ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[ChangMinHo's Love Fiction Library]]

    ลำดับตอนที่ #25 : [SF] Beautiful You

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 266
      1
      5 ส.ค. 55

    Title: [SF] Beautiful You

    Writer: korazy_minnie

    Pairing: Changmin x Minho (ChangMinHo)

    Rate: PG-13

    Note: เติมความหวานให้ชีวิตอีกครั้งกับฟิคชางมินโฮกันนะคะ :) ทอล์คเวิ่นเว้ออยู่ด้านล่างนะคะ

     

     

     

    ท่ามกลางไอแดดอบอุ่นกรุ่นกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของทะเลสีฟ้าสดใสที่สะท้อนกับแสงแดดจนทอประกายระยิบระยับจับตาในยามสายของวัน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสองปีกับร่างสูงโปร่งที่โดดเด่นกว่าใครกำลังขะมักเขม้นในการทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่สำหรับหน้าที่พิเศษที่ได้รับมอบหมายในวันนี้

    ชเวมินโฮ...พนักงานต้อนรับหนุ่มสัญชาติเกาหลีใต้คนเดียวในโรงแรมระดับหกดาวแห่งเดียวบนเกาะอันแสนห่างไกลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสวรรค์บนผืนพิภพอย่างเกาะโบราโบรา ขาเรียวยาวภายใต้ชุดทำงานแบบสบายๆ เดินตรวจตราไปตามหาดทรายละเอียดสีขาวด้านหน้าสุดของโรงแรมอันจะถูกใช้เป็นโลเกชั่นในการถ่ายแบบของนิตยสารชื่อดังของเกาหลีกับนางแบบสาวที่กำลังฮอตที่สุดของเกาหลีตอนนี้อย่างเจสสิก้าในวันนี้

    เมื่อตรวจตราความเรียบร้อยเสร็จสิ้น มินโฮจึงอนุญาตให้พนักงานฝึกงานรุ่นน้องไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยก่อนที่ทีมงานจากเกาหลีจะเริ่มเซตโลเกชั่นในอีกหนึ่งชั่วโมงที่จะถึง ลมหายใจอุ่นพรูออกเบาๆ อย่างโล่งอกเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อยก่อนจะทอดสายตาออกไปยังทะเลเบื้องหน้าอันกว้างไกลสุดสายตาอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย

    ...แชะ...

    เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นใกล้ๆ จนแทรกกับเสียงเกลียวคลื่นที่กระทบกับหาดทรายเรียกให้มินโฮหันไปหาต้นตอของเสียงโดยอัตโนมัติ เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ถูกจำกัดไว้สำหรับการถ่ายทำในวันนี้ซึ่งทีมงานจากเกาหลีถึงขั้นเหมาครึ่งโรงแรมตามความต้องการของนางแบบสาวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ

    ดวงตากลมโตสบเข้ากับสายตาคู่คมที่โผล่พ้นกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่พอดิบพอดี ตากล้องหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งเองก็สะดุ้งน้อยๆ ที่เด็กหนุ่มร่างบางที่กลายเป็นนายแบบจำเป็นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวหันกลับมามองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

    “Excuse me sir, I apologize to inform you that this area is reserved today” พนักงานหนุ่มยิ้มบางๆ พร้อมด้วยคำอธิบายอย่างสุภาพให้อีกฝ่ายตามมารยาท “Are there any kinds of thing I can help you, sir?

    ตากล้องหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำผึ้งกับใบหน้าคมเข้มที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดูขัดกับการแต่งตัวดิบๆ ด้วยเสื้อยืดพิมพ์ลายสีขาวที่คลุมด้วยแจ็กเก็ตผ้าร่มกับกางเกงขาเดฟสีอ่อนพอดีที่ดูดีจนเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาเรียกให้พนักงานโรงแรมหนุ่มถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง

    “คุณชเวมินโฮ...เป็นคนเกาหลีใช่มั้ยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากลอบมองชื่อเสียงเรียงนามบนแผ่นป้ายสีทองบนหน้าอกเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็จำได้ขึ้นใจเสียแล้ว

    “ใช่ครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างสุภาพกับอีกฝ่าย “ผมไม่คิดว่าคุณเป็นคนเกาหลี เมื่อสักครู่ต้องขออภัยด้วยนะครับ”

    “ปกติก็ไม่มีคนคิดว่าผมเป็นคนเกาหลีหรอกครับ ก็ผิวสีแทนซะขนาดนี้” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจ เพราะจริงๆ แล้วเกือบทั้งชีวิตเขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่เกาหลีสักเท่าไหร่นัก จนเหลือเพียงแค่ภาษาเกาหลีที่ติดตัวเอาไว้บ่งบอกเชื้อชาติที่แท้จริง

    “ขอโทษครับ แต่ผมไม่ได้หมายถึง...” ชเวมินโฮถึงกับไปไม่ถูก แม้จริงๆ ไม่ได้เจตนาจะกล่าวหาอีกฝ่ายเช่นนั้น เพียงแค่สีผิว ใบหน้าคมเข้มและดวงตาคมโตสีดำขลับผิดแผกจากคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นต่างหาก

    “ผมเป็นช่างภาพของนิตยสารน่ะครับ...” ร่างสูงโปร่งเอ่ยแนะนำตัวก่อนจะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้พร้อมทั้งชูป้ายห้อยคอสต๊าฟที่เจ้าตัวดันม้วนเก็บไว้ในกระเป๋ากล้องถ่ายรูปจนเพราะรำคาญจนทำงานไม่ถนัด

    “ผมนี่แย่จัง ขอโทษคุณจริงๆ นะครับ” มินโฮอยากจะทุบหัวตัวเองสักสองสามทีที่จำหน้าลูกค้าของโรงแรมไม่ได้ ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ “ผมไม่คุ้นหน้าคุณที่งานเลี้ยงต้อนรับเมื่อวาน ขอโทษจริงๆ ฮะ”

    “ผมเพิ่งมาถึงที่นี่ตอนเช้าเองครับ เลิกขอโทษเถอะครับ” ร่างโปร่งอมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางน่ารักของคนตรงหน้าที่ยิ้มแหยๆ กับคิ้วสวยที่ขมวดเป็นปม ริมฝีปากอิ่มยู่ลงเล็กน้อย...น่ารักเกินกว่าใครๆ จะโกรธลงแน่ๆ “คุณนี่โชคดีจังที่ได้ทำงานในสถานที่สวยๆ แบบนี้ทุกวันเลย”

    “จริงๆ ผมยังเป็นแค่นักเรียนการโรงแรมฝึกงานเองครับ แต่ก็โชคดีมากๆ ที่ได้มาทำงานที่นี่” มินโฮเอ่ยด้วยสีหน้ามีความสุขจนคนมองรู้สึกได้ แววตาที่เปล่งประกายยามพูดคุยของเด็กหนุ่มช่างมีเสน่ห์ยิ่งกว่าที่เห็นในครั้งแรกเสียอีก “ถ้ามีเรื่องอะไรอยากจะให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะครับ”

    “แน่นอนครับ ผมน่าจะมีเรื่องรบกวนคุณชเวมินโฮแน่ๆ ถ้าเสร็จงานนี้แล้ว”

    “ในฐานะพนักงานของที่นี่ ผมยินดีมากเลยล่ะครับ” มินโฮค้อมศีรษะลงเล็กน้อยตามมารยาท และอาจจะเพื่อเลี่ยงจากดวงตาคู่คมที่มีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาดของชายหนุ่มตรงหน้าที่ทำให้รู้สึกประหลาดอย่างไม่อาจอธิบายได้ “ผมคงต้องขอตัวไปเตรียมความพร้อมก่อนนะครับ คุณ...?”

    “ผม...ชิมชางมินครับ”

    ช่างภาพหนุ่มแนะนำตัวพร้อมทั้งยื่นมือหนาออกไปเป็นการแสดงความรู้จักอีกฝ่ายตามธรรมเนียม มินโฮค่อยๆ สัมผัสมือหนาอย่างแผ่วเบาก่อนที่มือคู่ใหญ่กว่าจะกอบกุมเอาไว้และเขย่าเบาๆ อย่างยินดี

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ มินโฮ”

     

     

     
     

    กว่าการถ่ายแบบที่ใช้โลเกชั่นริมหาดทรายขาวไปจนกระทั่งบริเวณต่างๆ รอบโรงแรมสิ้นสุดลงก็ใช้เวลาจนสิ้นแสงสุดท้ายของวัน มินโฮที่เป็นรับผิดชอบดูแลทีมงานร่วมกับทีมที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษก็แทบจะหมดแรงไปพร้อมๆ กับทีมงานถ่ายแบบของนิตยสารเช่นกัน หากภาระงานวันนี้ยังไม่หมดสิ้น เมื่อมี after party ที่รออยู่ในช่วงดึกของคืนนี้ซึ่งมินโฮยังมีหน้าที่ต้องไปเซอร์วิสเป็นงานสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายก่อนจะถึงวันหยุดของตนเองในวันพรุ่งนี้

    “เหนื่อยมั้ยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่จนร่างบางที่กำลังเหม่อถึงกับสะดุ้ง “โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมทำคุณตกใจขนาดนี้เชียว”

    “ผมแค่กำลังเหม่ออยู่น่ะครับ ขอโทษที” มินโฮส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มเขินอายที่คนมองเองอดยิ้มตามไม่ได้ “เสร็จงานแล้วสินะครับ คืนนี้จะได้พักผ่อนแล้ว”

    “ครับ ยากเหมือนกัน อันที่จริงผมไม่ถนัดถ่ายรูป portrait อะไรแบบนี้เลยจริงๆ” ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย พลางทอดสายตาไปยังผืนน้ำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเพื่อพักสายตา

    “ผมว่ารูปของคุณสวยมากเลยนะครับ อืม ผมนี่พูดประหลาดจัง ก็คุณชิมชางมินเป็นช่างภาพนี่นา”

    “จริงๆ ผมเป็นคอลัมนิสต์กับชอบถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าน่ะครับ งานนี้บก.ที่รู้จักกันกับเจสสิก้าเค้าขอร้องมา” ช่างภาพหนุ่มอธิบาย “แต่ก็ไม่ถึงกับแย่นัก ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

    “ชางมินคะ...” เสียงหวานของนางแบบสาวในชุดบิกินี่สีดำสนิทที่คลุมด้วยเสื้อเชิ้ตบางสีขาวตัวยาวดูไม่เรียบร้อยนักตรงเข้าประชิดตัวร่างสูงอย่างสนิทสนมจนมินโฮอดตกใจไม่ได้ “มาอยู่ตรงนี้เอง เจสหาคุณตั้งนาน”

    “เจสมีอะไรกับผมหรือเปล่า หืมม์” ช่างภาพหนุ่มหันไปยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายตามมารยาท “ทำไมยังไม่กลับโรงแรมไปกับทีมงานอีกล่ะครับ ตรงทางเดินนี้กลางคืนมันอันตรายนะครับ”

    “ก็เจสรอกลับพร้อมชางมินไงคะ” นางแบบสาวคล้องแขนของช่างภาพหนุ่มโดยไม่แคร์สายตาของมินโฮเลยสักนิด “คุณพนักงานโรงแรมล่ะคะ มาแอบอู้งานอะไรอยู่ตรงนี้เหรอคะ” หล่อนจิกตามองมินโฮอย่างไม่พอใจนัก

    “ขอโทษครับ” แม้มินโฮจะรู้สึกไม่พอใจคำพูดเสียดสีของนางแบบสาวนัก หากแต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกค้าของโรงแรมคงจะไม่ดีหากมีปากเสียงกัน เด็กหนุ่มจึงได้แต่ข่มความโกรธเอาไว้ในใจ “งั้นผมขอ...”

    “ผมว่าเจสพูดจาไม่น่ารักนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยห้วนๆ จนนางแบบสาวสวยถึงกับหน้าเสียไปครู่หนึ่งแต่ก็กลับมาเชิดหน้าใส่มินโฮและกระชับวงแขนที่โอบรอบท่อนแขนแกร่งของชางมินเอาไว้อย่างไม่ยี่หระ

    “เจสก็แค่พูดความจริงเองนะคะชางมิน”

    “ไม่เป็นไรครับ ที่คุณเจสสิก้าพูดก็ถูกครับ งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ”

    พูดจบประโยคแล้วมินโฮก็เดินจากมาเพื่อกลับไปช่วยพนักงานของโรงแรมคนอื่นในการเคลียร์สถานต่อ แม้เด็กหนุ่มจะพยายามสนใจกับงานตรงหน้าเพียงใด แต่ดวงตาคู่โตก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหนุ่มสาวหน้าตาดีอย่างคุณช่างภาพหนุ่มกับนางแบบสาวสวยที่ยืนคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่ไม่ไกลนัก แต่ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในบริเวณโรงแรม

    “Hey, Minho! You look so distrait today, what’s wrong with you?” เพื่อนพนักงานชาวแคนาดาที่มาฝึกงานด้วยกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นมินโฮยืนเหม่อมองแขกชาวเกาหลีของโรงแรมคู่นั้นเป็นพักๆ “Do you know them privately?

    “Nope, I’m sorry. I just feel a bit lost.” มินโฮถอนหายใจพลางส่ายหัวเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ เพราะตนเองก็รู้สึกไม่เข้าใจสักเท่าใดนักที่เอาแต่จ้องมองคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างที่ก็ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาอาจจะเหนื่อยเกินไปหลังจากไม่ได้พักผ่อนเต็มที่มาหลายวันติดต่อกัน

    “Are you okay, pals? We also have to hurry for preparing a party tonight.” เขาตบบ่ามินโฮเบาๆ พร้อมมองด้วยสายตาเป็นห่วง

    “I’m alright, Jeffrey. Thanks” มินโฮพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเก็บของตรงหน้าไปอย่างเงียบๆ โดยพยายามที่จะไม่ใส่ใจกับสายตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยเกินกว่าเพื่อนของอีกฝ่ายในขณะที่ตนเองไม่รู้สึกอะไรเกินกว่าเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

    อันที่จริงแล้ว ชเวมินโฮค่อนข้างจะป๊อบปูล่าร์ทั้งกับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกันตั้งแต่เรียนม.ปลายอยู่ที่เกาหลีจนกระทั่งไปเรียนต่อด้านการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์จนปีสุดท้าย มินโฮเองก็ไม่เคยปิดกั้นตัวเองเรื่องความรัก เคยออกเดทก็หลายครั้ง แต่มินโฮก็ไม่เคยเริ่มที่จะคบใครอย่างเป็นจริงเป็นจัง...จนกระทั่งวันนี้ที่มินโฮรู้สึกใจเต้นและร้อนวูบวาบยามที่ได้สบตากับดวงตาคู่คมของช่างภาพหนุ่มคนนั้น

    มินโฮไม่แน่ใจนักว่า...เขาอาจจะกำลังตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นเสียแล้วสิ!!!  

     

     

     
     

    ห้องจัดเลี้ยงขนาดห้าสิบคนที่ตั้งอยู่ในจุดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของรีสอร์ตระดับหกดาวถูกประดับประดาด้วยแสงไฟดวงเล็กสีส้มระยิบระยับดูโรแมนติกจากภายนอก หากแต่ภายในกำลังร้อนแรงด้วยเสียงเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ที่ถูกเปิดจากชายหนุ่มรูปหล่อที่กลายสภาพจากช่างภาพมาเป็นดีเจเปิดแผ่นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเสียงเรียกร้องของหลายๆ คน เหล่าทีมงานนิตยสารชื่อดังที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันกำลังปลดปล่อยความเมื่อยล้าด้วยการเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงและดื่มกินเครื่องดื่มมึนเมานานาชนิดที่จัดเอาไว้บริการอย่างไม่จำกัด

    หากเพียงแค่นางแบบสาวที่เป็นนางเอกของงานเยื้องกรายจากโซฟาเข้ามายังฟลอร์ตรงกลางก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในงานได้ไม่ยาก ไม่มีใครปฏิเสธว่าเจสสิก้าเป็นนางแบบและนักแสดงที่ฮอตที่สุดในเวลานี้ สัดส่วนอันน่าดึงดูดใจถูกเปิดเผยเอาไว้ให้คนมองได้หัวใจกระตุกกันบ้างกับเดรสรัดรูปลูกไม้สีดำของชาแนลโชว์เนินอกอวบอิ่มเย้ายวนสายตากับส่วนล่างที่เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนในรองเท้าแพลตฟอร์มส้นแหลมสีแดงสดจากคริสเตียนลูบูแตง...ใครกันบ้างล่ะที่จะไม่สนใจเธอได้

    ...แต่ก็มีคนเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะให้สนใจ!

    ขาเรียวสวยในส้นสูงสีแดงสดค่อยๆ เยื้องกรายผ่านกลางฟลอร์และได้รับความสนใจตามที่หล่อนต้องการ เพราะแม้กระทั่งชิมชางมินที่กำลังสนุกกับการมิกซ์เพลงที่ห่างหายมานานก็ยังอดมองเธอจนตาค้างไม่ได้ และแน่นอน...เธอกำลังเดินไปหาเป้าหมายรูปหล่อด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม

    “ชางมินคะ เจสไม่มั่นใจเลย คนมองเจสเต็มเลยค่ะ” ระหว่างที่เพลงกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เจสสิก้าก็ตรงเข้าไปยืนยิ้มขวยเขินอยู่ข้างกายชางมินในระยะประชิดพร้อมทั้งโน้มคอดีเจหนุ่มสุดฮอตลงมากระซิบกระซาบจนได้ยินเสียงหายใจที่เจือกลิ่นแอลกอฮอล์บางเบาของกันและกัน

    “คืนนี้อยู่กับเจสนะคะ ชางมิน” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดมอบจุมพิตบางเบาที่แก้มกร้านของชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า “เจสอยากรู้จักชางมินมากขึ้นจังเลยค่ะ”

    ถึงชางมินจะไม่ได้สนใจในตัวหล่อนอยู่เป็นทุนเดิม แต่สัญชาติญาณของชายหนุ่มกำลังทำงานไปตามกฎของธรรมชาติที่ยากจะฝ่าฝืนได้ คงจะไม่ผิดอะไรหากมีคนมาเสนอตัวให้ถึงขนาดนี้และเขาจะใจร้ายไม่สนองตอบไปเสียหน่อย เพราะลึกๆ ทั้งคู่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเพียงความสนุกชั่วข้ามคืนเท่านั้น

    “เอ่อ เบียร์ที่คุณสั่ง...” มินโฮที่ออกมาช่วยดูแลงานข้างนอกที่กำลังวุ่นวายเป็นการชั่วคราวไม่ได้สนใจอะไรนอกจากรับออเดอร์ของชิมชางมินเมื่อครู่นี้และเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมเบียร์สองขวด แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้ดวงตาคู่โตเบิกกว้างอย่างตกใจที่เห็นนางแบบสาวกำลังนัวเนียเบียดร่างเข้าหาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่แคร์สายตาใคร

    “ก็วางไว้ตรงนั้นสิ นี่จะยืนขัดอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย” เจสสิก้าจิ๊ปากอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะจากพนักงานหนุ่มหน้าตาน่ารักคนเดิมที่หล่อนกลัวว่าจะแย่งผู้ชายของหล่อนไปตั้งแต่เมื่อตอนเย็น “รีบไปสิ จะมองชางมินของชั้นอีกนานมั้ย”

    “ขะ...ขอโทษครับ” ร่างสูงโปร่งรีบวางของในมือแล้วเร่งเดินออกไปทันที หัวใจดวงน้อยบีบรัดอย่างหนักหน่วงจนเกินจะควบคุม มินโฮไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้และเห็นภาพบาดตาได้นานกว่านี้อีกแล้ว

    “เดี๋ยวคุณ...” ชางมินตะโกนเรียกมินโฮพร้อมๆ กับพยายามงัดแงะตัวเองออกจากการเกาะกุมของเจสสิก้า แต่เสียงเพลงในงานก็ดังเกินไป รวมถึงแผ่นหลังบอบบางของคนตัวเล็กก็กำลังห่างออกไปไกลเรื่อยๆ เกินกว่าจะได้ยินเสียงเรียกของเขาเป็นแน่

    “ชางมินจะไปไหนคะ เจสอยู่ตรงนี้ทั้งคน ทำไมไม่สนใจกันบ้างคะ” เจสสิก้าขึ้นเสียงเมื่อเห็นชางมินพยายามจะเดินตามพนักงานโรงแรมหนุ่มคนเมื่อครู่ไป “หรือมันมายั่วคุณก่อนเจสหรือคะ มีอะไรที่เจสสู้เด็กคนนั้นไม่ได้ตรงไหนคะ ชางมินบอกเจสมาสิคะ”

    “เขาไม่เคยมาเกาะแกะผมเหมือนคุณหรอก เจสสิก้า” ชางมินขืนตัวออกจากอ้อมกอดของหญิงสาวที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้อย่างสุดตัว “แต่มีอย่างหนึ่งผมจะบอกว่าเขาสู้คุณไม่ได้เลย”

    “แน่นอนสิคะ เจสก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีกว่าเจสเลยค่ะชางมิน”

    “ผมว่าเขาไม่ร่านเท่าคุณเลยล่ะ เจสสิก้า” ชางมินเอ่ยเสียงเรียบพร้อมทั้งแสยะยิ้มให้เจ้าหล่อน “ก็น่าเสียดายนะครับที่ศัลยกรรมมันช่วยแค่หน้าตาของคุณ แต่จิตใจต่ำๆ ของคุณนี่ผมไม่รู้จะแนะนำให้คุณไปทำอะไร...”

    ไม่ทันที่ชางมินจะได้พูดจนจบประโยค เบียร์เย็นเฉียบก็ถูกสาดเข้าเต็มหน้าของช่างภาพหนุ่มพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องของนางแบบสาวคนสวยจนทำให้คนทั้งงานหันมามองกันเป็นตาเดียว

    “แล้วคุณจะเสียใจที่ทำกันชั้นแบบนี้ ชิมชางมิน!” เจสสิก้ากระแทกขวดเบียร์เข้ากับเคานเตอร์แกรนิตจนขวดสีชาแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ผิดกับเจ้าทุกข์ที่ยืนนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไรก่อนจะเดินออกจากบริเวณงานเลี้ยงไปอีกทางหนึ่ง

    “เวรเอ๊ย เป็นเรื่องแน่ๆ...” ทีมงานของนิตยสารต่างก็กุมขมับกันถ้วนหน้าจนไม่ได้สนใจงานเลี้ยงกันสักเท่าใดแล้ว เพราะรองบรรณาธิการถึงกับต้องวิ่งตามออกไปเคลียร์กับนางแบบสาวชื่อดังด้วยตัวเอง

     

     

     

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักร่างบางที่นั่งอยู่สุดทางเดินกลางน้ำอยู่เพียงคนเดียวก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างถือวิสาสะ “ขอผมนั่งด้วยคนนะ”

    มินโฮหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความแปลกใจที่ได้กลิ่นเบียร์คละคลุ้งราวกับไปตกถังหมักเบียร์มาทั้งตัวรวมถึงเสื้อผ้าก็เปียกปอนไปทั้งหมดด้วยความตกใจ

    “คุณไปทำอะไรมาครับ ทำไมถึงเลอะเทอะแบบนี้”

    “นิดหน่อยครับ ไม่เป็นไรหรอก” ชางมินยิ้มเจื่อนๆ หากแต่อีกฝ่ายกลับทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

    “อย่าบอกว่าคุณถูกคุณเจสสิก้าสาดเบียร์ใส่นะครับ?” เด็กหนุ่มตาโตขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องปกติ “เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย”

    “อย่าสนใจมันเลยครับ”

    “...มันจะดูเข้าข้างตัวเองไปมั้ย ถ้าผมจะถามว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เพราะผมเป็นต้นเหตุน่ะครับ” มินโฮถามออกไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองสักสิบที...กล้าพูดออกไปได้ยังไงนั่น

    “คุณก็มีส่วนในเรื่องนี้...นิดหน่อย”

    “คือ...ให้ผมไปอธิบายให้คุณเจสสิก้าฟังดีมั้ยครับ” พูดยังไม่ทันจบประโยค มินโฮก็ทำท่าจะลุกไปจริงๆ หากแต่ข้อมือบางถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือใหญ่ของช่างภาพหนุ่มที่ยิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยน

    “ไม่ต้องหรอกครับ เขาไม่ได้มีความสำคัญที่จะต้องรู้ว่าผมกับคุณเป็นอะไรกัน ปล่อยเขาไปเถอะ”

    “แต่ว่า...”

    “ไม่มีแต่ครับ ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร โอเคมั้ยฮะ” ชางมินเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเด็กหนุ่มก็อดยิ้มตามไม่ได้ มือหนาเผลอไปขยี้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของคนตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ “คุณเป็นคนดีจังนะครับ”

    มินโฮกำลังจะหลอมละลายให้กับความอ่อนโยนของคนตรงหน้า ทั้งแววตา น้ำเสียงและรอยยิ้มของชิมชางมินกำลังทำให้หัวใจดวงน้อยพองฟูและเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ประหลาดที่สุดตั้งแต่เกิดมา

    มือน้อยยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในกระเป๋าให้ชายหนุ่มอย่างขลาดเขิน มินโฮยังเด็กนักกับเรื่องของความรักจนไม่อาจปิดบังความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าให้อีกฝ่ายได้รับรู้จนหมดแล้ว

    “ให้ผมเช็ดเหรอครับ มันจะเลอะนะ”

    “เถอะครับ เปียกแบบนี้เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

    ชางมินรับผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยมาซับเบาๆ ตามใบหน้าแล้วทอดสายตามองทะเลกว้างใหญ่เบื้องหน้าที่แสนจะเงียบสงบ มีเพียงเกลียวคลื่นเบาๆ ซัดออกจากชายฝั่งเป็นระลอก ชวนให้จิตใจสงบได้อย่างน่าประหลาด...หรืออาจจะเป็นเพราะคนข้างๆ ที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ถึงเพียงนี้

     “มินโฮครับ...”

    “อ๊ะ...มีอะไรหรือเปล่าครับ” หนุ่มน้อยถึงกับสะดุ้งที่อีกฝ่ายเรียกชื่อตนเองได้อย่างง่ายดายด้วยเสียงเท่ๆ แบบนั้น แต่พอคิดอีกทีอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรด้วย อะไรๆ ก็เลยเป็นเรื่องง่ายน่ะสิ...เฮ้อ

    “พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนสักหน่อย แต่ว่ามีค่าตอบแทนให้นะครับ”

    “ว่างสิครับ ว่าแต่เรื่องอะไรเหรอฮะ” มินโฮตกปากรับคำไปอย่างง่ายดายทั้งที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดอันน้อยนิดที่เขาหวงแหนมากแท้ๆ

    “เป็นไกด์พาผมเที่ยวที่นี่หน่อยนะครับ” 

    “ด้วยความยินดี...”

    “ชางมิน หายหัวมานั่งชิลตรงนี้คนเดียวเหรอวะ มาคุยกับฉันเลย” รองบรรณาธิการร่างใหญ่วิ่งกระหืดกระหอบตามหาชางมินจนทั่วรีสอร์ตหรู กว่าจะเจอตัวก็เล่นเอาแทบหายใจไม่ทัน “มาคั่วเด็กอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ ไอ้ห่าเอ๊ย”

    “พี่คยองเจ น้องเขาเป็นคนเกาหลีนะครับ พูดจาดีๆ หน่อยสิ”

    “ฉันไม่รู้หรอกว่าหมอนี่เป็นใคร แต่นายต้องมาเคลียร์กับเจสสิก้าเดี๋ยวนี้!!” ชายร่างใหญ่แทบจะฉุดกระชากชางมินให้ลุกขึ้นมาด้วยความโมโห แต่เมื่อชางมินเหล่มองด้วยสายตาไม่พอใจนักอีกฝ่ายหนึ่งก็ค่อยๆ ปล่อยมือจากเสื้อเชิ๊ตราคาแพงของอีกฝ่ายแทบจะทันที

    “พี่ไปรอผมที่ห้อง เดี๋ยวผมจะตามไปเอง ตกลงนะครับ”

    เมื่อสิ้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกของชายหนุ่ม รองบรรณาธิการของนิตยสารจึงต้องล่าถอยออกไปอย่างช่วยไม่ได้ คนในวงการนี้รู้กันดีว่าชิมชางมินไม่ใช่แค่ช่างภาพอิสระอย่างที่คนภายนอกรู้จัก ธุรกิจของครอบครัวชิมยิ่งใหญ่ในทุกวงการ หากทำให้ชางมินไม่พอใจ อย่าว่าแต่หลุดออกจากงานที่ทำอยู่ แต่จะไม่มีโอกาสได้กลับมาทำงานประจำในบริษัทต่างๆ อีกแล้ว

    “ตกใจใช่มั้ย ขอโทษที”

    “เมื่อกี้นี้คุณน่ากลัวมากเลยครับ ฮ่าๆๆ” มินโฮไม่ได้พูดเล่นที่รู้สึกกลัวอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมากับน้ำเสียงและสายตาอันดุดันเมื่อครู่ จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ด้วยความหวาดหวั่นน้อยๆ ในใจ

    “งั้นพรุ่งนี้คุณก็ห้ามปฎิเสธผมนะครับ...โอเคนะ”

    “ครับ...แล้วผมจะรอคุณชางมินนะฮะ”

     
     

     

     

    “คุณชางมินอยากไปเที่ยวแบบไหนฮะ” ไกด์นำเที่ยวจำเป็นเอ่ยถามความปรารถนาของช่างภาพหนุ่มที่กำลังจิบกาแฟพร้อมกับอเมริกันเบรคฟาสต์ด้วยท่าทางสบายๆ ที่ลอบบี้ติดระเบียงริมทะเลในยามเช้า

    “มินโฮอยากไปทำอะไรล่ะครับ” ชายหนุ่มจิบเอสเปรสโซ่กลิ่นหอมขณะที่กำลังจดจ้องใบหน้าน่ารักของคนตรงหน้าที่วันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ

    “จริงๆ กิจกรรมที่นี่ก็มีเยอะครับ ตั้งแต่ขับรถชมวิวรอบเกาะ ไปดำน้ำ แล่นเรือใบ ขี่เจ็ตสกี อืมม์...พวกกีฬากลางแจ้งอย่างปีนเขาหรือว่ายิงธนูที่รีสอร์ตก็มีบริการครับ” มินโฮอธิบายเท่าที่พอจะนึกได้จากที่เคยได้ยินมา เพราะตนเองก็ไม่ค่อยจะมีเวลาออกไปเที่ยวสักเท่าไหร่

     “เอาที่มินโฮอยากไปทำสิครับ นี่วันหยุดพักผ่อนของคุณทั้งที”

    “เอ่อ...แล้วแต่คุณชางมินเถอะครับ ก็คุณจ้างผมไม่ใช่เหรอฮะ”

    “ก็ผมอยากรู้ว่าปกติว่างๆ แล้วมินโฮชอบทำอะไร...คุณจะได้ถือโอกาสนี้ไปพักผ่อนด้วยไง”

    “...ผมชอบดำน้ำกับขี่เจ็ตสกีฮะ แล้วคุณชางมินล่ะฮะ?” ไม่ใช่ว่ามินโฮอยากจะบอก แต่แววตาของชางมินดูคาดคั้นอยู่ในที

    “งั้นก็ไปทำสองอย่างนั้นก็ได้ครับ”

    “จะดีเหรอฮะ...”

    “ผมก็ชอบดำน้ำครับ แต่ยังไม่มีใบอนุญาตเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีเลยดำได้แค่สน็อกเกิ้ลเองครับ” ชางมินวางแก้วเอสเปรสโซ่ที่ว่างเปล่าไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย “ตอนนี้มินโฮพร้อมรึยังครับ”

    “ฮะ...”

    มินโฮยิ้มกว้างจนตาโตหยีเหลือเล็กนิดเดียวจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ นานมากแล้วที่ชางมินไม่ได้เจอใครสักคนที่ทำตัวเป็นธรรมชาติเวลาอยู่กับเขาได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะคิดหรือพูดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าและท่าทางเสียหมด...เจ้าตัวจะเคยรู้บ้างไหมว่ามันมีเสน่ห์ดึงดูดให้คนรอบข้างอยากรู้จักมากขึ้นเหลือเกิน

    “เมื่อคืน...เรื่องเมื่อคืนน่ะครับ” มินโฮตัดสินใจถามขณะที่เรือสปีดโบ๊ทส่วนตัวกำลังแล่นผ่านฝ่าเกลียวคลื่นบนผืนน้ำสีฟ้าใสมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ได้รับความนิยมในการดำน้ำดูปะการังของเกาะแห่งนี้

    “เอ๊ะ...มินโฮพูดอะไรนะครับ?” ชางมินโบกมือไปมาเพราะเสียงพูดของมินโฮแทบจะถูกเสียงเครื่องยนต์และคลื่นน้ำกลบไปเสียหมด เมื่อมินโฮพยายามพูดอีกครั้งแต่เขาก็ไม่ได้ยิน ร่างสูงจึงลุกไปนั่งข้างๆ เด็กหนุ่มเสียเลย

    “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน” ชางมินเอียงใบหน้ามาถามเด็กหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวในระยะประชิดจึงหันหน้าไปเพราะความตกใจจนจมูกโด่งสวยเกือบชนกับแก้มของอีกฝ่าย

    ดวงตาคู่โตเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อเข้าใกล้ชายหนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว ลมหายใจอุ่นที่รินรดใบหน้าเหมือนจะหยุดเวลาของเด็กหนุ่มเอาไว้ กลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นฝ่ายกระเถิบกายออกมาพร้อมอมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย

    “ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมตกใจนะเนี่ย” ชางมินพูดติดตลกเพราะเดาว่ามินโฮจะต้องเขินและจะตีตัวออกห่างจากเขามากยิ่งขึ้นเป็นแน่หากเผลอไปแซวเข้า ผู้ชายวัยยี่สิบหกปีที่มีประสบการณ์ด้านความรักมาไม่น้อยก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรกับตนเอง...

    “ขะ...ขอโทษครับ” มินโฮค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายตกใจ แม้ตนยังรู้สึกใจสั่นอยู่ไม่น้อย “คะ...คือผมแค่จะถามว่าตกลงเรื่องเมื่อคืนเรียบร้อยมั้ยน่ะครับ”

    “อ๋อ...ก็เรียบร้อยดี มินโฮไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

    “แล้วคุณเจสสิก้าเธอไม่ได้...”

    “ผมว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้นเถอะ”

    พูดแล้วชางมินก็รู้สึกหงุดหงิดกับความไม่เป็นมืออาชีพของเจสสิก้าที่เมื่อคืนเอาแต่เรียกร้องว่าจะขอยกเลิกสัญญาถ่ายแบบทั้งหมดจนรองบก.ถึงกับหน้าเสียจนต้องกระวีกระวาดให้ชางมินไปขอโทษหล่อนเมื่อคืนนี้ เพราะสปอนเซอร์จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายมากมายแน่หากเจสสิก้าไม่ได้ลงปกในนิตยสารปักษ์หน้าตามที่ตกลงไว้ แต่เพียงแค่เขาขู่ว่าถ้าหล่อนยกเลิกสัญญาที่นี่ ไม่ว่าจะบทนางเอกในละครฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่ หรือว่าพรีเซนเตอร์โฆษณาที่กำลังจะตกลงจ้างเจสสิก้าก็จะเป็นอันยกเลิกทั้งหมด เพราะเจสสิก้ารู้ว่าชางมินทำได้อย่างที่พูดจริงๆ หล่อนจึงต้องยอมอย่างเสียไม่ได้

    “ขอ...” แค่มินโฮจะอ้าปากขอโทษ ช่างภาพหนุ่มก็แตะนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอิ่มของอีกฝ่ายเป็นเชิงห้ามปราม ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้มินโฮแทบลืมหายใจ

    “ถ้ามินโฮพูดขอโทษอีกครั้ง ผมจะลงโทษคุณจริงๆ นะครับ...สบายใจเถอะครับ วันนี้เรามาเที่ยวให้สนุกกันดีกว่า”

    “ฮะ...” มือเล็กของมินโฮค่อยๆ จับข้อมือแกร่งของชางมินแล้วดันออกไปอย่างเบามือ ใบหน้าหวานแดงระเรื่ออย่างน่ารัก “อีกสักพักจะถึงที่ดำน้ำแล้ว คุณชางมินไปเปลี่ยนชุดก่อนเลยก็ได้ครับ”

    “จริงๆ มินโฮไม่ต้องพูดจาเป็นทางการกับผมขนาดนี้ก็ได้ครับ ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้ว...ไม่ใช่เหรอครับ”

    “ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณชางมินอายุเท่าไหร่”

    “ยี่สิบหกครับ มินโฮล่ะ”

    “ผมยี่สิบสองฮะ...คุณชางมินเหมือนอายุสักยี่สิบห้าเองฮะ”

    “แล้วก็เรียกว่าพี่ชางมินสิครับ เรียกคุณแบบนั้นฟังดูห่างเหินกันจัง”

    เด็กหนุ่มลังเลอยู่สักพัก หากอีกฝ่ายก็เอาแต่จ้องเอาราวกับจะกดดันเอาตามใจตนเอง ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อที่กัดเอาไว้เพราะความเขินอายค่อยๆ เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

    “พะ...พี่ชางมิน พี่ชางมิน”

    “อะไรนะครับ พี่ไม่ได้ยินเลย” ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเขินเท่าไหร่ชางมินก็ยิ่งอยากจะแกล้งให้มากยิ่งขึ้น...นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอใครสักคนที่ดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์แบบคนตรงหน้า

    “พี่ชางมินอย่าแกล้งสิ ผมรู้นะว่าพี่ได้ยินอ่ะ” แก้มใสสองข้างสุกปลั่งราวกับไปวิ่งตากแดดมาสักชั่วโมง มือไม้ก็รู้สึกเกะกะไปหมดจนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ไหนเสียแล้ว จริงๆ อยากจะตีคนตรงหน้าสักสองสามทีที่มาแกล้งเขาแบบนี้...แต่เราก็ไม่สนิทกันขนาดนั้นเสียหน่อย

    “เรียกอีกสิครับ...”

    ...เฮ้อ อย่ามาทำเสียงนุ่มๆ ใส่แบบนี้ได้มั้ยเนี้ยยยยยย...

    “พี่ชางมินอ่ะ” มินโฮเรียกเสียงอ่อย เหนื่อยแล้วนะ...เขินจนเหนื่อยแล้วนะ

    “ฮ่าๆๆ ครับๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ครับ...ไปเปลี่ยนชุดกันเถอะครับ จะถึงแล้วไม่ใช่เหรอ” ชางมินลุกขึ้นก่อนแล้วกวักมือเรียกมินโฮราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กสามขวบให้เดินตามไปยังท้ายเรือที่มีชุดและอุปกรณ์ดำน้ำเตรียมเอาไว้

    มินโฮค่อยๆ เดินตามร่างสูงอย่างว่าง่าย หากอยู่ดีๆ เรือที่กำลังวิ่งตัดคลื่นน้ำก็โคลงเคลงขึ้นมาโดยที่มินโฮไม่ทันได้ตั้งตัวจนเซไปกระแทกแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้าจนเซล้มไปบนพื้นพร้อมๆ กัน ดีที่ชางมินพลิกตัวกลับมารับร่างบางเอาไว้ได้ทันแม้จะล้มไปด้วยกันก็ตาม

    ใบหน้าหวานวางอยู่บนแผ่นอกกว้างที่เสื้อผ้าหมิ่นเหม่จะหลุดเพราะชางมินเตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เมื่อครู่พอดี ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับกระต่ายตัวน้อยขี้ตกใจยามสบตากันในระยะประชิด เวลาชั่วครู่เหมือนนานเท่านานและมีแรงดึงดูดพิเศษบางอย่างที่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ริมฝีปากอิ่มที่กำลังสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น...เพราะมินโฮก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    “เจ็บหรือเปล่า...หืมม์” น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจกั้น หากเขาก็ต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ตามใจความรู้สึกตัวเองจนเกินไป ชางมินไม่อยากฉวยโอกาสนี้ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน

    “มะ...ไม่ฮะ” มินโฮหลับตาปี๋ส่ายหน้าไปมา เขากลัว...แต่ในใจลึกๆ ก็พร่ำบอกว่าถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมากไปกว่านี้มันจะไม่เป็นอะไร

    “Hey, are you ok?” พนักงานของเรือที่ดูแลความเรียบร้อยรีบเดินเข้ามาเพื่อดูแลลูกค้าว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่สภาพของทั้งคู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกว่า...กำลังเข้ามาขัดจังหวะเสียมากกว่า “I’m sorry, sir”

    มินโฮรีบลุกเดินหนีไปทางด้านหลังเรือแทบจะทันทีเมื่อมีคนอื่นเดินเข้ามา ส่วนคนที่ถูกทับกลับนอนอมยิ้มแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาแก้ความเมื่อยขบเมื่อครู่นี้แล้วลอบมองเด็กหนุ่มที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนอย่างน่าเอ็นดู

    เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ทั้งกิจกรรมที่มินโฮชื่นชอบรวมทั้ง...คนที่ร่วมทริปที่แสนวิเศษอย่างชิมชางมินที่ตอนนี้กำลังตั้งใจกับการเก็บภาพทะเลสีฟ้าครามและแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันด้วยกล้องตัวใหญ่ระหว่างที่เรือลำเล็กกำลังแล่นไปเรื่อยๆ เพื่อกลับเข้าชายฝั่ง

    แค่มองก็มีความสุข...เวลาที่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงรู้สึกราวกับอยู่ในความฝันจริงๆ

    “ลองถ่ายดูมั้ยครับ” ชางมินที่นึกขึ้นได้ว่าทิ้งให้มินโฮนั่งแกร่วอยู่คนเดียวพักใหญ่หันมาถามด้วยความเป็นห่วง เวลาที่เขาตั้งใจทำอะไรบางอย่างแล้ว เขาแทบจะลืมคนอื่นที่อยู่รอบตัวไปเสียทุกครั้ง แถมงานที่ชางมินทำยังต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกเกือบทุกสองอาทิตย์จนคนที่ชางมินคบต่างก็ไม่สามารถอดทนที่ชายหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาให้และเลิกรากันไปด้วยเหตุผลเดิมๆ ไปในที่สุด

    “ไม่เป็นไรฮะ พี่ชางมินเก็บภาพสวยๆ ไว้เยอะๆ นะฮะ ผมดูพี่ทำงานอยู่ตรงนี้ดีกว่าฮะ”

    “พี่เป็นคนเอาใจใส่ใครไม่เก่งเท่าไหร่ พี่ทำให้มินโฮเหงาหรือเปล่า”

    “ผมไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิดฮะ ผม...ผมชอบที่พี่เป็นแบบนี้”

    “...”

    “ขอโทษนะครับ มันอาจจะทำให้พี่ลำบากใจ แต่ผมแค่อยากจะบอกให้พี่ชางมินรู้”

    “มินโฮแน่ใจได้ยังไงว่าพี่เป็นคนที่ดีพอที่จะดูแลนาย เรารู้จักกันแค่สองสามวันเองนะ” ชางมินเอ่ยคัดค้าน เขาอยากให้คนที่ดีกว่าเขาได้ดูแลคนดีๆ อย่างมินโฮ “งานของเราสองคน...คงไม่มีเวลาได้เจอกันสักเท่าไหร่หรอกนะ”

    “อาทิตย์หน้าผมจะกลับสวิส อีกสามเดือนผมจะกลับเกาหลี...ผมอยากเจอพี่ชางมินอีกครั้งตอนนั้น”

    “...ถ้าเราเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกของมินโฮยังคงเหมือนเดิม พี่จะไม่ปล่อยมินโฮไปอีกแล้วนะครับ”

    ไม่ทันให้มินโฮได้ตั้งตัว...ชิมชางมินก็ตรงเข้าไปประทับจุมพิตแสนหวานบนริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบที่เขาอยากลิ้มรสตั้งแต่เห็นครั้งแรก ใบหน้าหวานที่ตราตรึงเขาตั้งแต่เห็นครั้งแรกเมื่อได้พิศมองยามอยู่ใกล้ช่างน่าหลงใหลและไม่อยากจะให้ใครได้ครอบครอง เสี้ยววินาทีแรกที่ริมฝีปากอุ่นแตะลงบนกลีบปากนุ่มทำให้มินโฮรู้สึกตัวเบาหวิวจวนเจียนจะล้ม มือบางคล้องต้นคอแกร่งของอีกฝ่ายเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวโดยไม่รู้ตัว

    “มินโฮ...พี่ชอบมินโฮนะครับ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูอย่างอ่อนโยน มือหนาสัมผัสแก้มใสสีระเรื่ออย่างทะนุถนอม...บางทีอาจจะเป็นเขาเองก็ได้ที่ทนไม่ไหวกับเวลาอีกสามเดือนที่จะถึงข้างหน้า

    “...ผมจูบพี่ชางมินได้มั้ยฮะ”

    มินโฮเองก็ไม่ได้รอให้ชางมินอนุญาต ริมฝีปากแดงฉ่ำสั่นระริกค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทีขลาดเขินอย่างน่าเอ็นดู กลายเป็นช่างภาพหนุ่มหล่อต่างหากที่เชยคางมนขึ้นมารับจุมพิตที่แสนหวานอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ริมฝีปากนุ่มถูกดูดดึงซ้ำๆ ราวกับเป็นขนมหวานรสเลิศ หากเพียงแค่มินโฮเผลอเผยอริมฝีปากออกเพื่อหายใจ เรียวลิ้นร้อนก็เลื้อยเข้ามาทำความรู้จักในโพรงปากแสนอบอุ่นของเด็กหนุ่มใจกล้าแต่กลับไม่ประสีประสาเรื่องนี้สักนิด จากจังหวะเนิบนาบผะแผ่วชวนเคลิบเคลิ้มค่อยๆ ทวีความร้อนแรงเมื่อมินโฮเรียนรู้ที่จะตอบสนองอีกฝ่ายด้วยการเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งร่างกายก็บดเบียดเข้าหากันจนแทบจะหลอมละลายรวมกัน

    “อื้ม...” เด็กหนุ่มครางในลำคออย่างพึงใจ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผละออกจากกันแล้ว ชางมินก็ดึงมินโฮไปจูบอีกครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับต้องการตักตวงความหอมหวานตรงหน้าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

    “อา...มินโฮ” ชางมินจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากไล่ลงมาที่จมูกโด่งสวย และกำลังจะหยุดที่ริมฝีปากอิ่มที่แดงช้ำเพราะรอยกดจูบของเขาอีกครั้ง หากมือเล็กๆ ค่อยๆ ดันร่างหนาออกเบาๆ ด้วยท่าทีขวยเขิน

    “พะ...พอเถอะฮะ ผมเหนื่อยแล้วนะ” เสียงหอบหายใจกระท่อนกระแท่นของมินโฮทำให้ชายหนุ่มต้องอดกลั้นความรู้สึกของตนเองไว้ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ให้กับความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มที่มีมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จนอดที่จะแกล้งไปครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้

    “แค่จูบมินโฮยังเหนื่อยขนาดนี้แล้ว จะไปทำอย่างอื่นไหวได้ยังไงเนี่ย หืมม์”

    “พี่ชางมินทะลึ่งไปแล้วนะ” แก้มที่สุกปลั่งยิ่งแดงขึ้นราวกับมะเขือเทศสุกด้วยความเขิน “ทำไมพี่ถึงดูเชี่ยวชาญกับเรื่องพวกนี้นักฮะ พี่ไม่ได้เจ้าชู้กับใครแบบนี้บ่อยๆ ใช่มั้ยฮะ”

    “ฮ่าๆ พี่ก็หน้าตาดีมีแต่ผู้หญิงเข้าหา บางทีก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับ” ชางมินยั่วเย้า แต่เขาก็พูดความจริงที่ผู้ชายที่ไม่ได้เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ก็เป็นกันทั้งนั้น...เขาอยากให้มินโฮรู้จักและรักที่ตัวตนของเขามากกว่าภาพที่เห็นจากภายนอกนี่นา

    “ผมไม่สนใจอดีตของพี่ชางมินหรอกฮะ แต่อนาคตต่อจากนี้ผมจะทำให้พี่ชางมินมองแต่ผมคนเดียวให้ได้ฮะ”

     

     
     

     

    ...สามเดือนถัดมาที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี...

    ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของย่านฮงแดเป็นที่นัดพบของชิมชางมินและชเวมินโฮหลังจากที่ไม่ได้พบกันตามสามเดือน กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดโรยตัวโอบรอบทั้วบริเวณร้านเพียงแค่ชเวมินโฮผลักประตูเข้าไป เสียงเพลงบอสซาโนว่าถูกบรรเลงผ่านเครื่องเสียงชั้นดีอย่างแผ่วเบาชวนให้อารมณ์สดใสจนต้องเผลออมยิ้มเล็กน้อย

    บรรยากาศที่ถูกตกแต่งในสไตล์บ้านไม้จากยุโรปทำให้มินโฮรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นหอมบางเบาของไม้โอ๊คชวนให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ร่างสูงโปร่งที่มาก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมงด้วยความตื่นเต้นเลือกที่นั่งที่ติดริมกระจกใสบานใหญ่เพื่อที่จะได้มองเห็นคนที่นัดเอาไว้ได้ชัดเจน มินโฮวางกระเป๋าสะพายข้างไว้บนโซฟาสีพาสเทลตัวใหญ่ก่อนจะเดินไปสั่งกาแฟที่เคานเตอร์ตามปกติ หากก็แปลกใจที่ร้านสวยๆ แบบนี้กลับมีแค่เขาเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวในยามสายของวันเสาร์เช่นนี้

    “ขอ Hot caramel macchiato, non-fat milk สองที่ครับ” เสียงทุ้มที่มินโฮแสนจะคุ้นเคยสั่งเมนูโปรดของเจ้าตัวอย่างคล่องแคล่วจนมินโฮที่สนใจกับตู้โชว์เบเกอรี่อยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง

    “พี่จำเมนูโปรดของมินโฮถูกหรือเปล่าครับ”

    “พี่ชางมิน...พี่ชางมินจริงๆ ใช่มั้ย” น้ำตาที่หลั่งออกมาเพราะความคิดถึงที่มากมายเกินกว่าเครื่องมือสื่อสารที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกันจะถ่ายทอดไปถึง เมื่อเจอหน้ากันเข้าจริงๆ ทำให้มินโฮรีบโผเข้ากอดร่างสูงโปร่งที่มาในชุดสูทเป็นทางการดูแปลกตาไปกว่าที่เคยเห็น “ผมคิดถึงพี่จะแย่แล้ว”

    มือหนาลูบแผ่นหลังบางในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเช็ดน้ำตาเม็ดเล็กที่คั่งคลอในดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ “พี่จะกลับมาอยู่กับมินโฮที่เกาหลีแล้วนะครับ”

    “ละ...แล้วงานของพี่ละครับ” ถึงจะดีใจที่จะได้กลับมาเจอหน้าอีกฝ่ายบ่อยๆ แต่มินโฮก็ห่วงไปถึงเรื่องงานของชางมินที่เดินทางกันเป็นว่าเล่น

    “พ่อของพี่บังคับให้กลับมาทำงานของครอบครัวที่เกาหลีได้แล้ว...แต่ก็ไม่เชิงหรอก พี่ก็เลือกเองที่จะกลับมาทำงานจริงๆ จังๆ ที่บ้านเกิดของเราเสียที” ชางมินอธิบาย “แล้วพี่ก็อยากกลับมาดูแลมินโฮใกล้ๆ ด้วย”

    “พี่ชางมินพูดจริงนะฮะ” มินโฮเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก “พี่ชางมินยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมใช่มั้ยฮะ”

    “ไม่ครับ”

    “...” มินโฮหน้าเสียจนน้ำอุ่นที่คลอที่เบ้าตาจวนเจียนจะไหลออกมาอีกครั้ง “พี่ชางมินอยากให้ผมเปลี่ยนตัวเองตรงไหนมั้ยฮะ ผมทนไม่ไหวแน่ถ้า...”

    “ไม่ต้องหรอกครับ...เพราะพี่คิดว่าพี่กำลังรักมินโฮมากขึ้นเรื่อยๆ น่ะสิครับ ถ้ามินโฮทำตัวน่ารักกว่านี้พี่จะตายเอานะครับ”

    “บ้า...พี่ชางมินบ้าที่สุด ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ” มินโฮเขินจนตัวจะแตก รอยยิ้มหวานๆ ก็หุบไม่ลงทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่ รู้สึกว่ากำลังมีความสุขมากจนเกินไปแล้ว

    “เป็นแฟนกันนะครับ” ชางมินเอ่ยถามคนในอ้อมกอดเพื่อยืนยันสถานะที่กำลังเลื่อนขึ้นไปอีกระดับ...และเขาก็หวังว่าความรู้สึกของเขาและมินโฮจะเติบโตไปด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป

    มินโฮพยักหน้ารัวๆ แล้วกระชับอ้อมกอดผู้ชายตัวโตแน่นๆ อีกครั้งแล้วยิ้มอย่างมีความสุข แล้วช้อนตามองคนตัวสูงกว่าอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความหมั่นเขี้ยว

    “ผมจะทำให้พี่รักผมให้ได้มากกว่านี้ คอยดูสิ!!”

     

     

    Fin.







    <<Talk with Writer>>

    กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องและมิตรรักแฟนฟิคชั่นชางมินโฮทุกท่าน *คลานเข่าเข้ามาปัดฝุ่น*
    คือไม่มีอะไรจะแก้ตัวคับ เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา ให้สมอุรา ให้สาแก่จายยยยย แวร๊กกกกก
    เราไม่คิดเลยว่ามันนานขนาดนี้จากฟิคตอนสุดท้ายที่ลง(แถมยังไม่จบอีก) กะ...เกือบสี่เดือนเลยเราะ *จิกกบาลวิ่งรอบบ้าน*
    ก็ขอเล่าเล็กน้อยว่าทำไมหายไปนาน ครือ...ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งฟิคนะ แต่อารมณ์มันไม่ได้ งานมันเหนื่อยมากกกกกกก ชีพจรลงเท้าต้องหมุนเวียนเปลี่ยนที่ทำงานทุกสองอาทิตย์ ลากกระเป๋าเดินทางจนล้อสึกกันเลย นี่ดิชั้นก็อพยพร่างมาอยู่ตจว. และกำลังจะย้ายจังหวัดในสัปดาห์ที่จะถึงนี้เช่นกัน ขอท่านผู้อ่านที่น่ารักโปรดเข้าใจดิชั้นด้วยนะเคอะ >.<

    เรื่องนี้ก็ไม่เปลี่ยนแนวจากของเดิมๆ เท่าไหร่ คือแบบ อยากบิ๊วอารมณ์หวานๆ ของชางมินโฮให้กลับมาก่อน เด๋วค่อยดราม่าใส่อะไรแบบนี้
    แต่ไม่รู้ใครสังเกตหรือเปล่า ว่ามันก็มีฟีลที่ต่างไปจากเรื่องเก่าๆ ของเรานะเออออ (คนอ่าน: อะไรของเมิงคะ พูดไม่รู้เรื่อง)
    ชางมินเรื่องนี้แกจะดูอาร์ตและเซลฟ์พอสมควร ส่วนมินโฮก็ไม่ได้บ้องแบ๊วไร้เดียงสา มีมุมที่แฮ่ดอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ ^^
    แต่มันยาวมากนะ ยาววววววววววววอ่ะ เวิ่นได้ยาวมากทีเดียว ค่อยๆ อ่านนะ เราไม่มาลงบ่อยหรอก 555555555

    เดี๋ยวจะกลับมาต่อเรื่องที่ค้างเอาไว้นะคะ คอยเป็นกำลังใจด้วยน้าาาาา 
    ขอขอบคุณเพื่อนพี่น้องบางคนที่ทวงฟิคกันมา...เราไม่โกรธนะ แต่แบบ รู้สึกดีอ่ะที่มีคนยังรอที่จะอ่านมันอยู่ ขอบคุณมากๆ นะคะ (เป็นใครน่าจะรู้ตัวกันดีนะ 555) 
    ยังไงก็ยังอยากได้คอมเม้นเหมือนเดิมแหละ มันติดขัดตรงไหนโปรดแจ้ง
    คือบอกตรงๆ ว่าฝืดมาก ลบๆ แก้ๆ อยู่หลายเที่ยวทีเดียวเลยค่ะ T-T 

    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นล่วงหน้า และขอบคุณสำหรับใครก็ตามที่แวะเข้ามาอ่าน จุ๊บุ


    แล้วเจอกัน...เมื่อดิชั้นมีเวลาว่างพอ 555555555


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×