ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความเกี่ยวกับการ์ตูนที่เคยเขียน

    ลำดับตอนที่ #28 : (รีวิวอนิเม) Jinrui wa Suitai Shimaa มนุษยชาติถึงคราวเสื่อมถอย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 794
      1
      7 ต.ค. 57

    สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้เป็นช่วงที่อนิเมใกล้จะจบซีซั่นลงแล้ว ทำให้มีหลายเรื่องกำลังดำเนินเรื่องไปสู่บทสุดท้าย หรือไม่ก็จบไปแล้ว ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่เพิ่งจบไปนั้นเป็นเรื่องที่ผมโปรดปรานมากที่สุดประจำซีซั่น ดังนั้นผมจึงขอลัดขั้นตอนมารีวิวเรื่องนี้เฉพาะกิจเลยก็แล้วกัน


     


     

    ชื่อเรื่อง Jinrui wa Suitai Shimaa (Humanity has declined หรือสนธยาแห่งมนุษยชาติ) เรียกสั้น ๆ ว่า Jintei (แต่ผมเรียกว่าจินรุยอ่ะ)

     

    เรื่องย่อ

    เรื่องจินรุยกล่าวโลกหลักเกิดการหายนะที่ทำให้อารยธรรมของมนุษยชาติเสื่อมถอยและลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก โดยเนื้อเรื่องเล่าถึงหญิงสาวไร้ชื่อ (นางเอก) ที่ทำงานเป็นผู้ประสานงานระหว่างมนุษยชาติและเหล่าคุณภูติ คุณภูตินั้นเป็นสิ่งมีชิวิตขนาดเล็กคล้ายคนแคระที่ชอบของหวานและความสนุกสนาน แต่ก็มีนิสัยที่ชอบก่อปัญหาด้วยพลังที่มีเพื่อค้นหาความสนุกสนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    (ที่มา: แปลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Jinrui_wa_Suitaishimashita)

     

    ความเห็นและบทวิเคราะห์แบบงง ๆ
     

    ภาพโปรโมชั่นและเนื้อเรื่องย่อ ๆ ในตอนแรกไม่ทำให้ผมสนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ดูจากภาพและเนื้อเรื่องแล้วเดาว่าคงเป็นเรื่องออกแนวเล่านิทานเกี่ยวกับความสัมพันธ์น่ารักระหว่างนางเอกกับคุณภูติแสนน่ารักที่คอยทั้งมาช่วยมนุษยชาติที่กำลังลำบาก และอาจมาสร้างความปั่นป่วนให้นางเอกต้องคอยมาแก้ปัญหาที่เกิดจากคุณภูติแสนซน เนื้อเรื่องน่าจะออกโทนสบาย ๆ แนว Healing ดูแล้วรู้สึกดีโลกสวย ประมาณนั้น
     

    อ่า... ที่พูดมาในช่วงแรกมันก็ไม่ผิดอะไรนักหรอก แต่เจ้า "เนื้อเรื่องน่าจะออกโทนสบาย ๆ แนว Healing ดูแล้วรู้สึกดีโลกสวย" อะไรนั่นโยนทิ้งถังขยะแล้วเอาไปเผาทิ้งไม่ต้องรีไซเคิลได้เลย
     

    ใช่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกเกินคาด


     


     

    คอมเม้นท์หนึ่งของฝรั่งในเว็ปต่างประเทศกล่าวว่า "ตอนที่ดูครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรกับเรื่องนี้ แต่พอดูจบก็ไม่รู้ว่าตูเพิ่งดูอะไรมา" ค่อนข้างสรุปความรู้สึกของผมหลังดูเรื่องนี้จบได้เป็นอย่างดีเลย กรุณาอย่าให้เนื้อเรื่องและภาพหลอกคุณได้ !
     

    จินรุยเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก... ฉลาดจนรู้สึกตัวผมนั้นโง่ไปเลย
     

    เวลาดูหนแรกคุณอาจจะขมวดคิ้วแล้วกลุ้มใจไปกับความแหวกแนวหรือ WTF ที่ไล่เดมซี่โรลใส่คนดูแทบทุกตอน แต่ถึงแม้ดูแค่คร่าว ๆ ก็ต้องรู้สึกตะหงิด ๆ ได้ว่าเจ้าความที่ดูเหมือนไร้สาระและหาคำอธิบายไม่ได้ที่เพิ่งผ่านตาไปนั้นมันต้องมีความหมายหรือข้อความอะไรแฝงอยู่แน่นอน ว่าแต่ว่า... แล้วความหมายที่เรื่องต้องการจะสื่อคืออะไรล่ะ ?


     


     

    การตีความสิ่งที่เรื่องจินรุยต้องการจะสื่อออกมาในแต่ละตอนถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ มันทำให้เราต้องกลับมาคิดถึงว่ามุกในเรื่องต้องการจะสื่อหรือจิกกัดเรื่องไหน ? ต้องตีความกี่ขั้น ? กี่แนว ? ซึ่งมุกในเรื่องนี้ไม่ใช่มุกเฉพาะทางแนวพาโรดี้ที่ต้องมีความรู้ของอนิเมเรื่องอื่นอย่างเช่นเรื่องเนียรุโกะหรือ Lucky Star ชอบเล่น หากแต่เป็นมุกจิกกัดและแดกดันเรื่องในสังคมที่จินรุยพยายามจะสะท้อนออกมาในโลกที่มนุษยชาติกำลังเสื่อมถอย ซึ่งการตีความเหล่านี้ทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างพิเศษ ผมลองเที่ยวไปอ่านความเห็นตามบล็อคต่าง ๆ ก็ต้องแปลกใจว่าแต่ละคนนั้นมีวิธีการตีความแต่ละตอนของเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกันเหมือนกัน บางคนมองแค่มุกตลกผิวเผินที่สื่อมาอย่างโต้ง ๆ บางคนเจาะลึกไปถึงการตีความหมายเชิงสัญลักษณ์และมุกตลกจิกกัดต่าง ๆ ที่เรื่องนี้พยายามจะเสนอ (บางคนวิเคราะห์ซะซับซ้อนโยงไปถึงเรื่องการสลับขั้วระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบทจนบางทีผมอดคิดไม่ได้ว่าคนเขียนมันนึกไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ ?) แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่เราต้องกลับมาคิดกับเรื่องนี้โดดเด่นไปจากเรื่องอื่น ๆ ในซีซั่นนี้หลายช่วงตัวเลย
     

    เอาล่ะ พูดแค่นี้อาจจะไม่เห็นภาพ งั้นลองมาดูสิ่งที่ผมพยายามจะตีความในแต่ละตอนดีกว่า (ซึ่งส่วนใหญ่ผมได้ไอเดียจากบล็อคอื่น ๆ ล่ะนะ เพราะฉะนั้นคอมเม้นท์อะไรที่ดูฉลาด ๆ ก็จงรู้เสียเถิดว่าไม่ใช่การวิเคราะห์โดยตรงจากผม ฮา)
     

    ปล. Format 1เรื่องนี้แบ่งเป็นสองตอนต่อหนึ่งช่วง ยกเว้นตอนที่ 9 กับ 10 ที่เป็นตอนเดี่ยวจบในตอน

     

    ปล. 2 ต่อจากนี้ไปมีสปอยล์เป็นอย่างมาก โปรดระวัง



    The Fairies' Secret Factory

     



    ขนมปังแสนอร่อย

     

    แค่ตอนแรกก็ทำผมงงแล้ว ตอนเริ่มเรื่องก็แทบไม่เหมือนกับตอนแรกของเรื่องแม้แต่น้อย จู่ ๆ ตอนแรกนางเอกก็โดนตัดผมซะสั้นยิ่งกว่าติ่ง (ซึ่งเราจะยังไม่รู้ตอนแรกว่าทำไมถึงโดนตัดผม) โดนใช้ให้ไปจับไก่มาเชือดเป็นอาหาร ไก่หนี โดนจับเรียกประชุมให้ไปหาข้อยุติปัญหาอาหารขาดแคลน นางเอกและเหล่าสาว ๆ ที่ทำไก่หนีหายต้องรับผิดชอบไปค้นหาอาหารในป่า และได้พบกับไก่ไร้หัวที่ถูกถอนขนวิ่งพล่านไปมาเหมือนมีชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่อยู่ดี ๆ ก็มีอาหารที่ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรมโผล่มาแจกจ่ายในตลาด (มนุษย์ในยุคนั้นเสื่อมถอยจนแม้แต่ไฟฟ้าก็ยังไม่มี อาหารก็ต้องหาเอาเอง ทำให้ตอนแรกพวกนางเอกจะอดตายเอา ในตอนนี้นางเอกจะได้ยาปลูกผมทำให้ผมกลับมายาวอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลกับเนื้อเรื่องในตอนหน้า) นางเอกจึงสงสัยว่าเป็นฝีมือคุณภูติที่มีเทคโนโลยีสูงส่งกว่ามนุษย์มากเป็นคนทำ ดังนั้นนางเอกและคุณผู้ช่วยจึงตามรอยของสินค้าไปยังโรงงานอัตโนมัติแห่งหนึ่งในอาณาเขตของคุณภูติแล้วก็ต้องพบว่าโรงงานแห่งนี้ถูกยึดครองโดยไก่ไร้หัวที่ถูกถอนขนที่กำลังวางแผนยึดครองโลก
     

    แค่อ่านเรื่องย่อก็แปลกแล้ว ยิ่งลองดูด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่ามันแปลกยิ่งกว่าที่อ่าน สำหรับใครที่หลงคิดว่านางเอกจะดูหน่อมแหน่มหลั่นล้าอารมณ์ประมาณโคบาโตะจากเรื่องโคบาโตะแล้วละก็คงต้องฝันสลายในชั่วพริบตา เพราะนางเอกของเราโคตรขี้บ่น ชอบเหน็บแนม เป็นจอมแบล็คเมล (ตอนไล่ขั้นตอนการปิดข่าวของเธอเป็นอะไรที่ชั่วร้ายมาก) ปิดบังความผิดของตัวเอง เหมือนกับจะไร้ความรับผิดฃอบเล็ก ๆ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็มีสกิลนางเอ๊กนางเอกเช่นทำขนมหวานเก่ง แล้วก็ฉลาดเป็นกรดด้วย ส่วนมุกต่าง ๆ ในเรื่องจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือมุกที่แสดงออกมาโต้ง ๆ เช่นมุกคุณหุ่นยนตร์ขนมปังฉีกตัวเองให้กิน มุกบรรดาไก่นายทุนไร้หัวที่ถูกถอนขนโดนคุณผู้ช่วยเอากล้องไล่ถ่ายจนตกเหวพร้อมเพลง Ave Maria บรรเลงและภาพสโลว์โมชั่นแบบหนังฮ่องกงทำผมสำลักโค้กไปหลายรอบ (ถึงตอนแรกจะดูไม่เข้าใจก็เหอะว่าทำไมไก่มันต้องกลัวกล้อง) หรือสุดท้ายคือมุกพระเจ้า (คามิ) และเส้นผม (คามิ) ที่จะเฉลยว่าอะไรคอยช่วยนางเอกจากอันตรายมาตลอด


     




    ตัวร้ายของตอน

     

    นอกจากนี้บทสนทนาเองก็น่าสนใจ คุณภูตินั้นดูภายนอกก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่พี่แกกลับพูดเรื่องอะไรน่ากลัวได้หน้าตาเฉย เช่นคุยกันเรื่องเกี่ยวกับความอดอยากจนตายจะกลายเป็นแฟชั่นใหม่บ้าง และนั่นนำไปสู่มุกระดับต่อมา นั่นคือมุกที่ดูแล้วต้องคิด ซึ่งหากผมตีความอย่างแมวมุยแล้ว สองตอนนี้จิกกัดวัฒนธรรมองค์กรและระบบทุนนิยม ตั้งแต่การประชุมในตอนแรกที่ความเห็นที่ไม่ได้เตี้ยมในตอนแรกถูกตีตกไป ประชุมกันแทบตาย สุดท้ายก็สรุปออกมาง่าย ๆ กับคำตอบที่ใคร ๆ ก็คิดอยู่แล้วจนไม่รู้ว่าจะประชุมกันไปทำไม หรือความหมายแฝงในมุกไก่หนีกล้องก็ดี หากลองดูลึก ๆ แล้วพวกไก่ไร้หัวไร้ขนเป็นตัวแทนของพวกนายทุนชั่วร้ายที่วางแผนทำเรื่องชั่ว ๆ อะไรสักอย่าง (และไก่พวกนี้ขี้ขลาดสมชื่อเลยก็ว่าได้) ซึ่งสิ่งที่เหล่านายทุนชั่วร้ายที่กำลังวางแผนชั่วกลัวที่สุดคือการถูกเปิดโปงต่อหน้าสาธารณกำนัล (นางเอกบอกใบ้ความหมายไว้ตอนที่คอมเม้นท์เรื่องที่ผู้ช่วยกำลังไล่ถ่ายรูปไก่) การที่ผู้ช่วยเอากล้องไปถ่ายก็อารมณ์คล้ายกับกรณีคลิปหลุดต่าง ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปตามข่าวนั่นล่ะ ทำให้เหล่าไก่นายทุนเจ้าเล่ห์ต้องหนีกระเจิดกระเจิง

     

    The Fairies' Subculture


     



    หน้าตาของสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน

     

    เริ่มเรื่องมานางเอกกับผู้ช่วยก็ถูกขังอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าสีขาว ก่อนจะตัดฉากไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้นที่นางเอกได้พบกับเพื่อนเก่าชื่อ Y ที่เคยเรียนด้วยกันมา เธอมีหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับโปรเจ็คอนุสรณ์แห่งมนุษยชาติ แต่เธอกลับใช้เวลาว่างในการตีพิมพ์โดจินวาย (ชายรักชาย) ที่เธอค้นพบจนสาว ๆ ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ในระหว่างนั้นเองนางเอกก็เตือน y ว่าการกระทำของ y อาจไปทำให้คุณภูติเลียนแบบแล้วเดี๋ยวจะวุ่นวาย ซึ่งในที่สุดคำเตือนของนางเอกก็เป็นจริงเมื่อทั้งตัวนางเอก คุณผู้ช่วย และ y หลงไปติดอยู่ในโลกของการ์ตูนที่พวกเขาต้องสร้างเรื่องราวให้คงระดับติดชาร์ต ไม่อย่างนั้นจะต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้า


     




    /ผ่าง !


     

    สองตอนนี้ล้อเลียนวงการโดจินและการ์ตูนจัมป์ตรง ๆ ตั้งแต่ y ที่เป็นสาววายสุดกู่ (ตรงนี้คงไม่ต้องอธิบายมั้ง มันไม่ค่อยมีอะไรมาก) ฟื้นฟูความนิยมชายรักชายจนโด่งดังไปทั่วสารทิศ จนไปถึงการจิกกัดการ์ตูนในจัมป์อย่างแสบทรวง (Bakuman ?) อย่างมุกที่ทำผมขำกลิ้งก็คงเป็นมุกที่พวกตัวเอกเข้าไปติดอยู่ในการ์ตูน เวลาทำอะไรตื่นเต้นก็จะมีเสียงซาวน์เอ็ฟเฟ็ค หรือเส้นสปีดเหมือนในการ์ตูนโผล่มา ซึ่งพวกเธอต้องทำให้เรื่องน่าสนใจก่อนจะก้าวไปยังช่องต่อไปได้ และแน่นอนว่าพวกเธอต้องพยายามรักษาระดับความนิยมให้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดจบ ในส่วนการล้อเลียนและจิกกัดก็จะเป็นเทคนิกที่พวกนักเขียนการ์ตูนในจัมป์ชอบใช้ ตั้งแต่เปลี่ยนแนวให้คนอ่าน wtf ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ดูความต่อเนื่องของเรื่องราวก่อนหน้าหรือขยาดช่องให้โตขึ้นกินสองหน้า (ผมดูนายอยู่นะ น้ำยาฟอกผ้าขาว) ใส่เส้นสปีดเยอะ ๆ จนสุดท้ายเรื่องเละเทะจนความนิยมตก กว่าจะเอาเรื่องที่มั่วซั่วมาผูกเป็นเรื่องเดียวได้ก็สายไปแล้ว พวกนางเอกพบกับจุดจบคือโดนตัดจบ และผลลัพย์อันเลวร้ายของนักวาดการ์ตูนตกอับอายุสี่สิบกว่าที่ไม่เคยทำงานอื่นเลยนอกจากเขียนการ์ตูนต้องเผชิญหน้าคือ....
     

    กลับไปรับช่วงกิจการจากทางบ้านต่อ ซึ่งนางเอกก็กำลังทำอยู่ดีนั่นล่ะ
     

     

    The Fairies' Homecoming


     



    นางเอกผูกผมคู่... Do Want !

     

    หลังจากดูตอนนี้จบเราจะเริ่มรู้แล้วว่าอนิเมเรื่องนี้ฉายไม่เรียงลำดับตามเวลาก่อนหลัง (ตัวอย่างที่ดีคือเรื่องฮารุฮิที่ฉายทางทีวี) เพราะเหตุการณ์นี้เริ่มช่วงการเปิดตัวของอนุสรณ์แห่งมนุษยชาติ (ช่วงแรกหลังจากงานล่มไปแล้ว ส่วนช่วงที่สองเป็นช่วงก่อนหน้า) นางเอกพบวัตถุลึกลับซึ่งเป็นแผ่นอะไรสักอย่างกลางหลุมของอุกกาบาต ในตอนแรกนางเอกไม่ได้สนอะไรมากนัก แต่ก็กลับมาเอะใจกับคำเตือนของคุณภูติที่กำลังอพยพหนีเพราะงานอนุสรณ์แห่งมนุษยชาติกำลังจะเปิดคลื่นไฟฟ้าที่ส่งจากดาวเทียมที่เหลือรอด ระหว่างงานนางเอกก็พบกับสาวหูแมวชื่อ Pion ที่อ้างตัวว่าเป็นมนุษย์ที่เสียความทรงจำและกำลังทำภารกิจบางอย่าง (ถ้าดูจากสิ่งที่เธอพูดแล้วมันหุ่นยนต์ชัด ๆ) หลังจากงานเลี้ยงฉลองนางเอกก็โดนใช้ให้ไปสำรวจซากเก่าของชุมชนที่ถูกทิ้งร้าง ก่อนจะพลัดหลงไปในเมืองใต้ดินที่นางเอกเรียกว่าเมือง "ฮิกกิโคโมริ" ในที่นั้นเธอได้พบกับสไลม์หน้าตาประหลาดและหนุ่มหูแมวที่ลักษณะคล้ายกับ Pion ชื่อ oyage ที่ไม่ยอมออกจากเมืองใต้ดินและเข้าทำรายกลุ่มนางเอก ระหว่างนั้นเอง Pion ก็เข้ามาช่วยเหลือและบอกว่าภารกิจของเธอคือการนำ oyage กลับไป


    ตอนแรกของช่วงนี้เป็นอะไรที่ผมเบื่อที่สุดเลยก็ว่าได้ เหมือนกับจะเล่นมุกหลุดโลกอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอเข้าช่วงที่สองปุ๊บผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าตอนนี้พยายามจะสื่อถึงอะไร และพบว่ามันเป็นตอนที่ทั้งเหงาและทั้งซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
     

    หากใครเคยดู Star Trek มาบ้างอาจจะคุ้นเคยกับมุกของตอนนี้ แท้จริงแล้ว Pion และ oyage คือดาวเทียมสำรวจ Pioneer และ Voyager ที่หลุดออกนอกระบบสุริยะจักรวาลของเราไป Oyage กลับมายังโลกเพราะคิดถึงบ้าน ธีมของตอนนี้คือความเหงาของเหล่าผู้สำรวจที่จากบ้านและอยากจะกลับบ้าน



     




    การต่อสู้ที่แสนจะ WTF


     

    ถึงแม้ดาวเทียมสำรวจเหล่านั้นจะไม่มีชีวิต แต่บางทีเราก็อดจะนึกจินตนาการไม่ได้ถึงความเหงาและความหนาวเหน็บของเครื่องจักรเหล่านี้ที่ต้องล่องลอยไปเรื่อย ๆ สู่ความเวิ้งว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลองคิดว่าหากมันมีจิตใจเหมือนคนเราแล้วมันจะคงคิดถึงบ้านแค่ไหน แนวคิดเรื่องของวิญญาณในสรรพสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในลัทธิชินโตของญี่ปุ่นที่มักจะนับถือเทพในสิ่งของต่าง (เทพแห่งส้วมยังมีเลย) ในช่วงหลัง Pion ตั้งสมมุติฐานว่าอาจเป็นเพราะทั้งสองออกเดินทางเป็นระยะทางยาวนานทำให้ก่อเกิดจิตวิญญาณขึ้นมา ซึ่ง Oyage ก็เถียงกลับว่าพวกเขาเองอาจมีจิตวิญญาณตั้งแต่ต้นแล้ว โดยอ้างถึงเหตุการณ์ Pioneer Anomaly ที่ดาวเทียม Pioneer ลดความเร็วลงโดยที่หลักฟิสิกส์ไม่อาจอธิบายได้ (ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้รับการอธิบายแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเปิดเผยหลังจากที่นิยายตีพิมพ์ไปแล้วน่ะ) และการที่ Pion ไล่ตาม Oyage กลับมาโลกทั้งที่ไม่ได้รับคำสั่งก็เพราะในใจลึก ๆ แล้วเธอเองก็อยากกลับมาสู่ดาวบ้านเกิดเช่นกัน ส่วน Oyage เองก็อยากจะขังตัวอยู่ในเมืองฮิกกิโคโมริในโลกของของเล่นไม่ต้องออกไปไหนอีก


     




    จะส่งกลับไปอีกได้ลงคอเชียวหรือ ?

     

    หลังจากค้นพบความจริงแล้วผู้คนในโลกก็ต้องการส่ง pion กับ oyage กลับขึ้นไปสำรวจอวกาศอีกครั้ง นางเอกเลยต้องช่วยเหลือทั้งสองโดยการแอบลอบไปทำลายเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้า ทำให้ทั้งสองไม่ต้องกลับไปอวกาศอีก โดยแลกกับการที่โดนลงโทษตัดผมเสียโกร๋นอย่างที่ปรากฎในตอนแรก (ความจริงนางเอกต้องโดนโทษหนักกว่านี้ แต่นางเอกยอมรับหน้าไม่อายว่าใช้เส้นสายทำให้หลุดรอดออกไปได้)
     

     

    The Fairies' Time Management

     



    แบ่งมาสักคนได้ไหมเอ่ย ?


     

    Arc นี้อาจเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าโรแมนติกที่สุดของเรื่องแล้วก็ว่าได้ หากใครเคยดูเรื่อง Steins:Gate มาอาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับอะไรหลายอย่างในสองตอนนี้ ตั้งแต่เรื่องการย้อนเวลา  ติดลูป เรื่องกล้วย และ Time Parado(g) กระนั้นประเด็นที่สำคัญที่สุดของตอนคือการเฉลยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกและผู้ช่วยว่ามาพบกันได้อย่างไร
     

    ตลอด 6 ตอนที่ผ่านมาคุณผู้ช่วยไม่พูดออกมาสักกะแอ่ะ แต่เราจะรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองอยู่ในระดับที่รู้ใจกันได้โดยที่ไม่ต้องพูดออกมาสักคำ มาถึงตอนนี้จะอธิบายว่าทำไมคุณผู้ช่วยกับนางเอกถึงได้รู้ใจกันได้ขนาดนี้
     

    เรื่องทั้งหมดเริ่มจากการที่คุณปู่ (หัวหน้านางเอก) ให้ไปรับคุณผู้ช่วยมาจากโรงพยาบาล ระหว่างทางเธอก็พบกับเหล่าคุณภูติที่บ่นเรื่องที่ไม่ค่อยมีของหวานกิน และคิดว่าหากมีคนอย่างนางเอกเยอะ ๆ ก็คงดี ซึ่งในตอนแรกนางเอกห้ามคุณภูติไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามทำการโคลนนิ่งเด็ดขาด ซึ่งนางเอกก็ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าเหล่าคุณภูติเองยังมีวิธีอื่นที่จะเพิ่มตัวนางเอกนอกกจากการโคลนนิ่ง !
     

    หลังจากนั้นนางเอกก็รู้สึกว่าเหตุการณ์มันดูแปลกไป เหมือนกับว่าเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่มันเคยเกิดขึ้นไปแล้ว ตั้งแต่นางเอกได้รับคำสั่ง (และนาฬิกาแดดผูกข้อมือ) ให้ไปรับคุณผู้ช่วย พบกับคุณภูติที่ให้กินกล้วย (ตอนนี้โหดมาก ช่วงแรกกล้วยไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีรส ต่อมานางเอกเห็นเงาเหมือนคุณภูติกำลังเตะหัวของคุณภูติที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้รับผิดชอบกับกล้วยที่ผิดพลาดแทนลูกบอล) พบกับคุณปู่ที่ขี่รถม้าโรมัน ไปพบคุณพยาบาลที่อธิบายไม่ถูกว่าคุณผู้ช่วยมีหน้าตาหรือลักษณะอย่างไร ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่คุณผู้ช่วยในอดีตคนในเผ่าตายไปหมดจนต้องอยู่คนเดียว เมื่ออยู่คนเดียวและไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เขาจึงไม่มีตัวตนเด่นชัด เขาไม่รู้ว่าตัวเขาต่างจากคนอื่นอย่างไร (เห็นได้จากการที่ทั้งปู่และพยาบาลต่างอธิบายไม่ถูกว่าคุณผู้ช่วยเป็นอย่างไร) และในเมื่อเขาเป็นคนฉลาด เขาจึงออกตามหาว่าเขาเป็นใคร หลังจากนั้นนางเอกก็จึงเดินไปตามหาผู้ช่วยในป่าก่อนจะพบกับเตาเผากลางป่า และจู่ ๆ เธอก็สะดุดเปลือกกล้วยซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น และทุกครั้งที่เข้าป่า เธอก็จะพบกับคนหน้าตาคล้ายเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
     

    กลายเป็นว่าคุณภูติใช้วิธีย้อนเวลา เอาตัวของนางเอกจากแต่ละห้วงเวลามาขังไว้ในมิติเฉพาะเพื่อจะได้ทำขนมให้คุณภูติ ระหว่างการทำขนมเหล่านางเอกทั้งหลายก็ต่างพูดคุยกันว่าคุณผู้ช่วยจะมีลักษณะอย่างไร ซึ่งนอกจากเหล่าคุณภูติและนางเอกนับร้อยคนที่กำลังทำขนมอยู่นั้นก็มีอีกคนที่แอบฟังสิ่งที่นางเอกพูดถึง กลายเป็นว่าคุณผู้ช่วยที่หนีออกมาจากโรงพยาบาลแอบฟังสิ่งที่นางเอกพูดถึงตนทั้งหมด และตัดสินใจว่าจะกลายเป็นคนที่นางเอกจินตนาการถึง


     



    ถึงพบกันครั้งแรก  แต่ก็รู้สึกเหมือนกับรู้จักกันมานานแล้ว

     

    เรื่องของเรื่องคือนางเอกกลายเป็นผู้ที่มอบตัวตน (ในความคิดของเธอ) ให้กับคุณผู้ช่วย ในขณะที่คุณผู้ช่วยก็กลายเป็นชายหนุ่มที่หญิงสาวคนหนึ่งพึงจะฝันถึง ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่โรแมนติกบ้างหรือไง คนหนึ่งเป็นผู้มอบตัวตนให้ ในขณะที่อีกคนยอมเป็นสิ่งที่อีกฝั่งวาดฝัน จะมีความสัมพันธ์ในแนบแน่นไปมากกว่านี้อีกแล้ว
     

    อ้อ... นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นว่าคุณปู่ได้นาฬิกาแดดข้อมือมาจากไหนนะ

     

    The Fairies' Survival Skills และ The Fairies' Earth

     



    อ้อนคุณภูติเข้าไป

     

    สองตอนนี้เป็นตอนเดียวจบในตอนหากแต่มีความเชื่อมต่อกันในแง่ของไอเดีย ตอนแรกนั้นนางเอกต้องช่วยกลุ่มคุณภูติที่ถูกแกล้งอพยพไปที่อื่น ก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุไปติดเกาะ จับพลัดจับผลูก่อสร้างอารยธรรมใหม่กลายเป็นราชินีของเกาะขึ้นมา ก่อนจะทำมันล่มสลายภายในเวลาเก้าวันเท่านั้น
     

    ตอน The Fairies' Survival Skills เรียกได้ว่าสรุปหัวใจของเรื่องนี้ไว้ในตอนเดียวเลยก็ว่าได้ ซึ่ผมคิดว่าหากเอาตอนนี้ไปใส่เป็นตอนสุดท้ายอาจจะเหมาะกว่ามั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตอนนี้มีประเด็นน่าสนใจหลายอย่าง ตั้งแต่มุกที่เหล่าคุณภูติเสนอถึงแนวทางของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำ มีภูติตัวหนึ่งเสนอว่าให้แจกจ่ายของหวานอย่างเท่าเทียมกัน อีกตัวเลยคอมเม้นท์ว่า "นายเป็นพวกคอมมิวนิสต์เหรอ" หรือจิกกัดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งที่ไปทำลายสภาพแวดล้อมจนอารยธรรมต้องล่มสลาย (อ้างอิงถึงอารยธรรมเกาะอีสเตอร์) มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากในตอน เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เหล่าคุณภูติสร้างอารยธรรมอย่างไม่บันยะบันยัง (โดยการอนุมัติของนางเอกที่เป็นราชินีของประเทศใหม่) จนในที่สุดเกาะก็ไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป นางเอกเสนอมว่าให้เหล่าคุณภูติทิ้งอนุสรณ์ที่สร้างมาทั้งหมดซะ แล้วเอาวัสดุมาต่อเรือหนีออกจากเกาะแทน (เจ้าพวกนี้ชอบสร้างสิ่งก่อสร้างประเภทไม่ก่อประโยชน์มาก) แต่ภูติคนหนึ่งก็เปรยอย่างเศร้า ๆ ว่า "แล้วคุณจะทิ้งญาติที่ป่วยหนักได้ลงคอเหรอ" ซึ่งความจริงแค่คุณภูติยอมทิ้ง อนุสรณ์เหล่านั้นแล้วเอามาทำเป็นเรือก็จบ แต่พวกนั้นก็ไม่ ซึ่งก็คงคล้าย ๆ กับโลกเราปัจจุบันล่ะมั้ง และเมื่อคุณภูติไม่สนุกสนาน ความเครียดก็ก่อตัวเป็นเมฆทำให้ฝนตกลงมาชะล้างทุกอย่างที่เคยสรรค์สร้างให้สูญสลายราวกับเรื่องราวของเรือโนอาห์ ตอนท้ายสุดคุณปู่ของนางเอกก็ให้บทเรียนกับนางเอกที่ปล่อยปะละเลยไม่สนใจต่อผลกระทบของการพัฒนาว่า "เด็กโง่ หัดเช็ดสิ่งที่ทำเลอะไว้ซะบ้าง" ซึ่งดูแล้วเหมือนกับจะส่งสารให้ผู้คนทั่วโลกหัดรับผิดชอบต่อการกระทำของตนที่ส่งผลต่อความเสียหายของสภาพแวดล้อมเสียบ้าง

     




    อย่างกับเมืองในเกมส์ Civilization ของผมแน่ะ  สร้าง wonder ซะครบในเมืองเดียวเลย


     

    ส่วนตอนที่สองเล่าถึงเหตุการณ์ที่นางเอกเข้ามาทำงานใหม่เป็นครั้งแรกและได้พบกับคุณภูติเป็นครั้งแรก (ซึ่งดูไปสองตอนสุดท้ายจะพบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียทีเดียว) เนื้อหาก็คล้ายกับช่วงแรก หากแต่เปลี่ยนนางเอกจากราชินีกลายเป็นพระเจ้าที่เผลอตั้งชื่อให้คุณภูติ จนคุณภูติก่อร่างสร้างอารยธรรมใหม่ได้ภายในคืนเดียว มีรูปปั้นนางเอกชูหนังสือตั้งชื่อเด็กให้อย่างเสร็จสรรพ (และล่มสลายไปในคืนเดียวเช่นกันเพราะเหล่าคุณภูติไม่อยากเป็นพระเจ้ากันเอง เหมือนกับเป็นงานที่น่ากลัวมาก) มิน่าตอนก่อนหน้านี้ถึงได้ดูคุ้นเคยกับบทบาทการเป็นราชินีเหลือเกิน เพราะก่อนหน้าเคยเป็นถึงพระเจ้ามาแล้วนี่เอง


     




    ทริคการสู้กับเจ้าตัวนี้  แค่เอามือไปแตะแล้วบอกว่า "ตานายเป็นพระเจ้าแล้วนะ" ก็พอแล้ว

     

     

    The Fairies' Secret Tea Party

     




    อา... สวนดอกไม้ต้องห้ามที่แสนเย้ายวน  จะมีอะไรแอบแฝงอยู่หนอ


     

    สองตอนสุดท้ายเป็นตัวเลือกที่แปลกมากสำหรับช่วงตอนจบของเรื่อง โดยส่วนตัวคิดว่าตอนที่ 9 The Fairies' Survival Skills อาจจะเหมาะสมกว่า แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ตอนนี้อาจจะเหมาะกว่าก็ได้
     

    จากตอนที่แล้วที่คิดว่าเป็นตอนเริ่มต้น กลายเป็นว่าตอนท้ายสุดของเรื่องคือตอนที่เริ่มขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ใดที่ผ่านมา เป็นการเล่าถึงการย้อนอดีตของนางเอกที่นึกถึงช่วงที่เข้าเรียนในโรงเรียน เนื่องจากเธอเป็นเด็กโตเข้าเรียนช้า ทำให้หล่อนต้องไปเรียนกับเด็กเล็ก และนั่นทำให้นางเอกดูแปลกแยก โดนแกล้งต่าง ๆ นานา ในตอนนี้เราจะได้เห็นนิสัยดั้งเดิมของนางเอกที่เป็นคนเก็บตัว มองโลกในแง่ร้าย (ซึ่งปัจจุบันก็ยังมองโลกในแง่ร้ายอยู่ แต่ดีขึ้น) ต่อต้านสังคม จนกลายเป็นเป้าในการแกล้ง (ตอนเข้าเรียนเริ่มแรกก็โดน y เอากุญแจห้องไปซ่อนแล้วบังคับให้แก้ปริศนา) นอกจากสาวน้อยโลลิผมทองที่ดูจะพยายามเอื้อมมือเข้ามาช่วย แต่นางเอกของเราก็ไม่เชื่อใจหล่อนอยู่ดี จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับคุณภูติที่หลบหนีจากการล่าของเด็ก ๆ ที่จะจับคุณภูติไปชำและเล่น เธอได้กลายเป็นเพื่อนกับคุณภูติ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้นจนกระทั่งนางเอกถึงจุดที่รับไม่ไหว วิ่งออกไปร้องห่มร้องไห้ กลายเป็นว่าฉากหน้าที่ดูไม่สนใจสิ่งใดในโลก แท้จริงแล้เธอโคตรเหงา อยากมีเพื่อนคุยด้วย ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งคนที่โผล่มาช่วยเหลือก็ไม่ใช่คนอื่นใด เป็นคุณภูติที่นางเอกเคยช่วยไว้นั่นเอง
     

    หลังจากนั้นนางเอกก็เหมือนกับจะลืมเหตุการณ์ที่เคยพบกับคุณภูติที่ผ่านมา และเหตุการณ์ก็เริ่มดูดีขึ้น นางเอกได้เรียนข้ามชั้นพร้อมกับโลลิผมทอง ซึ่งในชั้นใหม่กลายเป็นโลลิผมทองโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้นที่อายุมากกว่า นางเอกก็ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย จนทำให้ได้รู้ความจริงว่ายายโลลิผมทองมันปลื้มนางเอกจนเกือบจะเรียกว่าเป็นสตอร์กเกอร์เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นไม่นานโลลิผมทองก็ชวนนางเอกเข้าชมรมน้ำชา (อารมณ์เดียวกับมารีมิเตะเลย)


     




    Y u so cute!

     

    ตอนต่อมาจะบอกว่าสถานการณ์ของนางเอกดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก เธอมีเพื่อนในชมรมน้ำชาที่ดูรักใคร่กันดี และในตอนนั้นเองเธอก็ไปล่วงรู้ความลับของ y ว่าเธอแอบชอบนิยายแนวชายรักชายจนแอบขโมยหนังสือจากห้องสมุดมาทำเป็นห้องสมุดส่วนตัวในห้องลับ หลังจากที่นางเอกแสดงความฉลาดออกมาให้เห็นและแบล็คเมล y ผู้น่าสงสาร (ฉากนี้ y น่ารักมาก) y จึงมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนโดยการเผยความลับเบื้องหลังของสมาชิกชมรมน้ำชาทุกคน เริ่มตั้งแต่รุ่นพี่ดอกไม้ที่ดูเป็นรุ่นพี่ใจดี แต่เบื้องหลังกลับเขียนบันทึกเรื่องที่คนอื่นทำให้ตัวเองเจ็บแค้นเสียอย่างละเอียด ซึ่งชื่อนางเอกโผล่ขึ้นใหพรึ่บเพราะยิ่งสนิทยิ่งเกี่ยวข้องกันบ่อย รุ่นพี่แม่มดที่แอบเก็บสะสมผมของนักเรียนหญิงทุกคน โดยเฉพาะของนางเอกที่หล่อนดูจะชอบเป็นพิเศษจนเก็บไว้หลายหน้า (แถมมีแอบเอามาเลียด้วย) ส่วนสองสาวเพื่อนซี้ก็ทำตัวสถุลสุด ๆ ห้องเละเทะ ช่างนินทา ดูไม่เหมือนกับสาวน้อยท่ามกลางทุ่งดอกไม้เหมือนในชมรมแม้แต่น้อย และสุดท้ายที่น่ากลับที่สุดก็คือยัยโลลิผมทอง ที่คลั่งนางเอกมากสุด ๆ จนถึงกับแก้เหงาโดยการเอาตุ๊กตามาเป็นตัวแทนนางเอกแล้วป้อนข้าวให้กิน แต่ระหว่างนั้นเธอกลับสติแตกเอาชาร้อน ๆ สาดใส่ตุ๊กตาเป็นการตัดพ้อว่านางเอกไม่ค่อยคุยกับเธอ ก่อนจะเข้าไปขอโทษขอโพยเลียชาบนตุ๊กตาอย่างลุ่มหลง และสุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหว จับตุ๊กตาเขวี้ยงทิ้งพร้อมกับใช้มีดกระซวกตุ๊กตาอย่างบ้าคลั่ง


     




    ฉากยัยหัวเหลืองที่ชอบที่สุดของตอน


     

    สรุปคือทุกคนต่างมีเบื้องหลังแปลก ๆ หมด และการที่ y ถูกใจนางเอกก็เพราะนางเอกเป็นคนที่อ่านง่ายที่สุด (แม้ว่านางเอกจะมีข้อเสียอยู่บานเหมือนกัน แต่ไม่สยองเท่าคนอื่น ๆ) ซึ่งเป็นสาเหตุให้นางเอกหันมาคบกับ y และตีตัวออกห่างจากชมรม ทว่าสุดท้ายแล้วนางเอก็พา y กลับเข้าชมรมและคืนดีกัน พร้อมกับเริ่มทำสิ่งที่ชมรมน้ำชาตั้งขึ้นมาจริง ๆ คือการค้นหางานน้ำชาดั้งเดิมของเหล่าคุณภูติ
     

    เวลาผ่านไป รุ่นพี่ก็เริ่มจบการศึกษา และไม่มีนักเรียนใหม่เข้าเรียน โรงเรียนเริ่มร้างและในที่สุดก็ถูกปิดลง ปิดฉากชั้นเรียนชั้นสุดท้ายของมนุษยชาติที่กำลังเสื่อมถอย ตอนจบเกี่ยวกับเรื่องมิตรภาพผมขี้เกียจพูดถึง แต่อยากพูดประเด็นที่ว่าทำไมถึงเลือกตอนนี้เป็นตอนปิดท้าย ผมว่าคนทำอยากทำให้สอดคล้องกับการจบการศึกษาของนางเอก เป็นการปิดฉากของเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงมิตรภาพของทุกคนในอดีตที่แม้ว่าเบื้องหลังหน้ากากจะน่ากลัวอย่างไร แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ดี (จากตอนสุดท้ายที่หันมาคบกันใหม่) และมิตรภาพระหว่างนางเอกกับคุณภูติที่ในที่สุดนางเอกก็ค้นพบงานน้ำชาของคุณภูติที่เฝ้าตามหามาตลอด คือจะเรียกว่าเป็นตอนจบแบบปลายเปิดก็ว่าได้


     




    ถึงจะป่วนไปหน่อย  แต่ก็เป็นเพื่อนกันนะ


     

     

    ที่ผมเล่ามานี่เป็นเศษเสี้ยวธุลีของประสบการณ์ที่ได้รับชมเรื่องนี้มา มีอีกมากที่ผมอยากพูดถึงแต่พิมพ์ไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่บทสนทนาที่ยอดเยี่ยม ท้องเรื่องที่มนุษยชาติกำลังล่มสลาย (แต่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด) มุกของคุณผู้ช่วย ภาพนั้นทำออกมาคล้ายกับเป็นนิทาน แต่คุณภาพดีมาก เล่นมุกล้องน่าสนใจ (เห็นได้ชัดเจนตอนช่วงสุดท้าย) เพลงของเรื่อง (โดยเฉพาะเพลงจบที่ผมชอบเป็นพิเศษ)
     

    แต่นอกจากบทและเนื้อเรื่องที่น่าสนใจแล้ว ยังต้องชมเชยนักพากษ์ด้วย โดยเฉพาะคนพากษ์นางเอกที่ดึงอารมณ์ความแดกดันและหน้าตายของนางเอกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ตัวละครเองก็น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวนางเอกกับคุณผู้ช่วย และคุณภูติที่เป็นตัวเด่นของเรื่อง อย่างคุณภูตินี้หน้าตาดูน่ารักดีอยู่ แต่พอดูไปดูมาจะรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ อาจจะไม่เท่าคิวเบย์ แต่คุณจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่เลย
     

    สุดท้ายนี้เรื่อง จินรุย ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนดูแล้วจะชื่นชอบ หากใครชอบเหมือนผมก็จะชอบมันไปเลย ในขณะคนที่ชอบก็จะเกลียดไปเลย อย่างเพื่อนของผมดูสองตอนแรกจบแล้วถามออกมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า "เรื่องนี้มันสนุกไงวะ" ซึ่งผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน คือยังไงดีล่ะ.... เอ ผมก็อธิบายไม่ถูกนั่นล่ะ (ฮา) หากคุณดูแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องแปลกใจ และก็ไม่ต้องกลัวไป เพราะการ์ตูนแนวนี้มันไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็นบ่อยนักหรอก ส่วนใครที่ชอบแนวจิกกัดสังคมแบบเนิบ ๆ และมุกตลกที่ต้องคิดหลายตลบหน่อยว่ามันตลกอย่างไร เรื่องนี้ก็อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งท่ามกลางแนวฮาเร็มอันชั่วร้ายที่กำลังครอบงำวงการอนิเมในเวลานี้อยู่ (ชั่วร้ายนี่ล้อเล่นนะ) สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ถือว่าดีที่สุดในซีซั่นนี้แล้ว (แต่ที่เฝ้ารอติดตามมากที่สุดคือเรื่อง Koi to Senkyo to Chocolate นะ)
     

    ขอบคุณที่อ่านนะครับ ใครอ่านจบผมชมเลย เพราะผมเองยังขี้เกียจอ่าน (ฮา)






    ปล. ฉบับนี้เป็นฉบับร่าง  ยังไม่เสร็จนะจ๊ะ

    ปล. 2 รูปทั้งหลายก็อปมาจาก Random Curiosity  คนที่บล็อคเรื่องนี้วิเคราะห์ได้แจ่มมาก  ลองไปอ่านดูกันนะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×