หน้าที่ 1 , 2 , 3
 
ใครแต่ง : ริญญดา
4 พ.ย. 66
100 %
2 Votes  
#1 REVIEW
 
เห็นด้วย
8
จาก 8 คน 
 
 
วิจารณ์จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 23 ส.ค. 61

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ตลอดเวลาเกือบ 5 ปีที่ทุกครั้งเวลาผมเข้าเวปเด็กดี ผมจะรู้สึกถึงหน้าที่ที่ผมต้องทำให้กับนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเกือบทุกครั้ง ผมก็จะพยายามมองข้ามแล้วปล่อยมันไป แบบ...ไม่ต้องทำก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรก็ตาม มันแปลกที่ guilty ก็ยังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อผมเข้ามาที่เวป ดังนั้น แม้ว่าเจ้าของนิยายอาจไม่ต้องการคำวิจารณ์อีกแล้ว แต่ผมขอลบความรู้สึก guilty ที่เกิดขึ้นด้วยการทำงานชิ้นนี้ให้เต็มที่นะครับ

เรื่องย่อ
ความใจร้อนของออม ที่ทำให้สูญเสียแม่และดวงตาของตนเองในอุบัติเหตุเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้รู้จัก มายด์ ฝ่ายสนับสนุนนิสิตพิการ ที่พ่อเธอจ้างมาเพื่อให้มาสอนและดูแลออมในการดำเนินชีวิตหลังจากนี้ หลังจากที่ ออมได้รู้จักมายด์ เธอได้มีความรู้สึกที่ดีให้กัน แต่ด้วยเพศสภาพที่เหมือนกัน อาจกำลังทำให้ความรักครั้งนี้มีปัญหา...ติดตามเรื่องราวได้ในเรื่องครับ

โครงเรื่อง
ผู้เขียนเริ่มด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่เป็นผลกระทบต่อเส้นเรื่องหลัก วิธีการนี้เป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมใช้ ทำให้มีความตื่นเต้น และลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผู้เขียนกระชับเรื่องราวหลังจากอุบัติเหตุภายใน 3 ตอนแรก ถึงแม้ว่าจะบรรยายความรู้สึกสูญเสียของออมบ้าง แต่กระนั้น 3 ตอนนี้ ยังไม่สามารถทำให้ผมรู้จักตัวละครได้ดีมากเท่าไหร่ (ผมจะไปอธิบายจุดนี้เพิ่มเติมตรงหัวข้อ ตัวละคร นะครับ) หลังจากที่เรื่องดำเนินได้มาสักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวค่อนข้างเป็นเส้นตรง อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของเรื่องราวกลับอยู่ที่ความรู้ในการดูแลผู้พิการทางสายตาและความละมุนของการใช้ชีวิตซะมากกว่า ซึ่งองค์ประกอบของสองสิ่งนี้นำไปสู่เป้าหมายของเส้นเรื่องนั่นก็คือ ความรัก ผมรู้สึกว่าผู้เขียนได้แทรกความรู้สึกของออมและมายด์ได้ค่อนข้างละเมียดทีเดียวครับ ไม่ได้ยัดเยียดว่า ฉันรักแล้ว แต่ทำให้ตัวละครรู้สึกเรื่อย ๆ จนมาถึงความขัดแย้งในอารมณ์ ถึงแม้ผู้เขียนจะมีปมขึ้นมาให้เห็น แต่ผมมองว่ามันเป็นแค่สถานการณ์หนึ่งเท่านั้น เพราะจุดนี้ผมคาดหวังจะเห็นความขัดแย้ง อยากเห็นดราม่าที่จะกระชากอารมณ์ เห็นความเจ็บปวดจนตระหนักได้ว่า นี่แหละความรัก ซึ่งอาจจะทำให้นิยายมีโทนสีมากขึ้น เพราะนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โทนเรื่องค่อนข้างสะอาดจนผมรู้สึกว่า อะไรบางอย่างมันขาดหายไป
(ผมแนะนำให้ลองใส่ตัวละครผู้ชายอีกตัวในฐานะแฟนมายด์ลงไป จะมีอะไร ๆ สนุกรออยู่มากมาย นอกจากความรู้ที่จะได้จากนิยายเรื่องนี้เลยครับ)

ตัวละคร
ความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงจนเกินไปทำให้ตัวละครที่ชื่อ ออม เกิดอุบัติเหตุ ผู้เขียนดึงบุคลิกของคนในสังคมยุคปัจจุบันมาในนิยายได้ค่อนข้างดีครับ หลาย ๆ ครั้งของอุบัติเหตุเกิดมาจากความประมาท และความประมาทนี่แหละที่มาจากความมั่นใจจนเกินไป หลังจากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุผ่านไป ทำให้เธอกลายเป็นผู้พิการทางสายตา จังหวะชีวิตแบบนี้ของเด็กอายุวัยนี้ ถือเป็นแรงกดดันค่อนข้างมากนะครับ และสำหรับผม รู้สึกว่าผู้เขียนยังไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความกดดันมากพอให้กับ ออม ให้เห็นอย่างเด่นชัด เราแค่รับรู้ว่า ออมรู้สึกแย่และทำร้ายตัวเอง แต่ภาพที่ออกมายังไม่ชัดแจ้งดั่งแสงตะวัน
นอกจากคำบรรยายไม่กี่บท นอกจากนี้ ผมยังรู้สึกว่าแค่บทบรรยายในความเชื่อมั่นของออมในตอนแรก อาจจะยังไม่มากพอที่จะทำให้ผมรู้จักออมได้แบบนั้นจริง ๆ ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบระหว่าง “ออม” ก่อนอุบัติเหตุและ “ออม” หลังอุบัติเหตุ ผมมองว่าไม่สมเหตุสมผลในความใจร้อนเลยทีเดียว เพราะหลังจากรู้จักออมหลังอุบัติเหตุ ตัวละครนี้น่ารักเลยทีเดียว น่าจะได้รับความรักและการอมรมมาเป็นอย่างดี แต่พอตัดภาพมาที่อุบัติเหตุต้นเรื่องปุ๊บ ทำไมคนนี้ถึงได้ใจร้อนมากเพียงนี้ พอจะนึกออกใช่ไหมครับ ดังนั้นควรจะมีสตอรี่มาให้เห็นบ้าง อาจจะบรรยายผ่านบทใดบทหนึ่งของนิยายก็ได้ครับ คล้ายภาพ flashback อะไรแบบนี้
และสืบเนื่องมาจากนิสัย ออม ต้นเรื่อง ผมคาดหวังที่จะเห็นอารมณ์ของความรักที่พลุ่งพล่านแบบนั้นในตอนท้าย ๆ เรื่องเหมือนกัน แต่ก็ยังมองไม่เห็น รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เปลี่ยนตัวตน จากหน้ามือเป็นหลังมือ ในแง่การพัฒนาการของตัวละคร ผมมองว่ามันปุ๊บปั๊บไป ยังไม่ real พอ

มายด์ ถือเป็นตัวละครที่มีสุขุมและรอบคอบพอตัว สามารถสังเกตได้จากวิธีการเลือกรับงาน เธอไม่ได้ใช้ เงิน เป็นตัวตั้ง หากแต่เธอประเมินแล้วว่า สิ่งที่เธอทำไปจะไม่เสียแรงเปล่าและสามารถช่วยใครสักคนให้มีความหวัง ทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นแรร์ไอเท็มในสังคมยุคปัจจุบันจริง ๆ ครับ ดังนั้น มายด์คือตัวละครที่ค่อนข้างแบน ไม่ซับซ้อนและค่อนข้างอ่านง่าย แม้บางครั้งจะมีโมเมนต์ของการยับยั้งชั่งใจ แต่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจมากนัก

ส่วนตัวละครอื่น ๆ เช่น พ่อของออม หรือแม่ ของออม คาแร็กเตอร์มาไม่หวือหวามากมายครับ เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ จึงไม่แปลกใจที่มีลูกสาวแบบ มายด์และออมได้ ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะชักจูงให้ผู้อ่านคิดว่า พ่อของออมมีความรู้สึกต่อมายด์แบบใด แต่ท้ายสุด ตัวละครนี้ก็ยังราบเรียบเหมือนเดิม

โดยปกติแล้ว นิยายที่มีจำนวนตัวละครน้อยแบบนี้ จะทำให้เราสามารถโฟกัสความซับซ้อนของตัวละครได้ชัดมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ตัวละครกลม แต่ในเรื่องนี้ ผมอาจต้องพูดว่าตัวละครสำคัญในเรื่องค่อนข้างเป็นระนาบเดียวกันหมด ไม่ค่อยได้เห็นความผันผวนของอารมณ์มากนัก เลยทำให้ตัวละครเหมือนกระดาษที่มีโทนสีเพียง 1-2 โทน

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เขียนสนใจนะครับ ผมมีทฤษฎีหนึ่งแนะนำโดยที่ไม่ต้องยุ่งกับนิยายมากนัก ตัวละครที่จะทำให้ ออม มีความซับซ้อนมากขึ้น ก็คือ พี่ดอม ผู้เขียนสามารถเพิ่มบทของผู้ชายคนนี้เข้าไปได้ช่วงแรกของนิยาย แล้วก็นำเขาออกไปจากนิยายได้ในช่วงแรกเช่นกัน อาจจะให้เขากลับมาดูแลออมช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วทำให้เขาคิดว่าออมก่อนหน้านี้กับตอนนี้ต่างกัน ผมว่าสนุกแน่ เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจตัวตนของออมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับนิยายส่วนหลังเลยครับ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้น้ำหนักของการหายตัวไป ของดอม ดูมีเหตุผลมากอีกด้วย

การใช้ภาษา
ภาษาในนิยายเรื่องนี้ เป็นภาษาเรียบง่าย มีสำนวนประปรายในแต่ละบท อาจจะไม่ใช่นิยายที่มีคำบรรยายมาสเตอร์พีชเท่าไหร่ แต่ข้อดีก็คือ ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจบทบรรยายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ ของแต่ละตอนได้ค่อนข้างไว However, according to my opinion…คำฟุ่มเฟื่อยหรือคำซ้ำ มีค่อนข้างถี่ ทำให้ผมลดความสนใจในแต่ละตอนได้ประมาณหนึ่ง และเท่าที่เห็น ผู้เขียนไม่ได้ re-write นิยาย ดังนั้นผมเลยค่อนข้างแน่ใจว่า นิยายเรื่องนี้น่าจะไม่ได้ถูกต่อยอดในการทำเป็นรูปเล่มหรือเพื่อการพาณิชย์แต่งอย่างใด ผมรู้สึกเสียดายเล็กน้อยครับ เพราะมีองค์ความรู้บางอย่างที่ดีในนิยายนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลใกล้ตัวของผู้พิการทางด้านสายตา

แก่นเรื่อง
ผู้เขียนมีข้อคิดดี ๆ ผ่านตัวละครมาเป็นระยะ ทำให้นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายที่ดีเรื่องหนึ่ง นี่ยังไม่นับความรู้ของการดูแลผู้พิการทางด้านสายตานะครับ อย่างไรก็ตาม ผมยังได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเข้าใจและการให้กำลังใจ ปมของตัวเอกของเรื่องที่เจอหนักมากครับ แต่เพราะความเข้าใจจากคนรอบข้าง ความรักของคนในครอบครัว ทำให้เธอผู้นี้สามารถผ่านอุปสรรคที่หนักอึ้งไปได้ ซึ่งในสังคมยุคปัจจุบัน มีคนท้อแท้ในชีวิต เราเห็นว่ามีข่าวการฆ่าตัวตาย ข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นนิยายเรื่องนี้ ถ้าได้ต่อยอด จะเป็นนิยายน้ำดีเรื่องหนึ่ง ที่จะทำให้บุคคลที่ท้อแท้สิ้นหวังตระหนักว่า หากยังไม่สิ้นหวัง ยังมีความหวังรออยู่เบื้องหน้าครับ....
     
 
ใครแต่ง : June_5476
22 เม.ย. 57
60 %
4 Votes  
#2 REVIEW
 
เห็นด้วย
13
จาก 13 คน 
 
 
วิจารณ์จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 24 ก.ย. 56
วิจารณ์ รักต้องห้ามข้ามเวลามาพบเธอ 24 Sep 2013

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

การวิจารณ์ในนิยายเรื่องนี้ ผมคงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการแนะนำนะครับ เพราะด้วยเนื้อหาของนิยายที่มีน้อยจนเกินไปแล้วอีกทั้งผู้เขียนก็ดองนิยายมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่า คำแนะนำเล็กน้อยนี้คงช่วยให้ผู้เขียนสามารถพัฒนานิยายได้เยอะกว่านี้ครับ

จากชื่อเรื่อง ผมก็อนุมานเรื่องไปต่างๆ นานา ว่าจะได้รับพล๊อตที่แข็งแกร่งพอสมควร และเมื่ออ่านจนจบ ก็เป็นอย่างที่ผมคิด ตัวพล็อตมาไกลกว่าความเป็นจริงมาก เพราะมีการสร้างเหตุการณ์ในอีกช่วงของเวลาโดยใช้ตัวละครตัวเดียวกัน แถมยังมีความทรงจำเดิมติดตัวมาต่างหาก ซึ่งเมื่อตัวเอกกลับไปในอดีตหรืออะไรก็แล้วแต่แบบนั้น เรื่องราวในอดีตคงต้องเป็นเรื่องที่ต้องสืบหากันแน่แท้ เพราะฉะนั้นถ้าผู้เขียนไม่ละเอียดจริง ความสมบูรณ์แบบของบทประพันธ์จะหายไปทันที เมื่อพูดถึงความสมบูรณ์แบบ ผมคงต้องบอกว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปซะทั้งหมด มันแค่จะเฉียดเข้าใกล้สิ่งนั้นได้มากน้อยเพียงใดเอง นิยายเรื่องนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่ โดยเฉพาะพฤติกรรมมนุษย์นะครับ

เริ่มจากตัวเอกของเรื่องเลย เฌอแตม ด้วยบุคลิกเป็นคนที่ไม่ชอบสังคม เพราะบทก็อธิบายอยู่แล้วว่า ชอบเช่าหนังมาดูและไม่ชอบเดินในที่มีแหล่งชุมชน เพราะฉะนั้นปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าไม่น่าจะดีเยี่ยมเท่าที่สามารถเดินไปคุยกับตัวพระได้นะครับ อย่างไรก็ตาม นิยายเพิ่งเดินมาแค่ไม่เท่าไหร่ ตัวละครสามารถพัฒนาด้านนิสัยได้อีกเยอะ

และส่วนลอตเต้ ครั้งแรกที่เปิดเรื่องมา บริบทรอบข้างบ่งบอกว่าเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงเล็กน้อย (ดูจากอาการของการเล่นไอโฟนที่ไม่ได้สนใจตอบคำถามของเฌอแตมเลย) แต่พอเข้าสู่เรื่องที่แท้จริง กับเป็นคนประเภทเดียวกับเฉอแตม อารมณ์วีนเล็กน้อยและกวนหน่อยๆ เลยแยกบุคลิกในช่วงหลังไม่ออกครับว่า สองคนนี้เหมือนหรือต่างกันตรงไหน ยิ่งพอมีบทนิยายเป็น ช่วงของเฌอแตมและช่วงของลอตเต้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ทั้งสองคนนี้เหมือนเป็นคนคนเดียวกันเลยครับ

ปล. ลูกครึ่งไทย อิตาลี แต่ชื่อนางเอก ฝรั่งเศส ก็เข้าท่าดีนะครับ

ส่วนเรื่องโครงเรื่องหรือแก่นเรื่อง ผมไม่สามารถวิจารณ์ได้ เพราะยังไม่มีอะไรเป็นหลักที่จะทำให้รู้ว่าเนื้อเรื่องที่แท้จริงเป็นเช่นไร

สิ่งที่จะแนะนำ พยายามตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในนิยายออกไป และอยากให้ผู้เขียนระมัดระวังในการใส่ปมครับ เพราะโครงเรื่องแบบนี้หายาก และถ้าทำไม่ดี ก็จะไม่น่าอ่านเลย พยายามขยับออกจากกรอบของคำว่า อยากให้นิยายดูกุ๊กกิ๊ก ออกไปสักหน่อยก็ดี ดราม่าให้ละครหน่อยๆ หรือความไม่จริงใจของแต่ละฝ่ายไปด้วยครับเพราะผู้เขียนเล่นอยู่กับอำนาจ เมื่อพูดถึงอำนาจทุกคนก็คงอยากมีและได้มันใช่ไหมครับโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดในวัง

ปล เท่าที่อ่านมาตอนนี้ ชื่อเรื่องไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโครงเรื่องที่มีเลยนะครับ ข้ามเวลามาพบเธอน่าจะเป็นตัวพระ หรือไม่ก็นาง ข้ามมานะครับ ไม่ใช่ติดกันไปสองคนแบบนี้ หรือถ้าผู้เขียนบอกว่า จริงๆ ลอตเต้ไม่ใช่ตัวพระของนิยาย อันนี้ผมก็โอเคครับ

สุดท้ายนี้ อยากให้พยายามคิดต่างออกไปให้เยอะครับ ผู้เขียนคิดพล็อตออกมาได้แล้ว อยากให้สานต่อจนจบ MrPoseidonSon


     
 
ใครแต่ง : Whitememo
1 ส.ค. 60
0 %
0 Votes  
#3 REVIEW
 
เห็นด้วย
9
จาก 9 คน 
 
 
วิจารณ์จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 22 ก.ย. 56

นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมกล้ารับประกันว่าผู้เขียนมีความตั้งใจดีสำหรับผลงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการลำดับขั้นของเรื่อง ความประณีตของลายละเอียดในแต่ละส่วน ปมปริศนาและการคลี่คลาย ทุกสิ่งมีช่องของความพอดีอย่างดีเยี่ยม อ่านแล้ว แสดงความคิดเห็น กล่าวชม ติเตียน แม้แค่คำว่า ’สนุกดี’ หรือแค่ ’ติดตามต่อตอนไป’ มันก็เป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้เขียน ที่จะทำให้นิยายดีๆ หนึ่งเรื่องเดินทางไปจนจบครับ

วิจารณ์ Zafena พันธสัญญาแห่งวิญญาณ 22 Sep 2013

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

เรื่องย่อ

ศาสตราจารย์เมอร์ริเอล เจ้าของทฤษฎีแนฟม่าและสร้างสถาบันเมอร์ริเซนต์ หายตัวไปอย่างลึกลับนาน 9 ปี ทำให้ซิลเวีย ลูกชายของศาสตราจารย์คนนี้จนปัญญาตามหา แต่ถ้าจะมีหลักฐานสักชิ้นที่สามารถตามรอยการหายตัวของพ่อเขาได้นั้นก็คงเป็น เคอร์เซอร์ บุคคลที่ทำงานในสถาบัน เวลาผ่านไป ปมปริศนาเกี่ยวกับเคอร์เซอร์ก็เพิ่มขึ้นเมื่อ คอซ นักเรียนสาขาต่อสู้ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือเฉียบคนหนึ่งในสถาบันหายตัวไป อาจารย์จึงเรียกประชุมนักเรียนสาขาการต่อสู้เพื่อหาวิธีป้องกัน หนึ่งในนั้นก็คือ เอมิเธียร์ ภายหลัง ซิลเวียได้รู้ว่าเธอคือลูกสาวเคอร์เซอร์ เอมิเธียร์นับว่าเป็นบุคคลแปลกคนหนึ่งในสถาบันเพราะนอกจากฝีมือการต่อสู้ที่เด็ดขาดแล้ว อารมณ์ของเธอยังน่ากลัวอีกด้วย

หลังจากที่ตามคดีคอซได้สักระยะ ร่องรอยการหายของพ่อซิลเวียก็ชัดขึ้น เริ่มจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ของสองสาวในโรงแรมแห่งหนึ่ง แม้นั่นจะเป็นการเปิดปมปริศนาเล็กๆ แต่ซิลเวียก็ไม่สามารถตามหาเจ้าของเสียงได้ ต่อมา เพื่อนสนิทของซิลเวีย มิเรียและเซนเทียร์ถูกรุมทำร้าย เซนเทียร์เจ็บหนักและได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวคนหนึ่ง เช่นเดียวกับซิลเวียที่ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวนิรนามมาเกี่ยวข้องบ่อยๆ ทำให้เขายิ่งเชื่อไปว่า คนที่ช่วยเซนเทียร์กับหญิงที่อยู่ในโรงแรมน่าจะเป็นคนเดียวกัน และความลับที่ปกปิดมานาน 9 ปีก็ถูกเปิดเผยโดยหญิงสาวที่ว่านั่น เธอคือ เพเนเซีย ฟาร์เวอเรล จากซาฟีน่า โลกคู่ขนานเรียลเวิร์ด

ศาสตราจารย์เมอร์ริเอลได้เดินทางไปซาฟีน่าตั้งแต่ซิลเวียยังเป็นเด็กด้วยเหตุผลบางประการ และเคอร์เซอร์ก็รู้เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตลอดหลายปี เคอร์เซอร์พยายามหลบหน้าซิลเวียเ แต่พอซิลเวียรู้ว่าพ่อตนเองอยู่ไหน ความปรารถนาก็มิอาจหยุดยั้งเขาได้ เขาเดินทางไปยังซาฟีน่าโดยการนำทางของ เพเนเซีย และมี มิเรีย เซนเทียร์ ฟอร์ซ (พ่อบ้านของซิลเวีย) และเอมิเธียร์ตามไปด้วย

เมื่อไปถึงซาฟีน่า ซิลเวียได้รู้เรื่องที่เขาไม่เคยรู้ที่เรียลเวิร์ดมาก่อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ของแนฟม่าที่คนในซาฟีน่าคิด ความเชื่อหรือความศรัทธาที่เรียลเวิร์ดไม่มี อีกทั้งภูติประจำตัว แต่มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันก็คือ สถาบันสอนการใช้แนฟม่า โดยพ่อเขาเป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อเขามาที่นี่ ซิลเวียได้รู้ว่าธาตุของตนเองจริงๆ คืออะไรแต่เขาก็ไม่สามาถใช้พลังของเขาได้เหมือนกับที่เรียลเวิร์ด ต่างจากเซนเทียร์และมิเรียที่มีภูติของตัวแล้ว

เมื่อซิลเวียได้เข้ามาเรียนที่สถาบันเมอร์ริเซนที่ซาฟีน่า เขาได้รู้จักกับ เฟเนเซียถึงสองคน (ว่าที่ตำแหน่งผู้ปกครอง) นั่นก็คือเลสทิว เฮเอเซีย เฟเนเซียของมหานครเซเฟียส (เซเฟียเฟเนเซีย) และเฟนอส เฟเนเซียของมหานครเอเดียส (เอลเดเฟเนเซีย) โดยความเป็นมาของทั้งสองคนนี้คลุมเครือทั้งคู่ในสายตาเขา

เขารู้จัก เลสทิว ได้เพราะเรียนห้องเดียวกัน
ส่วนเฟนอส เพราะเขาทั้งคู่ใช้พลังแสงในสาขาการต่อสู้เหมือนกัน ซึ่งน้อยคนที่จะใช้แนฟม่าของตนเองในสาขานี้

ความหงุดหงิดใจของซิลเวียส่วนใหญ่ที่ซาฟีน่าจะเป็นเรื่อง การใช้พลังของตนเอง เพราะถ้าจะว่าไปตอนนี้เขาเปรียบเสมือนคนปกติ ที่ไม่สามารถใช้พลังได้และไม่สามารถเรียกภูติได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ทำให้เขาอยู่ในสภาวะน่าอาย เช่น การเป็นลมในพิธีการเรียกภูติ

จากฝีมือที่ฉกาจในเรียลเวิร์ดกลับมาเท่ากับศูนย์ที่ซาฟีน่าทำให้เขาพยายามหาคำตอบของความไร้สามารถ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ เลสทิว ได้มีโอกาสเหมาะที่จะตีสนิทโดยแสดงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือในปัญหาของเขา

เมื่อซิลเวียยอมรับในการช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงไปบ้านพักของเลสทิว แต่ไม่ทันที่การแก้ปัญหาจะเริ่มต้นขึ้น เลขาไคล์ทมาพร้อมกับข่าวลับว่ากลุ่มรีเจนท์เริ่มเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นผลต่อตำแหน่งของเลสทิวในอนาคตและในขณะนั้น ป้อมปราการของเลสทิวก็โดนโจมตี ทั้งหมดจึงต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด

เป้าหมายในการต่อสู้ในครั้งนี้คือการชิงตัว เลสทิว แต่เมื่อศัตรูสังเกตสิ่งผิดปกติ เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นเพเนเซียแทน และอย่างที่รู้ๆ กันว่า ความสนิทสนมของเพเนเซียกับซิลเวียมีค่อนข้างมาก เพราะไม่เพียงแต่เธอเป็นคนที่ไขความลับดำมืดตลอด 9 ปีของซิลเวียให้กระจ่างทำให้เขาสบายใจ เธอยังเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ซิลเวียและคอยช่วยเหลืออยู่เป็นระยะๆ และด้วยความรู้สึกนี้เอง ทำให้ซิลเวียสามารถใช้พลังของตนเองที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องได้สำเร็จ

เมื่อการต่อสู้สิ้น ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ซิลเวียได้พบพ่อของเขาในที่สุด แต่มุมใหม่ก็ปรากฏขึ้นเมื่อศัตรูรู้ว่าใครคือ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย


โครงเรื่อง

ผู้เขียนลำดับของเหตุการณ์ไว้ค่อนข้างดี กล่าวเปิดทฤษฎีแนฟม่า หลักของเรื่อง และอธิบายเรื่องที่ควรรู้ไว้เป็นลำดับ ไม่แน่นจนเกินไป ทำให้ผู้อ่านเรียนรู้ตั้งแต่ 0 – 9 ได้ง่ายๆ ด้วยที่ผู้เขียนวางปมปริศนา (ผมคิดว่าเป็นหลักของเรื่อง) ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้โทนเรื่องออกไปแนวสืบสวนสอบสวนในช่วงแรก อีกทั้งยังใช้หลัก ความคลุมเครือของเหตุการณ์หรือตัวละคร เพื่อเบนจินตนาการของผู้อ่าน ทำให้เรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นสามารถผลิกผันหรือไม่ผลิกผันได้ตลอด ตรงนี้ต้องยอมรับในฝีมือของผู้เขียนครับ

ผู้เขียนผูกปมใหญ่ๆ ไว้ในแต่ละส่วนของเรื่องไม่เยอะมากนัก จึงทำให้บทต่อๆ มาสามารถคลี่คลายปมจนดูไม่รวบรัดผิดสังเกต มีการอิงสิ่งพิรุธของปมปริศนาไว้อย่างแยบยลในบทบรรยาย เมื่อเรากลับมาอ่านอีกรอบ จะรู้ว่าผู้เขียนใส่ใจรายละเอียดดีมาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนหนึ่งของนิยาย ผมมองการวางพล็อตสำคัญไว้สองที่ นั่นก็คือ

“พ่อของฉันหายไปไหน”

ตัวแรกเป็นพล็อตใหญ่ที่ดำเนินมาจนค่อนเรื่องแล้วคลายปมออกมาจนหมด เหลือเพียงไม่กี่ความสงสัยที่ยังคงค้างไว้ เช่น
ทำไมซิลเวียถึงต้องไปอยู่เรียลเวิร์ด หรือเรื่องของการใช้พลังจากวิญญาณ
เมื่อพล็อตแรกจบลง พล็อตที่สองก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ

“ทำไมซิลเวียใช้พลังไม่ได้”

พล็อตนี้มีบทค่อนข้างเยอะที่จะทำให้เรื่องดำเนินต่อไปจนจบแต่ท้ายที่สุดผู้เขียนก็มาเสนอพล็อตใหม่ โดยชื่อทิ้งท้ายว่า ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย มันไปละม้ายคล้ายชื่อของนิยาย ทำให้ความสนใจในภาคต่อไปมีทวีคูณครับ
แต่กระนั้นนิยายโดยส่วนใหญ่จะวางโครงเรื่องหลักไว้อย่างชัดเจน ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดนะครับ เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ หลักของเรื่องก็คือ เด็กชายผู้รอดชีวิตที่สามารถสยบความชั่วร้ายของพ่อมดดำแห่งยุคได้และพ่อมดร้ายต้องหาทางกลับมาแก้แค้น โดยในแต่ละตอนก็จะเป็นเรื่องรอง

เมื่อเราทราบว่า พ่อมดชั่วร้ายกำลังจะกลับมา เราต้องมีคำถามว่า วิธีการไหนล่ะที่เขาจะกลับมา ดังนั้นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ เลยร่างวิธีโดยแบ่งออกเป็นตอนๆ ซึ่งบางตอนอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการกลับมาแต่มันเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นของพ่อมดชั่วร้ายหรือเกี่ยวข้องกับตัวละครหลักทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้ายอยู่ดี ทำให้คนอ่านลุ้นไปกับนิยายว่าภาคต่อไปจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร โดยที่เนื้อเรื่องในหนึ่งตอนก็สมบูรณ์แบบ อ่านจบโดยไม่คั่งค้าง

ถ้าจะสรุปเรื่องแฮร์รี่ก็จะประมาณว่า

ภาคหนึ่ง ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตหาทางกลับมา โดยศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ขัดขวาง
ภาคสอง ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตกลับมาในรูปแบบหนึ่ง ที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่ฮอกวอร์ต แฮร์รี่ขัดขวางและไขปริศนา
ภาคสาม สมุนคนสำคัญของโวลเดอร์มอร์ตกลับมา (ปีเตอร์ แพ็ตตริกูลว์ ) แต่มีปมของการเข้าใจผิดทำให้ทุกคนคิดว่า แบล็ก ซีเรียส ตามล่าแฮร์รี่
ภาคสี่ ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ตกลับมา โดยความจงรักของ ปีเตอร์ แพ็ตตริกูลว์ ที่สละเนื้อ แฮร์รี่เผผชิญหน้าทำให้โวลเดอร์มอร์ตเริ่มคิดถึง ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ เพราะไม้ของแฮร์รี่และโวลเดอร์มอร์ตทำอะไรกันไม่ได้
ภาคห้า ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตมีอำนาจเหนือกระทรวงเวทมนตร์ ทำให้กระทรวงปั่นป่วน เกรงกลัวเมื่อได้เห็น ทำให้แฮร์รี่เป็นเด็กขี้โกหก
ภาคหก ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตส่งสมุนเข้าแทรกซึมกระทรวง บุคคลสำคัญเสียชีวิตหลายคน สงครามของการล้างแค้นแฮร์รี่ เริ่มขึ้นพร้อมปริศนาของความอมตะของโวลเดอร์มอร์ตกระจ่างขึ้น แฮร์รี่ตามหาฮอร์ครัซ
ภาคเจ็ด ปริศนาของอำนาจพ่อมดสามสิ่ง เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการทำลายความเป็นอมตะของโวลเดอร์มอร์ต

เห็นไหมครับ ทั้งหมด เกี่ยวกับโวลเดอร์มอร์ต และแฮร์รี่ แม้มันจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เจเคก็ใส่ความน่าสนใจผ่านปมปริศนาแต่ละจุดของแต่ละภาคได้อย่างเชื่อมโยงและน่าอัศจรรย์

ไม่ใช่ว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีโครงเรื่องหลัก แต่กว่าเราจะรู้โครงเรื่องหลัก (ซึ่งจะใช่โครงเรื่องหลักหรือเปล่าก็ไม่รู้) ก็เกือบจนจบภาคหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราได้รับตั้งแต่ตอนแรกไม่ใช่โครงเรื่องแท้จริง มันเป็นเพียงเส้นทางไปสู่โครงเรื่องซึ่งดำเนินมาหนึ่งเล่มเต็มๆ นิยายเรื่องนี้จึงอยู่ในลักษณะที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งมันก็เป็นข้อดีอีกแบบหนึ่งของการเขียนนิยาย เพราะทำให้คนอ่านอยากติดตามและไม่สามารถเดาตอนจบได้

แต่ข้อเสียของการเขียนนิยายแบบนี้ก็คือ จะไม่สามารถหาจุคพีคหรือความยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึก Wow กับนิยายได้ เพราะมันจะมีปมต่างๆ ที่ต้องแก้จากส่วนที่ยังไม่ได้คลี่คลาย โดยปมต่างๆ นั้นดูเหมือนจะสำคัญเท่ากันทั้งหมด อย่างเช่น พ่อฉันหายไปไหน (จากจุดแรกที่ผมอ่าน ผมคิดว่ามันคือโครงเรื่องหลักและจะนำตัวเอกเข้าสู่เรื่องราวผจญภัยตามหาพ่อ) หรือ พลังซิลเวียใช้ไม่ได้ และอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ผู้เขียนเปิดเผยโครงเรื่องต่อไปคือ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย ตัวผมก็ยังลังเลใจว่า เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เหลือต่อจากนี้จะเกี่ยวกับ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย ตามชื่อมากน้อยเพียงไหน เพราะตัวเอกที่นำมาทั้งเรื่องคือ ซิลเวีย

ตัวละคร

ในส่วนนี้ ผมขอเริ่มจากการตั้งชื่อตัวละครเลยนะครับ ชื่อตัวละครยังไม่ทำให้ผมฟินเท่าที่ควร บางชื่ออ่านแล้วสับสน ต้องจดหรือไม่ก็กลับไปอ่านอีกรอบให้รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่ใช่เฉพาะชื่อตัวละครอย่างเดียว มันรวมไปถึงชื่อชื่อเมืองและสถานที่ ชื่อที่ปรากฏ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแนวตะวันตกแต่ยังใช้ชื่อเฉิ่มๆ ผมว่าสำเนียงภาษาที่ใช้เกือบจะทั้งเรื่องนี้ ออกไปแนวรัสเซีย (นี่เป็นความรู้สึกนะ) อีกทั้งเสียงของคำว่า เฟอะ กลายเป็นชื่อสำคัญเยอะมาก จนงงว่า ใครเป็นใคร (เพเนเซีย เฟเนเซีย ซาฟีน่า เซเฟียส เฟนอส) หรือเสียง เอีย ที่เยอะจนน่าใจหาย ถ้าจะมีสักคนในนิยายที่ทำให้ผมจำได้ทันที ก็คงเป็น เจค ครับ

ที่ผมพูดเรื่องนี้มาก็เพราะว่า ผม ในฐานะ คนวิจารณ์ผลงาน ต้องเก็บรายละเอียดในเรื่องให้มากกว่าคนอ่านทั่วไป ซึ่งผมต้องใช้เวลาเยอะพอตัว กว่าจะจำชื่อทั้งหมดได้ มันเป็นเรื่องน่าเบื่อครับ แต่ผมก็ต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่สำหรับคนอ่าน มันไม่ใช่หน้าที่ของนักอ่านที่จะต้องมานั่งเก็บรายละเอียดมากขนาดนี้ เขามีหน้าที่ซึมซับความสนุกจากนิยาย และถ้าผู้เขียนทำให้ชื่อในนิยายดูง่ายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะเข้าใจและจำชื่อตัวละครของเราได้ไวเท่านั้น และมันก็เป็นผลดีที่คนจะจำนิยายเรา เพราะผมเห็นว่านิยายดังๆ หลายเรื่อง ชื่อตัวละครเป็นที่จดจำง่ายมาก

บุคลิกตัวละคร ทางกายภาพชัดเจนมากครับ นิสัยตัวละครแยกแยะดี ไม่ต้องอธิบายถึงสีผม คนอ่านก็รู้ว่าใครทำอะไร ใครพูดกับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เห็นจากตัวละครก็คือ จุดอ่อน ทุกคนดูเก่งและกล้าหาญกันไปหมด บางคนก็ร่าเริงจนไม่รู้เวล่ำเวลา แต่ถ้าจะมีปมของคนสักคนก็คงจะเป็น ซิลเวีย ที่ถูกทอดทิ้งจนทำให้ไว้ใจใครยาก และมันก็คือ จุดอ่อน ของตัวละครที่สามารถทำให้ศัตรูปั่นหัวได้ง่ายๆ แต่สำหรับตัวละครตัวอื่น ยังคงไม่เห็นครับ

เมื่อพูดถึงตัวละคร ผมขอชมเชยผู้เขียนที่สร้างนัยยะแฝงผ่านตัวละครได้อย่างดี ทำให้เดาได้ยากว่า ใครดี ใครร้าย อย่างไรก็ตาม เหตุของนัยยะแฝงนี้ก็ผ่านมาจากความคิดของตัวซิลเวียเอง ซึ่งเขาคือตัวละคร แต่ถ้าจะมองในมุมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมยังไม่เห็นใครที่ทำตัวพิรุธนอกจาก เอมิเธียร์ ที่หายไปค่อนเรื่องหลัง

ตัวละครในเรื่องนี้มีเยอะพอสมควร ทำให้การส่งบทในแต่ละคนยาก หรือแม้ว่าผู้เขียนพยายามส่งบทให้ครบทุกคนโดยแยกเขาออกจากกัน เหตุผลก็ยังไม่ดีเพียงพอครับ ยกตัวอย่างเลยละกัน

บทของเอมิเธียร์ที่หายไปดื้อๆ ผู้เขียนทำให้เอมิเธียร์โดดเด่นในช่วงแรก โดยการต่อสู้และแสดงออกทางความรักแก่ซิลเวีย อาจจะเพราะ รักจริงๆ หรือด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม แต่พอพอพ้นประตูเรียลเวิร์ด เอมิเธียร์กลับไม่มีบทบาทใดๆ ในบทหลังเลย (มีนิดๆ ที่เข้ามาเรียน) ทั้งๆ ที่เธอมากับซิลเวียร์ ไม่ว่าภารกิจอะไรก็ตามที่เธอแอบไปทำ ทำไมซิลเวียไม่เอะใจว่าใครอีกคนที่ตามมาหายไป ไม่มีการถาม พูดคุย หรือกล่าวถึงเอมิเธียร์เลย ในความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้หรอกครับ

ตัดมิเรียออกจากฉากไปเพราะตามแม่ไปปรับความเข้าใจกับพ่อ ถ้ากลับไปอ่านบทตรงนั้น จะรู้ว่ารายละเอียดมีค่อนข้างเยอะ ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องลดตัวละครลง มันไม่ผิดครับเพราะนักเขียนส่วนใหญ่ก็ทำกัน แต่มันแปลกที่ทุกอย่างมันดูง่ายดายไป พ่อของมิเรียเป็นคนธรรมดา เลิกรักกับแม่มิเรีย แล้วแม่มิเรียก็หอบลูกหนึ่งคนหนีจากเรียลเวิร์ด เหตุผลก็คงมาจาก พ่อของมิเรียแต่งงานใหม่ คือ แม่รู้ได้ไง ว่าพ่อแต่งงานใหม่ เดาเอา หรือว่าอะไร แล้วถ้ากว่าสิบปีที่ไม่เจอกัน ความรู้สึกของความรักอาจไม่มีแล้ว มันง่ายที่จะกลับไปปรับความเข้าใจเพราะความเข้าใจผิดเหรอครับ หรือถ้ายังรักอยู่ ตัวแม่เองต้องกลับไปสอดแนมสิว่าจริงๆ พ่อแต่งงานไหม แล้วที่บอกว่า พยายามกุมความลับของซาฟีน่าไว้ ผมมองว่าคงไม่ใช่อีกต่อไปในเมื่อ เข้าออก กันเป็นว่าเล่นขนาดนี้ แต่ก็มีฉากหนึ่งที่บอกว่า มิเรีย คุ้นๆ กับบ้านที่ซาฟีน่า ดังนั้น คำถามเลยเกิดว่า เอ๊ะ นี่อยู่ที่ซาฟีน่าทั้งคู่แล้วพ่อของมิเรียหนีแม่ หรือทั้งคู่อยู่ที่เรียลเวิร์ดแล้วแม่หนี แต่ถ้าแม่หนีแล้วทิ้งมิเรีย ทำไมมิเรียรู้สึกคุ้นกับบ้าน แล้วถ้าอยู่ที่ซาฟีน่า ทำไมพ่อไม่ตามไปเจอแม่ที่ซาฟีน่าเลยล่ะเพราะมิเรียเป็นคนบอกเองว่ายังรักแม่มาก

หรือ การแบ่งบทตัวละครในการต่อสู้ เห็นได้ชัดจากการต่อสู้ที่บ้านเลสทิว ซิลเวีย เป็นเพื่อนรักของมิเรียและเซนเทียร์ แต่เขาทิ้งทั้งคู่ให้ต่อสู้ แล้วคุ้มกัน เลสทิวที่เพิ่งเจอกันไม่นาน การแบ่งฉากตัวละครเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันมากับความขัดแย้งในลักษณะของความสัมพันธ์ในเรื่อง ผมว่า มันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีทางเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ให้ใครหนึ่งคนออกไปสู้ แล้วสถานการณ์ดูเหมือนไม่ไหวแล้วจึงมารายงานให้เลสทิวหนีไปทั้งหมด ที่เหลือจะถ่วงเวลาไว้ อะไรแบบนี้

การใช้ภาษา

การบรรยายส่วนใหญ่ในเรื่อง บางช่วงผู้เขียนให้คำพรรณนาถึงสถานที่ได้เฉียบคมรับ ทำให้เห็นภาพและรู้สึกคล้อยตามตัวละครได้เลย แต่บางช่วง ผู้เขียนอธิบายการกระทำของกริยามากกว่า ซึ่งบางจุดมันห้วนไป ถ้าพูดถึงการมองเห็นภาพ นี่ก็ชัดเจนอยู่ แต่ถ้ามองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในตัวภาษาทั้งหมดของเรื่อง ยังสะดุดอยู่เมื่อมุมมองของนิยายยังเป็นบุคคลที่ 3

คำผิด ปกติผมไม่ค่อยเช็คให้นะครับ เพราะผมมองว่าคนเขียนนิยายต้องใส่ใจกับนิยายของตนเองส่วนหนึ่งและว่าด้วยเรื่องการสะกดคำ มันคือความสำคัญอันดับต้นของการเขียนนิยาย เพราะฉะนั้นต้องดูแลนิยายของเราเองครับ แต่ถ้าคำไหนที่ผมคิดว่าผู้เขียนเขียนผิดเพราะความไม่รู้มากกว่าความบังเอิญในการเขียนผิดเอง นั่นผมจะย้ำให้ครับว่าคำที่ถูกคืออะไร

แต่กับนิยายเรื่องนี้ ผมอ่านมาแล้วยังไม่เจอคำผิดเลยหรือถ้ามีผมก็คงจะไม่รู้ว่ามันผิด จะเจอก็แต่คำที่เขียนพลาด เช่น บทที่หนึ่ง ธรรมชาติ หรือคำกำกวมในแง่ความหมาย แซนด์วิชไข่คนผสมชีส -- นี่ถึงขนาดกินไข่คนเป็นอาหารเช้าเลยเหรอครับ

ส่วนคำผิดก็คือ ผมบลอนด์ เขียนแบบนี้ครับ

ฉากที่บรรยายยากที่สุดของนิยายแฟนตาซีก็คือ ฉากต่อสู้ครับ เพราะคนเขียนจะมองภาพออกว่าการต่อสู้ของตัวเองเป็นไปในทิศทางไหน แต่ทว่า ผู้เขียนต้องส่งภาพที่เรามีผ่านตัวอักษรที่มีข้อจำกัดมากมายเพราะถ้าเราจะบรรยายให้เห็นภาพแบบทะลุปรุโปร่งเลย คำบรรยายก็จะมีมากกว่าปรกติ ซึ่งทำให้นิยายเฉื่อยได้มันไม่รวบรัด ยิ่งอ่านยิ่งเฉื่อย และมีหลายฉากเลยที่ผมไม่ค่อยได้สนใจอ่านบทบู้สักเท่าไหร่ ผมแค่เก็บรายละเอียดว่าใครต่อสู้กับใครมากกว่า แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจเนื้อเรื่องได้ครบถ้วนดี เพราะอาจจะผู้เขียนสามารถสรุปฉากการต่อสู้ไว้ค่อนข้างดี ไม่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ

ส่วนมุมขันในบทนิยายถูกปล่อยมาเป็นระลอกๆ ครับแต่ด้วยโทนเรื่องหนักไปทาง dark มากกว่า บางฉากที่มีมุขออกมาเลยทำให้ยังไม่คล้อยตามครับ เหมือนถูกวางไว้ไม่รู้เวลา แต่อาจจะเป็นเพราะนิสัยของตัวละครด้วยก็ได้ ถ้าจะให้ความขำขันในเรื่องนี้ ก็คงประมาณอ่านแล้วยิ้ม สามารถคลายความเครียดได้
ท้ายสุดผมขอแวะเข้ามาถึงวิธีการเขียนของผู้เขียนหน่อยนะครับ เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง รู้สึกว่าจะผู้เขียนจะเป็นคนกำหนดเองซะส่วนใหญ่ มันไม่ได้มาจากความจงใจของตัวละครที่จะทำให้มันเป็นแบบนี้ (เข้าใจที่ผมเข้าใจไหมหว่า)

เช่น

ฉากต่อสู้ระหว่างผู้ร้ายกับเซนเทียร์และมิเรีย เท่าที่ผมอ่านแล้วเข้าใจ มันไม่ค่อย make sense สักเท่าไหร่ ในเมื่อทั้งสองคนต่างเก่งทั้งคู่ เพราะเขาก็บอกเองว่าสามารถโค่นนักเรียนสาขาต่อสู้ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบได้ เพราะฉะนั้นถ้ารวมแรงกันสองคน น่าจะเอาอยู่ ไม่ง่ายดายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีมุมให้คิดว่า มิเรียอาจจะยังวุ่นต่อสู้อยู่กับอีกคน แต่ฉากที่บอกว่า มิเรียกรีดร้องออกมาหมายจะเข้าไปช่วย ตรงนี้อธิบายได้ไม่ค่อยชัดเจนครับว่า ก่อนหน้านั้น มิเรียทำอะไรอยู่ แล้วสรุปมีคนร้ายกี่คน คนหนึ่งสู้กับมิเรีย แล้วอีกคนสู้กับเซนเทียร์ หรือเปล่า แล้วอีกคนไปไหนหลังจากโดนแส้ตวัดใส่หน้าไป หรือว่าคนที่ใช้แส้เป็นคนเดียวกับที่จัดการเซนเทียร์ ในขณะที่เซนเทียร์นอนอยู่ มิเรียจึงวิ่งเข้าไปช่วย แต่ทำไม มิเรียไม่ช่วยตั้งแต่ตอนแรก
ในขณะที่มิเรียสลบ เซนเทียร์หนีมิเรียเอาตัวรอดแล้วลงไปท่อน้ำเหรอครับ เพื่อให้หญิงนิรนามรักษาและเซนเทียร์ก็จำเสียงเธอได้ในเวลาต่อมา

หรืออย่างฉากต่อสู้ที่บ้านเลสทิว

แก่นเรื่อง

นิยายเรื่องนี้สอดแทรกทัศนคติและความเชื่อไว้เป็นอย่างดี กล่าวถึงสองโลกที่แตกต่างกันสุดขั้ว โลกที่ไร้ความศรัทธากับโลกที่ยังคงมีความเชื่อ เป็นการเสนอแนวคิดที่ดีมาก เพราะทุกวันนี้ มนุษย์เราขาดความศรัทธาในธรรมชาติกันไปหมดแล้ว และเมื่อเรายังเป็นกันอยู่แบบนั้น อนาคตของโลกเราคงไม่ต่างจากเรียลเวิร์ด หวังว่า ไม่มากก็น้อยที่นิยายเรื่องนี้จะปลูกฝังเรื่องดีๆ ให้กับผู้อ่านครับ

เพิ่มเติม (ส่วนนี้เป็นข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ครับ)

นักเรียนในสถาบันมีเยอะจนไม่รู้จักกันเลยเหรอครับเพราะตอนที่เปิดตัวเอมิเธียร์ นักเรียนชั้นปี 13 รู้จักเธอดี แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด นักเรียนชั้นปี 12 กลับไม่รู้จักเธอ (หรือแค่ซิลเวียคนเดียว) เหมือนไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน
ทำไมเพเนเซียต้องไปทำงานแจกตั๋วที่กรีนแลนด์อ่ะครับ

มันน่าแปลกอยู่ที่ทุกคนอยากปิดเรื่องซาฟีน่าไว้ แต่กลับยังมีคน เดินผ่าน ได้ง่ายๆ เช่น เพเนเซีย (คือเหตุผลจริงๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ผมยังคลุมเครืออยู่ ละม้ายผมเข้าใจว่า พวกเพเนเซียเข้ามาจับคนจากเรียลเวิร์ดไปทดลองและเพเนเซียก็เป็นหนึ่งในทีมงานนั้น แต่ก็มีอยู่บทหนึ่งที่เพเนเซียบอกว่า ทางเข้าซาฟีน่ามีทางเดียว ต้องเดินผ่านห้องสีขาว แล้วทำไมคนร้ายถึงเดินผ่านออกซาฟีน่าได้อย่างง่ายดาย)

เอเมอร์รีน ประธานชมรมหนังสือพิมพ์ถามเพเนเซียว่า ซิลเวียกลับมาจากเรียลเวิร์ด เพราะฉะนั้น ซิลเวียก็ต้องอยู่ที่เซฟีน่ามาก่อน
ผมยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการปกครองที่ซาฟีน่า ผู้เขียนกล่าวไว้กว่า เลสทิว เป็นเซเฟียเฟเนเซียที่ซึ่งหมายถึง กษัตริย์คนต่อไปที่จะปกครองมหานครใหญ่ในซาฟีน่า นั่นก็คือ เซเฟียส แต่ผมยังมีความขัดข้องในประโยคนี้ครับ

’เพราะตามกฏเลสทิวเองก็ใกล้วัยที่ต้องขึ้นดูแลรัฐเซฟิเลีย…’
’รัฐเซฟิเลีย เป็นหนึ่งใน 36 รัฐภายใต้การปกครองของมหานครเซเฟียส’

เพราะฉะนั้น เฟเนเซียต้องมี 36 คนเหรอครับในรัฐเซเฟียส แล้วสรุป เลสทิวเป็น เฟเนเซียของเซเฟียสที่ต้องปกครองที่รัฐ เซฟิเลีย แล้วรัฐอื่นๆ คนอื่นปกครองเหรอครับ

ส่วนเรื่อง เอลเดเฟเนเซีย กับ เซเฟียเฟเนเซีย คำว่า เอลเด คงจะหมายถึง เอเดียส เช่นเดียวกับ เซเฟียที่เหมือนถึง เซเฟียส

ผมสงสัยเรื่องตัวย่อของหน่วยกองกำลังป้องกันและปราบปรามพิเศษแห่งฟาร์เกซโดยถูกใช้ตัวย่อว่า ESFAF ถ้าเรามองในมุมของคำอ่าน ใช้ได้เลยครับ แอสฟาฟ หรือ จะออกเสียงอย่างไรก็ตาม มันให้ความสมจริงเหมือนกันองค์กร NATO หรือ SWAT แต่ผมไปสะดุดตัว A ที่ถอดมาจากคำว่า and เพราะฉะนั้น มันก็ไม่มีความหมายและสื่อถึง Tactics of Fargaze ผมว่าตรงนี้ลองไปแปรความหมายมาใหม่ก็ดีนะครับ อย่างคำว่า Elite ผมมองว่ามันยังไม่ค่อยจำเป็นที่จะเอามาใส่เพราะคนที่จะทำงานในองค์กรนี้ได้ก็ต้องถูกคัดกรองมาจากสถาบันมอร์ริเซน ดังนั้นโดยชื่อน่าจะถูกสงวนกับคนที่ไม่ธรรมดาและต้องเก่งโดยนัยยะอยู่แล้ว และถ้าตัดออกทั้งแบบที่ผมว่า ก็จะได้ SFTF ซึ่งก็จะไปละม้ายคล้ายตัวย่อของ CIA หรือ FBI ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เขียนครับ ที่กล่าวมาแค่คำแนะนำเท่านั้น

ท้ายสุด ขอบคุณที่ให้ผมได้เข้ามาอ่านนิยายดีๆ แบบนี้ เชื่อว่า นิยายเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนที่เริ่มต้นสามารถนำความรู้และเทคนิคในนิยายนี้ไปใช้ได้ในอนาคตครับ MrPoseidonSon…
     
 
1 ก.ค. 55
80 %
19 Votes  
#4 REVIEW
 
เห็นด้วย
14
จาก 15 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 20 พ.ค. 55
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ในบทที่สอง มีเขียนคำว่า กับ เป็น กลับ นะครับ ปกติ พี่ไม่ค่อยพูดเรื่องตัวสะกดมากเท่าไหร่ นอกจากคำที่เขียนผิดกันบ่อยๆ แต่ในกรณีนี้อยากให้แก้ครับเพราะคาดว่าน่าจะลืม (บรรทัดที่ 29 จากล่างขึ้นบน)

นิยายออนไลน์ที่พี่เข้าใจก็คือ คนเราจะหลับแล้วเข้าไปเล่นเกมเสมือนตัวจริง ที่พี่รู้ก็เพราะ เคยมีน้องคนหนึ่งให้พี่เข้าไปวิจารณ์นิยายออนไลน์ให้ แต่ก็ไม่ได้ทำ แค่อ่านเฉยๆ เพราะรู้สึกว่ามันเยอะมากเกินไป แล้วก็ไม่ถนัดด้วย เรื่องนั้น ทำได้ค่อนข้างดีจนมียอดทะลุหลายหมื่นเลยทีเดียว ตอนนี้คงแสนแล้วล่ะ สิ่งที่พี่เห็นได้จากเรื่องนั้นก็คือ การเกริ่นและอธิบายความเป็นมาว่า เกมออนไลน์ ในเรื่องมีลักษณะยังไง เขามีแค่ 3-4 บรรทัดและเมื่อรวมการลำดับเหตุการณ์และการเริ่มเกมของตัวเอก ถือว่าทำได้รัดกุมและไม่น่าเบื่อเลยครับ

ที่พี่บอกเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะว่าน้องเขียนไม่ดีนะครับ แต่น้องต้องคิดถึงคนที่เขาเริ่มสนใจอ่านนิยายออนไลน์ แน่นอน คนที่เคยอ่านนิยายแนวนี้มาก่อน เขาจะเข้าใจวิธีการเล่นเกม ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า มันไม่เห็นจำเป็นต้องเกริ่นหรือเล่าความเป็นมาของนิยายก่อนเลย แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า ถ้ามีคนหนึ่งคิดอยากจะอ่านนิยายประเภทเกมออนไลน์ขึ้นมาแล้วพวกเขาเลือกนิยายของน้องเป็นเรื่องแรก เขาอาจจะไม่เข้าใจระบบการเล่นเกมและการดำเนินเรื่อง

ยกตัวอย่างฉากหนึ่งที่พี่อ่านแล้วคิดว่าอาจจะทำให้คนอื่นสับสน ฉากที่ว่า คมน์ที่วิ่งเข้ามาหาเพื่อนที่กำลังเล่นเกมอยู่ ตอนนี้เราอธิบายว่า เขาเล่นเกมอยู่ จากสิ่งที่เจออยู่เป็นประจำ จะทำให้คิดว่า นั่งเล่นเกมหน้าคอม และเหตุการณ์ต่อมา ก็มีการต่อสู้ในห้อง สิ่งแรกที่พี่คิดก็คือ แล้วคนที่นั่งเล่นเกมอยู่ล่ะ จะเป็นยังไง แต่มันก็มีเฉลยว่า มีคนนอนอยู่หนึ่งคนในขณะที่ตัวเอกของเรื่องคุยกับณรงค์ พอถึงตอนนี้ พี่ก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังเล่นเกมออนไลน์อยู่นั่นเอง เพราะพี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่คนที่ไม่เคยอ่านล่ะ เขาจะเข้าใจว่ายังไง

แน่นอนว่าตรงนี้ไม่ใช่ความสับสน แต่มันคือ สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากกิจวัตรที่เราเคยเจอ เพราะฉะนั้น คนใหม่ๆ ต้องการคำอธิบาย

อีกเรื่องหนึ่งที่รู้สึกขัดใจ ก็คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในเกม ถ้าเกมนี้มีคนเล่นทั่วโลก ภาษาที่ใช้เป็นภาษาอะไรครับ ในเกมมีระบบประมวลภาษาในตัวหรือเปล่า โปรแกรมที่ทำให้ทุกคนเข้าใจภาษาที่พูดตรงกัน เพราะพี่คิดว่า ในเรื่องนี้คงไม่มีการแบ่ง เซิร์ฟ ใช่ไหม

ชื่อประเทศต่างๆ ที่อยู่ในเกม เป็นคำภาษาอังกฤษที่มีความหมาย เพราะฉะนั้น คำนี้ Tiny อ่านว่า ไทนี่ นะครับ

เวทย์ ตัวที่เราเสนอมา น่าจะเป็นจำพวกพลังใช่ไหมครับ ถ้าใช่ ให้ใช้ เวท ตัวนี้นะครับ เพราะ เวทย์ ตัวนี้มันแปลว่า พึงรู้ หรือ ควรรู้

ฉากหนึ่งที่ว่า คมน์มีหมาน้อยอยู่ในร่าง แน่นอน ตามความคิดของพี่มันต้องมีอะไรที่พิเศษสำหรับเหตุการณ์นี้ มันคงไม่ใช่สิ่งดาษเดื่อนของตัวละครที่จะมีความมืดเข้าแทรกความคิดได้ แต่กระนั้น จุดที่พี่ค่อนข้างเป็นห่วงกับนิยายเรื่องนี้ก็คือ ความเก่งของคมน์ที่ก้าวกระโดดอย่างสูงสุด เช่น การต่อสู้กับจักรพรรดิไฟ เวล 90 หรือการแสดงชั้นเชิงต่างๆ

ถึงแม้ พริ๊นซ์ จะได้อธิบายทฤษฎีต่างๆ จนทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ความเก่งของคมน์ หรือ เตโช นั่นเกิดมาจากการอะไร รวมทั้งยังมีแทรกความเข้าใจในการเป็น ซีเคร็ท (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่ากำลังเสนอความคิดที่ คมน์ เป็นซีเคร็ทด้วยหรือเปล่าจึงทำให้เขาเก่งได้มากเพียงนี้) แต่ก็ต้องคิดด้วยว่า อนันต์ คนที่เก่งสูสีกับคมน์บนโลกจริงๆ เขาเล่นเกมนี้เก่งมาก พูดง่ายๆ มากกว่าคมน์ 90 เท่าเลยก็ว่าได้ ในขณะที่คมน์เพิ่มระดับตัวเอง อนันต์ก็ต้องเพิ่มระดับเรื่อยๆ ถูกไหม มันเลยยากนะที่คมน์จะสู้ได้ เพราะกฎแห่งเกมโดยทั่วไป คนที่เวลสูงกว่า ย่อมเก่งเป็นธรรมดา ยกเว้น เกมที่มีการจำกัดเวลอย่างโดต้า แบบนั้นมันถึงจะใช้ไหวพริบในการต่อสู้

โดยพลังในเกมที่เกริ่นมานิดๆ ในตอนแรกมันบอกเป็นนัยๆ แล้วว่า การใช้สกิลบางอย่างในเกมขึ้นอยู่กับระดับใช่ไหมครับ ตรงนี้ พริ้นซ์ก็ต้องไปจัดการคิดว่า จะทำยังไงที่จะให้ความเก่งของคมน์ไม่แถออกไป มันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ที่คนเวล 1 จะเก่งปานเทพ แต่ในมุมของความเป็นจริง มันค่อนข้างยากมาก แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราก็เข้าใจว่า นิยายเรื่องนี้ คมน์เป็นตัวเอกของเรื่อง ดังนั้น ถ้าตัวเอกจะพิเศษกว่าคนอื่น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

มีคำถาม พี่ขอแบ่งเป็นสองหัวข้อนะ

เรื่องเวลากับมิติ เราบอกว่า เตโชอยู่ในมิติ 15 นาทีเท่ากับโลกของเกม 1 ปี ดังนั้น เมื่อเตโชเข้ามาในเกมครั้งแรก มีการแจ้งกับเพื่อนฝูงว่าเตโชเข้ามาในเกมแล้ว คนอื่นรู้สึกไหมว่า เตโช หายไปนานร่วมปี เพื่อฝึกและทำความเข้าใจกับไดจิ

ป่าไม่หวนกลับ เราบอกว่า ป่าไม่หวนกลับเป็นป่าที่มีการบิดเบี้ยวของมิติใช่ไหม ดังนั้นถ้ามีใครเข้าไป ก็อาจจะไม่สามารถออกจากป่านั้นได้ เตโชเดินออกมาจากที่นั่น ก็แสดงว่า เมื่อทำภารกิจพิเศษลุล่วงแล้วและตามไดจิเข้าไป สถานที่ไดจิอยู่ก็น่าจะเป็น ป่าไม่หวนกลับ เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อโจ๊กเกอร์เดินออกมาจากป่านั้น พี่เลยเข้าใจว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำภารกิจพิเศษสำเร็จเช่นเดียวกับเตโช (พี่ไม่แน่ใจว่า โจ้กเกอร์เกี่ยวข้องอะไรกับไดจิ แล้วทำไมเขาถึงอยู่ที่นั่นเพราะมีฉากหนึ่งที่ไดจิพูดว่า อย่ามายุ่งกับแขกของเขา มันแสดงถึงความเกี่ยวข้อง แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วถ้าโจ๊กเกอร์อยู่ในนั้นมานานมาก ทำไมเขาถึงตัดสินใจออกจากป่าไล่เลี่ยกับเตโช)

ตรงนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ว่า ประโยคในเรื่องบางประโยค ทำให้ต้องกลับมานั่งตีความหมายอีกรอบ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราต้องมาตีความหมายของประโยคนั้นให้ดูวุ่นวายเมื่อเราสามารถใช้คำๆ หนึ่งได้เลย มันแค่ทำให้ประโยคสั้นลง แต่เมื่อเทียบกับความที่เข้าใจที่ง่ายขึ้น มันดีกว่านะ เช่น ฉากที่ตั้กแตนต่อสู้กับเสือพาดกลอน อันนี้กำลังจะบอกว่า ตั้กแตนเคลื่นไหวเร็วมาก จนเหมือนหายตัวใช่ไหมครับ พี่ไม่เข้าใจว่า ภาพติดตา คืออะไร หรือประโยคที่ว่า ตั้กแตน ไม่มีปีก แต่กระโดดได้ไกล เพราะเกิดมาจากแรงขาที่มีกำลังมหาศาล ตรงนี้พี่ต้องกลับมาอ่านทีละคำเพื่อทำความเข้าใจเลยนะ

ตั้งแต่บทที่แปดไป พี่รู้สึกถึงความลำบากในการอ่าน ตัวมันเล็กเกินไป แล้วยิ่งเป็นอ่านบนหน้าจอคอมด้วยแล้ว สายตาคนอ่านอาจจะเสียได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นิยายเรื่องนี้จะมีแต่เรื่องที่น่าตินะ (จริงๆ ที่พี่พูดมาเป็นเรื่องที่สมควรติเปล่าก็ไม่รู้นะ) แต่ผู้เขียนยังได้เสนอความคิดที่น่าทึ่งหลายอย่างเข้าไปในนิยายเรื่องนี้พอตัว เช่น ชื่อเกมกับการตามหาคนจำพวก ซีเคร็ท ใครจะไปนึกได้ว่าเป้าหมายต้นๆ ของการสร้างเกมนี้ขึ้นมา เป็นการตามหาคนที่มีพลังพิเศษเหมือนโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษของซาเวียร์ (X Men) ทำให้ความไร้เหตุผลในความเก่งของพระเอกถูกทอนลงมา อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลบางประการที่น่าคิด และเมื่อผู้เขียนคิดจะเสนอทฤษฎีแนวนี้ พระเอก เวล 1 เป็นเทพได้ขนาดนั้น มันก็ทำให้นิยายดูตื่นเต้นและคนอ่านรู้สึกขนลุกไปกับตัวเอกของเรื่องทันทีเมื่อมีการต่อสู้จนทำให้จักรพรรดิไฟยอมเป็นลูกน้อง (จริงๆ ไม่น่าจะยอมเป็นลูกน้องเลยเนอะ น่าจะเป็นสหายมากกว่า)

หรือการเรียนและสร้างสกิลการต่อสู้ขึ้นมาเองทำให้ ฉากบู้หลายฉากดูมหัศจรรย์ และตรงนี้ยังเป็นตัวเสริมให้ผู้เขียนต่อยอดการสู้ที่ในฉากหลังๆ เข้าไปอีก พอมาถึงตรงนี้ คิดถึงนิยายอันกับ 2 ของการประกวดที่มีโอกาสได้เข้าไปวิจารณ์ ฉากต่อสู้ถือว่าสนุกและมันมาก แต่ข้อเสียของนิยายเรื่องนั้นก็คือ ต่อสู้แทบทุกตอน ไม่มีโอกาสให้ตัวละครพักบ้างเลย เวลาอ่านไปจึงรู้สึกอึดอัดว่าทำไมมีตัวร้ายเข้ามาให้สังหารมากขนาดนี้ พี่ไม่แน่ใจว่านิยายเรื่องนี้กำลังจะเข้าข่ายแบบนั้นหรือไม่ แต่เท่าที่อ่านมา บทหลังๆ เริ่มมีการต่อสู้ที่เกิดขึ้นถี่มาก

นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสามารถแยกคาแร็คเตอร์ของตัวละครเอกได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น อนันตรัย โจ็กเกอร์ หมีพู จักรพรรดิหรือตัวเอก แต่กระนั้น ถ้าอยากให้ตัวละครเรามีมิติที่ซับซ้อนมากขึ้น ทักษะการวางตัวละครที่พี่คิดว่าเราน่าจะไปฝึกทำมา ก็คือ การวางบุคลิกตัวละครสัก 2 – 3 ตัวให้นิ่งเหมือนกัน แต่การกระทำบางอย่างที่ตัวละครเหล่านั้นทำ จะเป็นตัวทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความแตกต่าง ลองไปทำกับตัวละครฝ่ายหญิงดูก็ได้นะ เพราะเท่าที่อ่านมา ทุกคนก็จะสวยเหมือนกันไปหมด

ท้ายที่สุดนี้ นิยายออนไลน์เรื่องนี้ทำได้ค่อนข้างดีในการวางตัวละครไว้ตามที่ต่างๆ ของนิยาย เริ่มเปิดตัวละครออกมา มีปมที่ผูกและเริ่มคลาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีปมใหม่เพิ่มเข้ามา ทำให้ความน่าสนใจของเรื่องยังไม่หมดไปซะทีเดียว แต่ผู้เขียนต้องระวัง พล๊อตที่เริ่มมาตั้งแต่ตอนแรกจะพังลงไปด้วยล่ะ เพราะเมื่อเข้ามาในเกม มีภารกิจต่างๆ มาให้ทำมากมาย แต่ยังไม่มีสิ่งไหนเกี่ยวโยงไปกับเรื่องที่ ณรงค์ไหว้วานให้ทำเลย ถ้าคิดจะทำหนังสือนี้เป็นซีรีย์ ต้องแบ่งให้ชัดเจนเลยว่า ตอนหลักๆ ของเรื่องนี้จะให้ตัวเองทำอะไร

หมายเหตุ เรื่องภาษาหรือการพูด หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเขียนในนิยายไปแก้เอาเองนะ เพราะว่า ถึงเราสอนไปก็อาจจะไม่เห็นแจ้งนัก มันต้องอาศัยการอ่านเยอะและประสบการณ์การเลือกคำมากกว่า แต่ที่พี่จะแนะนำได้ก็คือ อ่านออกเสียงดังๆ เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า มันขัดและไม่เป็นธรรมชาติ ก็แก้ซะ หรือตรงไหนอ่านแล้วรู้สึกว่า กำลังจะขาดใจตาย ตรงนั้นก็เว้นวรรค หรือเคาะบรรทัดลงมา

ปล. คนเล่นเกมออนไลน์ในนี้ ไม่คิดจะตื่นกันเลยเหรอ
     
 
ชื่อเรื่อง :  [ENG] The Curse of Laura
ใครแต่ง : Lovella
4 ต.ค. 57
80 %
35 Votes  
#6 REVIEW
 
เห็นด้วย
31
จาก 31 คน 
 
 
Comments From MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 15 ม.ค. 55


Notice: my knowledge in the area of literary scholar is never earned in the university. Formality is impossible.



My comments would never be intended to ruin your reputations. All is from the opinions of MrPoseidonSon. Provided these feel you uncomfortable, I express my apologies hereby.



The plot was begun with a rich girl named Emma Russell cursed by Laura – Emma grandpa’s ex-girl. On her 17th anniversary, the curse was being run and stopped her entire peaceful life. She was involved with three transparence protectors that one of them took her breath away. A feeling started, a relationship grew while the devil and obstacle were slowly creeping. How could this girl fight? The questions you should find the answers by yourselves.



The third paragraph – Page 1, I earnestly recommend to adjust form from Past Present to Past Continuous to see the dimension of Emma and Mathews’ action. While the one was doing, the one did.



While I was walking around the hall with a glass of fruit punch in my hand, Mathew held the other hand.



The sample shows one’s action continuously and an action stops doing but the result appears still.



Or you can avoid confusing by using conjunction in frame of “and” which I don’t suggest because it will change a little bit illustration.



I walked around the hall with a glass of fruit punch in my hand and Mathew held the other hand.



“he was the hottest guy in school.” => “he was the hottest guy in the school.”,



“I was one of the most popular girls in school.” => “I was one of the most popular girls in the school.”



You just forgot put Article in Superlative Degree.



I respect the writer stuffing Emma’s thought to keep hers till the time comes. Many men always need that but when they get married with the others, the most he needs from them is a virgin - does not make sense – the most teenagers nowadays do not always stand up for the right things, they can say what they are likely meant to be and should not deplore after happening, because they are too worth. So this hopefully pulls sharply all girls to where they should be.



I am bound to phrase “Vote Me” from a movie Adjustment Bureau; however “Vote for me” is correct.



I suggest all English novels for Thais should define some vocabularies which expects most people never know or technical terms, like encapsulated or anthropoids. I never catch the sight of “encapsulated” before but I am just wondering this should be Prefix and absolutely it cannot be found in English – Thai dictionary, for those who don’t have Longman, Cambridge or Oxford will be in the dark.



American where I think settled down cultures are strongly different from us like, Prom, if you do would like to make readers crystal clear, I am begging you to have an appendage.



By the way, I am thinking about the suitable place, when we mention about the curse, England is the site bobbing up but your style is American. This is just self-contradictory, not affected to the novel taste.



I conceive what you mean On Emma’s birthday is she is begging her dad in advance for weeks to have Party?



I stand now on inexplicable pedestal due to you applied the word “Bugging” which I don’t truly understand, if this is an idiom, I am requesting what I am stating in 12th indention of the writing but if not, I doubt you may put wrong word.



I saw “Daughter of James Russell” two times in close lines.



“the daughter of James Russell who was the president of a software company.”



“Emma Russell, the one and only daughter of James Russell.”


This is not wrong or unacceptable, but if you need make your novel feel like academic with fun, you try avoiding reiterating in the way same meaning direction.


A Comma will be used in many ways, but if you stop to magnify something as below. It will be put way like this.


Original One: Mathew, who always looked good in a tuxedo walked to me from the crowd.



Correct First: Mathew, always looked good in a tuxedo, walked to me from the crowd.



Correct Second: Mathew who always looked good in a tuxedo walked to me from the crowd.



It is called “Subordinate Clause”.



I am not sure about “Smile At and Smile Back To” we can use both because I never see “Smile Back To”.



This is super talented when you have tons of cake but still shape.



What Emma saw last night is the black shadow? I feel completely awe. But when the things were revealed, it changed previous cite turned to be fully funny. I admit your emotionally convinced techniques.



Out of seriousness, if I were Em, How come I would not scare, they are paranormal.



3 Chapters were gone; they are telling me that I could finish working on this, just because your tastefulness ran this writing perfectly. Seems I am reading unremarkable novel of academic book prize. It is really appreciate.



This is really a little bit shocked when it is said her family’s still stuck the curse if members could not find the Charm, so this is the reason why her mother has passed away. By the way, the plot should be about the investigation for the Charm with the three transparences favor as I guess. I am running on this to see what will be. (Finally I still don’t know the way to find the other charms).



Sorry for rude, If I were Emma again, I would say “Damn It! What A Surprise Present”.



Writer suits timing to the shot, when it comes to English which is not used to being for most persons, it can take them to be jerk when not native English writer is not good but this is opposite. To exemplify especially, the scene of Emma was come after by soul eaters, it is really frightful, everything happens to her too fast to compose myself and I think so do other readers. I am gloating over your riches.



The soul eaters remind me of Dementor.



I couldn’t find the reason why you wrote “I said irritated” (irritatedly, irritably), from my point of view, I only know how to use adverb – provide the manner or circumstances of the activity denoted by the verb or verb phrase. So there is any more usable regulations, please share yours to me.



Pointless, Lucas tried to see something under the cover, I bet, be careful, missy.



As my insolent thought, if someday, they fall in love each others, and he only gets full moon to transform, it will be a month to do something; I mean kiss, hug, or touch. It’s so hard for Patrick, Deadly Serious.



In conclusion,


This is not the word I should express well in academic matter; here is a feeling to this material.



Exactly to take me by surprising is this work essentially contains the correct structures, even if some of them made me confused, it may because from my superficial knowledge of English.



I never read English things written by Thai. Even though there are many printed matters, I still am not interested in. when I saw her invitation to be critic, what first coming was how dare this girl was, and I would raise the criticisms as her requests.



But How…when it turns…



My overall view of this time changes my thought forever. It turns me to think bigger for being the brave – if you are bold enough; you are able to do everything. This novel is really great that I could say. I hardly ever believe that I am reading the story written by Thai. Idioms, words, and sentences are extremely picked and chosen to deeply touch the sensitive readers to the way its needs as well as the tone and continuity are magical, pulls them follow the characters confronting the situations, which convinced me author is the one in many who can make people turn the pages, laugh, fear and mood with invariable things inside. Although it is stylistically ordinary or imaginatively derivative, It is readable and a useful prose.



The one and only I could say “support her will not let you down”.



Because The Curse of Laura is carrying you to another dimension (Find Someone to Protect You)


     
 
ใครแต่ง : ธุวัฒธรรพ์
30 ต.ค. 65
100 %
1 Votes  
#7 REVIEW
 
เห็นด้วย
32
จาก 32 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 19 ธ.ค. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

บทความบทที่ 1 – 7 ได้ทำการวิจารณ์ไว้ล่วงหน้าวันที่ 25 Nov ครับ ถ้าผู้เขียนมีการรีไรท์หลังจากช่วงนี้ขออภัยด้วย (ผมขอตัดสิ่งที่วิจารณ์บางอย่างออกไปในนี้นะครับ เพราะทั้งหมดนั้นได้แจ้งรายละเอียดให้กับผู้เขียนเรียบร้อยแล้ว)

จุดขัดแย้งของบทที่สองที่ผมเจอ เมื่อเคซีบอกว่า ถ้าใช้พลังไม่ได้ เพราะจะทำให้เครื่องบินตก เพราะฉะนั้น พลังของเคซีน่าจะเป็นการโน้มน้ำหนักลง (ตามความเข้าใจของตัวเคซีเอง) แต่พอเครื่องบินจะตก เขากลับใช้พลังงานในรูปแบบของการถ่วงน้ำหนักให้ลงสู่พื้นช้าลง (ผมไม่รู้ว่ามันเรียกอะไรนะ เพราะฟิสิกส์ผมไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ แต่ผมก็พอจะมองภาพออก) เพราะฉะนั้น ผมว่า คุณน่าจะเปลี่ยนบทจากที่เคซีพูดว่า ใช้ไม่ได้ กลับมาเป็น ใช้ได้แต่ไม่ใช้เพราะเขาอยากเห็นพลังของเรแพนมากกว่านะครับ เพราะเคซีถือพลังมานานพอตัว เขาน่าจะเข้าใจพลังตัวเองได้เยอะกว่า แต่ถ้าผู้เขียนเสนอแนวคิดที่ว่า เคซีเพิ่งเข้าใจว่าพลังสามารถปรับเปลี่ยนได้ เหมือนกับของ เรแพน ก็น่าจะมีช่วงให้เคซีหยุดคิดทำความเข้าใจกับพลังตัวเองสักแปปแล้วจึงเริ่มใช้พลังตอนเครื่องบินจะตก (ได้รับคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว)

อีกเรื่อง ในเมื่อเคซีพาร่างทุกคนมาถึงฝั่งบอลติกได้ แต่ทำไมข้าวของถึงจมทะเล ถ้าเคซีถือพลังแรงโน้มถ่วงจริง ผมว่า สิ่งของก็น่าจะอยู่ใต้อาณัติพลังนี้นะครับ เพราะฉะนั้นข้าวของทั้งหมดไม่น่าจะจมทะเล (ถ้าจะบอกว่า พลังของเคซีมีขอบเขตที่จำกัด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวของหรือผู้คนก็ต้องกระจัดกระจายไปไกลตามแรงเหวี่ยง เท่าๆ กัน เพราะฉะนั้น เคซีจะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ครับ (ผลของเรื่องนี้กระทบเหตุการณ์ในบทที่ 3) (ได้รับคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว)

ผมเสียดายจริงๆ เลยเพราะบทที่ 2 คุณเพิ่งใช้คำว่า ล่ำลา ไป พอมาบทนี้น่าจะลืม เขียนเป็น ร่ำลา ซะได้ จริงๆ แล้วในเยอรมัน ตามป้ายต่างๆ จะไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะครับ (แต่คนยังพูดภาษาอังกฤษได้) พวกเขายังมีความเป็นชาตินิยมหลงเหลืออยู่แม้ฮิตเลอร์จะตายไปแล้ว ถ้าพระเอกมาจาก อเมริกา เพราะฉะนั้น เขาน่าจะอ่านภาษาเยอรมันไม่ออก (เด็กเมกัน ส่วนใหญ่เลือกภาษาสเปนเรียนเป็นภาษาที่สองมากกว่า) ผมว่าลองให้สภาพแวดล้อมบอกตัวพระเอกดีกว่าว่านั่นคือ สุสาน เพราะสุสานทุกที่ก็เหมือนกัน

ตอนแรก ผมคิดว่า แอชชีย์น่าจะเป็นพรรคพวกของพระเอก แต่หลังจากที่จบตอนที่ 3 ผมเดาว่า เน็กเธอร์น่าจะเป็น สมาชิกคนที่สามไปซะงั้น ไม่รู้ทำไม แต่บุคลิกมันได้ครับ ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาไม่ใช่คนชั่วมากนัก อารมณ์น่าจะเอาแต่ใจตัวเอง ผมยังไม่ได้อ่านบทต่อไป เขียนคำวิจารณ์ขึ้นมาก่อน จะได้รู้ว่า วิธีเดินเรื่องของผม เหมือนกับผู้เขียนหรือเปล่า

บทที่สาม ทำให้ผมคิดถึงเรื่อง X-Men ใช้พลังของแต่ละคนต่อสู้กัน - - คือแบบนี้มันต้องใช้ไหวพริบกันเลยทีเดียว

สืบเนื่องมากจากบทที่ 2 พอผมอ่านจบ ผมก็รู้ว่าผมเดาถูกด้วย - - แต่กว่าจะเดาถูกก็ลุ้นน่าดูเลยนะ กลัวแอชชีย์ จะเป็นสมาชิกเสียแทน แต่พอเห็น เรแพนวิ่งไปปุ๊บ ก็คิดว่าใช่ทันที เพราะถ้าเป็นผมเขียน ผมก็จะให้ น.ม.ด. เนี่ยละครับเป็นสมาชิกคนที่ 3 และอาจจะต้องพา แอชชีย์ไปด้วย แบบนี้ก็จะทำให้การเดินเรื่องสนุกขึ้น เพราะ เคซีและ น.ม.ด. เคยต่อสู้กัน มันก็น่าจะต้องมีบทที่ต้องขัดใจกันบ้าง (เผลอๆ จะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวด้วยหรือเปล่า เพราะแอชชีย์ น่าจะชอบผู้ชายสไตล์ คาซี )

ผมช็อกจริงๆ ที่หลวงพ่อเป็น - - - เอิ่ม...จริงๆ มันเป็นการหักมุมที่ดีมากเลยครับ และถ้ามีเวลาลำดับตัวละครสักหน่อย หลวงพ่อ ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจพอตัว
พอมาถึงฉากที่พระเอกสู้กับหลวงพ่อ เรแพนใช้พลังจากตัวเลข เป็นเรื่องที่ดีมากครับและผมมองว่าถ้าเรแพนรู้วิธีการใช้มากกว่านี้ จะหาคนสู้ได้น้อยมากเพราะตัวเลขถูกแทนไว้กับทุกๆ สิ่งที่มนุษย์จะคิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าค่าเปลี่ยนแปลงไป โอกาสที่พระเอกจะใช้พลังหลากหลายก็ย่อมมี แต่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มกลัวเกี่ยวกับพลังเรแพนนั่นก็คือ พลังของตนเองทำร้ายตนเองและเรแพนจะกลายเป็นคนที่ไม่เก่งเลย เหตุผลตรงนี้ขอละไว้ครับ มันเป็นข้อมูลที่ผมส่งต่อให้ผู้เขียนโดยตรง เผื่อไอเดียเล็กๆ น้อย จะเข้าไปอยู่ในนั้น มันจะได้ไม่ทำลายความอัศจรรย์ที่เรื่องได้ดำเนินมาตลอด

ปล ตอนที่สาม - - เสียดาย แอชชีย์ไม่ได้ไปด้วย

การเล่าเรื่องที่ผมเห็นแล้วขัดแย้งมากที่สุดก็เห็นจะเป็น บทที่ 5 ครับ มันสลับไปมาระหว่าง การเล่าเรื่องของผู้เขียนและการเล่าเรื่องจากตัวละครหลัก อย่างที่คุณเข้าใจ การเล่าเรื่องจากตัวละครหลักผ่านเรแพน แบบที่คุณทำอยู่ มันเป็นการมองภาพเพียงมุมเดียว (มุมที่เรแพนเห็นและคิด) เพราะฉะนั้น การเล่าเรื่องแบบนี้มันเลยยาก ดังนั้น นักเขียนโดยส่วนใหญ่ เลยเลือกที่จะเสริมการบรรยายไปด้วย คราวนี้ความยากก็คือ ถ้าเราจัดช่วงของการนำเสนอไม่ดี ผู้อ่านจะรู้สึกว่า เอ๊ะ กลับไป กลับมา อีกแล้ว

4 บทแรก ผมชอบการจัดบทของคุณนะครับ แต่พอมาบทที่ 5 ทุกคนนั่งเรือมาที่อิตาลี เจอผู้ร้ายและจัดการ แล้วจู่ๆ ก็ตัดมาที่อียิปต์ และก็เข้าสู่แผนการร้ายและวกกลับมาอิตาลีอีกครั้ง มันเลยดูไม่ค่อยเป็นลำดับที่ดีนัก

แต่ไม่ใช่ว่าผมมองไม่ออกนะครับ ผมเข้าใจที่คุณยกตอนของอียิปต์มาเพราะว่าจะสื่อให้คนอ่านเข้าใจว่า ในช่วงเวลานั้น มีเหตุการณ์ที่เกี่ยงข้องกับ SSS ในอียิปต์ แต่ถึงแม้คุณจะเอาช่วงนี้ไปลงไว้ที่บทแรกของการไปอียิปต์ ช่วงเวลาของเหตุการณ์ก็ไม่ได้บิดเบือนสักเท่าไหร่เพราะว่า ยังไง คนอ่านก็กะเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับสำหรับในนิยาย

ผมกำลังมองว่า นี่มันคล้ายๆ บทภาพยนตร์ของหนังผีของไทยเรื่องหนึ่ง ที่ไล่เหตุการณ์ตามลำดับเวลาจนทำให้คนดูเกิดอาการงงๆ เล็กน้อย (แต่นิยายไม่เหมือนหนังผีครับ คนอ่านยังเข้าใจอยู่เพราะถ้าไม่รู้เรื่องก็กลับไปอ่านใหม่ได้ แต่ถ้าดูในโรง พลาดแล้วต้องรอดีวีดีกันเลยทีเดียว)

ผมไม่เคยไปอิตาลีนะครับ เลยมองไม่ออกว่าที่ไหนเป็นที่ไหน แต่ผมเชื่อว่า ผู้เขียนน่าจะมีผังเมืองของที่นั่นเลยสามารถกะที่ตั้งของสถานที่ได้ แต่ถ้าผู้เขียนเคยไป ก็จะง่ายขึ้น (ตรงนี้ผมไม่อยากให้มองข้ามไป เพราะมันจะทำให้นิยายเราสมจริงมากยิ่งขึ้น)

ผมเห็นซูรัลวิ่งเข้าไปสถานเด็กกำพร้ารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก - - ผู้เขียนสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวละครได้ดีจริงๆ ครับ

เหตุการณ์ที่มีการเสพยาแล้วเพื่อบ้านแจ้งตำรวจจับ ดูเป็นไทยไปหน่อยนะครับ วัฒนธรรมตะวันตก โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของใคร

บทที่ 6 ผมว่า เมื่อต่อสู้เสร็จ ทั้งสองคนน่าจะออกตามหาเพื่อนที่กำลังถูกรุมมากกว่า ที่จะเล่าประสบการณ์ชีวิตนะครับ อิอิอิ ราแพนลืมง่ายจริง

ตรงนี้ สับสนน่าดูนะครับ ระวังหน่อย มันมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระวัง
เน็กเธอร์ ซึ่งเจอ คาซีตัวปลอม และ คาซี ซึ่งเจอราแพนตัวปลอม
แบบนี้ผมว่าควรขั้นด้วยคำบรรยายสักนิดเพื่อให้ผู้อ่านตามทันจะดีกว่า เพราะตัวผมเอง วนอ่าน สามรอบเลย เพราะผมไม่รู้ว่า “แม้กระแสน้ำจะไหลเอื่อย แต่เรือลำนั้นกลับพุ่งเร็วเข้าใส่เรือของเน็กเธอร์ราวติดจรวด” จะเป็นประโยคจบ แล้วต่อด้วยเหตุการณ์ที่คาซี เจอ เรแพน

อย่าลืมว่า สองเหตุการณ์นี้ มี คาซี เป็นตัวละครซ้อนกันครับ

ที่อเมริกา เอาแรงเลยนะครับ ผมว่า งดชื่อประธานาธิบดี ดีกว่า แค่บอกว่า ประธานาธิบดีคนที่ 44 ทุกคนก็พอเข้าใจ หรือประธานาธิบดีผิวสีคนแรก อะไรประมาณนี้ ผมจะได้ไม่ดูส่อมากไป เพราะตอนนี้ โอบามา ยัง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำอยู่ ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาตายหรือว่า ลงจากตำแหน่งแล้ว ผมว่า นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

บทที่ เจ็ด ไม่มีอะไรนอกจากคำว่า สนุก - - อยากได้ X-Ray บ้างจัง จะได้ส่องสาวๆ *-*

บทที่แปด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าจะปรับเปลี่ยนเรื่องของเรแพนระหว่างพ่อ อาจจะไม่ใช่สายเลือดกันแบบที่เห็น อาจจะเป็นอาหรือลุงที่เอามาเลี้ยงโดยหวังแค่เงินที่ครอบครัวเรแพนทิ้งไว้ให้และเมื่อเรแพนจะออกจากบ้านก็ไม่ยอม จนคาซีต้องยื่นมือเข้ามาช่วยถึงได้ปล่อยไป - - ผมมองแบบนี้นะ ถึงเรแพนจะสนิทกับเน็กเธอร์หรือคาซีหรือซูอัลก็ตาม แต่คำว่า พ่อ ก็น่าจะมีความสำคัญพอตัวอยู่นะครับ เหตุผลที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันและไม่ได้เจอหน้ากัน มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้วิญญานของทั้งสามมาแทนที่พ่อบังเกิดเกล้าได้ ผมเข้าใจว่าอยากดำเนินเรื่องต่อเพราะตอนแรกคุณอาจจะไม่ได้แพลนรายละเอียดมากมายไว้แบบนี้ น่าจะมีพล็อตหนึ่งและเสริมสิ่งที่อยากได้เข้าไปเพื่อให้สนุก เพราะตอนนี้ก็กระโดดมาไกลจากตอนแรกเยอะ แต่ตอนที่รีไรท์ส่งนิยายออกพิมพ์ หวังว่าจะชนะ อยากให้เก็บตรงนี้เอาไปคิดเล็กน้อย อย่างน้อยความสำคัญของคนในครอบครัวน่าจะมีมากกว่าเพื่อน (อยากเห็นเรแพนอ่อนโยนเหมือนซูอัล คนเก่งไม่จำเป็นต้องแข็งกระด้างเสมอไป) โดยเฉพาะ พ่อและแม่ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนิยายเรื่องนี้จะไปไกลสักแค่ไหน ถ้ามีนักแปลเก่งๆ สักหนึ่งคน เอาไปแปล ผมว่าน่าจับตามองนะครับเพราะฮอลลีวู๊ดยังไม่มีฮีโร่แบบนี้ - - ได้ทั้งความสนุกและรู้ประวัติศาสตร์

แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ - - จริงๆ แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร แต่ผมคิดว่า ชีวิตจริงๆ ของเขาน่าจะเหมือนคาจนะครับ (เคยดูรายการต่างประเทศในยูทูบที่ตามรอยแจ็ค เขาก็สันนิษฐานแบบนี้) น่าจะเป็นลูกจากโสเภณีในลอนดอนเพราะคนที่เขาฆ่าตายส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น ผมกำลังจะบอกว่า ผู้เขียนโยงเรื่องนี้เขากับคาจได้ค่อนข้างเยี่ยม เพราะทั้งตัว SSS และตัวคาจมีบางสิ่งที่เหมือนกัน มันเลยซิงโครกันได้ (ผมเลยอยากให้ผู้เขียนคิดความเหมือนของการเชื่อมต่อมาอีกสักข้อ อย่างพระเอกเก่งคำนวณ มันก็เลยทำให้เขาได้นาเปียร์โบนส์ แต่มันน่าจะมีความสัมพันธ์ในเชิงลึกมากกว่านี้ เพื่อทำให้เรื่องนี้เกิดความมหัศจรรย์เข้าไปอีก)

ผมมองภาพโคลอสเซี่ยมหนามหินไม่ออกอ่ะครับ ผมจำได้แค่ภาพจากหนังเรื่อง จัมเปอร์ - - อันนี้ผู้เขียนจินตานาการมาเองใช่ไหมครับหรือว่ามีจริงๆ ผมไม่ได้ยึดหลักความจริงมากไปนะ แค่สงสัยเฉยๆ

เสียดายโคลอสเซียม - - พังซะล่ะ สงสัยจะมีพีระมิดจะโดนเหมือนกัน แฮะๆๆ

ก่อนจบบทที่แปด ผู้นำสหรัฐให้เหรียญกล้าหาญไปเลย - - ตอนจบ

จริงๆ แล้วไฟบนรันเวย์มันจะเปิดตลอดรึเปล่าครับเพราะมันเป็นแนวของการจอดเพราะถ้าวิสัยทัศน์ไม่ดี จะมีคนไปยืนโบกไฟ เพื่อเป็นสัญญานว่าอีกกี่ฟิตจะถึงพื้น นักบินจะได้รู้ทันท่วงทีและปรับมุมของระดับการลงเพราะปกติ เครื่องบินจะมีเซนเซอร์วัดระยะพื้นและองศาแต่นักบินก็จะถูกฝึกมาให้ดูสัญญานไฟจากด้านล่างเช่นกัน (ไม่รู้ผมเดาเอานะ เคยเห็นมาจากหนังอะไรสักอย่างที่เขามองไม่เห็นวิสัยทัศน์ข้างล่าง และผู้บังคับการบินก็ให้ไปโบกไฟ แต่ไม่ทัน เครื่องบินโหม่งโลกก่อน)

ไปจีน ไม่มาไทยเลยนะ - - ผมทำงานอยู่กับคนจีน เบื่อมาก ฮ่าาาาา

(นอกเรื่อง อยากเล่า ประเทศจีนเจริญมากจริงๆ ทุกอย่างยิ่งใหญ่หมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาสร้างได้ยิ่งใหญ่มากถึงมากจริงๆ (โดยส่วนตัวผมไม่ชอบคนจีนสักเท่าไหร่ เห็นแก่ตัวอ่ะ แต่ก็ต้องเข้าใจประเทศเขามีคนเยอะมันเลยต้องแข่งขันกัน แบบว่าเวลาโรงงานไหนเปิดรับคนงาน เขาจะไปสมัครงานกันตีสี่ตีห้าอ่ะครับ ไม่เหมือนไทย เปิดเช้า มาสมัครเที่ยง) แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ ถนน เวลาผ่านภูเขา จีนไม่เสียเวลามาอ้อมรอบภูเขาอย่างบ้านเราหรอก เขาเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาเป็นเส้นตรงเลย แต่ถ้าเราขึ้นมาแม่ฮ่องสอน อยากจะบอกว่า คุณอาจตายได้ทุกเมื่อ ผมไม่เคยไปปักกิ่ง เคยไปที่ยูหนาน สิ่งเดียวที่ผมไม่ประทับใจคือการใช้ห้องน้ำของคนที่นั่น แม้แต่ เคเอฟซี คนเขายังขึ้นนั่งย่องๆ บนชักโครก (อันนี้สอบถามมานะครับ) ทำให้สิ่งต่างๆ ที่หลุดมาจากตัว เปรอะเปื้อนไปหมด ประเทศน่าเที่ยวและน่าอยู่ถ้าคุณรับเรื่องห้องน้ำได้ ไม่รู้ว่าปักกิ่งหรือที่อื่นๆ เป็นอย่างไร แต่ที่ที่ผมไป ห้องน้ำค่อนข้างน่าหดหู่และเป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ อีกนิด เรื่องการขับรถของคนจีน ถ้าเป็นคนไทยเวลามีคนปาดหน้า อาจจะถือปืนลงไปยิง แต่ที่นั่น เรื่องปกติแบบสุดๆ ผมไม่รู้ว่าที่ไหนดีนะ ที่จีนหรือบ้านเรา แต่ผู้คนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น เขาถือว่า ฉันอยากทำก็ทำ แกอย่างทำแบบนั้นก็เรื่องของแก เสียงบีบแตรดังระงมเลยล่ะ)

เรื่องกำแพงเมืองจีน ผมขอเสริมนะ เพราะผู้เขียนบอกถูกแล้วในแง่ของการเปรียบเทียบ แต่สิ่งที่เราจะเห็นเมื่อไปยืนบนดวงจันทร์แล้วมองมายังที่โลกได้ในความเป็นจริงไม่มีเลยครับ แม้แต่พื้นทวีปก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากถ้ามองด้วยตาเปล่า
ขอยกความรู้นี้มาจากหนังสือเรื่อง ลบเหลี่ยมไอน์สไตน์เล่มหนึ่งหน้าที่ 36 – 37 ครับ

(ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องไปที่นั่นให้ได้ครับ ไปไม่ยากและไม่เสียตังเยอะ เพราะของที่นั่นถูกถ้ารู้แหล่งและคนเขาก็ไม่โกงด้วย บอกราคาเท่าไหนคือเท่านั้น ต่อไม่ได้นะ อิอิ เดี๋ยวเจอไล่ออกมา)

ผมกำลังจะติว่า ทำไมใช้คำว่าจงอยปากกับคน อยู่เลย แต่ตอนนี้เข้าใจและ - -

ปาท๋องโก๋ประเทศจีนอร่อยกว่าไทยและน้ำมันก็เยอะกว่าด้วย กินไปอาจตายไวขึ้น

โดยปกติเวลางูชนิดเดียวกันกัดกัน พิษไม่สามารถฆ่ากันและกันได้ นอกจากกัดคอขาด และงูบางชนิดก็สามารถภูมิกันพิษของงูชนิดอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าในสถานที่นั่น น่าจะมีงูหลายชนิด แต่กว่าพิษงูจะแล่นเข้าไปก็ใช้เวลานานอยู่ ยังไม่ตายทันทีนอกจากมันกัดโดนจุดสำคัญ กัดเสร็จปุ๊บตัวแพ้ก็จะโดนงาบทันที

ต้องขอบอกว่า ผู้เขียนตัดสินใจเด็ดขาดมากครับที่เริ่มฆ่าตัวละครฝ่ายดี เพราะลำพังจะเอาไปเก็บไว้ที่อื่น มันก็จะลำบากเราตอนจบ แต่ผมอยากเห็นใครตายสักคน ที่ไม่ใช่คนที่ผู้เขียนเพิ่งสร้างขึ้น เอาหนักๆ เลย อิอิ ไม่ใช่เพราะผมโรคจิตนะ แต่ผมมองว่า สงคราม มันต้องมีคนดีที่ตายบ้าง ไม่ใช่คนชั่วเสมอไป

ผมขอเปลี่ยนจากคำว่าพระพุทธรูปมาเป็นรูปปั้นได้ไหมครับ ผมรู้ว่ารูปปั้นบางรูปก็ไม่ได้หน้านิ่งและสงบเหมือนพระพุทธรูปแต่ต้องเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนแห่งความดีแล้วอีกอย่างคนที่เราเปรียบเทียบด้วยมันก็เป็นคนชั่ว เลยรู้สึกไม่ค่อยดีกับตรงนี้เล็กน้อย - -

ตรงนี้ต้องชมว่าผู้เขียนสุดยอดแห่งความเยี่ยมเลยครับ ลำพังธรรมดาคนอ่านอาจนึกไม่ถึงว่า ดาบ จะเป็นเครื่องมือในการจบชีวิตของจางลี่ เพราะผมก็ใจจดใจจ่อกับของชิ้นที่สามของซูอัล ว่ามันจะเป็นอะไร และพอออกมาก็ใจแป้วเหมือนกัน เพราะของชิ้นสุดท้ายของซูอัล มักจะช่วยให้หลุดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้ง ผมเลยมองไม่ออกว่า ซูอัลจะชนะได้อย่างไร เลยคิดไปถึง SSS เซร่าห์โน้นแหละที่จะช่วยทั้งสองคน แต่อย่างที่ผู้เขียนเคยบอกผมว่าเรื่องนี้สามารถหักหลังคนอ่านได้อยู่เสมอ และครั้งนี้ มันเป็นการหักความคิดผมได้เป็นอย่างดีครับ ผมจึงต้องบอกว่า ผู้เขียนนำคนอ่านไปหนึ่งก้าวเสมอ

ผมรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อบทที่ 12 เพราะการต่อสู้ในบทก่อนค่อนข้างเยอะจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน และก็มีศัตรูออกมาไม่หยุดไม่หย่อน แบบว่าลุ้นจนเหนื่อยเลยครับ นี่อ่านได้แค่บท 12 เองนะ ผมไม่แน่ใจนี่เป็นความตั้งใจของนักเขียนหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะการกะระยะของเรื่องที่ผู้เขียนอาจจะยังไม่ได้ปรับอะไรมากนัก นิยายเรื่องนี้สนุกครับ แต่ถ้ามันต้องลุ้นทุกลมหายใจ อาจจะเหนื่อยได้ ทั้งคนอ่านและตัวละคร ปล่อยๆ เขาให้เดินทางสงบๆ สักครั้งก็ดี แม้ว่าการต่อสู้จะเป็นประสบการณ์ที่เขาอาจจะได้ใช้ในตอนจบ

ผมฮาซูอัลสำหรับการห่มผ้าไฟฟ้า คนที่มีจิตใจดี โชคมักเข้าข้างเสมอนะครับ - -

ตลอดเวลาที่ผมอ่านนิยายเรื่องนี้มา พยายามหาว่าใครจะมาเป็นฮีโร่ในใจของผม และตอนนี้ผมคิดว่าผมเจอแล้ว

บทที่สิบห้ามีฝาแฝดอินจันด้วยเหรอครับ อย่างไรก็ตามตอนนี้ทำให้ผมสิ่งที่ผมคิดมาตลอดว่าน่าจะมีอีกกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นและมันก็เข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที เพราะดูท่าคนแต่งคงไม่ยอมให้เรื่องมันจบง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ เพราะเท่าที่อ่าน มันไม่ค่อยมีปมอะไรมากมายเลย ส่วนมากปมที่มีมันก็จะถูกไขไม่เกินสองตอน อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ประมาทอยู่ดี หวังว่าผู้เขียนจะปล่อยอะไรเด็ดๆ ให้ผมตะลึงนะครับ

กระเป๋าแพทย์ต้องมีมอร์ฟีนด้วยเหรอครับ แฮะๆ ผมแค่สงสัยเฉยๆ นะ จะมีก็ได้เพราะจริงๆ แล้วการเป็นหมอต้องเตรียมพร้อมแต่ผมคิดว่า เซร่าห์น่าจะหาซื้อของพวกนี้ได้สบายๆ ในซุปเปอร์มาเกต เพราะน่าจะดัดแปลงได้ (ดูหนังสายลับบ่อย) แต่มอร์ฟีนคงหายากหน่อย แต่รัสเซียเป็นเมืองมืดอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ
ผมอ่านมาถึงตอนนี้ สงสัยเล็กน้อยว่ารองหัวหน้ามีกี่คนกันแน่ คงจะมีเยอะใช่ไหมครับ ว่างๆ ก็ร่างชาร์ตใครเป็นใครให้ดูหน่อยนะครับ ผมเริ่มชักจะงง (มารู้บทสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องร่างแล้ว)

แล้วจริงๆ แดนรู้ได้ไงว่าพ่อของคาซี เป็นคนระเบิดเรือนั่น การระเบิดเรือนั่นน่าจะเป็นจุดแตกระหว่างหัวหน้ากองโจรคนเก่ากับคนใหม่ก็ได้ ผมคิดว่า วาร์ดน่าจะจัดฉากหรือปล่า น่าลุ้นนะครับ

ผมเชื่อว่า แดนเนียลต้องเป็นคนดี และอาจตาย 555 (ผมหวังว่าผู้เขียนจะหาสมาชิกคนที่ 6 ได้นะครับ พระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งโดยใช้เวลาหกวันถึงเสร็จสมบูรณ์ มันเลยเป็นตัวเลขที่สร้างสรรค์และเสร็จได้โดยสมบูรณ์ นักเขียนสมัยก่อนจึงนิยมใช้เลขหกและเลขเจ็ดเป็นจุดเริ่มและจบของนิยาย เหมือนเจเคที่ใช้เลขเจ็ดครับ ส่วนเลขห้า มันคือรอยแผลของพระคริสต์ตอนตรึงไม้กางเขน)

ฉากหนีตายของแดเนียลที่ริมน้ำ คิดถึงเรื่อง เจสันบอร์นที่มอสโคเลยครับ

มันละทีนี้ เชื่อมต่อได้คนละสองอัน เอ๊???? หญิงแก่ที่สวิซจะเป็นคนชั่วหรือเปล่านะ ชักสงสัย ไม่ได้จะสปอยเรื่องนะครับ แต่ผมมองว่าถ้าหญิงคนนั้นวางแผนให้ทั้งหมดสู้กันและท้ายสุดตนเองเป็นคนที่เชื่อมต่อ SSS ได้ทุกอัน มันหยดอีกรอบ (จินตนาการล้ำไป)

ให้เน็กเธอร์ได้ตุ๊ดสักทีเถอะ

ตอนผมเขียนนิยายแล้วฆ่าคนๆ หนึ่งไป พี่ที่ทำงานที่เขาอ่าน เขาบอกว่า พี่รู้สึกเสียใจที่คนคนนี้ตาย แต่เมื่อแลกกับสิ่งยิ่งใหญ่ที่จะตามมา ดวงวิญญาณนั้นคงยิ้มอยู่บนสวรรค์ และผมก็คิดว่า คุณตาคุณยายทั้งสอง คงยิ้มให้ซูอัล บนสวรรค์เช่นกัน
สู้ๆ ซูอัล ฮีโร่ยอดกตัญญู

เขาล้วง เอิ่ม หล่อนก็ได้มั้งครับ

บทหลังๆ ผมเริ่มมีสมาธิไม่ดีกับการวิจารณ์แล้วครับ เพราะมันเริ่มเข้มข้นเหมือนปลาช่อนหม้อไฟ แต่กระนั้นก็อย่าได้กังวลไปว่าผมจะละเลยหน้าที่

ไม่น่าเชื่อว่าโพไซดอนกับน้องชายจะจับมือสู้กันนะครับเพราะทั้งสองไม่ค่อยถูกกัน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นอีกมุมของโพไซดอนที่ร้องลั่นว่า น้องข้า มันค่อนข้างฮาเล็กน้อย จริงๆ ร่างเทพเนี่ยใหญ่มากเลยนะครับ แต่อาจจะเป็นเพราะคนที่มาต่อสู้ก็คือ รูปปั้นก็ได้ มันเลยทำให้ผมมองร่างกายของทั้งสองเทพนี้เท่ากันแรแพนและซูอัล

สิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดทั้งเรื่องก็คือ เวลาสู้กัน มีคนอื่นเห็นไหมครับ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีคนตกใจกับสิ่งที่เกิดบ้างนะครับอย่างบนเรือของตอนนี้

ผมนึกว่าขีดจำกัดของซูอัลเปิดมาจะเป็นมเหสีของโพไซดอน ไม่ต้องบอกนะครับว่าทำไม

ผมนึกสภาพของของเด็กชายสี่ขวบที่ถูก เอิ่ม ทำแบบนั้นไม่ได้เลย มันคงดูแย่มากนะครับ

สรุป

ทั้งยี่สิบสามบทที่ผู้แต่งได้เขียนขึ้น รวมๆ แล้วมากกว่า สามร้อยหน้า จะเป็นนิยายที่ผมกล้ารับประกันได้ว่า คนอ่านไม่มีทางเดาตอนจบของเรื่องได้ ผู้ร้ายอาจจะชนะ หรือจะเหลือเพียงคนเดียวที่ได้ SSS ทั้งหมดและเขาไม่ได้ใช้มัน แม้แต่ตัวเอกของเรื่องเป็นใคร ก็ไม่มีทางรู้ และอย่าคิดจะเดาให้ยาก เพราะอย่างที่ผมบอก ผู้เขียนนำคุณไปแล้วหนึ่งก้าว

และหนึ่งก้าวนี่มันก็เหมือนกับแสงครับ คุณไม่มีวันที่จะตามทัน เพราะแสงไม่เคยแพ้ใคร

ปล หวังว่าผมจะได้เจอไอน์สไตน์นะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อมในรูปแบบของตัวเลขหรือผู้เชื่อมต่ออีกคนก็ได้ ผมอยากให้มีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องยอดเรื่องนี้เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการใหม่ๆ และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยเหมือนกัน (ถึงแม้ไอน์สไตน์จะเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีแต่เขาก็เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรกและเป็นคนเชื่องช้าอีกด้วย)

สุดท้าย ผมหวังว่า เรแพนของเราจะปลดปล่อยพลังของตัวเลขออกมาได้ถึงขีดสุดและจะเจอคู่ต่อสู้ได้เฉียบที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น เพียงเสี้ยวนาทียังช้าไปสำหรับไวพริบ

ไม่ว่าผลของเอ็นเทอร์จะออกมาเป็นอย่างไง นี่จะเป็นนิยายแฟนตาซีที่คุ้มค่าเรื่องหนึ่ง เพราะนอกจากคนอ่านจะคลุ้มคลั่งกับการลุ้นในต่อสู้ที่มันหยดแล้ว สิ่งที่เขาซึมซับเข้าไปช้าๆ โดยที่ไม่รู้ตัวก็คือ วิชาประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

ดาวที่ผมให้ ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะให้นิยายเรื่องไหนเลยครับ แต่ที่ผมให้เรื่องนี้เพราะผมรู้ว่า ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ได้ซิงโครกับ SSS ของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ เรียบร้อยแล้ว

ปล ผมเขียนคำวิจารณ์นี้หกหน้าพอดีเป๊ะ

     
 
ชื่อเรื่อง :  Just' Memory
ใครแต่ง : Lucky Clover.
9 มิ.ย. 56
80 %
12 Votes  
#8 REVIEW
 
เห็นด้วย
13
จาก 14 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 17 ธ.ค. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ



ในเมื่อผู้แต่งประสงค์ที่จะทำนิยายเรื่องนี้ให้มันนอกเหนือจากการลงในโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้น ผมเลยจำเป็นต้องดูทั้งเรื่องภาษาและสำนวนทั้งหมดนะครับ



โดยรวม ผมจะคอมเม้นท์เรื่องเหล่านี้ลงไปในเวิร์ดและผมจะส่งลิ้งค์ให้คุณดาวน์โหลดเพื่อไปทบทวน และลองแก้ไขดูทางข้อความลับ



ก่อนอื่นขอแนะนำเรื่องการใช้ อัญประกาศและเครื่องหมายวรรคตอนทั้งหมด “…” เวลาใช้ให้เคาะก่อนหนึ่งที่ แล้วใส่ สัญลักษณ์แล้วก็ใส่ข้อความได้เลยครับ ไม่ต้องวรรคภายในอีกรอบแบบนี้ “ ... “ และส่วนเครื่องหมายทั้งหมด ให้เคาะหลังจากใส่เครื่องหมายแล้ว ตัวอย่างครับ



“ฉันไม่รู้จัก” หญิงสาวพูดพร้อมพยักหน้าเบาๆ เหมือนว่าเธอไม่เห็นชายผู้นี้มาก่อน

อย่างแรกที่ผมอยากจะติเลยก็คือเรื่องของการใช้คำว่า นั่น กับ นั้น ในนิยายเรื่องนี้มีการใช้คำนี้อย่างสับสนพอตัวครับ



ไปที่นั่น – ผู้หญิงคนนั้น



ผมเห็น ผู้เขียนมีการใช้ลักษณะบทบรรยายต่อหลังบทสนทนาที่ค่อนข้างซ้ำกันอยู่บ่อยๆ เช่น ผมสีเปลวเพลิงเดินไป นัยน์ตาสีอำพัน นัยน์ตาสีฟ้า ผมสีทอง ต้นเรือหน หรือแม้แต่คำวิเศษณ์ ผมแนะว่าตรงนี้ พยายามเลี่ยงดีกว่านะครับ ใช้ได้ แต่อย่าเยอะไป พยายามเสนอชื่อตัวละครให้ผู้อ่านจำได้แม่นยำดีกว่าที่จะมาบอกลักษณะกายภาพ เพราะลักษณะกายภาพพวกนี้ สามารถเล่ามันผ่านบริบทรอบข้างได้ เช่น ผมสีเปลิงเพลิงของเรอัสกำลังพลิ้วไปกับแรงลมที่ปะทะ



เรื่องชื่อตัวละครครับ พี่สาวชื่อ ฟรานซิสก้า น้องชายชื่อ ฟรานซิส บางครั้งผมเห็นการบรรยายหรือแม้กระทั่งตัวละครเองจะเรียกกัปตันเรือของพวกเขาว่า ฟรานหรือฟรานซิส เสมอแต่พอมีพี่สาวเข้ามา ก็กลับกลายเรียกพี่สาวว่า ฟรานซิส เช่นเดียวกันและทอนชื่อน้องชายมาเป็น ฟาน ตรงนี้ทำให้งงได้พอตัวนะครับ ชื่อของคนทั้งสองใกล้เคียงกันอยู่แล้ว ผมว่าควรเปลี่ยนชื่อพี่สาวที่เรียกว่าฟรานซิสมาเป็น ฟรานซี่ หรือเรียกชื่อเต็มไปเลยดีกว่า เพราะถ้าคุณจะให้ผู้อ่านทำความเข้าใจตามโดยที่ดูจากบริบทว่าใครเป็นใคร ผมว่า แบบนี้ไม่ค่อยเวิร์คครับ ยกตัวอย่างความสับสนด้านล่าง



กะลาสีทุกคนชะงักค้างอยู่กับที่ไม่มีใครกล้าไหวติ่ง คนที่สั่งให้พวกเขาหยุดไม่ใช่ทั้งฟรานซิส (น่าจะเป็นกัปตันเรือ) หรือเรอัส แต่เป็นเจ้าของร่างเล็กผู้มาใหม่ ลูกเรือทุกคนต่างกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างยากลำบาก นายหญิงผู้นี้มีเสียงทรงพลังพอๆกับรองกัปตันของพวกเขาเลย ทั้งๆที่ร่างเล็กๆนั้นไม่น่าจะสามารถทำอะไรใครได้แท้ๆ แต่หล่อนกลับสามารถแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาได้อย่างรุนแรง



“ ฟรานซิส (ฟรานซิก้า) ทำตัวดีๆหน่อย ฟราน(ฟรานซิส) นายเองก็เลิกโวยวายสักที ที่ฟรานซิสมาอยู่ที่นี่มันต้องมีเหตุผลแน่ๆ ” รองกัปตันกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบอ่อนระโหยโรยแรง ตอนนี้เรอัสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่มีผิด มีแต่พวกตัวปัญหาทั้งนั้น



หรือ



“ ผิดประเด็นแล้วไอ้น้อง ” ฟรานซิสทนฟังไม่ไหวเลยหยิบด้ามปืนมาฟาดหัวฟราน ที่เด็กสาวไม่อยากใช้มือตบ



การใช้ชีวิตอยู่บนเรือ การอาบน้ำถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นะครับ เพราะน้ำเปล่า จะไว้ใช้เพื่อดื่มเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนบนเรือจะค่อนข้าง โสโครกเล็กน้อย แต่นิยายเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดว่า นั่นเป็นเรือสำราญมากกว่าที่จะเป็นเรือโจรสลัด อารมณ์มันยังไม่ค่อยใช่ (หมายเหตุ บนเรือ ไม่ค่อยมีฝุ่นนะครับ เพราะมันอยู่กลางทะเล เข้าฝั่งวันสองวัน ไม่ทำให้ฝุ่นจากฝั่งขึ้นมาอยู่บนเรือหรอกครับ)

ผมอ่านนิยายเรื่องนี้ทำให้คิดถึง ไพเรท ออฟ แคริเบียน ครับ ทั้งเรื่องการรบ การปล้น ลักษณะนิสัยตัวละคร หรือแม้แต่อุปกรณ์วิเศษเช่นกระจกยาตะที่วิธีการใช้ละม้ายคล้ายกับเข็มทิศที่ส่องแล้วเห็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ อีกทั้งมันยังทำให้ผมนึกไปถึงคำสาปที่เดวี่ โจนส์ สาปให้แก่ แจ็ค สแปร์โรว์อีกต่างหากเหมือนที่ฟรานซิสเจอด้วย



กลิ่นอายของภาพยนตร์เรื่องนี้เตะจมูกอย่างจังโดยเฉพาะลักษณะนิสัยของฟรานซิสที่เหมือนกัปตันแจ็ค สแปร์โรล์



ท้ายๆ บทที่ 7 ที่ทั้งหมดเจอเรือ เรือของเอ็ดเวิร์ดมาทางไหนครับ กำลังสวนมาหรือตามมาครับ (ในคำบรรยายไม่มีบอก) ผมเข้าใจว่าตอนนี้เรือฟรานซิสผ่านหมอกเข้าไป มันจึงต้องตรงไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าจะเจอเรือ ก็มีแค่สองวิธี นั่นก็คือ สวนกัน กับกำลังแซง ในตอนนี้ ผมเห็นว่า ผู้เขียนส่งบทให้เรือราชนาวีชนเรือเลปิเต ผมก็เลยมองว่าน่าจะชนจากด้านหน้า เพราะปกติเรือจะไม่ชนทางด้านหลัง เพราะโขนเรือจะชนกับช่วงหน้า ทำให้เสียเปรียบในการเบี่ยงตัวแซงถ้าอยากจะตีเสมอ (ถึงเรือจะเร็วแค่ไหน เวลาขึ้นใบ จะเสียทิศลมทันทีครับเพราะอยู่ใต้ลมของเรือลำหน้า อันนี้ผมเคยฟังมาจาก ทริคการแข่งเรือใบที่ห้ามแล่นเรือตามรอยคลื่นของเรือตรงหน้าและอาจจะม้วนตัวกลับซึ่งหมายความว่าต้องเสียเวลาตีพังงาเรือและตั้งลำใหม่ ดังนั้นเรือเอ็ดเวิร์ดน่าจะกำลังสวน แต่เขาเข้าไปทำอะไรฝนม่านหมอกล่ะ (ทฤษฎีหลังเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะว่า ไม่มีกัปตันเรือคนไหน เอาเรือตัวเองเข้าไปปะทะกับเรือด้านหน้าหรอกครับ มันจะจมเรือทั้งสองได้) ตรงนี้ผมว่า แค่ให้เรือของเอ็ดเวิร์คแล่นมาด้วยความเร็วและเทียบข้างดีกว่า และโยนสะพานไม้ให้เอ็ดเวิร์ดข้ามไปก็พอ อย่างไรก็ตามเมื่อบอกว่าเรืออีกลำกำลังแซง นั่นหมายความว่าต้นหนเรือต้องมองเห็นว่ามีเรือกำลังตามมาก่อนจะเข้าม่านหมอก เพราะหนึ่ง ต้องคิดว่า กระโดงเรือเป็นส่วนแรกที่จะเห็นเมื่อเรือพ้นขอบฟ้า แล้วแบบนี้เมื่อเรือแรกเข้าม่านหมอกที่แสนทึบ เรือที่สองเมื่อพ้นขอบฟ้ามา ก็ต้องเจอม่านหมอกในระยะไกลแล้วเขาจะรู้ได้ไวว่าเรือลำแรกเข้าไปที่นั่นหรือตามมาถูกทิศ การแกะรอยทางทะเล ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยากพอตัว แต่ถ้าเราลืมความสมจริงไป เพราะคิดว่ามันเป็น นิยาย ก็ได้ครับ เพราะเนื้อเรื่องสนุกอยู่แล้ว



บทที่สิบ มันยิ่งตอกย้ำให้ผมนึกถึงหนังโจรสลัดของ วอลท์ ดิสนีย์ ทันทีเลยครับ

เรื่องของบทบรรยาย อาจจะไม่ต้องแก้ไขมากนักครับ เพราะถ้ามองจากโดยรวมแล้ว ยังรับได้อยู่(ถ้าต้องการแก้ ก็แก้ช่วงแรกๆ ครับ) แต่ถ้าผู้เขียนยังต้องการให้นิยายตัวเองเป็นเลิสในด้านบทบรรยายและคำสนทนา ผมแนะนำให้ใช้วิธีนี้ครับ

เมื่อเขียนเสร็จ ให้ทิ้งงานของเราไว้สัก หนึ่งถึงสองอาทิตย์ เพื่อหาจังหวะเหมาะๆ ที่จะไม่มีใครกวนเรา อ่านนิยายทั้งหมดรอบเดียวอีกครั้ง (อ่านออกเสียง) เพื่อทบทวนประโยคและการลำดับความ ควรปริ้นออกมาเป็นกระดาษครับเพื่อที่จะแก้ไขมัน อย่าอ่านในคอมพิวเตอร์เด็ดขาด หลังจากทำเสร็จแล้ว ทิ้งงานไว้อีกสักอาทิตย์แล้วอ่านอีกรอบ และแก้ไข และก็ส่งงานให้คนที่เราไว้ใจ เช่น เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวที่ชอบอ่านหนังสืออีกครั้ง เพื่อหาข้อติ ความเป็นเหตุเป็นผล ข้อสงสัยของพวกเขาเพื่อมาเกลาพล็อตเรื่องให้กระชับหรือสมจริงมากขึ้น หลังจากนั้นก็ค่อยส่งสำนักพิมพ์ หมายเหตุ ตรงอ่านทบทวน จะใช้กี่รอบก็ได้นะครับ ยิ่งอ่านเยอะ มันจะทำให้เราเห็นข้อผิดพลาดเยอะขึ้น แต่เราต้องเป็นกลางด้วย อย่างเข้าข้างนิยายมากไป



โดยสรุป เรือของตัวละคร พยายามคุมอย่าให้ใครมามากเกินกว่านี้นะครับ เพราะเท่าที่เห็น ไคซี แทบจะไม่มีบทบาทเลย และมาน่าก็โผล่มาตอนกลางๆ เรื่องเมื่อต้องการใช้ ทั้งๆ ที่มาน่า อยู่บนเรือนี้มาตั้งแต่ต้นเรือ ถ้าไม่อยากกล่าวถึง ทำให้มาน่าขึ้นเรือมาตอนกลางๆ ก็ได้ครับ



พล็อต สามารถเก็บรายละเอียดของการผจญภัยไปได้เรื่อยๆ แล้วค่อยหาจุดลงของตอนจบเมื่อพระเอกครบ 21 ก็ได้แม้จะมีจุดหักมุมในเรื่องของฟรานซิส แต่ยังไงเขาก็จะกลับมา ผมเชื่อ(ตรงนี้ผมมองว่า ผู้เขียนจะน่าแพลนไว้สามภาคหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ก็คงผจญภัยไปเรื่อยๆ แต่ถ้าใช่ ตอนนี้เป็นการผจญภัยในน่านน้ำทวยเทพที่หาของวิเศษกัน น่าจะเป็นสมบัติเทพที่ตัวเอกต้องการเอาไปไถ่คำสาปหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ควรตั้งชื่อตอนเพิ่มมาด้วย เพราะ ขอโทษที่ผมเป็นโจรสลัด จะทำให้คุณแบ่งชื่อตอนที่สองลำบากเลยทีเดียว แต่กระนั้น ถ้าไม่ได้คิดจะแบ่งภาคเพราะจะรวบจบในตอนเดียวเลย ชื่อนี้ถือว่าเหมาะมากครับ)



คำผิด(ที่เยอะมากจนน่าตกใจ)ที่ผมเห็นผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ ดาวน์โหลดไฟล์จากข้อความลับไปได้เลยครับ (ช่วงหลังจากบทที่ 7 ผมเร่งอ่านนะครับ เพราะอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมด คำผิดที่มองเห็นเลยไม่ได้แก้ให้โดยเฉพาะยี่สิบหน้าสุดท้าย)



ส่วนความเป็นเหตุเป็นผลในส่วนอื่นๆ ที่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ อยู่ในเวิร์ดครับ



สุดท้ายนี้ ความน่าติดตามของนิยายมีเยอะพอสมควรเพราะคนอ่านเดาไม่ได้ว่าจะไปเจออะไร ผู้เขียนผูกเรื่องของตัวละครและฉีกแนวออกมาได้เฉียบดี แม้ว่ามันจะมีกลิ่นของหนังที่ผมเคยกล่าวถึงก็จริง แต่เวลาอ่านไปเรื่อยๆ อารมณ์มันก็ไม่ใช่เสมอไปนะครับ เพราะมันมีดราม่าเล็กน้อยและตัวเอกทีไม่ใช่คนกลับกลอกเสมอไป

     
 
ใครแต่ง : พะยูนศรี
18 พ.ย. 60
80 %
5 Votes  
#10 REVIEW
 
เห็นด้วย
14
จาก 15 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 11 ธ.ค. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ผมขอเริ่มจากตอนที่หนึ่งเลยนะครับ เท่าที่ผมรู้มา Air Force One เป็นเครื่องบินที่ใช้กับประธานาธิบดีของสหรัฐเท่านั้น ผมเลยสงสัยว่าทำไม อีฟ ถึงคิดว่ามันเป็น Air Force One ครับ ตรงนี้ถ้าถามตามมุมมองของผม ค่อนข้างเบือนความเป็นจริง
ในตอนที่สอง มีการเปลี่ยน เสียงเล่าเรื่อง ซึ่งผมไม่เห็นว่า มันจำเป็นเปลี่ยนในเมื่อคนดำเนินเรื่องก็ยังเป็น อีฟ คนเดิม จริงๆ แล้ว โดยทั่วไป เวลาผมอ่านนิยายต่างประเทศ เสียงเล่าเรื่อง จะถูกใช้เพียงแบบเดียว ผมยังไม่เคยเห็นนิยายตะวันตกเรื่องไหนมีการเปลี่ยน เสียงเล่าเรื่อง ภายในตอนเดียวกัน นอกจาก เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ที่เขามีการเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องจาก หมอวัตสัน มาเป็น ตัวเอง แต่แรกเริ่มก็ยังมีการอธิบายในส่วนของหมอวัตสันอยู่ดีว่าบันทึกที่เขากำลังจะเล่า เป็นเรื่องราวที่ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เขียนขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวละครเอกเป็นผู้ดำเนินเรื่องเพราะฉะนั้นมุมของนิยายก็จะได้เพียงมุมเดียว ก็คือ 180 องศาเพราะฉะนั้น เสียงเล่าเรื่องที่ถูกปรับเข้ามา เพื่อเล่าเรื่องให้ผู้อ่านฟังเสียงจากจุดที่ตัวละครเอกไม่สามารถเล่าได้ และอย่างที่บอกในฉากที่ อีฟ อาบน้ำและเจอวิญญาณ ผมคิดว่าเราสามารถใช้อีฟเป็นตัวดำเนินเรื่องต่อได้นะครับ ส่วนฉากที่ตัดกลับไปหาโทมัส ดีแล้วครับ

(เพิ่มเติม เรื่องกิจกรรมพิเศษ ผมไม่ค่อยไหวนะ มันดูโหดไปหรือเปล่า ทั้งจับอนาคอนด้ากับปู ผมไม่เคยเห็นนะว่าจับอนาคอนด้าเป็นไง แต่ปูเนี่ยสิ แค่ไม่ใช่ช่วงมรสุมก็จะตายแล้ว นี่ยังไปจับปูในช่วงมรสุมอีกต่างหาก ตายเพราะคลื่นกันพอดี เผลอๆ ทรงตัวไม่ได้ อาจเจอคลื่นพัดลงทะเลไปอีก แต่ถือว่า แน่มากจริงๆ ที่พ่อลูกทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ก็น่าอยู่แหละครับ พ่อลูกยังต่อยกันได้เลย)

พอพูดถึงเรื่องปลดแอกและชื่อ โทมัส ทำให้ผมนึกไปถึง โทมัส เกตส์ บรรพบุรุษของ เบนจามิน ในเรื่อง National Treasure ทันทีเลยนะครับ ภาพของนิยาย ทำให้ผมนึกไปถึงความขลังในโรงแรมที่เบนจามินลักพาตัวประธานาธิบดีสหรัฐ
ผมมองว่า ศาสตร์มืด ที่ปลุกชีพคนตายฟื้นขึ้นมา น่าจะเป็นแถว เฮติ มากกว่าเอเชียนะครับ

ผมอ่านถึงตอนที่นางเอกไล่ผีมันเลยทำให้ผมคิดถึงหนังเรื่องเกี่ยวกับ ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกกลัวแสงแดด ลูกเธอเลยต้องอยู่ในห้องมืดๆ ตลอดเวลา เธอสอนการบ้านและทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกด้วยตัวคนเดียว เพราะสามีไปเป็นทหาร ยังไม่กลับมา วันหนึ่งมีคนรับใช้สามคนเข้ามาในบ้านและทำให้เรื่องประหลาดเกิดขึ้น ลูกๆ ของเธอเจอผี และเธอก็พบว่า ทั้งสามคนเป็นผี และยังมีผีอยู่ในบ้านอีกต่างหาก แต่พอตอนจบ มันทำให้ผมขนลุกเลย มันสุดยอดแบบคิดไม่ถึงจริงๆ เพราะอะไรนะเหรอ คุณต้องไปหาดูเอง เรื่อง The Others นิโคล คิดแมน แสดงนำ ได้อารมณ์สุดๆ

ผมเลยสามารถระแคะระคายพล็อตออกครับ มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา (ชื่อเรื่องเฉลยมากเลย) มากกว่าที่จะสับสนว่า ใครตายกันแน่ ผมกำลังมองว่าผู้เขียนจะเก่งขนาดไหนสำหรับเรื่องนี้ และถ้าทำได้อย่างที่ผมคิดหรือมากกว่า ส่งออกตีพิมพ์เลยครับ ผมแนะนำ (วิจารณ์ก่อนที่จะรู้ความจริงในนิยาย)

สรุป

ครั้งแรกที่อ่าน ผมรู้สึกถึงนิยายที่การสืบสวน สอบสวนและลึกลับและไม่คิดว่ามันจะพลิกเปลี่ยนเป็นนิยายแฟนตาซีและฮาได้มากขนาดนี้ ผู้เขียนทำให้ผมสังเกตถึงความสำคัญในเชิงอรรถเป็นอย่างมาก แม้ว่าบางเรื่องผมจะรู้มาบ้างแล้วแต่ต้องยอมรับว่า บางเรื่อง อาทิ ชื่อคนเป็นอะไรที่สมควรจะมีเป็นอย่างยิ่งจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ดีที่นักเขียนนิยายควรจะใส่ใจครับ ผมไม่มีคำติสำหรับนิยายเรื่องนี้

มีให้แต่คำว่า บรรเจิด เท่านั้น

ผมไม่เคยพูดสิ่งนี้ที่ไหนมาก่อน “นิยายเรื่องนี้สมควรน่าติดตามครับ”

ปล. จริงๆ แล้ว Rhode Island อยู่ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก อากาศมันหนาวมากเลยนะครับ ผมอยากให้เสนอสภาพอากาศเข้าไปหน่อย เช่นการแต่งกาย มันจะได้สมจริงกับสถานที่ในเรื่อง
     
 
หน้าที่ 1 , 2 , 3