่มหมุนและจักษ์จะมีสองคนก็ตาม โชคดีที่มีวิทอยู่แต่มันไม่ได้ดื่มหรอกนะ ผมว่าผมเริ่มกรึ่มๆแล้วละ

    “เห้ยไอ้เมธ เมาว่ะ” จักษ์พูดขณะหน้ากำลังจูบโต๊ะ

    “ไอ้จักษ์ ...” วิทลากเสียงยาวแล้วขำกวนๆ “ก็แค่ดรอปไป ลงใหม่เทอมหน้าก็จบแล้ว”

    “ใช่ๆ อย่าไปซีเรียสเลยเพื่อนเอ้ย” ผมเสริม “เออวิท ... วานช่วยสอนข้าที ข้าว่าข้าไม่ไหวว่ะ เอาให้รอด F ก็พอนะ”

    “ท่าจะยาก” วิทส่ายหน้า “แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

    “เอาสิๆ สอนกระผมด้วยนะวิท” จักษ์แทรก

    “จะไหวจริงๆหรอจักษ์” แล้ววิทก็เงียบพักนึง “เอางี้จักษ์ ... เอ็งต้องเลิกคุยกับหญิงคนอื่นก่อน แล้วค่อยมาให้ข้าสอน” วิทยื่นข้อเสนอ เพราะจักษ์มันติดหญิงจริงๆ ทั้งที่มีแฟนแล้วแต่แฟนเรียนอยู่ที่อื่น แย่จริงๆ

    “ใช่จักษ์ๆ” ผมเห็นด้วย “แล้วเอาเอมี่มาคุยกับข้าแทน ฮ่าๆๆ” ผมชอบเอมี่นะ เอมี่เป็นผู้หญิงสวย แถมยังรวยอีกต่างหาก ผมละอยากได้เขามาเป็นแฟน

    “เอาสิ เอาไปเลย!” จักษ์พูดอย่างจริงจัง

    “ตามนั้น ทุกคนโอเคนะ งั้นเราตกลงตาม...”

    “เดี๋ยวก่อน” วิทแทรกผมขึ้นมา “เมธ วิทอยากได้เครื่องเล่นซีดีจังเลย”

    “เครื่องเล่นซีดีไหน” ผมรู้ในทันทีว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยน “แบบพกพาอันใหญ่ๆนะหรอ” ผมมีอยู่ที่ห้อง เก็บไว้ในกล่องที่ผมเอามาจากบ้านแล้วมันคงติดมาด้วย แสดงว่าวิทต้องแอบมาค้นสินะ หึๆ

    “ใช่ๆ เครื่องเล่นซีดีพกพานั้นแหละ ช่วงนี้เขาใช้กันหลังจากหนังเรื่อง

    Love Again

    ฉาย แล้วมีฉากนึงที่พระเอกใช้เจ้าเครื่องนี้ ฟังคู่กับผู้หญิง เดินไปส่งเธอที่บ้าน มันช่างโรแมนติกมากๆเลย” โอเค สงสัยวิทกำลังอินกับหนังอยู่แน่ๆ ดีเหมือนกันเพราะผมก็ไม่ใช่พวกที่ตามกระแสเสียด้วย งั้นเงื่อนไขเราคงมีแค่นี้ แต่ผมยังไม่เข้าใจเรื่องการตามกระแสนิยมเท่าไหร่

    “เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมเอ็งถึงอยากได้ไอ้เครื่องซีดีพกพาด้วยนะ”

    “เอ้า ได้ฟังข้าไหมเนี่ย ก็บอกว่ามันกำลังนิยม ลองมองไปรอบแล้วจะเห็นว่าช่วงนี้ มีแต่คู่รักใช้กันทั้งนั้น เพราะมันโรแมนติกไง” เครื่องซีดีพกพาท่าทางจะยิ่งใหญ่เอาการจากที่วิทบอก ผมชักจะลังเลกับการแลกเปลี่ยน แต่

    “ตกลง” เพราะผมไม่สนกระแสนิยมและวิทจะสอนผมให้ผมรอด F

     

    หลายวันต่อมา ผมได้ไลน์ของเอมี่มา เอมี่เป็นผู้หญิงใสๆ น่ารัก สวย แต่ไม่ฉลาดเสียเท่าไหร่ แต่ผมชอบเธอตรงนี้แหละ หลังจากคุยไลน์กันสักพัก เอมี่ก็ได้นัดผมไปเจอที่โณงอาหารของคณะวิศวกรรมศาสตร์หลังเลิกเรียน ที่ๆผมเรียนอยู่

    “เราไปไหนกันดี” ผมถามหลังจากนั่งคุยกันมาสักพัก

    “อยากไปเที่ยวห้างจัง” เอมี่พูดด้วยน้ำเสียงน่ารักๆ จนทำให้ผู้ชายรอบๆหันมอง แล้วแอบมองเรื่อยๆ พวกเขาคงคิดว่า ผมมีดีอะไรถึงทำให้ผู้หญิงมนุษยศาสตร์มาหลงขนาดนี้ เดี๋ยวผมจะแสดงให้พวกเขาดูเอง

    “ถ้าเธออยากไป ฉันก็จะพาไป แต่มีเงื่อนไขนะ” ผมพูด

    “เงื่อนไขอะไรเอ่ย” เธอยังทำแบ๊วๆ ใสๆ ผมคงชอบเธอตรงนี้แหละ

    “ก็นะ เธอต้องตอบคำถามฉันหนึ่งข้อ ต่อหนึ่งคำข้อ” ผมแตะไหล่เธอเบาเพื่อให้เธอรู้สึกตัวว่าเป็นเรื่องจริงจัง เป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่ง

    “ฉันฟังอยู่ค่ะ” เธอดูตื่นเต้นนิดหน่อย

    “ฉันไปกับเธอได้ แต่ไปด้วยสถานะอะไร” ผมถามแล้วมองตาเธออย่างอ่อนโยน

    “ก็...” เธอเงียบๆเขินๆไปสักพัก “คนกำลังจีบกันไง”

    “เป็นสถานะที่ฉันรับได้นะ เธอมีเรื่องจะขออะไรอีกไหม” ผมถามต่อและยังคงยิ้มให้เธอแบบอ่อนโยน

    “อยากกินชาบูจิจังเลย” ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อชาบูจิ ผมได้ยินมาว่าค่อนข้างแพง แต่ผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีการขออย่างนี้เกิดขึ้น

    “ได้เลยเอมี่ แต่ผมของอย่างนึงนะ” เธอตั้งหน้าตั้งใจฟังผมมาก และสายตาที่กำลังตื่นเต้น “เนื่องจากมันเป็นร้านอาหารที่มีราคาสูง และผู้ชายย่อมออกค่าอาหารให้ผู้หญิงที่คบด้วยแน่นอน แสดงว่าผมจะต้องออกค่าอาหารให้คุณได้แต่”

    “เอิ่ม ... ฉันว่าเราคุยกันมาสัปดาห์กว่าๆเอง แล้วเราออกไปไหนมาไหนแค่สองสามครั้งอีกด้วย” เธอเริ่มลังเลกับเงื่อนไขของผม แล้วผู้ชายรอบๆเริ่มแอบขำกันหน่อยๆ

    “อย่างที่ผมบอกนะเอมี่ ผมจะต้องออกค่าอาหารให้ผู้หญิงที่คบกันตลอด แล้วคุณว่าเย็นนี้เราจะกินอะไรกันดีละ” ผมมองเธอด้วยความอ่อนโยนอีกที

    “ไปกินชาบูจิกันเถอะค่ะที่รัก” เราจูงมือกันเดินไปที่รถมอไซค์ของผม แล้วพวกผู้ชายรอบๆต่างมองผมอย่างริษยา

     

    ผมขี่เจ้าลิงน้อยของผมไปส่งเธอที่หอพักสตรี จากนั้นผมก็ได้หอมแก้มเธอนึงจุ๊บแล้วก็โบกมือลา เป็นอะไรที่มีความสุขเสียจริง ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น วิทโทรมานี่เอง

    “ว่าไงเพื่อน” ผมรับสาย

    “อ่านหนังสือเร็วเมธ เดี๋ยวมีสอบอีกสามสัปดาห์นะ จักษ์อ่านอยู่ด้วยเนี่ย” วิทพูดด้วยน้ำเสียงแห่งความห่วงใย

    “ติวกันที่ไหนเอ่ย จะได้ไปหา” ผมกำลังอารมร์ดี การอ่านหนังสือเวลาอารมณ์ดีมักจะได้ความรู้อย่างดีเสมอ

    “ที่หอเรานี่แหละ มาๆ ด่วนเลย เดี๋ยวทำไม่ได้นะเอ็ง”

    “รับทราบๆ” จากนั้นก็ขี่เจ้าลิงน้อยไป ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ดีและไม่มีอะไรที่มาขัดขวางการมีสุขของผมได้

     

    “ไอ้โง่เอ้ย!! เอ็งไม่เข้าใจอะไรเลยนี่หว่า” วิทด่าผมจนเสียหมาเลย ทำให้ตอนนี้ผมกำลังเซ็ง “เคยเข้าเรียนบ้างไหมเนี่ยไอ้เมธ”

    “เข้าสิ เข้าตลอด ทุกคาบเลย แค่คุยไลน์กับเอมี่ไปด้วยเฉยๆทำนั้นแหละ” ผมสารภาพ

    “น่านไง น่าน แล้วทีนี้จะรอด F ไหมเมธ...” ขณะที่วิทกำลังบ่นอยู่ แต่ผมก็อดคิดถึงเอมี่ไม่ได้ ผมจะใช้ชีวิตร่วมกับเธออย่างไร ผมจะสร้างบ้านให้เธอ เราจะมีลูกสักสองคน เลี้ยงแมวตัวสองตัว ช่างงดงามเสียเหลือเกิน “...ไอ้เมธ ฉันอธิบายทุกอย่างให้ฟังแล้วนะ คราวนี้แกก็ตัดสินเองละกัน โอเค๊!?

    “ห๊ะ ... โอเคๆ” เขาพูดอะไรนะ แต่ช่างเถอะ ผมว่าผมสามารถกะเวลาการใช้ชีวิตกับเอมี่และการอ่านหนังสือได้ ผมจึงไม่ห่วงอะไรมากนัก

     

    หลายวันต่อมาผมได้ขอเบอร์เธอและคุยโทรศัพท์กับเธอแทนที่จะคุยไลน์ ตามหลักจิตวิทยาแล้ว การสื่อสารโดยใช้เสียงดีกว่าใช้ข้อความ แสดงว่าผมพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเอมีและผมไปอีกหนึ่งขั้น ผมชวนเธอไปดูหนัง ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นที่ห้าง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แล้วผมก็รู้ตัวแล้วว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ในการเตรียมตัวสอบปลายภาค เอาละนี่คงจะเป็นวันสุดท้ายก่อนสอบที่ผมจะได้อยู่กับเอมี่ ผมจึงขอให้เธอมานอนห้องผมสักคืนและผมรับปากว่าจะไม่มีอะไรมหัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากเสียเธอต้องการ

    “เอ่อ ... เมธ ฉันว่ามันไม่เหมาะนะค่ะ แล้ว...” เธอกังวลและ หมายถึงว่าเธออาจจะอยากไปแต่ยังคิดเรื่องมารยาทกาลเทศะอยู่ หรือไม่ก็กำลังคิดว่าผมไว้ใจไม่ได้ ถ้าผมหย่อนคำถามนึงไป น่าจะได้คำตอบตามตรรกศาสตร์

    “เอมี่ไว้ใจเมธหรือเปล่า” ถ้าเขาบอกไว้ใจ แปลว่าเขากัลงวลเรื่องกาลเทศะ แต่ถ้าไม่ไว้ใจ เราคงต้องมีเรื่องคุยกันต่อ

    “ไว้ใจสิ เมธ เธอเป็นผู้ชายที่ฉันชอบที่สุด แต่ฉันยังกังวลเรื่องการนอนห้องผู้ชายอยู่” ผมว่าแล้วว่าเธอต้องกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่

    “เอมี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะมองยังไงนะ แต่ฉันแค่อยากให้เธอมาอยู่ด้วยกัน เพราะนี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือก่อนสอบแล้วฉันหวังว่าเธอคงจะเข้าใจฉัน” เธอก้มหน้าแล้วเหมือนครุ่นคิดอยู่สักพักนึง

    “แล้วเราจะไม่ได้เจอกันอีกหรอ จนกว่าจะหลังสอบนะหรอ” เธอทำหน้าเศร้า แล้วน่ารักมาก ผมคงอ่อนไหวกับใบหน้าของเธอเป็นแน่

    “คือ เราเจอกันได้ แต่บางเวลาฉันอาจจะไม่ว่างไปเจอเธอเท่านั้นเอง หรือไม่ก็เจอได้แค่ไม่กี่นาทีแล้วฉันก็ต้องไป ฉันเลยอยากให้คืนนี้ ฉันอยู่ข้างๆเธอจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ แล้วค่อยว่ากัน” ผมพูดและกุมมือเธอแน่น พร้อมสายตาที่หวังให้เธอมาเข้าใจผม

    “ก็ได้เมธ วันนี้ฉันจะอยู่กับเมธ สงสัยฉันคงจะติดการใช้ตรรกะของเมธมาเสียแล้ว เพราะฉันมีเงื่อนไขสองข้อ” เธอบอกผมอย่างมีเหตุผล ทำให้ผมชื่นใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงก็มีการใช้เหตุผลเหมือนกัน

    “ว่ามาเลยเอมี่ ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณต้องมานอนหอผู้ชาย” ผมยังคงมองตาเธอเพราะการมองตาทำให้รู้สึกจริงใจ

    “ข้อแรกเลยนะ ห้ามปิดไฟและเธอกรนหรือเปล่า? เพราะฉันค่อนข้างหลับยาก” เธอพูดและก็ยิ้มมุมปาก

    “ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นตัวเองกรนนะ” ผมว่า

    “เอางี้ ถ้าไม่กรนเธอนอนข้างๆฉันได้ แต่ถ้ากรน ฉันจะถีบเธอลงไปนอนข้างล่างเลยนะ” แล้วเธอก็หัวเราะ

    “ได้เลยครับ แล้วข้อสอง”

    “ข้อสอง อะไรดูไม่ถูกต้องฉันจะกลับทันที เช่น การล่วงเกิน” เธอพูดเหมือนผมเข้าไปทุกที แต่ก็ดี เธอดูเป็นคนฉลาดขึ้นมาทันตา

    “ได้เลยๆ งั้น ... จะขึ้นห้องไหมครับคุณผู้หญิง” เราเดินจูงมือกันเดินไปถึงหอของผม แน่นอนว่าผมบอกวิทไว้แล้วว่าวันนี้ขอห้องวันนึง ไปนอนหอจักษ์ก็ได้ พอถึงหน้าห้องผม ผมบอกให้เธอรอข้างนอกสักพัก เพราะผมจะจัดระเบียบในห้อง เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากที่ผมเก็บกวาดทุกอย่างอย่างสะอาดและดูระเบียบที่สุดแล้ว ผมเลยให้เธอเขาห้องมา

    เธอขออาบน้ำ ผมจึงยื่นผ้าขนหนูผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้าให้เธอ เธออาบน้ำอยู่ หลายสิบนาที ทำให้ผมจัดห้องได้อีกประเดี๋ยวนึง เธอออกมาพร้อมนุ่งผ้าขนหนู หุ่นเธอช่างเร้าใจ แต่ด้วยเงื่อนไขทำให้ผมต้องหักห้ามฝืนจิตไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่เหมาะสม

    “เธอมีเสื้อผ้าไหมเนี่ย” เอมี่ถามผมขณะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมอยู่

    “มีสิๆ อยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอเลือกได้เลยนะ” เธอหยิบกางเกงกีฬาของผมไปและเสื้อบอลของผมไปใส่ในห้องน้ำ ผมพร่ำบอกกับตัวเองว่าอย่าตั้งชันเชียวไอ้น้อง ผมจึงหยิบหนังสือเรียนมาอ่าน

    เธออกมาพร้อมสรีระอันน่าเย้ายวนในชุดกีฬา ผมเปียกมาดๆ ผมจินตนาการถึงภาพที่เราตื่นมาพร้อมกัน แล้วออกไปทำงาน นี่เองชีวิตคู่ เวลาผ่านไปจนสี่ทุ่ม เราเล่นไผ่กัน จนผมแพ้พนันไปสองสามอย่าง ให้เธอตบหน้าผมสองสามที เธอให้ผมนวดให้เธอบ้าง พอตาผมชนะ ผมขอให้เธอนวดให้บ้างแต่เธอกลับนวดแบบกะเอาพิการเลยทีเดียว ผมบอกเรานอนกันเถอะ เธอก็เห็นด้วย เรานอนกอดกันอยู่สักพักแล้วทำให้ผมรู้สึกถึง ชีวิตรักที่สมบูรณ์แบบ

    “เธอรู้ไหมเมธ เธอยังไม่ได้ขอฉันเป็นแฟนจริงๆเลยนะ” เธอกระซิบเบาๆ ทำให้ใจผมฟุ้งสร้าง

    “ฉันอยากขอเธอเป็นแฟนอย่างโรแมนติก บนชายหาด บนยอดตึก ยามตะวันตกดิน” เธอแอบยิ้มเล็กๆ ทำให้ผมจินตการไปไกลว่าจะพาเธอไปที่ไหนดี ขอเธอเป็นแฟนแบบไหนดี ผมช่างเป็นคนโรแมนติกจริงๆ จนผมคงเผลอหลับไปเพราะผมตื่นมาอีกทีกลางดึกแล้วผมนอนอยู่ข่างล่างเตียง แล้วเธออยู่ข้างบนเตียง

     

    ตอนเช้าผมไปส่งเธอที่หอ บอกลาเธอ บอกเธอว่าจะโทรไปหาเธอทุกคืน แล้วผมกลับหอไปอ่านหนังสือต่อ ตามหาวิทเพื่อไปอ่านหนังสือด้วยกัน ผมอ่านหนังสืออย่างหนัก พอหัวค่ำผมจะโทรไปคุยกับเธอเป็นชั่วโมงๆ แต่เธอก็ถามผมเรื่องเรียน ผมแนะนำให้วิทช่วยเธอผ่านไลน์ไป วิทบอกตกลงแต่แลดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ผมโทรหาเธอน้อยลงทุกวันเพราะการอ่านหนังสือทำให้ผมไม่มีเวลาโทรไปหาเธอบางวัน ซึ่งเธอเข้าใจ เธอช่างเป็นคนมีเหตุผลและดูเป็นคนฉลาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก เธอคงติดมาจากผมนี่แหละ หึๆ ผมนี่เก่งจริงๆ

    หลังสอบผมนัดเพื่อนๆฉลองกันและผมชวนเอมีไปด้วย ผมกะว่าจะขอเธอเป็นแฟนบน On Top นี่แหละ เวลาสองทุ่มทุกคนต่างมารวมตัวกันที่ร้าน

    “เอ้าพวกเรา ชนแก้ว” ผมพูดพร้อมยกแก้วขึ้นชนกัน เพื่อนในกลุ่มมีกันสิบกว่าคน ทุกคนต่างหมดแก้วพร้อมๆกัน ผมบอกเอมี่ว่าผมมีอะไรจะเซอร์ไพส์คุณ เอมีก็บอกผมว่ามีอะไรจะบอกเหมือนกัน เราสองคนไปที่โล่งบนดาดฟ้า ยืนอยู่ริมตึก มองทิวทัศน์ที่สวยงามตอนกลางคืน ผมเริ่มมองเธอด้วยสายตาจริงจังแต่อ่อนโยน

    “เอมี่” ผมพูด

    “เมธ” ผมกุมมือเธอ

    “คุณเป็นคนฉลาดและผมเป็นคนฉลาด ผมว่าเราค่อนข้างเหมาะกันมาก” ผมบอกเธออย่างจริงใจ

    “แหม ... เธออย่าว่าเอาเองสิว่าใครฉลาดหรือไม่ฉลาด คิดเอาเองไม่ดีนะ” ว้าว ... เธอช่างมีเหตุผลยิ่งนัก ทำให้ผมตกหลุมรักเธออย่างจัง

    “แล้วเธอว่าไงละเอมี่ ถ้าฉันจะขอคบเธอเป็นแฟน” ผมพูดอย่ามั่นใจหลังจากที่เราผ่านอะไรมาด้วยกัน

    “ไม่ค่ะ”

    “ผมว่าแล้วว่าเธอจะต้อง ... อะไรนะ”

    “ก็ฉันว่าฉันค่อนข้างชอบเธอนะเมธ แต่ฉันตกหลุมรักคนอื่นแล้วค่ะ”

    “อะไรกัน เธอกำลังพูดถึงใคร ใครมันจะดีไปกว่าฉัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันไปไหนมาไหนกับเธอตลอด โทรศัพท์ก็คุยกันทุกคืน แล้วมันจะมีใครมาแทรกเราละ” ผมรู้สึก ... แย่มากเลย เกิดอะไรขึ้น ความฝันของผม นางฟ้าของผมกลับไปชอบคนอื่น มันเป็นใครกัน

    “ก็ ... วิทน่ารักดีนะค่ะ”

    “วิทหรอ วิทมีอะไร มันฉลาดก็จริง แต่ไม่ได้ให้เวลาเธอเลยไม่ใช่หรอ”

    “ก็จริงค่ะ ฉันแค่คุยกับเขาตอนช่วงสอบผ่านไลน์เท่านั้นเอง และเจอหน้าเขาแค่ครั้งเดียวตอนที่เขามาสอนฉันที่คณะ เขาสอนอยู่สองสามชั่วโมงเลยนะ”

    “ฉันอยู่กับเธอมาเดือนกว่าแล้วนะ!!” ผมขึ้นเสียง

    “อย่าใช้อารมณ์สิ ใช้เหตุผลคุยกันดีกว่า”

    “ได้ งั้นถามตรงๆ ฉันอยู่กับเธอมากกว่า คุยมากกว่า นิสัยใกล้ๆเคียงกันถูกไหม?”

    “ถูกค่ะ”

    “แล้วอะไรที่ทำให้เธอไปชอบมัน”

    “เพราะเขาช่างโรแมนติกเหมือนในหนังเรื่อง Love Again เขาเดินไปส่งฉันเหมือนกับคุณก็จริง แต่ฉันค่อนข้างชอบความโรแมนติกของเขา”

    “ยังไง?”

    “เขามีเครื่องเล่นซีดีพกพา”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×