ลำดับตอนที่ #39
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : [SF] Fall, Dont Walk Away - hanhyuk
Title :: Fall, Don’t Walk Away
Character :: Hangeng + Eunhyuk
Author :: “kr
”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ตอนนี้อากาศที่นี่กำลังเย็นสบาย วันเวลากำลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึง
ใบไม้ที่ผลิบานเต็มตัวเริ่มเปลี่ยนสีและรอวันที่จะร่วงโรย
เหมือนกับชีวิตและลมหายใจที่รอวันร่วงโรย....และรอวันที่จะกลับมาผลิบานอีกครั้ง
-------------------------
“ที่นี่คือห้องกายภาพบำบัด มีผู้ป่วยที่คุณต้องดูแลสองคนในปีนี้” ศาสตราจารย์ของศูนย์บำบัดโรคทางระบบประสาทและสมองในอิตาลีชี้แจงรายละเอียดให้แพทย์หนุ่มที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่เป็นวันแรกพร้อมกับยื่นเอกสารประวัติของคนไข้ที่ต้องรับผิดชอบ
“ครับ” หมอหนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่ศาสตราจารย์จะเดินจากไป
ช่วงขายาวของคุณหมอกำลังเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับเปิดอ่านประวัติของคนไข้ที่เขาต้องดูแล การเป็นหมออายุรเวช แผนกประสาทอย่างเขา ต้องพบเจอกับความเศร้าและความเจ็บปวดของผู้ป่วยมากมาย ซึ่งไม่ได้มีความสุขเลยซักนิด เขาแค่อยากจะบรรเทาความเจ็บปวดจากคนเหล่านี้มาบ้าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
“มองทางหน่อยสิฮะ” เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นทำให้คุณหมอต้องเงยหน้าจากแผ่นกระดาษ ชายหนุ่มตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหน้าถือหนังสือกองโตจนเกือบท่วมหัว
“ขอโทษครับ” คุณหมอค้อมหัวเล็กน้อยเพื่อขอโทษก่อนจะหลบทางให้ชายหนุ่ม
“มาใหม่เหรอฮะหน้าไม่คุ้นเลย เป็นคนเอเชียหรือเปล่า” ชายหนุ่มยังคงถามต่อไป คุณหมอหนุ่มมองแล้วพยักหน้า ผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ใช่คนยุโรปเมื่อดูจากรูปร่างและหน้าตาแล้ว
“เป็นคนประเทศไหนฮะ” เสียงใสๆยังคงถามต่อ ทั้งที่แบกหนังสืออยู่จนตัวเอียง
“ผมเป็นคนจีน”
“พูดภาษาเกาหลีเป็นหรือเปล่า”
“หืม?” คำถามของชายหนุ่มทำเอาต้องเลิกคิ้วสูง รู้สึกว่าเมื่อกี้เขาจะบอกว่าเขาเป็นคนจีน
“ผมหนักนะ ช่วยถือหน่อยสิ แล้วเดินไปส่งผมด้วย” ชายหนุ่มยื่นหนังสือมาตรงหน้าของเขา เพราะเป็นหมอความที่อยากช่วยคนมันมีอยู่สูง เขาจึงยื่นมือไปรับกองหนังสือทั้งหมดมาถือไว้เอง
“ขอบคุณฮะ”
“เป็นคนไข้หรอ พักห้องไหนล่ะ” ถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะจริงๆแล้วไม่น่าจะมีคนไข้ที่สามารถเดินได้คล่องขนาดนี้อยู่ เพราะโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทและสมองจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวเองได้ดี
“ผมเหมือนคนป่วยขนาดนั้นเลยเหรอฮะ” ชายหนุ่มหันมาถามตาแป๋ว
“คุณชื่ออะไรล่ะ”
“ฮยอกแจ ลีฮยอกแจ”
“ผมฮันคยองครับ” ฮันคยองพูดภาษาเกาหลีตอบกลับไป ดูฮยอกแจจะตกใจเล็กน้อยที่เขาสามารถพูดภาษาเกาหลีได้ ถึงมันจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ก็ตาม
“เดินไปส่งผมที่ห้องแล้วคุณก็กลับไปทำงานได้แล้วล่ะฮะ” ฮยอกแจยิ้มออกมาแล้วพูดหน้าตาเฉยก่อนจะเดินนำหน้าฮันคยองไป
~ แน่ใจเหรอเนี่ยว่าเพิ่งรู้จักกัน หน้าตาก็น่ารักดีแต่ไม่น่านิสัยแย่แบบนี้เลย ~ ฮันคยองได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนจะเดินตามฮยอกแจไปเงียบๆ
ฮยอกแจเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะสีขาวข้างเตียงผู้ป่วยให้ฮันคยองวางหนังสือลงตรงนั้น
ฮันคยองมองเข้าไปในห้องด้วยความแปลกใจ เพราะในห้องนี้ไม่มีผู้ป่วยนอนอยู่ หรือว่าจะเป็นฮยอกแจ แต่มันไม่น่าจะใช่นี่นา เพราะอาการและท่าทางของฮยอกแจไม่มีอาการของคนที่เป็นโรคแบบนี้เลยซักนิด
ฮยอกแจมองฮันคยองที่กำลังวางหนังสือไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วนั่งลงตรงนั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ” ฮันคยองเดินไปยังประตูที่ยังเปิดอ้าไว้อยู่แล้ว ความสงสัยเกี่ยวกับฮยอกแจก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ แต่บางทีฮยอกแจอาจจะเป็นญาติคนไข้ก็ได้ล่ะมั้ง
“ขอบคุณนะฮะ ที่ช่วยถือมาส่ง” ฮันคยองหันไปตามเสียงก็พบฮยอกแจอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้หันมามองเขาแต่อย่างใด ดูท่าทางฮยอกแจคงจะเอาแต่ใจอยู่เหมือนกัน
ฮันคยองยิ้มกลับไปให้ แต่ฮยอกแจคงจะไม่เห็น ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง
******** Fall, Don’t Walk Away ********
หลังจากเสร็จงานในวันนี้ฮันคยองก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องที่ฮยอกแจให้เขาเดินถือหนังสือไปส่งในวันนั้น ความสงสัยว่าฮยอกแจเป็นผู้ป่วยโรคระบบประสาทจริงๆหรือเปล่านั้นมันทำให้ฮันคยองทนอยู่เฉยๆไม่ได้
“คุณหมอมีอะไรหรอฮะ” เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ฮยอกแจที่กำลังนอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์หันมาถามด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง ฮันคยองยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนที่ฮยอกแจนอนอยู่
“หมอมาหาคุณฮยอกแจนั่นแหละครับ หมอมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับคุณ” ฮันคยองเปิดประเด็นทันที ฮยอกแจละสายตาจากหนังสือหันมามองฮันคยองด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“ถ้าหมอถามคุณจะตอบหมอหรือเปล่าครับเนี่ย” คำถามที่ส่งออกไปนั้นดูขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ฮันคยองคงจะไม่กล้าถามหากไม่ได้รับอนุญาตจากฮยอกแจเพราะไม่เคยมีซักครั้งที่ถามไปแล้วได้คำตอบกลับมา แถมฮยอกแจยังอารมณ์เสียอีกต่างหาก และนี่ก็เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาเฝ้าถามฮยอกแจแบบนี้
“ถ้าผมตอบได้ผมก็จะตอบแล้วกัน” ฮยอกแจตอบทั้งที่ยังอ่านหนังสืออยู่
“คุณเป็นคนไข้ของที่นี่เหรอครับ ทำไมหมอถึงไม่เห็นอาการผิดปกติของคุณเลย”
“ผมขอไม่ตอบแล้วกันนะฮะ” ฮยอกแจเลี่ยงที่จะตอบคำถามแล้วเปิดหนังสืออ่านต่อ
“ขอบคุณครับ” ฮันคยองถอนหายใจออกมาแล้วเดินไปนั่งที่ข้างเตียงของฮยอกแจ ดึงข้อมือของคนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านหนังสือมาจับหาชีพจรดู ทำเอาฮยอกแจมองตาขวางพร้อมกับชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“หมอจะทำอะไรน่ะฮะ”
“วัดชีพจรไงครับว่ายังปกติดีหรือเปล่า” พูดจบมืออีกข้างก็ยกขึ้นทาบกับหน้าผากของฮยอกแจ ทำให้ฮยอกแจเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“หมอ!” ฮยอกแจตวาดเสียงดัง แต่หมอฮันคยองก็ยังคงยิ้มอยู่
“ตวาดเสียงดังขนาดนี้แสดงว่าปกติดีอยู่”
“ผมไม่บอก! ก็คือไม่บอก! หมออย่ามาทำอะไรแบบนี้นะฮะ!” ฮยอกแจยังคงใช้เสียงในระดับเดิม กอดอกนั่งมองฮันคยองอย่างไม่สบอารมณ์
“ที่นี่มันโรงพยาบาล อย่างเสียงดังสิครับ” ฮันคยองบอกยิ้มๆ ยิ่งทำให้ฮยอกแจรู้สึกโมโห
“ถ้าหมอจะมากวนประสาทผมก็ออกไปได้เลยนะฮะ!!~ โอ๊ย!!” ฮยอกแจลุกขึ้นชี้ไปที่ประตู แต่ดันผลัดตกลงมาทับฮันคยองพอดี
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณฮยอกแจ” ฮันคยองค่อยๆพยุงฮยอกแจให้ลุกขึ้น แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของฮยอกแจกำลังซีดจางลงเรื่อยๆ
“ปล่อยฮะหมอ ออกไปได้แล้ว!” ฮยอกแจผลักฮันคยองออกแล้วออกปากไล่พร้อมกับชี้ไปที่ประตู
“แต่ว่าคุณ...”
“ออกไปสิฮะ!! ออกไป!!~” ฮยอกแจตวาดเสียงแข็ง ฮันคยองลุกขึ้นยืนมองฮยอกแจที่นั่งกุมหัวใจตัวเองอยู่ ฮยอกแจกำลังอาการแย่ขนาดนี้ คนเป็นหมออย่างเขาจะทิ้งไว้แบบนี้ได้ยังไง
“คุณ....”
“ออกไปเซ่!!!~” ฮยอกแจตวาดออกมาจนสุดเสียง ฮันคยองจึงยอมเดินออกไปก่อนแต่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูมองผ่านกระจกเข้ามาภายในห้องเป็นระยะแต่ก็ไม่เห็นฮยอกแจเสียแล้ว ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาในห้องอีกครั้ง แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า
“คุณฮยอกแจครับ! คุณฮยอกแจ!” ฮันคยองเดินหาจนรอบห้องแต่ก็ไม่เห็นวี่แววคนที่เพิ่งตวาดเขาเมื่อกี้
“คุณฮยอกแจ!” ฮันคยองเดินไปเปิดประตูห้องน้ำก็เห็นฮยอกแจนั่งชันเขาก้มหน้าอยู่ ร่างกายนั้นสั่นเทาจนน่ากลัว
ฮันคยองรีบเข้าไปอุ้มฮยอกแจมานอนที่เตียงเหมือนเดิม เครื่องตรวจการเต้นหัวใจที่คล้องคออยู่ถูกหยิบขึ้นมาใช้งาน แต่กลับโดนฮยอกแจปัดมันออกอย่างแรง
“ผมบอกให้หมอออกไปไง” ฮยอกแจบอกเสียงอ่อย
“คุณเป็นแบบนี้จะให้หมออยู่เฉยๆได้ยังไงล่ะครับ” ฮันคยองขมวดคิ้วจนเป็นปม มองฮยอกแจด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง
“ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” ฮยอกแจดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าฮันคยองเขม็ง
“ครับๆ” เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังออกมาอีกครั้งจากฮันคยอง
“งั้นหมอก็ออกไปได้แล้วล่ะฮะ ผมจะอ่านหนังสือต่อ” ฮยอกแจพูดพลางหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
ฮันคยองมองฮยอกแจด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะยอมเดินออกมาจากห้อง สายตาของฮันคยองมองลอดผ่านกระจกใสของห้อง เห็นฮยอกแจยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิมจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องทำงานแต่ยังไงเขาก็ยังสงสัยไม่หาย อาการของฮยอกแจเมื่อกี้มันอะไรกัน
******** Fall, Don’t Walk Away ********
“ลงไปกวาดใบไม้กันมั้ย” ตอนนี้ใบของต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างนอกเริ่มร่วงหล่นลงมาตามฤดูกาลของมัน ฮันคยองหันกลับมาถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ฮยอกแจจึงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วขมวดคิ้วใส่
“จะกวาดเองทำไมฮะ ภารโรงของที่นี่ไม่มีเหรอ”
“ทำกายภาพบำบัดไง คุณเป็นคนไข้นี่นา” ฮันคยองเดินมานั่งข้างเตียงฮยอกแจ
“ผมบอกเมื่อไหร่ว่าผมป่วย” ฮยอกแจหลบสายตาของฮันคยองด้วยการก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
“ถ้าไม่ป่วยแล้วคุณจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นี่ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนที่ฮันคยองเห็นฮยอกแจตั้งแต่ที่เข้ามาทำงานที่นี่ แล้วก็เป็นประจำทุกวัน ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะมาขลุกอยู่กับฮยอกแจ จนสนิทกันไปโดยปริยาย แต่เขาก็ยังไม่รู้ซักทีว่าตกลงฮยอกแจเป็นคนป่วยจริงๆหรือเปล่า
ฮยอกแจไม่ได้ตอบคำถามเพียงยักไหล่แล้วก็สนใจหนังสือที่ตัวเองอ่านต่อไป ฮันคยองเลยเอื้อมมือไปจับข้อมือของฮยอกแจแต่กลับโดนสะบัดออกแถมยังโดนมองตาขวางใส่อีกด้วย
“งั้นก็ไปกับผมสิ” ฮันคยองไม่ได้พยายามที่จะขัดใจฮยอกแจต่อ เพียงแค่อื่นข้อเสนอไปให้ แล้วมันก็มักจะได้ผลทุกครั้ง
“แค่ไปใช่มั้ยฮะ” ฮยอกแจวางหนังสือลงที่โต๊ะข้างเตียง ฮันคยองพยักหน้าแล้วยิ้มก่อนจะเดินนำออกไป ฮยอกแจแลบลิ้นใส่คุณหมอแล้วจึงเดินตามออกไปด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
ฮันคยองยื่นไม้กวาดให้กับฮยอกแจ ส่วนตัวเองก็เดินไปอีกฝั่งของต้นไม้ที่ตอนนี้ใบมันร่วงลงมากองอยู่ที่พื้นเกือบจะหมดต้น
“ผมต้องกวาดมันจริงๆเหรอฮะ” ฮยอกแจถามแล้วเบ้ปาก
“ถือไม้กวาดไม่ไหวเหรอครับ” ฮันคยองถามกลับแล้วจึงเริ่มกวาดในส่วนของตัวเอง
“ผมไม่ใช่คนสวนซักหน่อย ถ้าผมกวาดแล้วจะมีอะไรตอบแทนให้ผมล่ะฮะ” ฮยอกแจยังคงยืนนิ่งกอดไม้กวาดอยู่อย่างนั้น
“อยากได้อะไรล่ะครับ”
“ผมเบื่อฮะ ช่วยพาผมออกไปจากห้องนั้นที” ฮยอกแจพึมพำเบาๆ
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน”
“ไม่มีอะไรฮะ หมอกวาดของหมอไปเถอะ” ฮยอกแจบอกปัดไป แล้วจึงกวาดในส่วนของตัวเองบ้าง
ผ่านไปยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง ฮยอกแจทิ้งไม้กวาดกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดัง เรียกความสนใจจากฮันคยองได้มากทีเดียว
“เป็นอะไรครับ” ฮันคยองหยุดกวาดแล้วเดินเข้าไปถามฮยอกแจที่นั่งลงกับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ผมเบื่อฮะหมอ พาผมออกไปข้างนอกบ้างสิ”
“ออกไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต เขาห้ามคนไข้ออกไป”
“แต่ผมเบื่อหนิ” ฮยอกแจเริ่มออกอาการงอแง
“ตกลงยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าป่วย” ฮันคยองชี้หน้าฮยอกแจอย่างจับผิด
“ผมยังไม่ได้พูดซักหน่อย....กลับห้องดีกว่า” ว่าแล้วฮยอกแจก็ลุกขึ้นยืน แต่ขาที่กำลังจะก้าวเดินกลับหยุดชะงัดเอาเสียดื้อๆ
“พี่ชาย!” พูดจบฮยอกแจก็วิ่งตามผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าไปในอาคารทันที
“เดี๋ยวสิ! คุณฮยอกแจ!” ฮันคยองตะโกนเรียกแต่ดูท่าอีกคนจะไม่ได้สนใจเขาเลยซักนิด จึงวิ่งตามฮยอกแจเข้าไปในอาคาร แต่เมื่อมาถึงกลับไม่เห็นใครเลยซักคน
“หายไปไหนเร็วชะมัด” ฮันคยองบ่นออกมา ก่อนจะเดินดูตามมุมตึกหรือซอกตึกแต่ก็ไม่พบ
“เฮ้อ~ ไปไหนของเขาล่ะเนี่ย” ฮันคยองถอนหายใจยาวพรืด เมื่อหาไม่เจอจึงตัดสินใจกลับห้องทำงานของตัวเอง
******** Fall, Don’t Walk Away ********
“ตอนนี้อาการเขายังทรงตัวอยู่ แต่เราก็ไม่ทราบว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่” ศาสตราจารย์ของศูนย์บำบัดโรคทางระบบประสาทของอิตาลีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก
“แค่เขายังไม่ไปไหน ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับยิ้มๆ หนึ่งเดือนแล้วสินะที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของนาย
ภาพตรงหน้าคือผู้ชายตัวเล็กผิดขาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ ดูเผินๆอาจจะเหมือนว่าเขานอนหลับ หากไม่ติดที่ว่ามีสายห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด มีเพียงเสียงของเครื่องวัดระดับการเต้นของหัวใจเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่
“พื้นขึ้นมาเร็วๆนะฮยอกแจ ช่วงนี้พี่เรียนหนัก อีกไม่นานพี่ก็จะเรียนจบแล้ว พี่จะมาเยี่ยมนายบ่อยๆนะ” เสียงที่อบอุ่นของพี่ชายถูกส่งไปยังร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง
“พี่ฮะ” ฮยอกแจเอื้อมไปสัมผัสร่างของพี่ชายแต่มันกลับผ่านทะลุไป ในหน่วยตาเริ่มมีน้ำตาคลอออกมา ฮยอกแจยกมือของตัวเองขึ้นมาดูแล้วน้ำตาที่คลออยู่ก็หยดลงมาบนฝ่ามือที่ซีดขาว
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มโค้งให้ศาสตราจารย์ เขาเดินผ่านทะลุร่างกายฮยอกแจไปแล้วตรงไปยังทางออกทันที
“พี่ฮะ” ฮยอกแจเรียกเสียงอ่อย ทำไมพี่ถึงไม่เห็นเขาล่ะ
******** Fall, Don’t Walk Away ********
“ฮยอกแจ คุณอยู่ในห้องหรือเปล่าครับ” ฮันคยองเดินเข้ามาในห้องของฮยอกแจและเดินหาคนที่ต้องการพบจนทั่วห้องแต่กลับไม่เจอแม้แต่เงา
“หายไปสองวันแล้วนะ” ฮันคยองบ่นพึมพำอยู่กับตัวเอง ตั้งแต่ที่ฮยอกแจวิ่งตามผู้ชายคนนั้นไปเขาก็ไม่ได้เห็นฮยอกแจอีกเลย
ในเมื่อไม่เจอคนที่ต้องกางฮันคยองเลยเดินออกจากห้องมาและพบกับศาสตราจารย์ที่ทางเดิน
“คุณฮันคยอง” ศาสตราจารย์ยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับศาสตราจารย์” ฮันคยองค้อมหัวทักทายอย่างสุภาพ
“คนไข้ของคุณเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้อาการยังคงที่ครับ ทุกอย่างปกติดี”
“พยายามเข้าล่ะ หมอคือกำลังใจของคนไข้นะครับ” ศาสตราจารย์ยิ้มให้ก่อนจะเดินผ่านฮันคยองไป
“เดี๋ยวครับศาสตราจารย์!” ฮันคยองหันไปเรียกก่อนที่ศาสตราจารย์จะได้เดินจากไป
“ผมขอถามอะไรซักอย่างนะครับ” ฮันคยองเดินเข้าไปหาศาสตราจารย์เพื่อขออนุญาตถาม เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าฮันคยองจึงเริ่มถามคำถาม
“ที่นี่มีคนไข้ที่ชื่อลีฮยอกแจหรือเปล่าครับ”
“ลีฮยอกแจ”
“ครับ เขาเป็นคนไข้ที่นี่หรือเปล่าครับ” ฮันคยองถามซ้ำอีกรอบเมื่อศาสตราจารย์ทำหน้าเหมือนกำลังนึกอยู่
“คุณรู้จักเขาได้ยังไง”
“ผมเจอเขาเมื่อเดือนก่อนน่ะครับ แต่สองวันที่ผ่านมาเขาหายไปไหนก็ไม่ทราบ ผมอยากทราบว่าเขาเป็นคนไข้ที่นี่หรือเปล่า เพราะผมไม่เห็นอาการผิดปกติของเขาเลย” ฮันคยองแจงรายละเอียดให้ศาสตราจารย์ฟังแต่ดูสีหน้าของศาสตราจารย์จะไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังพูด
“คุณจะเจอเขาได้ยังไงก็ในเมื่อ....” ศาสตราจารย์พูดอะไรไม่ออก เขาอึ้งที่ฮันคยองบอกออกมาแบบนี้
“ทำไมเหรอครับ ผมเจอเขาจริงๆนะครับ” ฮันคยองยืนยันหนักแน่น
“คุณไปเจอเขาที่ไหน”
“ผมเจอเขาครั้งแรกแถวห้องกายภาพบำบัด และผมก็เจอกับเขาประจำที่ห้องพักคนไข้” ฮันคยองอธิบายแต่ศาสตราจารย์กลับทำหน้าไม่เชื่อเขา
“คุณอย่ามาล้อผมเล่นดีกว่า คุณจะเจอเขาได้ยังไงกัน”
“แต่ผมเจอเขาจริงๆนะครับ”
“งั้นคุณตามผมมา”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
“นี่มัน....” ฮันคยองแทบทรุดเมื่อเห็นคนที่นอนอยู่ด้านหน้าเขา
“เห็นแล้วใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่คุณจะได้เจอกับคุณฮยอกแจ นอกซะจากคุณเห็นเขานอนอยู่ที่นี่ เขาเป็นผู้ป่วยโรค Multiple Sclerosisอาการเขาทรุดหนักเมื่อเดือนก่อน แล้วเขาก็หลับไป”
“มะ...ไม่จริงใช่มั้ยครับ แล้ว....” ฮันคยองละล่ำละลักพูดออกมา แล้วฮยอกแจที่เขาเห็นล่ะ
“นี่คือเรื่องจริง เขาพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ และเขาก็คงไปพบคุณไม่ได้หรอกครับ” ศาสตราจารย์ย้ำเสียงหนักแน่น ฮันคยองรู้สึกว่าตัวเองแทบจะยืนไม่ไหวเซไปพิงกับผนังห้อง จนศาสตราจารย์ต้องเข้ามาพยุงไว้
หนึ่งเดือนที่เขามาที่นี่...หนึ่งเดือนที่เขารู้จัก...หนึ่งเดือนที่คุ้นเคย....หนึ่งเดือนที่เกิดความสัมพันธ์....แล้วที่ผ่านมันคืออะไรกัน....
“มะ...ไม่จริง...” ฮันคยองวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ขาของเขามันสั่งให้วิ่ง วิ่งไปยังที่ๆเขาได้เจอกับฮยอกแจเป็นประจำ
ปัง!
“คุณฮยอกแจ!!! คุณลีฮยอกแจ!!!~ ลีฮยอกแจ!!!~” ฮันคยองตะโกนลั่นห้องเหมือนคนเสียสติ ทรุดลงไปนั่งกับพื้นทึ้งผมตัวเองไปมา แล้วภาพที่เขาเห็นมันคืออะไรกันแน่
“คุณอยู่ไหนนน!!!~ คุณอยู่ในนี่ใช่มั้ย!!~ ออกมาสิครับ!! ออกมาาาา!!!” ฮันคยองตะโกนก้องอยู่ในความว่างเปล่า จะให้เชื่อได้ยังไงว่าฮยอกแจที่เขารู้จักเป็นแค่.....นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“ฮยอกแจจจจ!!!~”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วกับการหายไปของลีฮยอกแจเด็กหนุ่มที่เอาแต่ใจที่ฮันคยองมักจะไปคลุกคลีอยู่ที่ห้องด้วยเสมอ เหลือแค่เพียงลีฮยอกแจที่นอนรอวันตายอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาล
ทุกๆวันฮันคยองยังจะไปนั่งรอฮยอกแจอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยห้องเดิม เผื่อว่าซักพักเขาจะได้พบกับเด็กเอาแต่ใจคนนั้นอีก แต่มันก็เท่านั้น เพราะฮยอกแจไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาซักนิด
“คุณฮยอกแจ ตื่นสิครับ คุณไม่ได้ป่วยไม่ใช่เหรอ นอนนานๆแบบนี้ไม่ดีนะครับ” ฮันคยองปัดผมหน้าม้าที่เริ่มยาวของฮยอกแจออกเบาๆ เฝ้าพร่ำบอกกับร่างที่นอนนิ่งแบบนี้ทุกวันไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกขาดอะไรไปซักอย่าง ตั้งแต่ที่เห็นฮยอกแจเป็นแบบนี้
“วันนี้ผมตรวจคนไข้เสร็จจะไปรอที่ห้องนะครับ” ฮันคยองยิ้มออกมา ยิ้มที่มองดูแล้วอบอุ่นไปให้ฮยอกแจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป พบกับศาสตราจารย์ที่กำลังเดินมาพอดี
“มาเยี่ยมทุกวันเลยนะครับคุณฮันคยอง”
“ครับ....ผมขอตัวก่อนนะครับ” ฮันคยองยิ้มรับแล้วเดินเลี่ยงออกไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนไกล เสียงโวยวายของพยาบาลจากห้องที่เพิ่งจากมาก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ฮันคยองต้องรีบหันกลับไปดู
“ศาสตราจารย์คะ!!คนไข้ขยับตัวคะ!! คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ!” พยาบาลสาววิ่งออกมาบอกศาสตราจารย์ แล้วทั้งสองก็รีบเข้าไปภายในห้องทันที ฮันคยองที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งตามเข้าไป
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ฮยอกแจถูกย้ายออกมาอยู่ที่ห้องพักคนไข้หลังจากพักฟื้นอยู่ในห้องไอซียูสองวันเมื่อตื่นขึ้นมา ใบหน้าหวานดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากที่เคยแห้งฝาดกลับแดงดังสีกุหลาบอาการหลังการนอนหลับกว่าหนึ่งเดือนของฮยอกแจนั้นดีขึ้นมากจนน่าแปลกใจ
“ว่าไงครับเด็กเอาแต่ใจ” หลังจากที่ฮันคยองตรวจคนไข้เสร็จก็รีบมาหาฮยอกแจคนไข้ในการดูแลอีกคนที่เขาเป็นคนขอจากศาสตราจารย์เอง
ฮยอกแจหันไปมองฮันคยองด้วยสายตาเรียบเฉย เขาไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร อาจจะเป็นหมอที่ย้ายมาใหม่หรือใครก็ตามที แต่กลับมาทำตัวสนิทสนมตั้งแต่เขาฟื้น แล้วพี่ชายล่ะหายไปไหน
“นี่จำหมอไม่ได้จริงๆเหรอ” ฮันคยองถามด้วยความน้อยใจอีกครั้ง เฝ้าถามตลอดตั้งแต่ฮยอกแจฟื้นแต่คำถามที่ได้ก็คือการส่ายหน้าตลอด ต่อไปนี้เขาคงต้องเป็นฝ่ายพูดคนเดียวแล้วล่ะสิ ต่อไปนี้คงไม่มีเสียงเล็กๆของฮยอกแจคอยขัดเขาอีกแล้ว
ฮยอกแจส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ฮันคยองถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มตรวจร่างกายของฮยอกแจหลังจากตรวจร่างกายเสร็จฮันคยองก็ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงของฮยอกแจ แต่คนป่วยก็ทำอะไรไม่ได้ต่อให้อยากจะไล่ให้ออกไปก็ตาม ริมฝีปากบางพยายามเอ่ยคำพูดออกมาแต่มันกลับฟังไม่รู้เรื่อง
“จำได้มั้ย คุณเคยถามผมว่าผมเป็นคนประเทศอะไร ผมตอบว่าเป็นคนจีน แต่คุณกลับถามผมต่อว่าผมพูดภาษาเกาหลีเป็นหรือเปล่า” ฮันคยองนึกถึงวันแรกที่เจอกับฮยอกแจ แล้วก็พร่ำเพ้อให้คนที่ทำได้แค่นอนนิ่งๆฟัง แต่พอนึกถึงกลับรู้สึกขนลุกขึ้นมา ก็ฮยอกแจวันนั้นไม่ใช่ฮยอกแจในวันนี้นี่นา
แต่คำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้ากับสีหน้างงๆของฮยอกแจ
“แถมคุณยังให้ผมช่วยถือ....อืม...จะว่าช่วยก็ไม่ได้สินะครับ เรียกว่าบังคับให้ผมถือหนังสือมาส่งที่ห้องนี้จะดีกว่า” ฮันคยองพูดกลั้วหัวเราะ
ฮยอกแจได้แต่ขมวดคิ้ว พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอฮันคยองตอนไหน หรือว่าเขาจะความจำเสื่อมกัน
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิครับ” ฮันคยองจิ้มนิ้วไประหว่างคิ้วของฮยอกแจ ทำให้ปมที่หัวคิ้วคลายออกทันที
“คุณชอบชักมือกลับเวลาผมจับข้อมือ” ฮันคยองเอื้อมมือไปจับข้อมือฮยอกแจไว้แล้วยิ้ม
ฮยอกแจเริ่มคิดหนักมากขึ้น จากการกระทำที่ฮันคยองเล่ามา ตอนนั้นเขาคงยังไม่ป่วยหนักขนาดนี้ แล้วเขาไปรู้จักกับฮันคยองตอนไหนกันแน่นะ
“วันหนึ่งผมบังคับให้คุณไปกวาดใบไม้ที่ร่วงด้วยกัน แล้วคุณก็วิ่งหนีผมไป” ฮันคยองยกมือฮยอกแจขึ้นมาแนบกับใบหน้าของตัวเอง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของฮยอแจ
“คุณฮยอกแจเป็นอะไรไปครับ เจ็บตรงไหน ผมจับแรงไปเหรอ” ฮันคยองมองสำรวจไปทั่วร่างกายของฮยอกแจแต่สีหน้าฮยอกแจกลับดูแย่ลงเรื่อยๆจนฮันคยองเองเริ่มใจไม่ดี
“อื้อออ....” เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นในลำคอของฮยอกแจ ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด ภาพที่เขาไม่เคยเห็นมันวิ่งวนอยู่ในหัวจนเขาเริ่มเวียนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาพต่างๆมืดดับลงพร้อมกับฮยอกแจที่หมดสติไป ฮันคยองส่งตัวฮยอกแจเข้าห้องฉุกเฉิน ทั้งที่เพิ่งออกมาได้แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น
“อย่าเป็นอะไรเลยนะคุณฮยอกแจ”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ฮยอกแจถูกส่งตัวกลับมาที่ห้องพักฟื้นอีกครั้งหลังจากที่ตรวจแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติ อีกทั้งร่างกายยังแข็งแรงดีเหมือนเดิม
“ถ้าเค้าฟื้นคุณก็ตรวจร่างกายอีกรอบนะครับ” ศาสตราจารย์พูดทิ้งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องพักคนไข้ไป
ฮันคยองหน้ารับเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ช่วงขายาวก้าวไปยืนที่ข้างเตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้
“เป็นอะไรของเรานะ ตื่นมาจะจำหมอได้หรือเปล่า” ฮันคยองเกลี่ยผมที่ปลกหน้าฮยอกแจออกเบาๆ มืออีกข้างใช้ท้าวคางเพื่อจ้องมองคนที่นอนหลับใหลอยู่
“อย่าเป็นอะไรอีกนะ หมอเป็นห่วง” ฮันคยองเอ่ยออกมายิ้มๆ ดึงมือฮยอกแจมากุมไว้แล้วแนบกับแก้มของตัวเอง
“พักผ่อนมากๆล่ะ แล้วตื่นขึ้นมาเป็นฮยอกแจของหมอคนเดิม”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
แสงของดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่นอกหน้าต่างปะทะกับใบหน้าหวานใสของฮยอกแจที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ความรู้สึกหนักที่มือข้างซ้ายทำให้เปลือกตาบางกระพริบถี่และลืมตาขึ้นฮยอกแจหันซ้ายหันขวาอย่างเชื่องช้าและก็พบกับคุณหมอฮันคยองที่นอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียงพร้อมกับกุมมือของเขาไว้อยู่
สายตาเรียวเล็กเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างก่อนจะมองไปยังเพดานห้อง เหตุการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนวนเวียนเข้ามาในสมองอีกครั้ง ภาพต่างๆที่เขากำลังพูดคุยอยู่กับฮันคยองค่อยๆผุดขึ้นมาทีละนิด แปลกตรงที่เขาไม่รู้สึกปวดหัวเหมือนเมื่อตอนกลางวัน แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับฮันคยองอย่างบอกไม่ถูก
ฮยอกแจดึงมือตัวเองที่ฮันคยองกุมอยู่ออกมาแต่มันกลับไม่ขยับเลยซักนิด คงเพราะมีแรงไม่มากพอ แต่คนที่นอนหลับอยู่กลับรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาเอง
“ตื่นแล้วเหรอครับคุณฮยอกแจ” ฮันคยองถามเสียงงัวเงีย ยกมือขึ้นปิดปากหาวแล้วส่งยิ้มไปให้
ฮยอกแจพยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มกลับมาฮยอกแจค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งโดยมีฮันคยองช่วยพยุง สายตาเรียวเล็กจับจ้องคุณหมอเจ้าของไข้ของตัวเองไม่วางตา อยากจะพูดอะไรตั้งมากมายหลายอย่างแต่ก็พูดออกไปไม่ได้
“ว่าไงครับ” ฮันคยองเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าของฮยอกแจ
ฮยอกแจชี้ที่หน้าอกตัวเองจากนั้นก็ชี้ไปที่ฮันคยองและย้ายมือมาทาบที่หน้าอกก่อนจะยกขึ้นไปจับที่ศีรษะ ถึงมันจะเชื่องช้า แต่ฮันคยองก็มองมันอย่างตั้งใจ
“ระ.....รู.....รู้” ฮยอกแจพูดออกมาอย่างอยากลำบาก นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลย มันเลยทำให้การพูดของเขาแย่ลงกว่าคนอื่นที่เป็นโรคเดียวกัน
ฮันคยองฟังสิ่งที่ฮยอกแจพูดอย่างตั้งใจเขาไม่คิดที่จะพูดขัด และรอฟังคำต่อไปที่ฮยอกแจกำลังจะพูด
“จะ...จัก....ก......กะ....กาน”
“รู้จักกัน”ฮันคยองทวนคำที่ฮยอกแจพูด ฮยอกแจยิ้มแล้วพยักหน้าขึ้นลงหงิกหงัก
“จำได้แล้วเหรอ” น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความดีใจถามออกมา และคำตอบคือการพยักหน้า ฮันคยองตรงเข้าไปกอดฮยอกแจด้วยความลืมตัว แต่เขาก็ไม่ลืมจนเผลอกอดแรงไปจนทำให้ฮยอกแจเจ็บตัว
“แล้วที่จับหน้าอกล่ะ” ฮันคยองผละออกมาแล้วถามต่อ
ฮยอกแจยกมือขึ้นทาบที่หน้าอก แล้วทำท่าเหมือนหัวใจกำลังเต้น ฮันคยองมองแล้วก็ได้แต่ทำหน้างง เพราะการเคลื่อนไหวของฮยอกแจช้าเกินไปจนเขาดูไม่ค่อยออก
“หัวใจเต้น” ฮันคยองลองถามและฮยอกแจก็พยักหน้า แล้วทำท่าต่อไปเรื่อยๆ ฮันคยองเลยต้องกลับไปตั้งใจดูอีกครั้ง
“หัวใจเต้นกับผม” ฮันคยองชี้ที่ตัวเองเหมือนกับที่ฮยอกแจที่ชี้ที่เขา พอจบประโยคฮยอกแจก็ยิ้มออกมา
“คุณฮยอกแจชอบผมเหรอ” ฮันคยองถามสีหน้าเหลอหลา
ฮยอกแจไม่ได้ตอบตกลงหรือส่ายหน้า เพียงแค่ยิ้มบางๆ จะว่าชอบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้เขาจำฮันคยองได้แล้ว จำได้แล้วว่ารู้จักกันได้ยังไง และเคยทำอะไรร่วมกันมาบ้าง มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีมาก
“ชอบหมอเหรอเนี่ย” ฮันคยองถามอีกครั้ง ยิ่งทำให้ฮยอกแจยิ้มกว้าง
“ผมก็ชอบคุณฮยอกแจครับ เป็นห่วงมากๆเลย” ฮันคยองพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาไม่ได้พูดเพราะจรรยาบันของความเป็นหมอ แต่พูดออกมาจากใจจริง ตอนที่ฮยอกแจนอนป่วยอยู่ในห้องไอซียูรู้สึกเหมือนหัวใจเขาแทบจะสลายเมื่อรู้ว่าฮยอกแจที่เขาเจออยู่ทุกวันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ และก็รู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นทุกที จนกระทั่งฮยอกแจพื้นแล้วบอกว่าไม่รู้จักเขามันก็ทำใจเขาสลายอีกครั้ง
ฮยอกแจยิ้มกว้างกลับมาให้ แต่เขาคิดว่าฮันคยองคงจะเป็นห่วงในฐานะหมอที่ห่วงคนไข้ซะมากกว่า คนป่วยอย่างเขาใครจะมาชอบจริงๆจังๆล่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้ จะตายเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้
เมื่อเห็นว่าฮยอกแจจำตนเองได้แล้ว ฮันคยองก็เริ่มชวนคุยนู้นคุยนี่ แต่ส่วนใหญ่ก็คุณหมอนั่นแหละที่พูดอยู่คนเดียว จนกระทั่งเกือบเช้าฮยอกแจก็หลับไปอีกรอบ ส่วนฮันคยองก็ยังคงนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น
******** Fall, Don’t Walk Away ********
เช้าวันนี้พี่ชายของฮยอกแจมาเยี่ยมหลังจากที่หายไปเป็นอาทิตย์เพราะกำลังทำเรื่องจบการศึกษาอยู่ พอเขาได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าฮยอกแจฟื้นแล้วก็อยากมาใจแทบขาด แต่กลับหาเวลาว่างมาไม่ได้เลย
เมื่อเห็นหน้าพี่ชายเท่านั้นฮยอกแจก็ยิ้มร่าและดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งสามคนพูดคุยกันภายในห้องพักคนไข้อย่างสนุกสนาน รอยยิ้มของฮยอกแจทำให้จิตใจของฮันคยองและคนเป็นพี่ชายชุ่มชื้นขึ้นมากทีเดียว
“อยากกลับเกาหลีมั้ย” พี่ชายออกปากถาม ฮยอกแจหันมามองแล้วก็พยักหน้าถี่ๆ แต่คำถามนี้กลับทำให้หัวใจใครอีกหล่นวูบลง
“ถ้าพี่เรียนจบแล้วคงต้องกลับไปทำงานที่เกาหลี พี่อยากพาฮยอกแจไปด้วย” พี่ชายยังคงเอ่ยต่อไป สีหน้าของฮันคยองก็เริ่มหม่นหมองลงเรื่อยๆ เมื่อได้ฟัง
“พี่ติดต่อโรงพยาบาลที่นั่นไว้แล้ว กลับบ้านด้วยกันนะ” พี่ชายเอ่ยออกมาอีกครั้งแล้วกุมมือของฮยอกแจไว้ ใบหน้าหวานพยักขึ้นลงเบาๆ แล้วหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งร่วมห้องอยู่กับเขาและพี่ชาย
ฮันคยองเงยหน้าขึ้นไปสบตากับฮยอกแจแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ ถ้าฮยอกแจต้องไปจริงๆเขาคงรั้งอะไรไว้ไม่ได้ คงทำได้แค่เพียงทำใจเท่านั้น
“สัปดาห์หน้าเรื่องทุกอย่างก็จะเสร็จเรียบร้อย แล้วเราก็จะได้กลับบ้านกันนะ” รอยยิ้มของพี่ชายถูกส่งไปให้น้องชายเพียงคนเดียว ถึงฮยอกแจจะไม่ใช้น้องที่คลานตามกันมาแต่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา และฮยอกแจก็เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ครอบครัวของฮยอกแจได้จากไปเมื่อหลายปีก่อน แต่โชคร้ายก็ยังไม่จบลงแค่นี้ สวรรค์ยังกลั่นแกล้งให้ฮยอกแจเป็นโรคร้ายบ้าๆนี้อีก
“ดีใจด้วยนะครับ” ฮันคยองเอ่ยออกมาเสียงเครือ คนฟังก็ใช่ว่าจะดูไม่ออกมาว่าคนพูดรู้สึกอย่างไร
ใบหน้าของฮยอกแจหม่นวูบลง เพราะเขาเองก็รู้สึกใจหาย ความสัมพันธ์ของเขากับฮันคยองเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น แต่มันคงต้องจบลงเสียแล้วอย่างนั้นหรือ
“วันนี้พี่อยู่ได้ด้วยจนถึงตอนบ่ายนะ เพราะพี่ต้องไปที่มหาลัย” ฮยอกแจพยักหน้าช้าๆเมื่อจบคำพูดของพี่ชาย
“ผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ” ฮันคยองลุกขึ้นค้อมหัวให้พี่ชายของฮยอกแจก่อนจะเดินออกมา ปล่อยสองพี่น้องได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
******** Fall, Don’t Walk Away ********
วันนี้เป็นวันที่ฮันคยองไม่อยากให้มาถึงที่สุด วันที่ฮยอกแจต้องเดินทางกลับเกาหลีกับพี่ชาย เขาทำได้เพียงแค่ไปส่งฮยอกแจเท่านั้นแล้วกลับมาทำงานตามปกติ แต่หัวใจของเขาได้ตามฮยอกแจไปยังที่ไกลแสนไกล วันนี้เขาไม่มีสมาธิจะทำงานเลยจริงๆ
และไม่ว่าจะผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ฮันคยองก็ยังคงมีอาการเหมือนเดิม เอาแต่เหม่อลอยและไม่มีสมาธิในการทำงานจนศาสตราจารย์เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ดูเหมือนฮันคยองจะป่วยซะแล้วสิ
“เป็นอะไรไปครับคุณฮันคยอง” ศาสตราจารย์ที่เห็นฮันคยองนั่งเหม่ออยู่นานเลยถามขึ้น
“คิดถึงคนไข้น่ะครับ” ฮันคยองตอบแล้วยิ้มบางๆ ต่อไปนี้เขาจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของฮยอกแจอีกต่อไปแล้ว จะไม่ได้ดูแลฮยอกแจอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย
“เข้าใจครับ ก็คุณเป็นเจ้าของไข้เค้านี่”ศาสตราจารย์เอ่ยออกมาแล้วยิ้ม
“ครับ”
“นี่ครับเอกสาร รู้สึกคุณจะโดนสั่งย้ายด่วนนะครับ” ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกวางลงบนโต๊ะของฮันคยอง เขาหยิบมาขึ้นแล้วเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในอย่างงงๆ
“นี่มัน....” ดวงตาของฮันคยองเบิกกว้างเมื่ออ่านเอกสารที่อยู่ในซองอย่างคร่าวๆ
“รู้สึกว่าทางนู้นเขาอยากได้หมอไปประจำที่นั่นนะครับ งานด่วนซะด้วยสิ” ศาสตราจารย์พูดออกมาแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของฮันคยอง
“ขอบคุณมากเลยครับศาสตราจารย์” ฮันคยองลุกขึ้นโค้งให้ศาสตราจารย์แล้วยิ้มกว้าง เพราะพี่ชายของฮยอกแจส่งเรื่องเพื่อให้เขาไปเป็นหมอประตัวคนไข้ของฮยอกแจที่เกาหลี
“รอก่อนนะฮยอกแจ.....คุณรอผมก่อนนะ”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
เมื่อเครื่องบินลงจอดภายในประเทศเกาหลี ฮันคยองก็ตรงไปยังโรงพยาบาลที่ฮยอกแจรักษาตัวอยู่ทันที เอกสารทั้งหมดทางโรงพยาบาลได้จัดการไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว
ก่อนที่จะขึ้นไปหาฮยอกแจที่ห้องพักฮันคยองแวะมาที่ร้านดอกไม้ที่อยู่ข้างโรงพยาบาล เขาตั้งใจจะซื้อดอกไม้ไปให้ฮยอกแจซักช่อแต่ก็ไม่รู้ว่า คนป่วยของเขานั้นโปรดปรานดอกไม้ชนิดไหน แต่พนักงานที่ร้านแนะนำให้เขาซื้อต้นไม้ต้นเล็กไปฝาก และเพราะความหมายของต้นไม้ทำให้ฮันคยองเลือกซื้อต้นไม้ต้นนี้
‘ชีวิตที่ยืนยาว’
หลังจากได้ของฝากแล้ว หมอหนุ่มเจ้าของไข้ฮยอกแจก็ตรงไปยังห้องพักผู้ป่วย ฮันคยองเคาะประตูตามมารยาทแล้วจึงเปิดเข้าไป คนที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงหันมามองแล้วก็เบิกตากว้าง หนังสือที่พยายามจับอยู่ด้วยแรงอันน้อยนิดร่วงลงสู่พื้นทันที
ฮันคยองเดินไปหาฮยอกแจด้วยรอยยิ้ม เขาวางกระถางต้นไม้ไว้ที่ริมหน้าต่างและเดินมาหยิบหนังสือที่ฮยอกแจทำตกวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
“ผมคิดถึงคุณฮยอกแจมากเลยครับ” ฮันคยองโผเข้ากอดฮยอกแจไว้แน่น ซึ่งฮยอกแจก็ซุกหน้าลงกับอกของฮันคยองช้าๆ น้ำตาแห่งความดีใจไหลลงมาอาบแก้มใสอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้เจอกับฮันคยองอีกครั้ง
“ไม่ร้องไห้นะครับ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ” เมื่อผละออกจากกัน ฮันคยองจึงยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ฮยอกแจเบาๆ
“พี่ชายคุณทำเรื่องย้ายผมมา ผมดีใจมากเลยนะที่ได้เจอคุณฮยอกแจอีกครั้ง” ฮันคยองจับใบหน้าแสนหวานของฮยอกแจไว้ แล้วดึงเข้ามากอดอีกรอบ
ฮยอกแจรับอ้อมกอดของฮันคยองอย่างเต็มใจและพยักหน้าเบาๆในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ เขารักฮันคยองที่สุดและรักพี่ชายของเขาเหมือนกัน พี่ชายมักจะมีเรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจได้เสมอ
“จริงสิ ผมซื้อต้นไม้มาด้วยนะ ชอบหรือเปล่า” ฮันคยองผละออกจากฮยอกแจและพยุงคนป่วยให้นอนลง เขาเดินไปที่กระถางต้นไม้จับมันขึ้นชูให้ฮยอกแจดู
ฮยอกแจพยักหน้าให้แล้วยิ้มออกมาบางๆ
“ผมจะตั้งมันไว้ตรงนี้นะ” ฮันคยองวางมันลงที่เดิมแล้วเดินมานั่งที่ข้างเตียงของฮยอกแจ
“เมื่อกี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมจะอ่านต่อให้ฟังเอง” ฮันคยองยิ้มกว้างก่อนจะหยิบหนังสือที่วางอยู่มากางอ่าน
สายตาของคนฟังนั้นจับจ้องอยู่ที่คนอ่านซะมากกว่าเนื้อหาของหนังสือที่ลอยเข้าหู ฮันคยองเองก็อ่านไปยิ้มไป มีความสุขจนมันแทบจะทะลักออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
รอยยิ้มที่ฮันคยองโหยหามากว่าหนึ่งสัปดาห์....ตอนนี้เขาได้พบกับมันอีกครั้ง
ความปรารถนาที่จะได้ดูแลคนที่รัก....ตอนนี้ฮันคยองก็ได้ทำอย่างที่ตนเองคิดไว้แล้ว
ขอแค่ให้เวลานี้อยู่กับเขาไปนานๆ อย่าได้มีอะไรมาพรากไปอีกเลย
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ที่ฮันคยองย้ายมาดูแลฮยอกแจที่เกาหลี เขาหมั่นรดน้ำให้ต้นไม้ตามที่พนักงานได้บอกไว้ แต่ใบของมันกลับร่วงลงทุกวัน เหมือนกับใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างนอก เพราะเวลานี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับต้นไม้ที่ปลูกในกระถางแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นไปตามฤดูกาลของธรรมชาติ
“ลงไปเดินเล่นกันมั้ย” ฮันคยองละจากต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าต่างมาถามฮยอกแจที่นอนอยู่บนเตียง ช่วงนี้ใบหน้าหวานที่เคยดูสดใสกลับดูซีดเซียวจนผิดปกติ แต่พอตรวจร่างกายกลับไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรเลย แถมร่างกายยังคงแข็งแรงดี
ฮยอกแจหันยิ้มบางๆแล้วพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ พยายามจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแต่มันกลับรู้สึกไม่มีแรงเอาซะดื้อๆ เลยทำได้แค่นอนอยู่เฉยๆ ให้ฮันคยองเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้น ทั้งที่ปกติแล้วฮยอกแจยังสามารถลุกนั่งด้วยตัวเองได้อยู่
“วันนี้ทำไมไม่ลุกเองครับ ขี้เกียจแล้วเหรอ ไม่ดีเลยนะ” ฮันคยองพูดขึ้นยิ้มๆ ไม่ได้จงใจจะว่าอะไรเพียงแค่แซวเล่นเท่านั้น แต่ฮยอกแจกลับรีบส่ายหน้ายกใหญ่
“ไม่ใช่ๆก็ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ฮันคยองพูดกลั้วหัวเราะกับอาการของฮยอกแจ แล้วพยุงคนป่วยให้ไปนั่งรถเข็น แต่ดูเหมือนสีหน้าของฮยอกแจจะไม่ร่าเริงเอาเสียเลย
“เป็นอะไรไปครับ หน้าบึ้งเชียว”
ฮยอกแจไม่ได้ตอบคำถามของฮันคยองเหมือนทุกๆที ใบหน้าหวานที่แสนบึ้งตึงก้มลงต่ำ เขาไม่ได้ขี้เกียจที่จะลุกเอง แต่มันกลับลุกไม่ไหว พอฮันคยองมาพูดแหย่เล่นแบบนี้ กลับรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา
“โกรธผมหรือเปล่า ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ว่าคุณฮยอกแจเลยนะครับ” ฮันคยองพยายามง้อฮยอกแจถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าโกรธเขาจริงๆหรือเปล่า มือใหญ่เชยคางเล็กให้เงยขึ้นมาสบตาก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้
“ยิ้มหน่อยนะ แล้วไปเดินเล่นกัน”
ฮยอกแจพยักหน้าเบาๆ แล้วยิ้มบางๆออกมา เมื่อได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วฮันคยองก็เริ่มรู้สึกโล่งใจแล้วพาฮยอกแจมายังสวนหย่อมของโรงพยาบาล บรรยากาศดีๆทำให้ฮยอกแจเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่เดินเล่นกันได้ไม่นานฮันคยองก็ต้องพาฮยอกแจกลับไปที่ห้องพัก เพราะลมเริ่มพัดแรง เศษใบไม้ที่ร่วงก็เริ่มปลิวว่อน อีกอย่างฮยอกแจมีภูมิต้านทานโรคต่ำ อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายๆ
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ใบไม้ที่อยู่บนของต้นไม้ที่วางอยู่ริมหน้าต่างเริ่มเหลือน้อยลงทุกที ทั้งที่ฮันคยองก็ดูแลมันอย่างดี แต่ใบมันกลับร่วงอย่างไม่มีสาเหตุ เขานั่งนับใบไม้ที่เหลืออยู่ทุกวัน และเมื่อมองไปที่ฮยอกแจก็ทำให้เขาเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาซะเฉยๆ
ใบหน้าของฮยอกแจดูซีดเซียวลงทุกวันอย่างเห็นได้ชัด การขยับเขยื้อนของร่างกายก็ทำได้น้อยลง เพียงแค่การพยักหน้าก็ทำได้ลำบากขึ้น จนคนป่วยเริ่มปลงตกกับอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ยอมลงไปเดินเล่นกับฮันคยองอีกเลย ทั้งๆที่ตรวจร่างกายเมื่อไหร่ผลมันกลับมาออกมาปกติดีอยู่เสมอ
ฮยอกแจหันหน้ามามองฮันคยองที่นั่งจ้องต้นไม้อย่างช้าๆ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเริ่มจะขยับไม่ได้มากขึ้น และอีกไม่นานมันก็จะขยับไม่ได้อีกต่อไป เขาคงจะทำได้นอนอยู่เฉยๆเท่านั้น นอนรอความตายที่จะมาพรากเขาไปจากโลกนี้เสียที
ฮันคยองย้ายมานั่งข้างเตียงของฮยอกแจ กุมมือเล็กขึ้นมาแนบกับใบหน้าของตัวเอง ใบหน้าหล่อเหล่าของคุณหมอหนุ่มดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“นายไม่ใช่ต้นไม้นะฮยอกแจ” ฮันคยองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ชีวิตที่ยืนยาวคือความหมายของต้นไม้ต้นนี้ เขาอยากให้ฮยอกแจเป็นเหมือนกับความหมายของต้นไม้ต้นนี้ แต่ฮยอกแจไม่ใช่ต้นไม้ต้นนี้ จำเป็นด้วยหรือไงที่อาการของฮยอกแจจะต้องทรุดลงเรื่อยๆตามใบของต้นไม้ที่ร่วงไป
ฮยอกแจฝืนยิ้มจางๆออกมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลลงมาละแก้มใส เพียงแค่ยิ้มยังต้องใช้ความพยายามมากขนาดนี้ แล้วเขาต้องพยายามมากแค่ไหนกันถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
“อย่าร้องไห้สิ ไม่ดีเลยนะ” ฮันคยองใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาของฮยอกแจออกเบาๆ แต่น้ำตาของตัวเองกลับไหลออกมาซะเอง
น้ำใสๆหยดลงบนแก้มของฮยอกแจ มันยิ่งทำให้ฮยอกแจที่พยายามอดทนอยู่นั้นกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถึงฮันคยองจะพยายามเช็ดน้ำตาของฮยอกแจออก แต่น้ำตาของตัวเองกลับไหลลงบนแก้มใสของคนป่วยหยดแล้วหยดเล่า
“คุณ....ต้องไม่เป็นอะไรสิ....คุณ....ไม่ใช่...ต้นไม้ซักหน่อย” ฮันคยองละล่ำละลักคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก ถึงจะพูดแบบนี้แต่ความรู้สึกมันกลับตรงกันข้าม เขาไม่มั่นใจเลยว่าฮยอกแจจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน ทำไมความสุขของเขามันช่างมีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน
ฮยอกแจยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก ไม่ได้เสียใจที่ตัวเองต้องตายเพราะยังไงซะโรคนี้ก็ต้องพรากเขาไปจากโลกใบนี้อยู่แล้ว แต่เขายังไม่อยากจากฮันคยองไปไหน เขายังอยากมีความสุขแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ใบไม้ที่เหลืออยู่บนต้นไม้ตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สองใบเท่านั้น ตอนนี้ฮยอกแจไม่สามารถขยับตัวเองได้แล้ว สายตาของฮยอกแจเอาแต่เหม่อมองไปยังเพดานห้องตลอดเวลา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มันก็พาลจะไหลเอาตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นดึงความสนใจของฮยอกแจไปอย่างมากเพราะคนที่เขารอคอยกำลังมา ถึงอยากจะหันไปดู แต่มันก็ทำได้แค่อยู่เฉยๆ ริมฝีปากบางเผยยิ้มออกมา เปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งหลับลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา
ฮันคยองได้แต่ยืนนิ่งเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ฮยอกแจร้องไห้อีกแล้ว พร้อมกับใบไม้ที่ร่วงลงอีกใบ ฮันคยองหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ชักจะบ่อยเกินไปแล้วนะที่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแบบนี้
ฮันคยองยกมือปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ฮยอกแจได้ยิน ก่อนจะเดินไปนั่งที่ข้างเตียง ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนเบาๆ
“หลับอยู่เหรอครับ” ฮันคยองปาดน้ำตาที่เอ่อบริเวณขอบตาให้ฮยอกแจเบาๆ คำถามโง่ๆถูกถามออกไปทั้งๆที่เขาก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าฮยอกแจไม่ได้หลับ เพียงแค่อยากจะหาเรื่องคุยให้มันหลุดพ้นจากบรรยากาศบ้าๆแบบนี้เสียที
ฮยอกแจลืมตาขึ้นมาช้าๆ ตอนนี้ฮันคยองนั่งอยู่ข้างๆ แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นหน้าของคนๆนี้ได้ ริมฝีปากบางที่แห้งผาดพยายามเผยยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก แต่น้ำตามันกลับไหลออกมาเรื่อยๆ อยากจะลุกขึ้นมาทึ้งผมตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดแต่ถ้าเขาทำมันได้ก็คงจะดี เพิ่งจะรับรู้ความรู้สึกแบบนี้ คนที่กำลังจะตายเขารู้สึกกันแบบนี้ใช่มั้ย
รอยยิ้มของฮยอกแจคราวนี้มันกลับทำให้ฮันคยองก็ปวดหัวใจ ยิ้มทั้งน้ำตา ยิ้มที่พยายามฝืนให้เขาเห็นว่าไม่เป็นอะไร แต่รู้ไหมฮยอกแจ ยิ่งทำแบบนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บ ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นหมอแต่กลับรักษาโรคนี้ไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นเจ้าของไข้ของฮยอกแจเองเขากลับทำให้อาการของฮยอกแจดีขึ้นไม่ได้เลย
“อย่าร้องไห้สิ มันไม่ดีเลยนะ ขอร้องล่ะฮยอกแจ หยุดร้องเถอะนะ” ฮันคยองร้องขอเสียงสั่นเครือ ยกมือปาดน้ำตาของฮยอกแจที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ภายในใจของฮันคยองกำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ หากเขาร้องแล้วฮยอกแจจะมีกำลังใจอยู่ต่อไปได้ยังไงกัน
ฮยอกแจหลับตาลงอีกครั้ง น้ำตาที่เขาพยายามกลั้นแต่มันก็ไหลไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกอุ่นปะทะที่ใบหน้าตลอดเวลา นิ้วมือของฮันคยองกำลังคอยเช็ดน้ำตาให้เขาอยู่ เขานี่มันอ่อนแอจริงๆ
นานเท่าไหร่แล้วนะ....ที่ต้องอยู่กับน้ำตาแบบนี้ กี่วันมาแล้วที่ต้องร้องไห้....ความรู้สึกแบบนี้มันทรมานอย่าบอกใคร....แต่ก็ยังอยากจะอยู่เพื่อใครคนนั้น อยู่ต่อไปเพื่อความสุขของคนๆนั้น ถึงตัวเองจะต้องทุกข์ทรมานก็ตาม
******** Fall, Don’t Walk Away ********
สายแล้วกับเวลาของวันนี้แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ฮันคยองยังคงนั่งเฝ้าฮยอกแจอยู่ข้างเตียง เขายังคงรดน้ำต้นไม้อยู่ทุกวันถึงใบมันจะเหลืออยู่แค่ใบเดียวก็ตาม
คำถามหลายข้อผุดขึ้นมาในสมองของฮันคยองอยู่คลอดเวลา ในเมื่อเขาคิดว่าต้นไม้ต้นนี้ทำให้อาการของฮยอกแจทรุดหนักลง แล้วทำไมไม่ทิ้งมันไปซะ แต่ถ้าเขาทิ้งมันไป แล้วฮยอกแจล่ะ จะเป็นยังไง
“วันนี้ตื่นสายจังนะครับ” ฮันคยองลูบผมของฮยอกแจอย่างเบามือ มืออีกกุมมือเล็กนั่นไว้ ให้ฮยอกแจได้รู้ว่าเขาอยู่ด้วยตลอดเวลา
“หรือว่าตื่นแล้วเอ่ย” ฮันคยองยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อไปเรื่อยๆ เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าฮยอกแจตื่นหรือยังหรือจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถจะสื่อสารอะไรกับฮยอกแจได้เลย แต่บางทีตอนนี้ฮยอกแจอาจจะตื่นอยู่ก็เป็นได้
เปลือกตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ ฮันคยองเผลอยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าฮยอกแจตื่นแล้ว เขาชะโงกหน้าไปให้ฮยอกแจได้เห็นรอยยิ้มของเขา
“อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ตื่นสายจังเลยนะครับ” ฮันคยองก้มลงจูบหน้าผากฮยอกแจเบาๆ บีบมือที่กุมอยู่เบาๆ
ตอนนี้ใบหน้าของฮยอกแจยังคงเรียบเฉย ทั้งที่อยากจะยิ้มออกมาให้กว้างๆ อยากพูดคุย อยากจะหัวเราะเสียงดัง อยากจะโอบกอดคนตรงหน้าเอาไว้ อยากจะมอบจูบคืนให้บ้าง แต่กลับไม่มีสิ่งไหนที่สามารถทำได้เลย ฮันคยองจะรู้หรือเปล่านะ ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มอยู่
“วันนี้เราจะตรวจร่างกายกันนะครับ” ฮันคยองยิ้มกว้างเมื่อพูดจบ เขาลงมือตรวจร่างกายให้ฮยอกแจเหมือนอย่างทุกครั้ง และผลมันก็ออกมาเหมือนเดิมร่างกายยังแข็งแรงตามปกติ ซึ่งมันขัดกับอาการที่ฮยอกแจเป็นอย่างชัดเจน
หลังจากตรวจร่างกายฮยอกแจเสร็จฮันคยองจึงเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมได้พัดเข้ามาภายในห้อง ตอนนี้ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ลุงภารโรงของโรงพยาบาลกำลังเก็บกวาดใบไม้ที่ร่วงตามทางเพื่อให้โรงพยาบาลดูสะอาดสะอ้าน แล้วถ้าฤดูใบไม้ผลิมาถึงต้นไม้ที่เหลือใบอยู่ใบเดียวต้นนี้จะผลิใบออกมาหรือเปล่า
“ข้างนอกอาการกำลังดีเลยไปเดินเล่นกันหน่อยมั้ย เราไม่ได้เดินเล่นด้วยกันนานแล้วนะ” ฮันคยองหันมาถามฮยอกแจ แต่คนป่วยคงจะตอบอะไรเขากลับไปได้ สิ่งที่ได้กลับมาตรงหน้าก็คืออาการนิ่งเฉย
ฮันคอยงเผยยิ้มออกมาบางๆ เขาเดินไปหาฮยอกแจที่เตียงแล้วค่อยพยุงคนป่วยให้ลุกขึ้น ถ้าเป็นแต่ก่อนฮยอกแจจะช่วยดันตัวเองให้ลุกขึ้นด้วย แต่ตอนนี้เขาต้องออกแรงอยู่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากและยินดีที่จะทำมัน
“ไหวมั้ย” น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยถูกถามออกมา แต่คำตอบก็ยังคงเป็นอาการนิ่งเฉย ฮยอกแจนั่งนิ่งตามท่าที่ฮันคยองจัดไว้ให้เหมือนกับตุ๊กตา ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
ฮยอกแจหลับตาลงช้าๆ อยากจะตอบคำถามของฮันคยองแต่กลับทำได้แค่อยู่เฉยๆ อยากจะสื่อสารกันได้บ้าง ถ้ามองตากันแล้วรู้เรื่องมันก็คงจะดีไม่น้อย ทำไมการมีชีวิตอยู่มันถึงได้ลำบากขนาดนี้นะ
“อยากนอนเหรอครับ” เมื่อเห็นฮยอกแจหลับตา ฮันคยองเลยพยุงให้ฮยอกแจนอนลงอีกครั้ง
ฮันคยองนั่งลงที่ข้างเตียงฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่าง มือของเขากำลังลูบผมฮยอกแจเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่กระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง สายลมอ่อนที่พัดมาทำให้ใบไม้ที่เหลืออยู่ใบเดียวพัดไหลไม่ตามแรงลม ฮันคยองจึงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ถึงจะไม่อยากเชื่ออะไรกับใบไม้ที่ร่วงของต้นไม้ที่ตนเองซื้อมา แต่ความรู้สึกมันสั่งให้เขาทำแบบนี้
วันนี้ในช่วงบ่ายพี่ชายของฮยอกแจมาเยี่ยม ฮันคยองจึงต้องปลีกตัวออกมาเพื่อให้สองพี่น้องได้อยู่กันตามลำพัง ถึงจะรู้สึกเป็นห่วงอย่างมากก็ตามที เพราะช่วงนี้พี่ชายของฮยอกแจต้องทำงานอย่างหนัก จึงไม่ค่อยมีเวลามากนัก อีกอย่างฮยอกแจก็คงอยากจะอยู่กับพี่เหมือนกัน
ฮันคยองลงมานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ใบมันร่วงเกือบจะหมดต้นแล้ว ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นหน้าต่างห้องของฮยอกแจได้ ถึงมันจะเห็นแค่ผ้าม่านที่ถูกผูกไว้กับกระถางต้นไปเล็กๆก็ตาม
ฮันคยองนั่งมองกระถางต้นไม้ต้นเล็กนั่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองดูฮยอกแจอยู่ยังไงยังงั้น ถึงจะไม่อยากคิดว่าฮยอกแจคือต้นไม้ต้นนั้น แต่เขาก็ฝืนความรู้สึกของตนเองไม่ได้
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงฮันคยองก็นั่งคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองใบไม้ใบสุดท้ายที่เหลืออยู่ แต่แล้วใบไม้ใบนั้นมันกลับร่วงลงอย่างช้าๆ ฮันคยองสะดุ้งลุกขึ้นยืนจนสุดความสูง
ใบไม้ใบสุดท้ายหลุดออกจากก้านและร่วงสู่ดินในกระถางอย่างช้าๆ ความรู้สึกสั่งให้ฮันคยองวิ่งไปที่ห้องของฮยอกแจอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พบกลับคือความว่างเปล่า ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเหลือเพียงกิ่งก้านสาขาที่แตกออกมาจากลำต้นเท่านั้น
ฮันคยองเดินออกมาจากห้องของฮยอกแจด้วยท่าทางที่ร้อนรน และพบกับพี่ชายของฮยอกแจที่กำลังเดินตรงมาทางนี้
“ฮยอกแจ!” พี่ชายของฮยอกแจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้องชายของเขาถูกส่งเขาห้องฉุกเฉินเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เพราะอยู่ดีๆก็เกิดอาการชักขึ้นมา เขาเดินหาฮันคยองจนทั่วโรงพยาบาลก็ไม่พบ จะโทรหาก็ไม่ได้เพราะโทรศัพท์ของฮันคยองยังวางอยู่ในห้องฮยอกแจ
“ฮยอกแจเป็นอะไรครับ! ฮยอกแจเป็นอะไร!” ฮันคยองถลาเข้าไปหาพี่ชายของฮยอกแจแทบจะในทันที สีหน้าที่ดูเศร้าหมองของพี่ชายฮยอกแจยิ่งทำให้เขารู้สึกใจเสียเข้าไปใหญ่
“เขาหลับ....ตลอดกาล”
******** Fall, Don’t Walk Away ********
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกกำลังผลิใบออกมาเพื่อสร้างร่มเงา แต่ต้นไม้ในกระถางต้นนี้ยังคงแห้งแล้วเหมือนเดิม ถึงจะได้รับการดูแลอย่างดี แต่มันกลับไม่ผลิใบออกมาเลย เหมือนกับหนึ่งที่ชีวิตที่มีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่ยังบอกได้ว่าเขามีชีวิตอยู่
หลับตลอดกาล....เขาเพียงแค่หลับเท่านั้น....ฮยอกแจเพียงแค่หลับไปเท่านั้น
“ผมยังรออยู่นะ รอที่ต้นไม้ต้นนี้จะผลิใบ....รอวันที่คุณจะตื่นขึ้นมาบอกรักผม” เสียงของหมอหนุ่มที่ชื่อฮันคยองยังคงดังเจื้อยแจ้ว ถึงแม้เขาจะพูดอยู่คนเดียว แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนรับฟังเขาอยู่ แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ได้ยินเขาก็ตาม
“ผมรักคุณนะฮยอกแจ...ตื่นขึ้นมาบอกผมเร็วนะครับ”
**************** THE END ****************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น