ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมบทความเกี่ยวกับการ์ตูนที่เคยเขียน

    ลำดับตอนที่ #29 : (Review Anime) Anime Summer 2012 จบแล้ว มาบ่นไปด้วยกันเถอะ !

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.28K
      0
      30 ก.ย. 55

    กระทู้นี้มี Spoil หรือการเผยเนื้อหาในเรื่องที่จะทำให้เสียอรรถรสในการดูนะจ๊ะ


    สวัสดีครับทุกท่าน...

    ช่วงนี้ก็ฝนตกทุกวี่ทุกวัน  แถมยังชอบตกเวลาคนเขากลับบ้านกันอีก  สงสัยว่าพระพิรุณเองก็มีเวลาตอกบัตรเข้าออกทำงานเหมือนกันแฮะ

    ในที่สุดก็เข้าสู่ข่วงสุดท้ายของอนิเมซีซั่นนี้แล้ว  หลายเรื่องก็ได้จบไปเป็นที่เรียบร้อย  บางเรื่องเช่น Dog Days' ก็มีคิวจบภายในพรุ่งนี้  ส่วนอีกหลายเรื่องเช่น Sword Art Online (หรือ อบต )อนิเมขวัญใจคนไทย (ที่ผมไม่ค่อยอวย) ก็ลากยาวต่อไปอีกซีซั่นหนึ่ง 

    เพื่อความสนุกของกระทู้นี้  อยากให้ทุกท่านลองไปอ่านรีวิวอนิเมต้นซีซั่นนี้ก่อนได้ >>ที่นี่<< แล้วกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกทีเพื่อเปรียบเทียบว่าความเห็นของผมตอนต้นซีซั่นกับตอนท้ายซีซั่นมันช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ  บางเรื่องที่ผมอวยไว้อย่างดิบดีในตอนแรกกลับผิดหวังอย่างไม่น่าเชื่อ  ในขณะที่บางเรื่องที่ด่าไว้เสียยับเยินกลับกลายเป็นเรื่องทีผมเฝ้าดูมากที่สุด

    สำหรับในช่วงแรกผมจะลิสต์รายอนิเมที่ผมดูไม่จบ หรือดร็อปไปกลางทาง  ส่วนช่วงถัดไปจะเป็นรีวิวคร่าว ๆ และความรู้สึกหลังจากดูจบเป็นรายอนิเมไป  ตามด้วยบทส่งท้ายที่ถ้ามีอารมณ์เขียน  จะขอเพ้อเรื่องตัวการ์ตูนสาวแว่นสุดยอดในใจของผมที่ตกเป็นจำเลยของสังคมในเวลานี้หน่อย และมองข้ามช็อตถึงอนิเมน่าสนใจในซีซั่นหน้า


    สำหรับซีซั่นนี้ก็เหมือนกับทุกซีซั่น  คือผมไม่ได้ดูครบทุกเรื่องในซีซั่นนี้  บางเรื่องที่น่าสนใจแต่ผมไม่ได้ดูก็จะเขียนไว้ในความเห็นต่อไป

    และข้อสุดท้ายคือผมยินดีเป็นอย่างยิ่งหากใครจะมาร่วมรีวิว หรือแสดงความเห็นในกระทู้นี้  ผมเองก็ไม่ได้ดูอนิเมเยอะ  ดังนั้นถ้ามีคนมาร่วมรีวิวเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปจะเป็นเรื่องที่ดีมาก  แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของกระทู้คือหาเพื่อนคุยนั่นล่ะ  


    เอาล่ะครับ  เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราก็ไปเข้าสู่ช่วงแรกกันเถอะ !








    อนิเมที่ผมดูไม่จบหรือดร็อปกลางทาง

    1. Dakara Boku wa, H ga Dekinai - อนิเมที่คนแถวนี้บางคนอวยนักอวยหนาช่วงแรก ๆ (ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังอวยอยู่หรือเปล่า)  สำหรับผมดูตอนแรกก็เกินพอแล้วสำหรับอนิเมขายนมเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าผมแอนตี้อนิเมขายนมนะ  เพียงแต่ผมคงรู้สึกเอียนกับพล็อตแนวนี้เสียมากกว่า  เสียดายเพื่อนสนิทวัยเด็กแถมเป็นสาวแว่นอีกต่างหาก

    2. Oda Nobuna no Yabou - เป็นอีกเรื่องที่ผมดร็อปตั้งแต่ตอนแรกเช่นกัน  ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ทำไม่ดีนะ  โปรดักชั่นเจ๋ง  แอ็คชั่นเคลื่อนไหวพลิ้ว  ตัวละครสาว ๆ น่ารัก  แต่สุดท้ายแล้วผมก็ขี้เกียจดูอยู่ดี  สงสัยว่าผมคงไม่ค่อยถูกกับเรื่องแนวเอาบุคคลในประวัติศาสตร์มาแปลงเพศสักเท่าไหร่

    3. Binbougami ga! - การ์ตูนปล่อยมุกของน้ำยาล้างจานประจำซีซั่นนี้  ผมดูไปแล้วตอนแรกก็สนุกดี  แต่พอขึ้นตอนสองแล้วรู้สึกหมดอารมณ์ดูไปเสียอย่างนั้น  สงสัยคานะไม่เหมาะกับการพากษ์คาแร็คเตอร์แนวนี้ล่ะมั้ง


    4. Natsuyuki Rendezvous - ผมแปลกใจมากสำหรับเรื่องนี้ที่ผมยังค้างเติ่งอยู่ที่ตอนที่ 7 อยู่เลย  ความจริงเรื่องนี้เป็นอนิเมที่ดีมากนะ  มันมีความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นธรรมชาติ  คนพากษ์ก็พากษ์ได้เข้ากับอารมณ์  ฉากหลังที่เป็นร้านดอกไม้ก็สีสดใส  มุมกล้องและลำดับการดำเนินเรื่องก็ทำได้เยี่ยม  แล้วทำไมผมถึงยังดูค้างต่อไม่จบล่ะ ?

    หากจะบอกสาเหตุมันคงเป็นการสปอยล์เนื้อหาพอสมควรเลย  แต่สำหรับท่านที่ตัดสินใจเข้ามาอ่านกระทู้นี้ก็ต้องยอมรับการโดนสปอยล์ได้ในระดับหนึ่งล่ะนะ  ดังนั้นผมจะพูดออกมาเลยก็แล้วกัน  ถ้าใครบ่นก็กรุณากลับไปอ่านตรงต้นกระทู้ด้วย

    คือผมรู้สึกเอียนช่วงเนื้อหาตอนที่พระเอกโดนอดีตสามีนางเอกชิงร่างไปน่ะ  ดูแล้วทั้งอึดอัดและหงุดหงิด  จนสงสัยว่าอนิเมทำดีไปมั้ง  ผมเลยไม่ดูต่อแม่มเลย  แต่สำหรับใครที่เรื่องที่ออกแนวรักของผู้ใหญ่  เนื้อหาลุ่มลึกแล้ว  ผมก็แนะนำเรื่องนี้เลย  ผมได้แต่หวังว่าจะทำใจมาดูต่อเรื่องนี้จนจบได้สักวันนะ

    5. Hagure Yuusha no Estetica - ผมดูเรื่องนี้จนถึงตอนที่ 10 ครับ  แล้วผมว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ผมรู้สึกในตอนแรกมันจางหายไปหมดแล้วล่ะ  คือเนื้อหาก็น่าสนใจดีอยู่หรอก  แต่การนำเสนอของสตูดิโอที่ทำนี่ไม่ได้เรื่องเลย  ดีไซน์ตัวละครก็ไม่ถูกใจ  แถมทั้งที่เป็นการ์ตูนขายนม  แต่วาดนมกับรูปร่างสาว ๆ ไม่ค่อยสวยเลย  สรุปคือผมแปลกใจเหลือเกินที่ยังอุตส่าห์ดูได้จนถึงตอนที่ 10 เนี่ย  ไปอ่านแบบมังหงะยังถึงใจกว่าเลย


    ส่วนเรื่องที่ผมไม่ได้ดูก็บอกไปในกระทู้ก่อนหน้านี้แล้ว  ทั้ง Kokoro Connect, Horizon II, Rinne no Lagrange






    แต่ฮันเบย์อย่างแจ่ม... เอ๊ะ  เราเลิกดูไปก่อนที่เธอจะเปิดตัวนี่นา




    อนิเมที่ดูข้ามไปข้ามมา  ไม่ได้ดูครบทุกตอน

    1. Dog Days'


     


     

     
    หนึ่งในเรื่องที่ผมตั้งตารอคอยมากที่สุดของซีซั่นนี้  แต่เหมือนว่ามันไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังได้สักเท่าไหร่...

    ความจริงผมอวยเรื่องนี้นะ  เป็นผลพวงมาจากเรื่องที่ว่าเป็นสตูดิโอเดียวกับที่ผลิตนาโนฮะออกมา  ทำให้ผมพยายามจะดูเรื่องนี้ให้สนุกให้ได้  ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วซีซั่นแรกมันก็ไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น  แต่ด้วยแรงอวยทำให้ผมดูแล้วสนุกมากกว่าที่มันควรจะเป็น... (แต่ซีซั่นแรกมันก็สนุกนะ)

    กระนั้น  เรื่องราวมันก็เหมือนกับราคาหุ้นของเฟสบุ๊คที่ประเมินไว้สูงเกินจริง  หลังจากผมพยายามกัดฟันเค้นพลังอวยอย่างสุดความสามารถ  ในที่สุดผมก็ไม่อาจต่อต้านความรู้สึกที่สะสมในก้นบึ้งหัวใจได้...

    คือมันน่าเบื่ออ่ะ... ปัญหาร้ายแรงที่สุดของภาคนี้ในความเห็นของผมคือมันไม่มีทิศทางเอาเสียเลย  แทบไม่มีเนื้อหาหลักเหมือนภาคแรก  กลับเป็นเพียงเล่นสนุกไปวัน ๆ ราวกับว่าต้องการใส่ทุกอย่างที่ภาคที่แล้วไม่มีโอกาสได้ใส่มาในภาคนี้  ไม่มีทิศทางให้รู้สึกว่าอยากจะติดตามเรื่องนี้นอกจากดูตัวละครน่ารัก ๆ ทำอะไรที่น่ารัก ๆ อย่างสบายอกสบายใจ  ทุกคนเป็นคนดี  ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการทรยศหักหลัง  ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี  แต่มันไม่มีอะไรให้รู้สึกว่าอยากจะดูตอนต่อไปนะสิ  นี่ยังไม่รวมไปถึงฉากแปลงร่างอันแสนสยองขวัญของเบ็คกี้ในตอนต้นเรื่อง   ยังดีที่ฉากคอนเสิร์ตขององค์หญิงทำได้ดีกว่าภาคแรก  แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจทำให้ความมั่นใจของผมที่มีต่อซีซั่นนี้มันเพิ่มขึ้นได้แม้แต่น้อย

    สรุปคือผิดหวัง  ดูข้าม ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก  คงจะดูตอนสุดท้ายพรุ่งนี้  ซึ่งก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากนี้ไปหรอก




     
    2. Muv-Luv Alternative: Total Eclipse





     
    พระเอกของเรื่องนี้คือเหล่า Beta และหน้าที่ของเหล่า Beta คือจับสาว ๆ ในเรื่องมาเข้าฮาเร็ม (เขมือบ)

    เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดูข้าม ๆ สองตอนแรกของเรื่องนี้ทำออกมาเรียกได้ว่าเยี่ยมยอดมาก  มันดูทั้งสิ้นหวัง  ทั้งสยดสยอง  แสดงถึงความกดดันของเหล่ามนุษยชาติที่ต้องเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ได้อย่างยอดเยี่ยม

    กระนั้นหลังจากสองตอนแรก  เรื่องนี้ก็ดิ่งลงเหวสู่ห้วงแห่งความหายนะในแง่ของตัวอนิเม  ทั้งที่ตัววัตถุดิบของเรื่องเรียกได้ว่าแจ่มแจ้งแสนสาหัส (ซีรีย์ Muv-Luv ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน Visual Novel ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งเลย)  ธีมของเรื่องที่เน้นถึงความขัดแย้งของเหล่ามนุษยชาติที่แม้ว่าภัยพิบัติกำลังเข้ามากลืนกินทั้งเผ่าพันธ์  เรื่องการเมือง  การเหยียดผิว  ความสิ้นหวัง  แต่อนิเมกลับไม่อาจเค้นอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้  หลังจากตออนที่ 2 เป็นต้นมาเนื้อเรื่องเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก  เต็มไปด้วยความกลวงโบ๋  รายละเอียดก็ทำได้แย่มาก  เห็นได้ชัดถึงการขาดความใส่ใจในด้านรายละเอียดเล็กน้อยที่ทำให้เนื้อเรื่องดูไม่สมเหตุสมผล (ชอบเล่นบทพ่อแง่แม่งอนในตอนที่ไม่สมควรจะเล่นบ้าง) บทสนทนาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นชาตินิยมจนชวนสำลัก  และการที่พระเอกของเรื่อง (Beta ตัวที่หม่ำเพื่อนนางเอกตอนแรก ๆ นั่นล่ะ) หายไปเกือบครึ่งเรื่องทำให้เรื่องมันยืดยาวจนไม่น่าสนใจ 

    สรุปคือเรื่องนี้มีวัตถุดิบที่ดี  แต่คนปรุงดันปรุงได้ไม่ถึงรส  ยังดีที่สาว ๆ เรื่องนี้แจ่ม ๆ ทั้งนั้น



     
     

    ปางนางนอนตอนติดเกาะ



    3. Yuruyuri ♪♪

     


    ซีซั่นแรกผมก็ดูจนจบนะ  แต่ไหงมาต่อภาคสองผมดูทั้งหมดแค่ 4 ตอนเอง

    มุกบางมุกก็ขำดี  แต่ส่วนใหญ่ผมดูแล้วหลับปุ๋ย  เนื้อเรื่องเอ่ย ๆ ปล่อยมุกแป้ก ๆ ที่ผมไม่ขำ สรุปคือดูเพราะสาวแว่นจิโตเสะ กับคู่ฮิมาวาริ x ซากุราโกะ แค่นั้นล่ะ 



    4. Accel World





    ภาพสวย ๆ มีแต่ของรุ่นพี่ทั้งนั้นเลย  ของจิยุหายากมาก


     
    ซีซั่นที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีทองของ เรกิ คาวาฮาระ เลยก็ว่าได้  เพราะไลท์โนเวลที่เขาเขียกลายมาเป็นอนิเมถึงสองเรื่องในเวลาไล่เรี่ยกัน  โดยเรื่องแรก Accel World สร้างโดยน้ำยาล้างจาน  ส่วน SAO (หรือ อบต)  สร้างโดย A-1

    หากเทียบกันทั้งสองเรื่องแล้ว  ผมคิดว่าทางซันไรส์ดัดแปลงไลท์โนเวลเรื่อง Accel World ได้ลงตัวกว่า SAO เป็นอย่างมาก  ถึงแม้ว่า SAO จะมีราศีมากกว่าทั้งในแง่เนื้อเรื่อง  โปรดักชั่น  เพลงประกอบ และความอวย  แต่หลังจากดู SAO ผ่านไปครึ่งซีซั่นแล้วเอามาเปรียบเทียบ  ผมให้ Accel World มีแต้มเหนือกว่า 

    SAO นั้นมีปัญหาอย่างร้ายกาจที่ตัววัตถุดิบเอง  เพราะถึงแม้ว่าเวลาอ่านเป็นไลท์โนเวลจะไม่รู้สึกอะไร  แต่พอเอามาทำเป็นอนิเมแล้วถึงได้เห็นจุดบอดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  โดยเฉพาะกับเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องตัดเพื่อให้เนื้อหากระชับ  และเนื้อเรื่องเสริมที่ส่วนใหญ่มักจะแยกเป็นเอกเทศ  พอแบบอนิเมมาเรียงตามลำดับเวลาแล้วทำให้เนื้อหาไม่ปะติดปะต่อกัน  ผิดกับ Accel World ที่ทำเนื้อหาได้ต่อเนื่องกว่า  และทำให้อารมณ์ร่วมได้มากกว่า

    กระนั้น Accel World เองก็มีปัญหาที่ตัววัตถุดิบเช่นกัน  ซึ่งข้อเสียของเรื่องนี้ผมโยนให้กับปัญหาที่เรื้อรังในไลท์โนเวล  มากกว่าเป็นปัญหาที่การดัดแปลงแบบที่เช่นปรากฎอยู่ในเรื่อง SAO

    พูดง่าย ๆ คือเนื้อหาช่วงครึ่งหลังที่ต้องสู้กับโนมิมันอีโมมาก... ดูแล้วทั้งหงุดหงิด และอึดอัด  ตัวละครมัวแต่อีโมใส่กันจนผมข้ามไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว  ทั้งเจ้าหมูบินที่ยิ่งดูยิ่งหงุดหงิด (ถึงแม้จะน้อยกว่าสมัยก่อนหน่อย)  บทของจิยุที่แทบจะเละเทะไปเลย  กลายเป็นตัวร้ายยัยคนทรยศในสายตาคนดูที่ไม่ได้อ่านสปอยล์ไลท์โนเวลจนเกือบจะจบเรื่อง  ตัวร้ายเกรียนแบบน่าเตะจริง ๆ จัง  ทาคุที่อีโมตามเจ้าหมูไปด้วย  เนื้อเรื่องเต็มไปด้วย Rage และ angst ของวัยรุ่น  ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เต็มไปด้วย Nerd Fulfillment หรือความเติมเต็มความฝันของเด็กเนิร์ดแทบจะทั้งเรื่อง  ความรักของตัวละครอื่น (นอกจากจิยุ) ดูค่อนข้างฝืน  ยัดเยียด และไม่เป็นธรรมชาติมากไปกว่าที่จับยัดตัวละครหญิงให้มาชอบพระเอกด้วยสาเหตุที่อ่อนยวบ (อย่างน้อยผมไม่อิน)  บทพูดก็แสนเลี่ยนชวนคันยุบยับ

    สรุปแล้วเรื่องนี้ผมไม่โทษซันไรส์  (ซึ่งเป็นคนละขั้วกับ Gundam Age ที่ทำเสียเอง)  งานภาพก็โอเค  เพลงก็เพราะ  ตัวละครก็น่ารัก  ปัญหาน่าจะมาจากวัตถุดิบส่วนไลท์โนเวลมากกว่า 

    แต่เหตุผลแมว ๆ ที่ผมไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าที่ควรเพราะบทจิยุ (เพื่อนวัยเด็ก) หายมากกว่านั่นล่ะ (ฮา)


    เรเรื่องที่ดูต่อจนจบ

    Sword Art Online



     




     

    เรื่องนี้ยังไม่จบนะ  ยังมีต่อไปอีกจนซีซั่นหน้า

    Sword Art Online หรือชื่อเรียกไทย ๆ อย่างไม่เป็นทางการคือ อบต  อนิเมขวัญใจประจำซีซั่นของหลาย ๆ คน  แต่สำหรับผมแล้ว... ค่อนข้างผิดหวัง

    ช้าก่อน... มันไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้เป็นอนิเมที่ไม่ดีนะ  ทั้งคุณภาพของตัวอนิเม การลำดับภาพ  ฉากต่อสู้  เพลงประกอบ  รายละเอียดเล็กน้อยภายในเรื่องถือว่าทำได้อย่างดีเลยทีเดียว  เป็นอนิเมที่ทุนค่อนข้างสูงมาก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากตอนแรกที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม  มันก็อาจกล่าวได้ว่า SAO ไม่อาจทำได้สมกับความคาดหมาย (อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ) 

    ปัญหาของ SAO ผมได้เกริ่นไปก่อนหน้าตอนที่พูดถึงเรื่อง Accel World หรือหมูบินมาแล้ว  เนื่องจากเนื้อหาในไลท์โนเวลมีมากมายเกินกว่าที่อนิเมจะใส่ได้ครบ (และถึงใส่ครบก็อาจจะน่าเบื่อ)  ดังนั้นมันจึงต้องมีการดัดแปลงเนื้อหาบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลาฉายที่จำกัด  และเนื้อหาของภาคเสริมเองที่หากเดินเรื่องตามที่ไลท์โนเวลทำออกมาอาจไม่เหมาะสมนัก  ดังนั้นเราจึงได้เห็นการดัดแปลงเนื้อหาอย่างมากมาย  และทางสตูดิโอ A-1 เลือกที่จะเดินเรื่องตามช่วงเวลาก่อนหลัง (Chronological Order) แทนที่จะสอดแทรกเนื้อหาภาคเสริมระหว่างหรือหลังเนื้อเรื่องหลัก
    แบบเดียวกับนิยาย

    และนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับอนิเมเรื่องนี้ 

    ตั้งแต่ตอนที่หนึ่งเป็นต้นไป  เราจะได้เห็นเนื้อหาที่จบในตอนไล่เรียงตั้งแต่ตอนเจออาสึนะครั้งแรก  ตอนเจอซาจิแอนด์เดอะกิลด์  ไปปักธงซิลิกา  ไปตีดาบกับลิสเบ็ธ  กว่าจะเข้าเนื้อหาหลักก็ปาไปตอนที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ  ซึ่งเนื้อหาที่กล่าวมานั้นเป็นเนื้อหาเสริมที่ถึงแม้จะมีส่วนเชื่อมโยงกับเนื้อหาหลัก  แต่มันก็ไม่ปะติดปะต่อกัน  จึงทำให้กลายเป็นเรื่องราวของคิริโตะไปปักธงสาว ๆ หลากหน้าหลายตาในแต่ละตอนแทน  ความรู้สึกไม่ต่อเนื่องจนทำให้คนที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนอย่างผมต้องดูด้วยความเซ็งเป็ด แถมตัวร้ายเองก็มีแต่ตัวร้ายแบน ๆ โผล่มาให้คิริโตะโชว์เทพ (เรื่องจอมเวทบราค่อนก็ชอบใช้ทริคแนวนี้เหมือนกัน  ส่งตัวร้ายจ๊าดหง่าวออกมาให้พระเอกตบเกรียนเล่น ๆ)

    อีกข้อที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดคือการที่เนื้อหาบางอย่างดูไม่สมเหตุสมผล  ดูค่อนข้างฝืน  ห้วน  ไม่รู้สึกอินไปกับอารมณ์ของตัวละคร  ซึ่งเรื่องนี้ส่วนใหญ๋แล้วอาจโทษกับสตูดิโอ A-1 ได้ว่าไม่อาจดัดแปลงเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เนื้อหาหลายอย่างไม่ได้รับการอธิบาย  ซึ่งถ้าใครไม่เคยอ่านนิยายมาก็คงต้องกุมขมับกันอีกรอบ  ซึ่งแน่นอนว่าการไล่ให้ไปอ่านนิยายเพื่อเติมรายละเอียดที่หายไปอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง  แต่ผมกลับคิดว่าหากมองแต่ในแง่ของอนิเมเพียงอย่างเดียวแล้ว  เรื่อง SAO ไม่อาจที่จะดึงอารมณ์ร่วมออกมาได้เลย  ดังนั้นผมจึงได้แต่ดูความน่ารักของสาว ๆ ที่ผมก็ไม่ค่อยอวยสักเท่าไหร่  ซิลิก้าก็น่ารักดี  ลิสเบ็ธช้ำรักได้อย่างน่าสงสาร  อาสึนะก็หวานได้ดี  แต่ยุยนี่สิ... ผมไม่ได้แอนตี้ยุยนะ  แต่เท่าที่ผมดูผมรู้สึกรำคาญเธอมากกว่ารู้สึกว่าเธอน่ารักน่ะ  มันทั้งฝืน  ทั้งห้วน  ทั้งยัดเยียดอารมณ์  ไม่รู้ว่าเป็นปัญหาที่การดัดแปลงหรือเป็นปัญหาที่ตัวบทดั้งเดิมกันแน่

    สรุปแล้วหากดูเรื่องนี้ในฐานะอนิเมโปรโมตนิยายอาจจะสบายใจกว่าดูในฐานะอนิเมโดยตรงมากกว่านะ  อย่างที่บอก  เรื่องนี้มันก็ไม่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น  แต่มันไม่ใช่อนิเมยอดเยี่ยมที่สุดประจำซีซั่นอย่างแน่นอน  อย่างน้อยก็สำหรับผมล่ะนะ

    แน่นอนว่าผมไม่ได้อ่านนิยาย  แต่เป็นการวิจารณ์เฉพาะอนิเม  ดังนั้นใครไม่พอใจจงอย่าได้ไล่ให้ผมไปอ่านนิยายเชียว 



     



    ปล. การทำน้ำเต้าหู้เป็นอะไรที่สูบวิญญาณมาก - -"



     
    6. Koi to Senkyo to Chocolate






    ความจริงอนิเมโปรดประจำซีซั่นนี้ควรจะมี 4 เรื่อง  แต่อนิจจาที่สองตอนสุดท้ายของเรื่อง ความรัก การเลือกตั้ง  และช็อคโกแล็ต ได้ทำลายความรักที่ผมเคยมีให้กับซีรีย์นี้จนหมดสิ้น 

    หากใครเคยอ่านรีวิวต้นซีซั่นจะเห็นว่าผมด่าเรื่องนี้ไว้อย่างเสีย ๆ หาย ๆ แบบไม่เผาผีกันเลย  แต่เชื่อไหมว่าหลังจากนั้นอีกไม่กี่สัปดาห์  เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ผมเฝ้ารอคอยซับเป็นอันดับหนึ่งประจำวันศุกร์เลยก็ว่าได้ !

    มุกชนทิ่มนม  ล้มจิ้มเป้าก็ไม่มีอีกแล้ว

    มุกเชย ๆ เช่นเพื่อนสาววัยเด็กมาปลุกที่ห้อง หรือมุกฝืด ๆ ที่สามเพื่อนซี้ชอบเล่นนะเหรอ ?  ตอนหลังมันจะมีความหมายมากอย่างไม่น่าเชื่อ

    ภาพคุณภาพต่ำเหรอ... จงเจอน้องเมล่อนเสียก่อน ! 

    เนื่องจากผมไม่เคยเล่นเกมมาก่อน  ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดหรืองุ่นง่านประการใดยามเมื่ออนิเมหั่นบทหรือดัดแปลงเนื้อเรื่องของสาว ๆ จากเกมจนเกลี้ยง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรื่องของมี่จังหรือน้องแมวที่โดนยัยสาวทวินเทลกับเมล่อนจังกลบเสียจนมิด  (บทส่วนใหญ่ของน้องแมวตลอดทั้งเรื่องคือทำหน้าแมวหงอยท้ายตอนช่วงเครดิต ed ขึ้น  ส่วนมี่จังนี่โดนบทพระเอกกลบเสียอย่างน่าสงสารไปเลย) 

    ในช่วงแรกเรื่องนี้ถือได้ว่าสอบผ่านในแง่การดัดแปลงเนื้อหาจากเกม Eroge อย่างงดงาม  คือมันดูแล้วสนุก  ทั้งการสอดแทรกลูกเล่นของการเลือกตั้งได้อย่างแยบยล  การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของพระเอกที่ทำแล้วรู้สึกได้จริง ๆ ว่าพระเอกมันก็เก่ง  ดราม่าของตัวละครที่คืบคลานแฝงเข้ามาได้อย่างแนบเนียน  มันอาจมีเว่อร์บ้าง  แต่อยู่ในระดับที่พอรับได้ของเนื้อเรื่องที่ปูมาตั้งแต่แรก 

    กระนั้นทุกอย่างก็พังทลายเมื่อเข้าสู่เนื้อเรื่องของน้องแมว !

    ตอนที่ 11 เป็นต้นมา  เนื้อหาทรุดลงราวกับไม่ใช่คนกำกับคนเดียวกันเสียอย่างนั้น  ประเด็นหลายอย่างเคลียร์กันง่ายมาก  ทั้งเรื่องอาการป่วยของคานะ  หรือประเด็นดราม่าของยัยทวินเทลที่สร้างมาราวกับเธอเป็นบอสใหญ่ที่คอยเป็นมารผจญสาว ๆ คนอื่น  (ทำได้หลอนมาก เช่นตอนคะยั้นคะยอพระเอกให้กินช็อคโกแล็ต  เป็นต้น)  แต่กลับเข้าวินในตอนท้ายซะงั้น  คือเรื่องที่ผ่านมาผมไม่รู้สึกว่าพระเอกมันชอบนางเอกเลย  แถมบรรยากาศก็ไม่ให้ด้วย  ปมดราม่าเองก็สื่อได้ไม่ค่อยดีจนผมไม่ค่อยรู้สึกมีอารมณ์ร่วม  แถมยังยัดดราม่าของมี่จังที่เหลือมาใส่อย่างไร้ที่มาที่ไป  คนดูมันคงจะอินล่ะนะ  เนื้อหาของอิซาระก็โดนหั่นกระจุย และการตัดสินใจที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงนอกจากว่ามันดูเท่ 

    สรุปแล้วผมเสียดายเรื่องนี้มาก  ทั้งที่ผมเรียนรู้ที่จะชื่นชอบเรื่องนี้มาได้แล้วทั้งที แต่ตอนช่วงโค้งสุดท้ายกลับพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี  น่าเสียดายเหลือเกิน

    ปล. นาน ๆ ทีผมจะไม่อวยคาแร็คเตอร์เพื่อนสาววัยเด็กนะเออ  จิซาโตะเอ๋ย  เธอช่างเก่งมากจริง ๆ ที่ทำให้กลายเป็นกองแช่งได้น่ะ (ฮา)






    น้องแมวผู้น่าสงสาร  ได้แต่ทำท่าแมวหงอยแทบจะทั้งเรื่อง


     
    7. Campione!





    เชื่อมะว่าพวกเขาแค่จูบกัน



     
    ถามจริงว่าใครที่ไม่เคยอ่านไลท์โนเวลเรื่องนี้แล้วดูรู้เรื่องบ้าง ?

    Campione! เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สร้างมาจากไลท์โนเวล  แต่กระนั้นคุณภาพของเรื่องเรียกได้ว่าด้อยกว่าแทบทุกเรื่องในซีซั่นนี้ก็ว่าได้  ภาพก็ไม่ค่อยสวย  การเคลื่อนไหวก็ซ้ำ ๆ  แถมตัดเนื้อหาจนแทบดูไม่รู้เรื่อง  ตัวละครแบนแต๊ดแต๋จนแทบไม่น่าอวยสักคน  ไร้การพัฒนาและความลุ่มลึกที่ตัวละครในอนิเมดี ๆ ควรจะมี  ถ้าพูดตามภาษาท่านแคมมี่  ก็คงกล่าวได้ว่า "ฮาเร็มมันไม่ซาบซ่าน"  นอกจากนี้พระเอกพล่ามฮาเฮวอะไรก็ไม่รู้  อยากเอาไปพล่ามแข่งกับโทวมะ ณ อินเด็กซ์จริง ๆ

    กระนั้นเรื่องนี้กลับมีจุดแข็งอยู่สามประการที่ทำให้ผมยังตามเรื่องนี้จนจบ (กะว่าจะดูตอนจบคืนนี้)  เรื่องแรกคือเพลงประกอบฉาก  แต่งได้เข้ากับฉากมาก  โดยเฉพาะเพลงตอนสู้กันทำได้อลังการงานสร้างมาก  ฟังแล้วรู้สึกว่าฉากต่อสู้มันยิ่งใหญ่มากกว่าที่มันควรจะเป็น  ข้อที่สองคือฉากต่อสู้  ซึ่งฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษคือตอนที่พระเอกสู้กับอาเธน่า  เวลาพระเอกใช้ดาบสีทองสร้างโลกแห่งดาบขึ้นมามันโคตรเท่เลย  และสิ่งสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของเรื่องนี้คือฉากจูบ... ถึงแม้คุณภาพโดยรวมของงานภาพจะต่ำเรี่ยดิน  แต่พอถึงฉากจูบกลับทำได้อย่างดูดดื่ม  จู่ ๆ คุณภาพของอนิเมชั่นดีขึ้นสามเท่าตัว  รายละเอียดของการขบกัด  การแลกลิ้น  เส้นน้ำลายจาง ๆ ทำได้โคตรละเอียด  

    เรื่องนี้ผมไม่อวยตัวละครในฮาเร็มพระเอกสักคน  แต่ดันมาถูกใจอาเธน่าซึ่งเป็นบอสกลางของเรื่อง  ทั้งวิธีการพูดออกโบราณนิด ๆ   (โดยเฉพาะเสียง โอ้ นี่ใจแทบละลาย) คาแร็คเตอร์ดีไซน์ออกแนวโลลิโดนใจ  รวมไปถึงบทบาทที่ชอบโผล่มาแย่งซีนทำให้อาเธน่าขโมยหัวใจของผมไปอย่างง่ายดาย

    สรุปคือเรื่องนี้เป็นอนิเมสร้างมาโปรโมทนิยายอีกเรื่อง  คุณภาพไม่ค่อยดี  แต่ฉลาดตรงที่เลือกที่จะโฟกัสจุดขายได้อย่างสม่ำเสมอ  ส่วนนิยายก็คงสนุกบ้างล่ะนะ


     

     

    อาเธน่าน่ารักจะตาย  ช่างหัวยัยอิตาเลี่ยนเถอะ


     
    8. Hyouka




     
    อ่านคอมเม้นท์ของหลาย ๆ คนในกระทู้นี้แล้วไม่ค่อยปลื้มเฮียวกะเสียเป็นส่วนใหญ่  แต่สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ถือเป็น 1 ใน 3 เรื่องที่ผมชอบที่สุดประจำซีซั่นนี้ก็ว่าได้  สูสีกับเรื่องจินรุยเลยทีเดียว

    สำหรับเรื่องเฮียวกะสมัยก่อนผมก็ชอบกระแนะกระแหนว่าเป็นผลงานทำเอาโล่ของเกียวอานินั่นล่ะ แต่พอดูไปดูมาดันติดซะงั้น คือเรื่องภาพนี่เจ๋งจริงคงไม่ต้องพูดมากกว่านี้ แต่ที่เจ๋งไปอีกขั้นคือเรื่องรายละเอียดนั่นล่ะ

    มันเป็นคำถามเดียวกันว่าทำไมนางาโต้ ยูกิ ทั้งที่แทบจะไม่ขยับตัวหรือพูดเลยกลับทำขีดมาตรวัดความโมเอะระเบิดได้ คือถึงยูกิจะไม่ค่อยขยับก็จริง แต่ในอนิเมจะค่อนข้างใส่ใจรายละเอียดมาก จนแม้แต่การขยับเล็กน้อยมันก็มีความหมายสำหรับคนดู การเคลื่อนไหวทุกอย่างทำให้เรารู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละคร ซึ่งเรื่องเฮียวกะเองก็มีเสน่ห์ในจุดนี้ซึ่งเป็นการตกผลึกจากประสบการในเรื่องก่อน ๆ ที่เคยทำผลงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพมานักต่อนัก

    นอกจากนี้เกียวอานิยังค่อนข้างเก็บรายละเอียดแทบครบ  แม้แต่แสตมป์ที่เห็นในเรื่อง  ถ้าผมอ่านมาไม่ผิด  เกียวอานิถึงขนาดวาดแสตมป์ของมาเลเซียที่ใช้ในยุคนั้นแบบถูกต้องเป๊ะ ๆ อีกด้วย  ถือว่าเก็บรายละเอียดได้ละเอียดยิบเลย  ไม่คิดจะทำผลงานเอาโล่ทำไม่ได้หรอกกนะเนี่ย

    ปริศนานั้นอาจไม่หวือหวาหรือน่าตื่นเต้นเร้าใจเหมือนกับหลายเรื่อง  แต่สิ่งที่ผมชอบคือการนำเสนอที่ทำให้เข้าใจง่าย  ใช้ภาพที่ออกแนว abstract อธิบายขั้นตอนการใช้เหตุผลทีละขั้นตอนอย่างชัดเจน  และยังเปิดโอกาสให้ตัวละครทุกตัวมีส่วนร่วมในการไขปริศนา  ไม่ใช่หวังพึ่งแต่ตัวนักสืบเอกคนเดียวเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ (ไอ แค่ก ๆ โคนัน เป็นต้น)

    ใครที่หวังว่าจะได้ดูปริศนาซ่อนเงื่อนจากเรื่องนี้อาจจะผิดหวัง (แต่การนำเสนอปริศนาทำได้ดีนะ สามารถไขได้ก่อนที่พระเอกจะเฉลยด้วยซ้ำ) แต่ปมแท้จริงแล้วของเรื่องนี้คือแนว Coming of Age และการพัฒนาของตัวละครที่เติบโตไป ซึ่งปริศนาหรือคดีอะไรที่ต้องเผชิญทั้งหลายแหล่มีความหมายเชื่อมโยงกับโครงเรื่องหลักได้อย่างแยบยล  และยังเป็นเหมือนจุดที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงพระเอกจากคนน่าเบื่อให้เปิดตัวออกมาสู่สังคมภายนอก มีทั้งสำเร็จ มีทั้งถูกหลอกใช้ มีทั้งเจ็บปวด รวดร้าว แต่สุดท้ายนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบตัวของตัวละคร ทุกตัวมีปมหมด แม้แต่เพื่อนพระเอกที่ดูร่าเริง แต่จริง ๆ แล้วมีปมในเรื่องที่ไม่อาจหนีออกจากเงาของความสำเร็จของพระเอกได้ หรือแม้แต่ตัวนางเอกที่ดู Air Head แต่จริง ๆ แล้วก็มีความลึกซึ้งในความเป็นคนมากกว่าโมเอะแฟ็คเตอร์เดินได้ เธอเป็นคนที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างวิถีชีวิตเก่า ๆ ของญี่ปุ่นที่กำลังจะเลือนหายไป กับคนยุคใหม่ที่เรื่องวิถีเก่านั้นดูจะเลือนลาง กระนั้นเธอก็พยายามจะรักษาวิถีนั้นให้อยู่ให้นานที่สุด

    สิ่งสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือความธรรมดาที่เรื่องนี้เอามาต่อยอดให้มัน (ค่อนข้าง) น่าสนใจได้อย่างชาญฉลาด ไม่ต้องเว่อร์อะไรมากมายนัก ไม่ต้องเจอคดีฆาตกรรมทุกตอนเหมือนโคนันหรือคิดะอิจิ ไม่ต้องเป็นปริศนากู้โลกหรืออะไรเถือกนั้น  เป็นปมปริศนาเล็ก ๆ ที่ถูกออกมาขยายความให้พวกตัวเอกได้แก้ไข  สิ่งเหล่านี้มันก็มีความลุ่มลึกของมันอยู่  ซึ่งถ้าเป็นสตูดิโออื่นผมนึกไม่ออกเลยว่าจะทำได้ออกมาไม่น่าเบื่อเท่าเกียวอานินะ

    สรุปคือผมไม่แปลกใจหรอกที่หลาย ๆ คนจะดร็อปเรื่องนี้ไปหลังจากดูได้สามสี่ตอน แต่ผมเองก็เห็นหลายคนที่กล่าวในตอนจบว่าพวกเขาดีใจเหลือเกินที่ยอมทนกัดฟันดูต่อ เพราะผลตอบแทนหลังจากนั้นคือประสบการณ์ของการดูอนิเมะที่มีคุณค่ามากเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เหมือนกับได้เจริญเติบโตไปพร้อม ๆ กับตัวละครในเรื่อง ได้สัมผัสรสชาติของวัยรุ่นที่หลายคนอาจจะลืมเลือนไปแล้ว (โดยเฉพาะช่วงงานโรงเรียนที่เรียกได้ว่าเจ๋งที่สุดเลยก็ว่าได้ มันทำได้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคยเห็นในเรื่องไหน)

    สรุปคือเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมาก และเกือบจะสิ้นศรัทธาในเกียวอานิที่เอาดีแต่ด้าน Slice of Life ขายโมเอะไปวัน ๆ แต่หลังจากเฝ้าดูไปสักพักผมก็บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าผมชอบเรื่องนี้ และรู้สึกดีที่ยอมดูต่อจนจบ

    มันก็ประมาณนั้นล่ะครับ แต่มันก็ไม่แปลกอะไรที่คนจะไม่ชอบอนิเมเหมือนคนอื่น ๆ หรอกนะ


     




    จี้จังก็น่ารัก  รุ่นพี่จูมอนจิก็แว่นสุดยอด  แต่ที่เฉิดฉายที่สุดก็คงเป็นรุ่นพี่อิริสุล่ะมั้ง  ทั้งฉลาด ทั้งนางพญา  เจ้าเล่ห์  คุมเกมได้อย่างอยู่หมัด  ขนาดโฮทาโร่ยังโดนเธอปั่นหัวแน่ะ




     
    9. Jinrui wa Suitai Shimashi.ta 




    เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสามเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดประจำซีซั่นนี้

    ภาพโปรโมชั่นและเนื้อเรื่องย่อ ๆ ในตอนแรกไม่ทำให้ผมสนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ดูจากภาพและเนื้อเรื่องแล้วเดาว่าคงเป็นเรื่องออกแนวเล่านิทานเกี่ยวกับความสัมพันธ์น่ารักระหว่างนางเอกกับคุณภูติแสนน่ารักที่คอยทั้งมาช่วยมนุษยชาติที่กำลังลำบาก และอาจมาสร้างความปั่นป่วนให้นางเอกต้องคอยมาแก้ปัญหาที่เกิดจากคุณภูติแสนซน เนื้อเรื่องน่าจะออกโทนสบาย ๆ แนว Healing ดูแล้วรู้สึกดีโลกสวย ประมาณนั้น

    อ่า... ที่พูดมาในช่วงแรกมันก็ไม่ผิดอะไรนักหรอก แต่เจ้า "เนื้อเรื่องน่าจะออกโทนสบาย ๆ แนว Healing ดูแล้วรู้สึกดีโลกสวย" อะไรนั่นโยนทิ้งถังขยะแล้วเอาไปเผาทิ้งไม่ต้องรีไซเคิลได้เลย

    ใช่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกเกินคาด

    คอมเม้นท์หนึ่งของฝรั่งในเว็ปต่างประเทศกล่าวว่า "ตอนที่ดูครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรกับเรื่องนี้ แต่พอดูจบก็ไม่รู้ว่าตูเพิ่งดูอะไรมา" ค่อนข้างสรุปความรู้สึกของผมหลังดูเรื่องนี้จบได้เป็นอย่างดีเลย กรุณาอย่าให้เนื้อเรื่องและภาพหลอกคุณได้ !

    จินรุยเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก... ฉลาดจนรู้สึกตัวผมนั้นโง่ไปเลย

    เวลาดูหนแรกคุณอาจจะขมวดคิ้วแล้วกลุ้มใจไปกับความแหวกแนวหรือ WTF ที่ไล่เดมซี่โรลใส่คนดูแทบทุกตอน แต่ถึงแม้ดูแค่คร่าว ๆ ก็ต้องรู้สึกตะหงิด ๆ ได้ว่าเจ้าความที่ดูเหมือนไร้สาระและหาคำอธิบายไม่ได้ที่เพิ่งผ่านตาไปนั้นมันต้องมีความหมายหรือข้อความอะไรแฝงอยู่แน่นอน ว่าแต่ว่า... แล้วความหมายที่เรื่องต้องการจะสื่อคืออะไรล่ะ ?

    ตัวอย่างสิ่งที่นางเอกต้องเจอในเรื่องก็เช่น โดนกองทัพไก่นายทุนไร้หัววิ่งไล่  ติดอยู่ในลูปย้อนเวลา  ติดอยู่ในโลกการ์ตูน  กลายเป็นราชินี  บางครั้งก็กลายเป็นพระเจ้า  เป็นเรื่องที่จินตนาการได้บรรเจิดเกินบรรยายมาก  จนบางทีอาจจะไม่รสชาติที่หลาย ๆ คนชื่นชอบนัก

    การตีความสิ่งที่เรื่องจินรุยต้องการจะสื่อออกมาในแต่ละตอนถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ มันทำให้เราต้องกลับมาคิดถึงว่ามุกในเรื่องต้องการจะสื่อหรือจิกกัดเรื่องไหน ? ต้องตีความกี่ขั้น ? กี่แนว ? ซึ่งมุกในเรื่องนี้ไม่ใช่มุกเฉพาะทางแนวพาโรดี้ที่ต้องมีความรู้ของอนิเมเรื่องอื่นอย่างเช่นเรื่องเนียรุโกะหรือ Lucky Star ชอบเล่น หากแต่เป็นมุกจิกกัดและแดกดันเรื่องในสังคมที่จินรุยพยายามจะสะท้อนออกมาในโลกที่มนุษยชาติกำลังเสื่อมถอย ซึ่งการตีความเหล่านี้ทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างพิเศษ

    ผมลองเที่ยวไปอ่านความเห็นตามบล็อคต่าง ๆ ก็ต้องแปลกใจว่าแต่ละคนนั้นมีวิธีการตีความแต่ละตอนของเรื่องนี้ค่อนข้างต่างกันเหมือนกัน บางคนมองแค่มุกตลกผิวเผินที่สื่อมาอย่างโต้ง ๆ บางคนเจาะลึกไปถึงการตีความหมายเชิงสัญลักษณ์และมุกตลกจิกกัดต่าง ๆ ที่เรื่องนี้พยายามจะเสนอ (บางคนวิเคราะห์ซะซับซ้อนโยงไปถึงเรื่องการสลับขั้วระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบทจนบางทีผมอดคิดไม่ได้ว่าคนเขียนมันนึกไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ ?) แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่เราต้องกลับมาคิดกับเรื่องนี้โดดเด่นไปจากเรื่องอื่น ๆ ในซีซั่นนี้หลายช่วงตัวเลย

    นอกจากนี้คาแร็คเตอร์ของนางเอกก็โดดเด่น ลำดับการดำเนินเรื่องค่อนข้างชัดเจน ดูง่าย  ภาพทำออกมาในโทนภาพนิทาน แต่ก็ทำได้สวยงาม ไม่มีเผาเลย สรุปแล้วโปรดักชั่นการทำค่อนข้างดี

    ถ้าสนใจก็ลองดูสักสองตอนแรกก่อนก็ได้ เรื่องนี้มันไม่ได้เรียงตามลำดับเวลาก่อนหลัง  เพราะฉะนั้นแรก ๆ อาจจะงงหน่อย ถ้าไม่ชอบสองตอนแรกก็อย่าดูต่อเลย เพราะมันออกมาแนวนี้ทั้งนั้นล่ะ






    ใครอยากอ่านเวอร์ชั่นยาวลองเข้าไปอ่านตามลิงค์ได้ ที่นี่ เลยนะครับ



     

    10. Kono Naka ni Hitori, Imouto ga Iru!





    เป็นการ์ตูนที่ผมจำชื่อจริง ๆ ไม่ได้สักที  แต่ปรกติมักเรียกชื่อเล่น ๆ ว่า "หนึ่งในนี้ค้ำคอร์แน่นอน" 

    คือจะว่ายังไงดีล่ะ  ผมยังแปลกใจมากเลยว่าทำไมผมยังทนดูเรื่องนี้จนจบครบทุกตอนได้ล่ะเนี่ย  ทั้งที่ไม่ชอบตัวเนื้อหา  หรือไอเดีย  หรือสาว ๆ ในเรื่องเลย (แอบอวยรุ่นพี่แว่นโลลินิดหน่อย  แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมาย)  แถมเซนเซอร์เยอะอีกต่างหาก  แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรผมกลับคิดว่าช่วงหลัง ๆ มันเริ่มสนุกขึ้นหว่า  สงสัยคงเริ่มด้านชาจากอนิเมแนวนี้จนสามารถทนทานกับมุกซ้ำ ๆ ได้มากขึ้นล่ะมั้ง  แต่พูดตามตรงเลยว่า  ตอนช่วงแรก ๆ ผมรู้สึกหลอนกับเรื่องนี้มากเลยอ่ะ  ช่วงแรกทำน้องสาวออกมาได้ราวกับสตอร์กเกอร์ตามตื้อดาราเสียอย่างนั้น

    ตอนจบจะเรียกว่าทั้งเข้าวินหรือ life goes on ไม่มีใครได้ชัยก็ได้ล่ะมั้ง  คือตอนหลังก็เฉลยว่าใครเป็นน้องสาวที่แท้จริงหลังจากหักมุมไปมาเสียตั้งนาน  แต่ตอนท้ายพระเอกก็ยังไม่ลงเอยกับสาวไหนอยู่ดี  สรุปคือก็คงจบลงตัวสมกับที่ปูเนื้อหามาเสมอต้นเสมอปลาย  แต่ก็ถือว่าเป็นอนิเมแนวฮาเร็มธรรมดาที่ไม่ได้หวือหวาอะไร  เล่นกับประเด็นว่าพระเอกจะเหยียบบอมเผลอเลือกน้องสาวมาเป็นเมียหรือเปล่า

    ปล. ประธานไม่มีบทเลยแฮะ  อุตส่าห์ได้เป็นหนึ่งในสาว ๆ ยืนโชว์หราใน op แท้ ๆ แต่บทไม่มีเลย  มิสเตอร์เอ็กซ์ยังมีบทมากกว่าเลย (คนนี้ผมก็ชอบนะ  จับเข้าฮาเร็มซะเลยสิ !) สงสัยบทของประธานในไลท์โนเวลคงยังไม่ถึงล่ะมั้ง







    รุ่นพี่ที่ผมอวยเล่น ๆ




    11. Tari Tari






    ทาริทาริแม้จะไม่ใช่อะไรที่หวือหวาหรือแหวกแนวกว่าเรื่องอื่นที่เคยทำมา  แต่สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีเลยล่ะ  ถือว่าเป็นหนึ่งในสามเรื่องสุดท้ายที่ผมชอบมากที่สุดประจำซีซั่นนี้

    ทาริทารินั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งความวัยเยาว์  ภายใน 12 ตอนนั้นมีอารมณ์ครบถ้วน  ทั้งความฝัน ความหวัง  มิตรภาพ  ความล้มเหลว  ความขมขื่น  ความสูญเสีย  ความเหงา  ต่างผสมผสานอย่างกลมกล่อมไปพร้อมกับเสียงเพลงที่ขับขานอย่างไม่มีรู้ลืม

    ตัวละครหญิงสามหน่อของเรื่องค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  พอจับมารวมกันทำให้เรื่องน่าสนใจ  แต่ละคนก็มีปมของตน  โดยเฉพาะวาคานะที่ถือเป็นกุญแจหลักของเรื่อง  ในตอนแรกผมนึกว่าโคนัตสึ (สาวผมน้ำตาล) จะเป็นตัวหลักเพราะติดอิมเมจมาจากโอฮานะ  แต่ที่ไหนได้  พอดูจบก็ต้องพบว่าแทบทั้งเรื่องถูกโยงเข้ากับปมของวาคานะ (สาวผมหางม้า) แทบจะทุกอย่าง  จนถือได้ว่าเธอเป็นตัวเอกของเรื่องที่แท้จริง  โดยเฉพาะตอนที่เธอหายอีโมแล้วเสน่ห์ของเธอทะยานทะลุเกจแซงน่าซาวะสุดยอดไปได้อย่างเฉียดฉิวเลย

    กระนั้นใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีข้อเสีย  ผมรู้สึกเสียดายมากที่ตัวละครชายสองหน่อในเรื่องไม่ค่อยได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร  แทบทั้งเรื่องจะโฟกัสไปที่ตัวละครหญิงเป็นส่วนมาก  ส่วนไทจิ  วีน อาจจะได้บทบ้าง  แต่สุดท้ายตัวละครที่ชูโรงจริง ๆ คือสามสาวหลักมากกว่า 

    นอกจากนี้บทของเรื่องก็ค่อนข้างขึ้นลง  บางทีบทก็น่าสนใจ  บางทีก็เลี่ยนซะชวนคันหลัง  บางทีก็ดูยัดเยียด  โดยเฉพาะเหล่าสาว ๆ เวลาอีโมทีไรน่าถีบใช่เล่น (โดยเฉพาะบทช่วงซาวะ  แต่ยังดีที่ไม่ค่อยนานนัก)  แต่กระนั้นความรู้สึกตอนที่ดูจบผมก็รู้สึกเต็มอิ่ม  ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะที่จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นอนิเมดี ๆ อีกเรื่องของซีซั่นนี้  ยิ่งเนื้อเพลงในตอนท้ายที่ทุกคนต่างผสานใจร้องออกมาสะท้อนถึงเนื้อหาของทั้งเรื่องได้อย่างงดงาม

    สุดท้ายแล้วเรื่องนี้อาจจะไม่อาจโดดเด่นท่ามกลางหลายเรื่องที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว  แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าเรื่องนี้ดูแล้วสนุก  และทำได้ดีกว่าโอฮานะเยอะเลย






    ตบท้ายด้วย The best of Tari Tari หน่อย
     



    ในที่สุดก็หมดทุกเรื่องที่ผมดูในซีซั่นนี้แล้วล่ะครับ  ต้องขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาร่วมบ่นกับผมในกระทู้นี้ด้วย  และต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจบกระทู้ได้ภายในวันเดียว  ความจริงผมอยากบ่นเรื่องมานามิจากเรื่องน้องสาวไม่น่ารักเล่ม 11 แต่ก็ขี้เกียจแล้วล่ะนะ  ผมอวยซะอย่าง  คำด่าคำว่าต่อย่าแว่นหนูจืดของพวกนิยมค้ำคอร์ไม่อาจสั่นคลอนความอวยของผมได้หรอก  เป็นบอสใหญ่แล้วทำไม  แจ่มออก  สามารถสยบทุกคนได้อย่างนั้นไม่ธรรมดาเลยนะ 






    ช่วงนี้แฟนอวยหนูจืดจะหัวรุนแรงเป็นพิเศษ  ระวังกันด้วยนะ


    ส่วนซีซั่นหน้าที่ผมสนใจก็เรื่อง Psycho Pass ที่เขียนบทโดยอสูรกายเก็น (แต่ไม่ถูกใจคาแร็คเตอร์ดีไซน์จากคนวาดรีบอร์นเลย), Robotics;Notes สานต่อความยิ่งใหญ่จากประตูหิน, Girl Panzer ผมชอบรถถังกับสาว ๆ อ่ะ, Bousou Shiki ชอบสาว ๆ ในชุดหุ่นยนต์, และอีกหนูผ้าคาดตาจอมเพ้อ  ที่เหมือนกับผสมด้านภาพของแค้นอนาจ และภาพนุ่มนิ่มแบบเคอง  มุกเว่อร์ ๆ แบบนิชิโจว และความเพ้อแบบเรื่องสาวพลิกฝัน วันฟ้าใส 

    ผมขอจบเพียงแค่นี้ล่ะครับ  ใครอยากคอมเม้นท์อะไรเชิญได้ตามสบาย  ไม่ว่าจะชอบเหมือนผม  หรือไม่ชอบ  มีความเห็นต่าง  กระทู้นี้เปิดรับอย่างเสรี  เพราะทุกคนมีรสนิยมในการดูไม่เหมือนกันอยู่แล้ว  (ขอแค่อย่าด่ากราด เช่น คนดูเรื่องนี้มีแต่คนกาก ๆ ก็พอแล้วล่ะ)

    แล้วพบกันวันใหม่นะครับ (ถ้าผมไม่ขี้เกียจเสียก่อน)






    ปิดท้ายด้วยน้ำเต้าหู้เจ้าปัญหาที่ผมทำเมื่อวาน


     


     


     


     



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×