ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #414 : Danganronpa 3 - ภาคอนาคต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.02K
      14
      13 ต.ค. 59

    นอกจาก Danganronpa 3 บทสิ้นหวัง (อดีต) แล้ว ก็ยังมีบทอนาคตที่ฉาย ในเวลาไล่เลี่ยงกัน (แต่ภาคอนาคตฉายก่อน)  ซึ่งในภาคอนาคตนั้นถือว่าเป็นบทสรุปของซีรีย์ Danganronpa ของนาเอกิ และเป็นภาคที่หลายคนติดตามกันมาก และเป็นภาคที่หลายคนดิ้นมากที่สุดด้วย

    ภาคอนาคตมีชื่อเต็มว่า Danganronpa 3: The End of Kibougamine Gakuen – Mirai-hen เป็นผลงานของ Directed by Seiji Kishi (chief) and Daisei Fukuoka และWritten by Norimitsu Kaiho ซึ่งมีทั้งหมด 12 ตอน และหลังจบตอน ก็ยังมีตอนพิเศษ “ความหวัง” ตามมาอีก  

    เพื่อความเข้าใจกับภาคนี้มากขึ้น ก็ขอเล่าทีละประเด็น  ด้วยการจัดอันดับ 10 อันดับ เช่นเดียวกับบทสิ้นหวัง

     

    10. เรื่องมันไม่จบง่ายๆ

    มันไม่เหมือนกับภาคสิ้นหวัง (อดีต) เพราะคุณสามารถดูอนิเมะรู้เรื่องได้โดยไม่ต้องเล่นเกมภาคก่อนๆ มาก่อน หากแต่สำหรับภาคอนาคตนั้นจำเป็นต้องรู้เนื้อเรื่อง-บทสรุปถึง 3 ภาค ประกอบด้วย ภาคแรก, ภาคสอง และภาค Another ซึ่งภาคแรกมีอนิเมะอยู่ก่อนหน้า ส่วนภาค 2 และ ภาค Another จำเป็นต้องเล่นเกม หรือไม่ก็อ่านมังงะ

    อย่างไรก็ตาม ก็ขอเริ่มต้นเล่าเรื่องคร่าวๆ เรื่องราวมันเริ่มต้นหลังจากที่สุดยอดนักเรียนมัธยมปลายแห่งความหวังนาเอกิ มาโคโตะ และเพื่อนๆ ที่รอดชีวิตทั้ง 5 คน (ประกอบด้วยสุดยอดนักสืบมัธยมปลายคิริคิริ  เคียวโกะ, สุดยอดทายาทไฮโซโทกามิ เบียคุยะ, สุดยอดนักเขียนมัธยมปลาย ฟุคาวะ โทโกะ, สุดยอดนักว่ายน้ำมัธยมปลายอาซาฮินะ อาโออิ และสุดยอดหมอดูมัธยมปลายฮากาคุเระ ยาสึฮิโระ ได้รอดชีวิตจากเกมแห่งความตายที่สุดยอดนักเรียนแห่งความสิ้นหวังเอโนชิมะ จุนโกะจัดขึ้น และทั้งหมดได้ออกสู่โลกภายนอก หลังจากขังอยู่ในโรงเรียนแห่งความหวังมานานถึง 2 ปี

    หลังออกมาสู่โลกภายนอก นาเอกิก็พบว่าโลกได้กลายเป็นโลกแห่งความสิ้นหวัง ที่ถูกพวกของจุนโกะย้อมสีจนมืดมน หากแต่อย่างไรก็ตาม ยังมีพวกที่ต่อต้านความสิ้นหวังเหล่านั้น โดยพวกต่อต้านเรียกตนเองว่าองค์กรมิไรคิคัง โดยแบ่งเป็นหน่วยต่างๆ ที่ส่วนใหญ่มีศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งความหวังเป็นหัวหน้าหน่วย (และคนที่รอดในวันโศกนาฏกรรมของจุนโกะจำนวนหนึ่ง) ทำให้สามารถต้านทานความสิ้นหวัง และโต้กลับมาได้

    จากนั้นพวกนาเอกิได้เข้าร่วมองค์กรมิไรคิคัง โดยคิริคิริถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสาขาที่ 14 และพวกนาเอกิเป็นสมาชิกหน่วยนั้น  (มีเพียงฮาซาฮินะโยกเป็นสมาชิกหน่วย 13 ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับจัดสรรอาหารและทรัพยากรให้องค์กร) ซึ่งกลุ่ม 14 ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสาธารณะ กิจกรรมของกลุ่มสู่คนภายนอก เนื่องจากทางกลุ่มมิไรคิคังเห็นว่าพวกเขาเป็นนักเรียนแห่งความหวัง ผู้สามารถเอาชนะจุนโกะ นำความหวังมาสู่โลกได้ ถือว่าเป็นวีรบุรุษ

    แม้ว่าองค์กรมิไรคิจะมีหน้าที่มากมายเพื่อให้โลกน่าอยู่ ดีขึ้น แต่จุดประสงค์หลักๆ ขององค์กรคือการค้นหาและกำจัดความสิ้นหวังให้สิ้นซาก และภารกิจแรกๆ ที่พวกนาเอกิมีส่วนร่วมคือการช่วยเหลือครอบครัวของพวกตนที่ถูกพวกจุนโกะจับตัวเป็นประกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นมี น้องสาวของมาโคโตะชื่อ นาเอกิ โคมารุ และน้องชายของฮาซาฮินะชื่อ ฮาซาฮินะ ยูตะ นำไปสู่ภาค Another ซึ่งภายหลังโคมารุได้เป็นผู้กอบกู้เมืองจากการยึดครองของพวก“นักรบแห่งความหวัง” ที่นำโดยสุดยอดเด็กประถมโฮมรูท “โมนากะ” ลงได้

    ต่อมาพวกสมาชิกองค์กรมิไรคิคังก็ได้ทำการต่อสู้กับ “เศษเสี้ยวความสิ้นหวัง” ที่ทั้งหมดเป็นพวกรุ่น 77 ของโรงเรียนแห่งความหวัง และนำโดยคามุคุระ อิซุรุ ซึ่งหลังจากนั้นองค์กรมิไรคิคังก็สามารถจับสมาชิกมิไรคิคังจนหมด และมีความคิดที่จะกำจัดให้หายจากโลก หากแต่มาโคโตะกลับคิดเห็นตรงกันข้าม เพราะเห็นว่าพวกเศษสี้ยวความสิ้นหวังก็เป็นเพียงแค่เหยื่อของจุนโกะที่ถูกใช้ประโยชน์เท่านั้น นาเอกิอยากช่วยเหลือพวกเขา โดยให้พวกเขาเข้ารับการรักษาภายใต้ โปรแกรม “โลกใหม่” โดยจับพวกเขาล้างสมอง และจับไปบำบัดนิสัยให้เป็นคนดี บนเกาะแจบเบอวอค ซึ่งความจริงมันน่าจะสำเร็จลุล่วง หากแต่ก็มีใครบางคนแอบใส่โปรแกรม AI จุนโกะเข้าไป ทำให้เกิดความสิ้นหวัง จุนโกะได้เข้ายึดครองเกาะ และใช้ความสิ้นหวังบีบให้พวกเศษเสี้ยวความสิ้นหวังฆ่ากันเอง

    แม้ว่าบทสรุปพวกนาเอกิจะสามารถหยุดยั้ง AI จุนโกะมาได้ แต่เหล่าอดีตเศษเสี้ยวความสิ้นหวังก็อยู่ในสภาพผักไม่ตื่นขึ้นมา ทำให้พวกอิซุรุได้ขออยู่บนเกาะรอให้เพื่อนตื่น ส่วนนาเอกิต้องเดินทางไปรายงานตัวในศูนย์บัญชาการใหญ่ของมิไรคิคัง เพราะฝ่าฝืนคำสั่ง และถูกหัวหน้ากลุ่มสงสัยว่าเป็นพวกสิ้นหวัง อันเป็นที่ว่าของบทอนาคต ในเวลาต่อมา

     

    9. เกมแห่งความตายเริ่มต้นขึ้น

    เรื่องราวภาค 3 เริ่มต้นขึ้น เมื่อหัวหน้าสาขาใหญ่ขององค์กรมิไรคิคังมาประชุมศูนย์บัญชาการใหญ่บนเกาะโดดเดี่ยวห่างไกลเกาะหนึ่ง ทั้งหมดประกอบด้วย ผู้บัญชาการสูงสุดเท็นกัน คาสุโอะ (อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งความหวัง, รองผู้บัญชาการมุนาคาตะ เคียวสุเกะ (อดีตสุดยอดประธานมัธยมปลาย) , ยูกิโซเมะ จิสะ (อดีตสุดยอดแม่บ้านระดับมัธยมปลาย),เกรทโกสุ (อดีตสุดยอดนักมวยปล้ำมัธยมปลาย), มิทาราอิ เรียวตะ (อดีตสุดยอดอนิเมเตอร์มัธยมปลาย), คิซาคุมะ โคอิจิ (อดีตแมวมองของโรงเรียน),  อันโด รูรูกะ (อดีตสุดยอดนักทำขนมหวานมัธยมปลาย), อิซาโยอิ โซโนะสุเกะ (อดีตสุดยอดช่างตีเหล็กมัธยมปลาย), บันได ไดซาคุ (อดีตสุดยอดชาวไร่ระดับมัธยมปลาย), เก็คโคกาฮาระ มิอายะ (อดีตสุดยอดนักบำบัดระดับมัธยมปลาย), คิมูระ เซโกะ (อดีตสุดยอดเภสัชระดับมัธยมปลาย) และ ซาคาคุระ จูโซ (อดีตสุดยอดนักมวยมัธยมปลาย),

    แม้ว่าองค์กรมิไรคิคังจะเป็นองค์กรใหญ่ที่มีอิทธิพลของโลก แต่ในด้านความสัมพันธ์ภายในแล้ว มันเละกว่าที่คิด เพราะไม่มีความสามัคคีกันเลย โดยมุนาคาตะ (พระรองของภาคนี้) มีความคิดที่แข็งกร้าว จนขัดใจสมาชิกหลายคน โดยเฉพาะรูรูกะอยากจะrพยายามเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้า (รวมไปถึงอยากแยกตัวตั้งองค์กรใหม่)  ยิ่งมีเรื่องของนาเอกิทรยศองค์กรเข้ามา เหล่าหัวหน้ามิไรคิคังต่างเถียงกันว่าจะเอายังไงกันดี กลุ่มหนึ่งให้ตัดสินลงโทษนาเอกิไปเลย  บางคนก็ดูถูกนาเอกิว่ามันเอาชนะจุนโกะได้ยังไง เตี๊ยมกันหรือเปล่า ในขณะที่กลุ่มหนึ่งมองว่านาเอกิทำไปอาจมีเหตุผล รอให้นาเอกิมาถึงก่อนค่อยตัดสินก็ได้

    หลังจากนั้น นาเอกิกับเพื่อนๆ (มี ฮาซาฮินะ, คิริคิริ และยัตสึฮิโระ) ได้เข้าไปในศูนย์บัญชาการ (ยกเว้นยัตสึฮิโระรอข้างนอกอย่างน่าอนาถ) และเมื่อทั้งหมดอยู่กันพร้อมหน้า แต่ยังไม่ทันทำอะไร จู่ๆ ก็มีกำลังไม่ทราบฝ่ายโจมตีใส่ฐานของมิไรคิคัง ตามด้วยระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ถูกเจาะ เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ถูกฆ่า และจากนั้นก็มีการหยอดระเบิดแก๊สยาสลบเข้าที่ห้องประชุมระหว่างชุลมุน ทำให้สมาชิกทั้งหมดหลับไป

    เมื่อพวกนาเอกิตื่นขึ้นมา ก็พบว่าภายในฐานบัญชากรถูกถล่มเละไม่มีชิ้นดี หากแต่นั้นไม่ตกใจเท่า เมื่อจอมอมิเตอร์ได้ฉายภาคของหมีสองสี “โมโนคุมะ” ที่นาเอกิคิดว่ามันน่าจะหายไปตั้งแต่จุนโกะตายขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้โมโนคุมะบอกให้ทุกคนเล่นเกมฆ่ากันเองรอบใหม่อีกครั้ง ด้วยการหา “คนทรยศ” ในกลุ่มนาเอกิ และมันจะเป็นเกมสุดท้ายที่จะตัดสินความหวังกับความสิ้นหวัง

    อย่างไรก็ตาม นาเอกิปฏิเสธไม่ยอมเล่นด้วย หากแต่โมโมคุมะได้บอกว่าเกมมันเริ่มต้นไปแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะสังเกตว่ามีสมาชิกในกลุ่มหายไปหนึ่งคน และทั้งหมดก็เงยหน้าขึ้นเพดานและพบศพของจิสะถูกฆ่าแขวนโคมไฟห้องอยู่ เกมแห่งความตายเริ่มขึ้นแล้ว

    เหลือผู้รอดชีวิต 16 คน


    8.แม้จะตายแล้วก็ยังสร้างความทุกข์ให้คนอื่น

    การที่จะดูภาคอนาคตให้สนุกนั้น เราอาจจะต้องดูภาคสิ้นหวัง (อดีต) ควบคู่ไปด้วย เพราะในภาคสิ้นหวัง ก็ได้กล่าวถึงตัวละครหลักในภาคอนาคต ที่พวกเขาได้เคยพบจุนโกะ และจุนโกะได้สร้างความทุกข์ระทมให้กับพวกเขา จนทำให้มันส่งผลกับอนาคตด้วย

    โดยตัวละครหลักที่ว่า ก็มี ยูกิโซเมะ จิสะ (อดีตสุดยอดแม่บ้านระดับมัธยมปลาย), ซาคาคุระ จูโซ (อดีตสุดยอดนักมวยมัธยมปลาย) และ มิทาราอิ เรียวตะ (อดีตสุดยอดอนิเมเตอร์มัธยมปลาย) และนอกจากนี้ก็มีตัวละครอื่นอีก แต่นั้นไม่สำคัญเท่าสามคนดังกล่าว

    หากเราได้ดูภาคสิ้นหวัง (อดีต) เราจะพบว่าตัวละครทั้งสามคน ต้องทุกข์ระทมเพราะจุนโกะมาแล้วทั้งสิ้น และความทุกข์นี้ก็กลายเป็นตราบาป แม้ว่าจุนโกะจะตายแล้วก็ตาม แต่ความทุกข์นี้ก็ไม่หายไปเลย

    จิสะอดีตสุดยอดแม่บ้านที่พยายามสอนลูกศิษย์เพื่อให้จบออกมาทำประโยชน์ต่อโลก แต่จิสะและลูกศิษย์ของเธอต่างถูกจุนโกะล้างสมอง ย้อมสีให้กลายเป็นความสิ้นหวัง แม้จุนโกะจะตายแล้ว แต่ทั้งหมดไม่สามารถกลับมาเป็นคนธรรมดาได้อีกต่างไป แถมต้องมารับกรรมกับสิ่งที่ตนก่อขึ้น ส่วนจิสะเองก็เป็นต้นเหตุให้เกิดเกมแห่งความตายนี้ขึ้นในอนาคตด้วย แม้ตัวเองจะตายตั้งแต่ตอนแรกของอนิเมะภาคอนาคตก็ตาม

    ส่วนจูโซก็มีส่วนให้เกิดโศกนาฏกรรมในภาคอดีต แม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการดูถูกคนอื่น จนทำให้พระเอกฮินาตะต้องรับการผ่าตัดจนกลายเป็นนักเรียนแห่งความหวัง ต่อมาก็โดนจุนโกะแบล็คเมล์ว่าจะแฉว่าเป็นเกย์ จูโซจึงใจจำต้องโกหกเคียวสุเกะ นำไปสู่โศกนาฏกรรมเลวร้ายไปทั่วโลก ทำให้จูโซโกรธแค้นจุนโกะมาก แม้ผลสุดท้ายนาเอกิก็สามารถจัดการกับจุนโกะได้ แต่ใจของจูโซก็ไม่สงบลง ซ้ำยักเอาความแค้นมาลงกับนาเอกิด้วยซ้ำ

    ส่วนมิทาราอิ แม้ในภาคอนาคตจะเหมือนเป็นตัวประกอบที่ทำตัวขี้ขลาด แต่ในภาคอนาคต ก็นำเสนอเรื่องราวของตัวละครนี้ว่ามีความเครียดแค้นจุนโกะที่หลอกใช้ไม่น้อย

    ถือว่าเป็นความสนุกในการติดตามซีรีย์นี้ ของซีซั่นนี้ก็ว่าได้ โดยส่วนตัวแล้วการได้ติดตามการดูภาคอนาคต ต่อด้วยการย้อนอดีต ถือว่าเป็นการนำเสนอที่น่าสนใจ ที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในยุคปัจจุบัน หากเราดูบทอนาคตอย่างเดียวก็จะทำให้เสน่ห์ของตัวละครออกมาแบนๆ แต่ถ้าเราดูภาคสิ้นหวัง (อดีต) ก็ทำให้เราเข้าใจความลึก มีมิติของตัวละครเหล่านี้มากขึ้น และเข้าใจเหตุผลการกระทำของตัวละครมากขึ้น เป็นต้นว่า จูโซทำไมถึงเกลียดชังนาเอกินัก   และกระทำของตัวละครๆ ในเรื่องที่ล้วนมีเหตุผลอธิบายเอาไว้ในภาคสิ้นหวัง (อดีต)


    7. ไม่เหมือนอย่างที่คิดไว้

    หลายคนคิดว่าเนื้อเรื่องของภาค 3 จะดำเนินเรื่องให้นาเอกิตามหาคนร้าย โดยเน้นหาหลักฐาน สืบสวน การให้นาเอกิสร้างความสัมพันธ์กับตัวละครคนอื่นๆ  เหมือนศาลนักเรียนภาคก่อนๆ หากแต่เอาเข้าจริง กลับไม่ได้เป็นแบบนี้

    ในตอนที่ 2 โมโมคุมะอธิบายกติกาของเกมแห่งความตาย ครั้งที่ 3 ที่ค่อนข้างแตกต่างจากศาลชั้นเรียนสองภาคแรกมาก โดยบอกว่าทุกคนจะสวมกำไลที่ข้อมือ เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง กำไลนี้จะฉีดยานอนหลับให้กลับทุกคนให้นอนหลับ และจะมีเพียงคนร้าย (คนทรยศ, หมาป่า) คนเดียวเท่านั้นที่จะถูกปลุกให้ตื่น และต้องมาฆ่าคนหนึ่งที่นอนหลับ และนอนหลับต่อ

    นอกจากยานอนหลับแล้ว กำไลยังสามารถฉีดยาพิษเข้าร่างกายของเจ้าของกำไลหากผิดกฎ ซึ่งจะเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ทุกคนอาจตายหมด เหลือแต่คนร้ายที่รอด ดังนั้นคนที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมดต้องหาคนร้ายคนนั้นให้ได้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป

     หลังจากที่โมโมคุมะอธิบายกติกาเรียบร้อย แทนที่ทั้งหมดจะช่วยกันหาหลักฐาน และประชุมหาคนร้าย แต่ปรากฏว่าไม่เลย อันเนื่องจากสมาชิกองค์กรแห่งนี้ แม้จะมาจากโรงเรียนเดียวกัน หากแต่อยู่กันคนละรุ่น หลายช่วงอายุ (รุ่นนาเอกิถือว่าน้อยสุด) ความสนิทสนมไม่มี มีแต่ความขัดแย้ง จึงเกิดการทะเลาะกัน แล้วมุนาคาตะได้บอกให้ทุกคนโหวตคนที่น่าจะใช้คนร้ายมากที่สุด (โดยไม่สนหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น) ผลการโหวตหลายคนชี้ไปที่นาเอกิ (ซวยอีก) และมุนาคาตะก็บีบให้นาเอกิฆ่าตัวตายเพื่อความหวัง (?) หากแต่คิริคิริได้ใช้ควันเครื่องดับเพลิงอำพลาง แล้วสั่งให้นาเอกิกับเพื่อนหนีจากห้องประชุม

    หลังนาเอกิหนีไป ก็เกิดเสียงแตก แบ่งก๊ก เป็นเหล่า กลุ่มหนึ่ง (มุนาคาตะ+จูโซ) เชื่อว่านาเอกิเป็นคนร้ายจึงออกตามล่า  อีกกลุ่มก็เพื่อนนาเอกิ (เกรทโกสุ , มิอายะ และฮาซาฮินะ) ที่ปกป้องนาเอกิสุดชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มเป็นกลาง (คิริคิริ) ที่หาหลักฐานความจริงของคดีและเชื่อว่านาเอกิบริสุทธิ์ และช่วงหลังๆ ก็กลุ่มของรูรูกะและโซโนะสุเกะร่วมมือกำจัดคนไม่ชอบขี้หน้าอย่างเซโกะ จากการ์ตูนแนวแนวสืบสวน ก็กลายมาเป็นการ์ตูนแนวแอ็คชั่นต่อสู้ไปจนได้  

    แน่นอนว่าหลังจากแฟนอวยซีรีย์นี้ มาดูตอนที่ 1-2 ก็ผิดหวังบ้าง เพราะนึกว่าจะได้เห็นแนวสอบสวนเหมือนสองภาคก่อน แต่กลายเป็นแนวแอ็คชั่นต่อสู้มาฆ่ากันเถอะ

    อันนี้ผมก็เข้าใจนะ หากภาค3 ดำเนินเรื่องเหมือนสองภาคแรก จำนวนตอนคงไม่เพียงพอที่จะใส่ความละเอียดได้มากพอแน่ ดังนั้นจึงคต้องสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่  ทำเนื้อเรื่องให้กระชับ และเพิ่มอะไรให้น่าตื่นเต้นมาสูตรขึ้นมาเอง แถมเรื่องแอ็คชั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของซีรีย์นี้ด้วย เพราะภาคก่อนหน้าอย่าง Another ก็เป็นแนวแอ็คชั่นเหมือนกัน

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีอะไรไม่เหมือนกับภาคก่อนๆ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ได้ การลุ่นน่าติดตาม รวมไปถึงการเสียชีวิตตัวละครหลักของเรื่อง และตัวละครหลักที่ว่าก็มีตัวละครที่หลายคนอวยด้วย เรียกได้ว่าเป็นซีรีย์ทำให้หลายคนกริ๊ดร้อง ปวดใจเลยทีเดียว


    6. โลกของผู้ใหญ่

    มีสิ่งหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในภาคแห่งนี้ นอกจากการเปลี่ยนแนว ก็คือ แม้โลกที่นาเอกิอยู่จะสิ้นหวัง ท้องฟ้าเป็นสีแดง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เลือดแทนที่จะเป็นสีม่วงเหมือนภาคก่อนๆ กลับกลายมาเป็นสีแดง

    ผมเองก็พยายามจะทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของภาคอนาคต แต่ก็พอจะอธิบายได้ว่า ภาคนี้ต้องการสื่อถึง “โลกของผู้ใหญ่”

    หากเราได้ดูซีรีย์นี้ทั้งสองภาคก่อนหน้า เราจะพบว่าแต่ละภาคนั้น จะพบว่าภาครวมมันสื่ออะไรชัดเจน อย่าง ภาคแรกเน้นเรื่องเหล่าเด็กมัธยมศึกษาที่ก่อเหตุเพราะโลภ, โกรธ, หลง และสื่อถึงมิตรภาพ รักเพื่อนพ้อง ส่วนภาคสองตัวละครก็เลยวัยมัธยมหน่อยๆ แล้วก็สื่อถึงการรับผลการกระทำ การรับกรรม การเผชิญหน้ากับความผิดในอดีต ไปสู่อนาคต

    และภาคสามนั้นตัวละครหลักๆ อย่างพวกนาเอกินั้นจบการศึกษาไปแล้ว พวกเขาไปสู่โลกภายนอก แต่ละคนทำงานของตัวเอง (แต่นาเอกิก็ยังคงทำงานร่วมกัน)  มีรับผิดชอบมากขึ้น จะเป็นเด็กเหมือนในอดีตก็ไม่ได้

    แม้ว่าพวกนาเอกินั้นจะทำลายอีโก้ของตนเองกลายมาเป็นคนดีทางสังคม (ขนาดภาค 3  นายแว่นจอมหยิ่ง หรือยัยแว่นโรคจิต ก็ยังสื่อเลยว่าเขารักเพื่อนมาก อย่างเห็นได้ชัด) แต่สิ่งที่นาเอกิต้องเผชิญภาค 3 ที่มันเลวร้ายกว่าภาคแรกมากๆ คือโลกของผู้ใหญ่

    ในภาคแรกๆ เราจะเห็นว่าแม้จะเป็นเกมแห่งความตายพวกนาเอกิก็ยังเกาะกลุ่มกันไว้อย่างเหนียวแน่น และพลังคำพูดของนาเอกิก็ทำให้หลายคนยังคงสามัคคีกัน หากแต่ในภาค 3 เราจะเห็นนาเอกิล้มเหลวในการทำให้กลุ่มสามัคคีกัน แม้จะพูดดี โน้มน้าวเพียงใด ก็ไม่มีใครจะฟังนาเอกิพูดเลย นั่นก็เป็นเพราะกลุ่มของนาเอกินั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอีโก้สูง เล่นพรรคเล่นพวก คำนึงผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าส่วนรวม การแข่งขัน การชิงดีชิงเด่น นี่แหละคือโลกที่นาเอกิต้องเผชิญอยู่

    เกมภาค 3 ไม่ใช่เกมแห่งความตาย แต่มันคือเกมทำลายมิตรภาพ การดึงด้านมืดของตนเองออกมาเต็มที่

    และด้านมืดที่ว่าคืออีโก้ของพวกผู้ใหญ่นั้นเอง

    การจบการศึกษา จะเป็นคนดีเพียงใด แต่มันก็ไร้ค่าเมื่อก้าวออกจากโรงเรียน

    ดังนั้นเลือดสีแดง ที่เห็นในภาคนี้ ก็คือ เลิกเล่นได้แล้ว มองโลกแห่งความจริงซะ นี่แหละชีวิต นี่คือโลกของผู้ใหญ่  นี่คือสิ่งที่ ภาค 3 เอามาเล่น ซึ่งแตกต่างจากสองภาคหลังมาก และเป็นเหตุผลที่ไม่มีศาลนักเรียนในภาคนี้


               5. ความคิดของตัวละครหลัก

    แม้ว่าภาคนี้นาเอกิจะเป็นตัวเอก แต่อนิจจาบทของนาเอกิมักถูกแย่งซีนหลายครั้ง เพราะที่ผ่านมาอนิเมะภาคแรกเราจะรู้จักตัวละครแบบผิวเผินผ่านมุมมองของนาเอกิ  หากแต่ในภาคนี้นอกจากมุมมองของนาเอกิแล้ว เราจะเห็นมุมมองตัวละครหลักหลายคนที่มีบทบาทแตกต่างกันออกไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวละครประเภทเกรียน ทำให้ในภาคนี้มีหลายตัวละครที่หลายคนเกลียดชัง  ไม่ชอบตัวละครนี้เลย   ไม่เหมือนสองภาคแรก (รวมไปถึงภาคน้องสาว) ที่ไม่มีตัวละครที่เราเกลียด  แม้กระทั่งจุนโกะเองหลายคนก็ยังชอบ

    แน่นอน เมื่อการดำเนินเนื้อเรื่องนาเอกิไม่ได้โดดเด่นอีกต่อไป  (จึงเป็นสาเหตุหลักที่หลายคนเกิดความรู้สึกไม่เหมือนสองภาคก่อนหน้า)  ตัวละครอื่นๆ มีบทบาทเข้ามา และมันก็ทำให้เราได้เห็นความคิด ทัศนคติของตัวละครหลายคนในเรื่อง

    คิดแบบคนอีโก้สูง-มุนาคาตะ เคียวสุเกะ อดีตสุดยอดประธานสภานักเรียน ถือว่าเป็นหนึ่งตัวละครในภาคนี้ที่หลายคนไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุด นอกจากจะเก๊กหล่อ มาดเย็นชา หน้านิ่งแล้ว ยังมีนิสัยเป็นคนที่มีอีโก้ค่อนข้างสูง อัตตาสูง มองตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง มั่นใจความคิดของศักยภาพของตน เหยียดหยามความคิดของคนอื่น และไม่รับความเห็นใดๆ ของคนอื่นทั้งสิ้น เรียกได้ว่านี่คือมุนาคาตะ

    ส่วนใหญ่คนที่มีอีโก้สูงจะเป็นคนฉลาด เอาชนะมาโดยตลอด ยิ่งมีหน้าที่การงาน มีอิทธิพลมาก ก็ย่อมมีอีโก้สูง แต่ในขณะเดียวกันนโยบาย ความคิด ทัศนคติอาจทำให้ขัดใจคนรอบข้างได้ อย่างที่เห็นในอนิเมะภาคนี้ ที่มีหลายคนไม่เห็นด้วยกับมุนาคาตะอะไรหลายอย่าง

    มุนาคาตะคิดว่าควรกำจัดเศษเสี้ยวความสิ้นหวัง กำจัดความสิ้นหวังให้หมด ในขณะที่นาเอกิที่เป็นคนธรรมดา มองว่าเขาควรให้อภัย และให้โอกาสกลับเนื้อกับตัว และเพราะความคิดต่างนี้เอง มุนาคาตะมองนาเอกิว่าเป็นศัตรู และแทบจะฆ่ากันให้ตาย โดยไม่สนข้อแก้ตัวของนาเอกิทั้งสิ้น  แถมตอนเกมแห่งความตายเริ่มต้น มุนาคะก็ให้โหวตความเห็นว่าใครเป็นคนร้าย เกือบทั้งหมดโหวตให้นาเอกิ และมุนาตะสั่งให้นาเอกิฆ่าตัวตาย เมื่อนาเอกิขัดขื่นก็ไล่ฆ่า ใครที่ช่วยเหลือนาเอกิก็ถือว่าเป็นศัตรูด้วย

    ความคิดของมุนาคาตะไม่แตกต่างอะไรกับอเมริกาที่ทำสงครามกับก่อการร้าย โดยไม่สนเสียงคนทั่วโลก แถมยังบีบบังคับให้ประเทศมาเป็นพันธมิตร และหากใครปฏิเสธไม่เข้าร่วมหรือว่าเป็นประเทศก่อการร้าย

    ความจริงความคิดของมุนาคาตะก็ไม่ผิด หากแต่มันก็ใช้ได้เป็นบางกรณี เพราะบางอย่างสามารถผ่อนคลาย ยืดหยุ่นได้ ซึ่งส่วนตัวเองมุนาคาตะเองก็นับถือนาเอกิ หากแต่เพราะหน้าที่ตำแหน่งที่ต้องดูแลคนจำนวนมาก มุนาคาตะจึงต้องทำเพื่อองค์กรก่อน

    นอกจากนี้ มองลึกๆ แล้วมุนาคาตะน่าจะเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากที่สุดในภาคที่ 3 เพราะสิ่งที่ทำมาแทนที่จะคิดว่ามันถูกต้อง แต่กลับได้สิ่งตอบแทนที่เลวร้ายตามมา ต้องสูญเสียเพื่อนรักสองคน แถมมารู้ว่าคนใกล้ตัวนี้แหละที่เขาควรที่จะกำจัด เรียกได้ว่าตอนสุดท้ายเราจะเห็นมุนาคาตะเวอร์ชั่นปลงโลกเลยทีเดียว

    คิดแบบผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว- อันโด รูรูกะ (อดีตสุดยอดนักทำขนมหวานมัธยมปลาย) เชื่อว่าหลายคนในที่นี่คงเกลียดรูรูกะไม่มากก็ไม่น้อย (ถือว่าเป็นตัวละครที่หลายคนเกลียดพอๆ กับจูโซ) เนื่องจากวีรกรรม (เวร) มากมาย แม้คาแร็คเตอร์การออกแบบจะน่ารักก็ตาม

    รูรูกะนั้นมีนิสัยแบบผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว คือฉลาดแกมโกง ใช้ความน่ารัก-ไร้เดียวสา (แกล้งทำ) ของตนเองเป็นประโยชน์ แถมมีนิสัยขี้อิจฉา เกลียดชังคนอื่นที่ดีกว่า  หาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ทะเยอทะยานพยายามเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่น อยากจะแยกตัวองค์กรมาตั้งองค์กรของตนเองเพื่อผลประโยชน์ที่ดีกว่า

    ในเกมแห่งความตาย รูรูกะพยายามทุกวิธีทางเพื่อเอาชีวิตรอด จนทำเรื่องเลวร้าย เป็นต้นว่า พยายามเอาชีวิตคิมูระ เซโกะที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงการฆ่าอิซาโยอิ โซโนะสุเกะที่เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กและแฟนเธอที่อยู่ด้วยกันตลอดแบบไร้เยื่อใย เพราะกลัวถูกหักหลัง เลยต้องชิงหักหลังก่อน

    ข้าขอทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้ใครมาทรยศข้า เป็นคำพูดของผู้นำโจโฉ แม้จะดูเหมือนเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือผู้นำที่มีความผิดที่เห็นแก่ตัวอย่างรุนแรง

    ในหนึ่งตอนของซีรีย์ เราจะเห็นเรื่องราวของเซโกะกับรูรูกะ ว่าครั้งหนึ่งเป็นเพื่อนรักกัน รูรูกะเห็นเซโกะมีความสามารถจึงเกิดความประทับใจ จึงขอเป็นเพื่อน หากแต่แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่รูรูกะปฏิเสธที่เซโกะปฏิเสธที่จะกินขนมของเธอ และนั่นทำให้รูรูกะใช้เซโกะจนมันดูเป็นนายกับขี้ข้ามากกว่าเพื่อน จนในที่สุดทั้งคู่ก็มาแตกหักกันในชั้นมัธยม และมาถึงขั้นจะฆ่ากันในอนาคต

    แม้ตอนท้ายรูรูกะจะมีความรู้สึกด้านสงสารบ้าง ตรงที่ตัวเธอนั้นเก่งแต่เรื่องทำขนม ทำอะไรไม่เป็นเลย ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว โซสุเกะ และเซโกะเป็นเพื่อนที่เธอรักมาก หากแต่ปัญหาคือทัศนคติของเธอคือ เพื่อนรักสำหรับเธอแล้ว ต้องใช้ประโยชน์ได้ หากหมดประโยชน์คือหักหลัง (ตรรกะโครตอินดี้)

    เชื่อเถอะครับ นิสัยแบบรูรูกะนั้น กลายเป็นว่ามันตรงกับใครหลายคนมากที่สุด ถ้าเราเป็นรูรูกะอยู่ในเกมแห่งความตาย เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เอาตัวรอด อีกทั้งการวางระแวงว่าคนอื่นจะหักหลังตนเองก็ไม่ผิด

    คิดแบบเจ้าคิดเจ้าแค้น – ซาคาคุระ จูโซ หนึ่งในตัวละครที่หลายคนเกลียดที่สุด ชอบใช้ความรุนแรง แถมจะชกผู้หญิงด้วย  ตรรกะหมอนี้มันแปลกๆ คือตอนแรกมันเกลียดชังจุนโกะ อยากฆ่าจุนโกะกับมือตนเอง หากแต่ปรากฏว่ามันไม่สามารถทำได้ เพราะจุนโกะฆ่าตัวตายเสียก่อนเพราะถูกทำให้สิ้นหวังโดยนาเอกิ และนั้นทำให้จูโซหันมาเกลียดนาเอกิแทน ชนิดว้าอยากฆ่าคามือ (ทั้งๆ ที่นาเอกิไม่ได้ทำอะไรให้เลยแม้แต่น้อย) หากแต่จูโซเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะนาเอกิหลายคนยังอวยว่าเป็นฮีโร่อยู่

    จนกระทั่งนาเอกิถูกตั้งข้อหาว่าทรยศต่อองค์กร และถูกจับ จูโซแสดงออกอย่างเด่นชัดว่าเกลีดนาเอกิ และทำร้ายนาเอกิโดยไม่มีเหตุผล (แม้แต่จะฟังคำแก้ตัวของนาเอกิ) พอเกมแห่งความตายเริ่มต้นขึ้นก็จะฆ่านาเอกิและทุกคนที่ขัดขวางเขาอีก เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นผู้ใหญ่เสียเลย แทนที่จะโทษตนเอง กลับโทษคนอื่น แต่อย่างน้อยในในตอนท้ายๆ ก็มีด้านหล่อๆ บ้างไม่น้อย (อย่างน้อยการกระทำของจูโซก็เพื่อคนรัก แม้จะโดนตราหน้าว่าเป็นเจ้าอารมณ์ก็ตาม)

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Danganronpa 3

    คิดแบบนีท-โทวะ โมนาโกะ ที่น่าสนใจคือ Danganronpa 3 ยังมีบทสรุปของภาค Anothe เกี่ยวกับ ตัวละครลาสต์บอสอย่าง โมนาโกะ ที่ทำได้อย่างหักมุม (?) จนหลายคนแทบล้มเก้าอี้

    เชื่อว่าหลายคนเข้าใจอิทธิฤทธิ์เดชของโมนาโกะได้เป็นอย่างดี ว่ายัยหนูนี้โรคจิต แถมยังหักมุมว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายของภาค Anothe จากเด็กสาวที่ดูรื่นเริง ใจดี แท้จริงแล้วเป็นเด็กฉลาดแกมโกง ชั่วร้าย ที่อยากจะเป็นจุนโกะ และเกือบทำให้น้องสาวนาเอกิตกสู่ความสิ้นหวังมาแล้ว หากแต่สุดท้ายแผนการของเธอต้องมีอันต้องพังทลาย ถูกเพื่อนๆ ทิ้ง ก่อนที่จะถูกช่วยโดยโคมาเอดะ นากิโตะ นักเรียนสุดยอดโชคดี รุ่น 77 และเขาก็บอกให้โมนาโกะเหนือกว่าจุนโกะ เป็นอันจบภาค Anothe เอาไว้เพียงเท่านี้

    โมนาโกะ ปรากฏตัวอีกครั้งใน 3 แบบหักมุม เมื่อ มิอายะคนที่ช่วยเหลือพวกนาเอกิมาโดยตลอดสุดยอดนักบำบัดแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมโดย โมนากะในมาดจุนโกะ หลายคนแทบตั้งประเด็นไฟแลบว่าเธอนี้แหละเป็นคนอยู่เบื้องหลังของภาค 3 หลายคนแทบตั้งตาคอยตอนต่อไปว่า โมนาโกะในลุคเลียนแบบจุนโกะนั้นจะโชว์อะไรให้ว้าวหรือเปล่า

    หากแต่ปรากฏว่า ตรงกันข้ามซะงั้น โมนาโกะไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แถมตอนนี้จากลาสต์บอสโลกจิตในภาคแรก กลับมากลายเป็นนีท ที่ไม่สนความสิ้นหวังและความหวังไปแล้ว  วันๆ กิน นอนๆ เล่นเกม อ่านการ์ตูน อย่างเดียว

    โมนาโกะบอกว่า เธอเบื่อที่จะเป็นสุดยอดความสิ้นหวังแล้ว เพราะยังไงสิ้นหวังก็ความหวัง สู้ไม่สนใจอะไรดีกว่า วิธีคิดของโมนาโกะนั้นเรียกได้ว่าเป็นตำรับของนีทจริงๆ

    ในขณะที่ความหวัง กับความสิ้นหวังกำลังสู้กัน มันก็เปรียบเสมือนการต่อสู้ของชีวิตของมนุษย์ การเข้าสังคม การทำมาหากิน ต้องเผชิญโลกแห่งการแข่งขัน สำหรับนีทแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่อยากทำ เพราะมีตรรกะว่า   สู้อะไรก็ไม่มีวันชนะ สรุป ไม่สู้เลยดีกว่า ไม่ต้องแพ้ หรือชนะ ด้วย เลยตัดสินใจเป็นนีท สบายกว่า โดยไม่คิดที่จะสู้ด้วยซ้ำ ซึ่งตัวโมนาโกะเองก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่อยากเผชิญโลกของผู้ใหญ่นั่นเอง

     

    4.ฝรั่งเดา

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Danganronpa 3

    Danganronpa 3  บทอนาคตนั้นแตกต่างจากภาคสิ้นหวังค่อนข้างมาก ในขณะที่ภาคสิ้นหวังความสนุกมันอยู่ตรงที่จากเนื้อหาที่สิ้นหวังเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ สู้ตอนจบที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดหากแต่ในภาคอนาคตนั้นเป็นภาคที่เน้นความน่าติดตามแบบตื่นเต้น มีฉากแอ็คชั่นเพิ่มเข้ามา  แม้ความโหดร้ายจะน้อยกว่า (แม้จะมีเลือดสีแดงเป็นของจริงก็เถอะ) แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือตัวละครหลักตายที่ตายค่อนข้างโหดร้ายพอสมควร และมีฉากเลือดกระฉูด หวาดเสียวอะไรด้วย

    สิ่งที่น่าติดตามคือ เราต้องลุ้นว่าตัวละครที่เราอวยจะตายหรือเปล่าในภาคนี้ โดยเฉพาะ ฮาซาฮินะ กับคิริคิริ เรียกว่าลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบว่าสองตัวละครนี้จะตายไหม นาเอกิจะตกสู่ความสิ้นหวังหรือไม่ และปลายทางของบทสรุปจะเป็นยังไง

    ที่น่าติดตามยิ่งกว่าก็คือการคาดเดาความจริงของคดี ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเกมแห่งความตายในครั้งนี้ และทำเพื่ออะไร ซึ่งมีหลายคนพยายามคาดเดาต่างๆ นาๆ ในบอร์ดต่างประเทศก็มีการวิเคราะห์ บางคนก็ทำละเอียด บางคนก็ทำจุดน่าสงสัยมาอธิบายหาคนร้าย ถือว่าเป็นสิ่งที่สนุก และน่าสังเกตว่าฝรั่งหลายคนชอบซีรีย์นี้ไม่น้อย (ก็ไม่แปลกอะไร ก็ซีรีย์นี้มันยาวนาพอควร แถมมีแปลซับอังกฤษมาวางขายด้วย) เรียกได้ว่ามีการพูดถึงพอๆ กับ Re-Zero เลยทีเดียว


    3. นางเอกทั้งคู่

    ในภาค 3 นี้แม้ตัวละครหลักใหม่จะตายไปกี่ร้อยคนก็ตาม แต่จะต้องมีสองตัวละครที่หลายคนอวยต้องรอด ก็คือ ฮาซาฮินะ กับ คิริคิริ เท่านั้น  หากคนใดคนหนึ่งตายขึ้นมานี้มีอันต้องสิ้นหวังยิ่งกว่า การตายของนานามิแน่นอน (อย่างน้อย นานามิก็อย่ในความทรงจำใครหลายคนน่า)

    สองคนนี้เป็นผู้รอดชีวิตจากภาคแรก และภาค 3 ก็มีบทบาทพอๆ กัน แต่ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัว ผมชอบฮาซาฮินะมีค่อนข้างมาก เพราะเป็นตัวละครที่มีร่าเริงทุกสถานการณ์ (แม้จะบ้างที่มีด้านอ่อนแอ) แต่ก็ยังคงจิตใจดีงาม พยายามมองโลกในแง่ดี แม้หัวไม่ดี แต่ก็รักเพื่อนมาก และพยายามช่วยเหลือเพื่อนโดยรอด แถมในคดีที่ 4 ก็ทำเอาผมร้องไห้เพราะสูญเสียเพื่อนรักอย่าง โอกามิ ซากุระ แบบไม่มีวันกลับ

    (แน่นอน ว่าส่วนตัวผมก็คาแร็คเตอร์แบบสาวนักกีฬาด้วยนะ)

    นอกจากเพื่อนรักแล้ว ฮาซาฮินะยังเสียน้องชายจากเหตุการณ์ภาค Another แต่ถึงอย่างนั้นฮาซาฮินะก็ยังมีจิตใจเข้มแข็ง  )จนกระทั่งมาถึงภาค 3 ตอนที่นาเอกิถูกจับกุม แม้ว่าฮาซาฮินะไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ยังออกจากงาน (มาในฐานะตัวแทนผู้นำกลุ่ม 13)  เพื่อมาเอาใจช่วยนาเอกิ  แม้จะถูกคิริคิริบอกว่าหากแก้ตัวก็จะถูกคนอื่นมองว่าทรยศด้วย แต่ฮาซาฮินะยืนยันว่าจะปกป้องนาเอกิจนถึงที่สุด

    จะเห็นว่าฮาซาฮินะปกป้องนาเอกิทุกอย่าง แม้กระทั่งนาเอกิถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศ ฮาซาฮินะเป็นคนแรกๆ เชื่อใจนาเอกิ แล้วพานาเอกิออกจากที่ประชุม และตลอดเกือบ 12 ตอนของภาคอนาคต ฮาซาฮินะอยู่กับนาเอกิตลอด พร้อมปกป้องนาเอกิแม้จะเสี่ยงชีวิตก็ตาม

    เรียกได้ว่าการที่ผมติดตามซีรีย์นี้เพราะฮาซาฮินะก็ว่าได้ ไม่อยากให้ตัวละครดีๆ นี้ตายไป ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ตอนที่ 2 ผมแทบช็อกที่เห็นฮาซาฮินะเลือดท่วม แล้วมีมีดปีกที่อก เล่นเอาผมสิ้นหวังตลอดทั้งสัปดาห์แบบไม่อยากจะดูเลยทีเดีย (แต่พอตอนที่ 3 มา ผมเอาผมช็อก เหมือนโดนตบหน้า เพราะตอนหลอกซะงั้น แต่อีกใจชื้นขึ้นมาที่ฮาซาฮินะไม่ตาย)

    แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนาเอกิ  แต่ท่าทางที่ฮาซาฮินะแสดงออก ก็แสดงให้เห็นว่า เธอเห็นมาโกโตะเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ที่พร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตด้วยกัน เชื่อใจกันและกัน ยอมออกหน้าเพื่อนาเอกิ แม้จะอยู่ในเกมแห่งความตายแต่มิตรภาพของพวกเขาก็อย่างแข็งแกร่ง

    ส่วนคิริคิริ เคียวโกะ แม้จะมีบทน้อย แต่อย่าลืมว่า ว่าคิริคิริ นั้นเป็นสาวคูล หน้าที่ของสาวคูลคือการสนับสนุนพระเอกอยู่เบื้องหลัง ส่วนสายไฮเปอร์ฮาซาฮินะก็อยู่เบื้องหน้า (เห็นไหม ทั้งสองคนคือนางเอก) แม้ภาค 3 นอกจากบทเคียวโกะจะบทน้อยแล้ว ยังทำตัวเงียบๆ เหมือนเป็นตัวละครไม่มีตัวตนอีก หากอันที่จริงแล้วเคียวนั้นเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนับสนุนนาเอกิเต็มที่ในแบบของเธอเอง

    แม้ว่าในเรื่องความจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างคิริคิริ กับนาเอกินั้นจะไม่ได้เด่นชัดว่ารักแบบชายหญิง หรือมีอะไรโรแมนติก (แต่จิ้นได้) แถมทั้งคู่อยู่กันคนละโลก นาเอกิเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ส่วนคิริคิริ เป็นสุดยอดนักสืบมัธยมปลายที่กำลังมีชื่อเสียง  อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์หลังเกมแห่งความตายครั้งแรก คิริคิริ ก็ได้ใกล้ชิดกับมาโกโตะ ในฐานะทำงานร่วมกัน   และสนับสนุนนาเอกิเต็มที่ ไม่ว่านาเอกิจะทำอะไรก็ตาม (เชื่อว่าคิริคิริ ชอบนาเอกิ แต่เนื่องด้วยศักดิ์ศรีสาวคูล เธอเลยไม่กล้าบอก)

    ในช่วงนาเอกิถูกจับกุม เคียวโกะได้ให้กำลังใจนาเอกิ (ด้วยสีหน้าคูลๆ) ว่าเธอจะทุมกำลังอำนาจทุกอย่างมีเพื่อปกป้องนาเอกิ แม้ว่าคิริคิริ จะไม่อยู่ด้วยกันกับนาเอกิในช่วงหนีรอด แต่เธอก็พยายามหาหลักฐานเพื่อยืนยันว่านาเอกิบริสุทธิ์ แม้จะเสี่ยงอันตรายจากคนอื่นฆ่าก็ตาม เพราะเธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้

    เช่นเดียวกับฮาซาฮินะ คิริคิริ มีฉากจบชีวิตจากพิษกำไลข้อมือ กฎ NG ที่ระบุว่า ห้าม “นาเอกิมีชีวิตอยู่ หากมีคนตายจากเกม 4 คน” ซึ่งเคียวโกะยอมที่จะตาย และไม่บอกเรื่องกฎ NG ให้นาเอกิ เพราะเธอเชื่อว่านาเอกิจะปลิดชีวิตตนเองแน่นอนถ้ารู้เรื่องนี้ เรียกว่าเป็นฉากที่คนดูถึงกับจิตตก สิ้นหวัง ร้องไห้กับการเสียสละเลยทีเดียว

    หลายคนอาจสิ้นหวังกับการตายของคิริคิริ หากแต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกเฉยๆ นะ เพราะผมโดนตบจากฉากฮาซาฮินะโดนมีดปักอกเลือดทั่วมากแล้ว ผมจึงมั่นใจแน่นอนว่าคิริคิริ ไม่ตาย ประกอบกับบอร์ดสปอยการ์ตูนของเว็บฝรั่งคลั่ง ต่างยกเหตุผลมากมายว่า คิริคิริ ไม่ตายแน่นอนด้วย ทำให้หลายคนมีความหวัง  ลุ้นดูต่อไปจนถึงตอนจบ

    แม้ว่าบทบาทภาค 3 สำหรับคิริคิริจะน้อย แต่ก็ทำให้หลายคนชอบเธอไม่น้อย และดีใจที่ได้เห็นเธอตอนท้ายเรื่อง พร้อมรอยยิ้ม

     

    2.ความเบื่อโลกของชายแก่คนหนึ่ง

    นอกเหนือจากความตื่นต้น ลุ้นว่าใครจะตายเป็นรายต่อไป ฉากแอ็คชั่นมาฉ่ากันเถอะ แล้ว สิ่งที่หลายคนติดตามเรื่องนี้ก็คือความจริงของเกมแห่งความตาย ว่า ใครเป็นคนจัด จุดประสงค์ที่จัดเพื่ออะไรกันแน่ ซึ่งมีหลายคนเดาๆ ตอนแรก ก็คิดว่า จุนโกะมีชีวิตอยู่ บางคนก็บอกว่าอาจเป็นโลกเสมือน (เหมือนภาคสอง)  ไปจนถึงคนที่ตาย (สุดยอดแม่บ้าน) อาจเป็นฆาตกรเอง ที่แกล้งตายแล้วพอทุกคนนอนหลับก็ตื่นมาฆ่า ฯลฯ

    ความจริงแล้วปริศนาเกมแห่งความตายนี้ ก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย หากติดตามดู ระยะหนึ่งก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ ขอสปอยละกัน การเฉลยปริศนาต่างๆ ในเรื่อง หลายคนอาจผิดหวัง เพราะมันไม่มีกระสุนแห่งความหวัง กับศาลนักเรียน ที่พระเอกอธิบายเป็นฉากๆ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่การเฉลยในเรื่องจะมาแบบง่ายๆ ผ่านการดำเนินเรื่อง

    สปอยนะครับ ในที่สุดการดำเนินเรื่องก็มาเฉลย ในตอนที่ 11 แม้คิริคิริจะตาย (?) เพราะพิษกำไล แต่ก็ได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้บนสุดจดบันทึกผลการสืบสวน ซึ่งพบว่าเหยื่อที่อ้างว่าถูกฆาตกรคนทรยศฆ่า หากแต่เมื่อตรวจสอบสภาพศพดู ก็พบว่าเป็นการฆ่าตัวตาย และนั่นเองทำให้นาเอกิพอที่จะประติประต่อเรื่องได้ จนสามารถพบตัวตนแท้จริงของเกมแห่งความตายนี้ได้

     ความจริงก็คือในเรื่องไม่มีใครเป็นฆาตกรเลย (ไม่นับฆ่ากันเอง ซึ่งมีหัวขาวฆ่าปู่เก็นกับหุ่นนักบำบัด และรูรูกะฆ่าแฟน) แต่ทั้งหมดถูกฆ่าตัวตาย โดยการล้างสมองเพราะไปดูวีดีโอล้างสมองของจุนโกะเข้า

    หลังจากนั้นก็เปิดเผยว่า แท้จริงแล้ว ปู่เก็น ที่เป็นหันหน้าของมิไรคิคังนั้นแหละ ที่เป็นคนจัดแห่งความตาย  ซึ่งสาเหตุเกิดจากการแนะนำโดยจิเสะ ซึ่งจิเสะได้มอบวีดีโอล้างสมองควบคุม กับวีดีโอล้างสมองให้คนดูฆ่าตัวตาย เอาไว้

    หลังจากนั้นปู่เก็นก็จัดเกมแห่งความตายขึ้น จุดประสงค์หลักๆ อารมณ์เหมือนคนแก่เบื่อโลก อารมณ์ประมาณว่าเบื่อสมาชิกพวกเดียวกันทะเลาะกันเอง แทนที่จะหันไปสนใจศัตรู มองว่านโยบายนายผมขาวมุนาคาตะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แถมพวกรูรูกะจะแยกตัวไปตั้งกลุ่มใหม่อีก ทำให้องค์กรที่น่าจะเป็นความหวังของมนุษย์ชาติกำลังจะเละ ปู่เก็นก็อายุไม่มาก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ดังนั้นมาตายด้วยกันไหม? ตายเม่งให้หมด พอดีเวลานั้นเหล่าหัวหน้ากลุ่มมาประชุมเพื่อปรึกษาจะเอายังไงดีกับนาเอกิพอดี ปู่เก็นเลยใช้โอกาสนี้จัดเกมแห่งความตายเสียเลย (ส่วนพวกนาเอกิก็ซวยไป เพราะดันอยู่ในเกมแห่งความตายของปู่แกพอดี)

    นอกจากนี้ปู่เก็นยังมีจุดประสงค์สำคัญอีก นั่นคือการบีบให้ริวตะปล่อยวีดีโอล้างสมองให้คนทั่วโลก วีดีโอนี้จะทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความทรงจำที่เลวร้าย สิ่งแย่ๆ ในชีวิต จะถูกลืมหมดทั้งสิ้น กลายเป็นมนุษย์ไร้จิตใจไป ซึ่งริวตะเองตอนแรกไม่กล้าที่จะใช้วีดีโอนี้ หากแต่เมื่อเห็นเกมแห่งความตาย ที่แสดงให้เห็นว่ามันมีแต่เรื่องเจ็บปวด ความสิ้นหวังไม่สามารถหมดไปจากโลกแน่นอน ทำให้ริวตะจำเป็นต้องสานต่อเจตนาของปู่เก็น ด้วยการปล่อยวีดีโอล้างสมองเผนแพร่คนทั่วโลก

    แรงจูงใจของปู่เก็นนั้น ก็มีหลายความเห็นเหมือนกัน บางคนบอกว่ามันเป็นแรงจูใจที่บางเบาแบบแปลกๆ แต่โดยส่วนตัวผมเองก็สมเหตุสมผลอยู่ ที่คนอายุปูนนี้ จะก่อเรื่องแบบนี้ได้ อย่าลืมว่าจุนโกะเองก็ก่อเรื่องทั้งหมดเพราะความสนุกไม่ได้มีอะไรซับซ้อนทั้งสิ้น ส่วนของปู่เก็นนั้นด้านหนึ่งอาจดูบ้าๆ แต่อีกด้านหนึ่งก็เข้าใจ สำหรับคนสูงอายุที่ความจริงน่าจะเกษียณอยู่อย่างสงบสุขไปนานแล้ว แถมยังมาต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมาย ลูกน้องในองค์กรก็ยังมาทะเลาะกันอีก แบบนี้ไม่มีอารมณ์ก็ให้รู้ไป

    ในแง่หักมุมก็ถือว่าพอสมควร เพราะไม่มีใครเดาได้ (แม้เรื่องจะถึงตอนที่ 10  ว่าคนแก่ที่ท่าทางใจดีจะจัดเกมโหดร้าย กล้าเชือดลูกน้องได้ลงคอ เพียงแต่อีกมุมหนึ่ง อารมณ์ของการเฉลยไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้น น่าตกใจนัก เพราะบอสของภาคนี้ไม่ค่อยมีพลังน่าตื่นเต้นเหมือนจุนโกะ หรือโมโมกะ เท่านั้นเอง มันให้อารมณ์ปลงโลก มากกว่าโรคจิต


    1. มนุษย์ธรรมดา, ความหวัง, ความสิ้นหวัง

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ danganronpa 3

    แน่นอนครับหลังจากคนดูซีรีย์ Danganronpa 3 ภาคอนาคตเสร็จ ก็แตกเป็นสองเสียง บางคนไม่ชอบเพราะไม่มีศาลนักเรียน ปริศนาไม่ร้องว้าวมากนัก

     Danganronpa 3 ภาคอนาคตจบลง 12 ตอน แม้ว่าตอนของนาเอกิจะมีบทน้อยสำหรับภาคนี้ แต่ถึงอย่างนั้นข้อคิดจากนาเอกิก็มีมาก เช่นกัน แม้ว่านาเอกิจะขึ้นชื่อว่านักเรียนแห่งความหวัง แต่นาเอกิก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา สามัญคนหนึ่งที่อยู่ในโลกที่คนมีแต่พรสวรรค์ แต่นาเอกิก็สามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้

    นอกจากนี้ นาเอกิก็ยังอยู่ในโลกของผู้ใหญ่ โลกที่เต็มไปด้วย ผู้ใหญ่นิสัยแย่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลเรา หรือเกลียดเราไม่มีเหตุผล การทรยศ หักหลัง ยัดเยียดความคิด ความเกลียดชัง หากแต่ผลสุดท้าย ด้านแย่ๆ เหล่านี้ก็แพ้ภัยตนเอง จนสูญสิ้นไป  คนเก่าคนแก่สูญพันธุ์หมด ปล่อยให้คนรุ่นใหม่สืบอนาคตต่อไป

    นอกเหนือฉากฮาซาฮินะถูกฆ่า (แต่ไม่ตาย) จะเป็นฉากปวดตับมากที่สุดสำหรับผมแล้ว ฉากที่ผมชอบมากที่สุดของภาคอนาคตก็คือ ฉากนาเอกิถูกวีดีโอล้างสมองให้ฆ่าตัวตาย หลายคนอาจมองว่านาเอกิทำไมแพ้ง่ายจัง อย่าลืมว่านาเอกิก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา มีความรู้สึกผิด รู้สึกบาป อยู่ในใจ ซึ่งจากภาคแรกนาเอกินั้นเก็บความสิ้นหวังจากการสูญเสียเพื่อนเอาไว้ในความทรงจำเพื่อก้าวต่อไป เมื่อนาเอกิเจอเพื่อนๆ ที่ตายจากการล้างสมอง ไม่แปลกเลยที่นาเอกิจะสิ้นสติไปจนเกือบฆ่าตัวตาย

    แม้ว่าภาคนี้นาเอกิบทจะน้อย เพราะเทไปที่ตัวละครอื่นๆ เราจะเห็นว่าเรื่องนี้ตัวละครที่ตายส่วนใหญ่เกิดจากเรื่องผลกระทำในอดีตที่เลวร้ายที่ส่งผลต่ออนาคต จูโซเลือกโกหกเพื่อปกป้องเรื่องส่วนตัว, รูรูโกะเลือกผลประโยชน์ตัวเอกทำร้ายคนอื่น ผลลัพท์จึงออกมาเลวร้าย 

    แน่นอนว่าตัวละครสำคัญอย่างมุนาคาตะที่เป็นพระรองของภาคนี้ ก็ยังมีฉากเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับนาเอกิอย่างที่คิดเอาไว้ ถ้าถามว่าชอบไหม ก็ถือว่าชอบพอสมควรครับ ผมชอบการต่อสู้ของนาเอกิที่มาแบบคนธรรมดา มีดวงหน่อยๆ (แบบว่าหากมาดูฉากต่อสู้ตอนก่อนๆ มาอย่างเหนือมนุษย์ มาดูฉากต่อสู้ของนาเอกินี้อย่างน่ารักน่าเอ็นดูเลยนะ)

    อย่างไรก็ตาม ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ฉากต่อสู้ แต่เป็นการประชังความเชื่อของทั้งสอง มุนาคาตะเชื่อว่าความสิ้นหวังต้องกำจัดให้สิ้นซากเท่านั้น ความหวังจะเกิดขึ้น หากแต่นาเอกิบอกว่าต่อให้ความสิ้นหวังกำจัดหมด ถึงตอนนั้นความหวังก็ไม่เหลืออยู่เช่นกัน

    จากนั้นมุนาคาตะก็บอกว่าทุกคนเป็นองค์กรเป็นพวกสิ้นหวังหมด แม้กระทั่งจิสะที่เป็นคนรักของเขา ก็เป็นพวกสิ้นหวัง และเสริมอีกว่าแม้ความสิ้นหวังจะอยู่ในความทรงจำ เขาก็จะกำจัดมันทิ้งด้วย

    นาเอกิก็ตอบโต้ไปว่า ต่อห้คิริคิริจะกลายเป็นพวกสิ้นหวังและหักหลังทุกคน เขาก็จะฆ่าเธอเช่นกัน หากแต่เขาจะเก็บความทรงจำที่เจ็บปวดนี้ไว้กับเขาตลอดไป ทั้งวันที่มีความสุขร่วมกัน และวันที่เศร้าที่สุด

    ย้อนกลับไปภาคแรก นาเอกิก็เคยพูดกับคิริคิริเกี่ยวกับการตายของไมโซโนะ ซายากะ  ซึ่งนาเอกิเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก (รวมไปถึงไมโซโนะก็ทรยศนาเอกิด้วย) ซึ่งคิริคิริได้บอกนาเอกิว่าให้เขาลืมเรื่องเหล่านี้ แล้วก้าวข้ามความตายของเพื่อนพ้อง จึงจะสามารถต่อไปได้

    หากแต่นาเอกิปฏิเสธคำพูดของคิริกิพร้อมพูดว่า จะให้ก้าวข้ามการตายของเพื่อนนั้นทำไมได้หรอก เพราะงั้นผมจะไม่ก้าวข้ามไป หากแต่จะเก็บมันตลอดไป ซึ่งความตั้งใจของนาเอกินี้ก็ยังคงมั่นคงจึงถึงอนาคตด้วย ซึ่งถือว่าเป็นฉากสำคัญที่สุดแล้วของภาค 3

    อย่างไรก็ตาม ภาคอนาคตไม่ใช่ภาคบทสรุปของซีรีย์ เพราะยังมีอีกเรื่องที่แก้ไข เพราะมิทาไรเกิดคิดว่าเรื่องทั้งหมดตนเองต้องรับผิดชอบ แล้วจะใช้วีดีโอล้างสมองคนทั่วโลก ให้คนทั่วโลกลืมความสิ้นหวังให้หมด กลายเป็นมนุษย์ไร้จิตใจ  เพื่อจะเรียกว่าความหวัง แน่นอนว่าพวกนาเอกิต้องหยุดยั้ง พร้อมกับการปรากฏคตัวของพระเอกภาค 2 ซึ่งไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย เป็นอันจบ ภาคอนาคตเอาไว้เพียงเท่านี้  


    0.บทสรุปของความหวัง

    หลัง Danganronpa 3 ภาคอนาคตจบลง 12 ตอน ก็ต่อด้วยภาคความหวัง ซึ่งใครหวังว่าตอนนี้จะได้เห็นนาเอกิโชว์กระสุนความหวัง ให้โลกเป็นสีชมพู ก็ขอให้เลิกคิดได้เลย เพราะเนื้อหาในตอนนี้จะเกี่ยวกับรุ่นที่ 77 ที่มาโชว์เทพโดยเฉพาะ โดยเป็นคำตอบจากภาค 2 ที่ว่าเจ้าพระเอกฮินาตะ ฮาจิมะหลังตื่นจากโปรแกรม “โลกใหม่” เขาจะกลายเป็นสุดยอดความสิ้นหวังเหมือนเดิมหรือไม่ และพวกรุ่น 77 ทั้งหมดจะกลับเป็นคนดีหรือไม่ หลังจากที่พวกเขาตกสู่ความสิ้นหวัง และหลายคนอยู่สภาพผักเพราะฆ่ากันเอง

    ปรากฏว่า รุ่นที่ 77 กลับมาช่วยนาเอกิกันพร้อมหน้า (ยกเว้นนานามิ) ทุกคนหายจากการเป็นพวกสิ้นหวัง โดยเฉพาะพระเอกฮินาตะเขาได้รวมความหวังและความสิ้นหวังกลายเป็นคนใหม่ที่ใส่ใจคนรอบข้าง แถมมาช่วยพวกนาเอกิและหยุดมิทาไรใช้อนิเมะล้างสมองคนทั่วโลก ทำให้โลกกลับคืนสู่ปกติ ท้องฟ้าสีแดงหายไป กลับมาเป็นท้องฟ้าที่สดใสอีกครั้ง

    หลังจากนั้นกลุ่มต่างๆ แยกย้ายตามเป้าหมายแต่ละคน พวกรุ่น 77 ต้องเร่ร่อนแม้พวกเขาจะหายไปจากความสิ้นหวังแต่โลกก็ไม่สามารถให้อภัยกับความเลวร้ายที่พวกเขาทำไว้ตอนเป็นเศษเสี้ยวความสิ้นหวัง แต่พวกฮินาตะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก เพราะพวกเขายังมีเพื่อนๆ ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ พวกเขาทั้งหมดขึ้นเรือล่องไปทะเลอย่างมีความสุข

    ส่วนมุนาคาตะแยกตัวออกมาแบบปลงๆ โลก (?) พร้อมมอบหมายหน้าที่สร้างความหวังให้นาเอกิ และ พวกนาเอกิเลือกที่จะฟื้นคืนโรงเรียนแห่งความหวังขึ้นมาใหม่ ซึ่งเหล่าเพื่อนๆ และน้องสาวอยู่พร้อมหน้า รวมไปถึงคิริคิริที่ฟื้นมาจากความตาย จากยารักษาของเซโกะ และการรักษาของมิคัง ก่อนที่จะจบลงด้วยฉาก  คิริคิริยิ้มสวย (สร้างความสดชื่นแก่คนดู) อันเป็นบทสรุปที่ดีที่และปิดตำนาน Danganronpa เป็นสิบๆ ปีได้อย่างงดงาม

    แม้ว่าตอนของนาเอกิจะมีบทน้อยสำหรับภาคนี้ แต่ก็เป็นบทสรุปเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด โดยเฉพาะ “ผลลัพท์ของนาเอกิ” ที่เขาทำมาทั้งหมด ตั้งแต่ภาค 2 ที่เขาเลือกที่จะให้โอกาสให้รุ่น 77 กลับตัวกลับใจ ว่าหลายคนมองว่าเป็นสิ่งที่ผิด เป็นไปไม่ได้ แต่นาเอกิก็ยังเชื่อในความหวัง ว่าสิ่งที่เจาทำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด และผลลัพท์ที่ออกมาก็มาเบ่งบานในอนาคต พวก 77 กลับมาช่วยโลก มิคังมาช่วยคิริคิริกลับมาเป็นปกติ ทำให้พวกนาเอกิไม่มีใครต้องเสียชีวิตเลย

    ที่น่าสังเกตคือ ตอนจบของภาคนี้คือจบจริงๆ ไม่ใช่เหมือนภาคที่ผ่านมาที่นำเสนอตอนจบอารมณ์แบบ “มันเพียงการเริ่มต้น” อย่างภาคแรกพวกนาเอกิได้เลือกที่จะออกไปข้างนอก แม้จุนโกะบอกว่าอากาศบนโลกเป็นพิษ แต่พวกนาเอกิเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถก้าวเดินไปในอนาคตที่ไม่แน่นอนนั่นได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง  พวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกแต่มีเพื่อนๆ และมิตรภาพที่ไม่มีอะไรมาทำลายได้ “มันเป็นเพียงการเริ่มต้น”

    ส่วนภาคสอง แม้รุ่น 77 จะทำกรรมมามาก แม้จะออกไปสู่โลกแห่งความจริง พวกเขาจะต้องเจอเรื่องเจ็บปวด และกลับมาสิ้นหวังอีกครั้ง แต่ฮินาตะเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถผ่านไปได้ พร้อมกับก้าวเดินไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอนนี้เพราะมัน “มันเพียงการเริ่มต้น”

    สำหรับบทสรุปของความหวัง-ความสิ้นหวัง นั้น ในภาคนี้แม้จะบอกว่าสรุปแล้วความหวังก็ชนะ หากแต่ความจริง หากมองลึกๆ ก็นั้น จะพบว่าไม่มีฝ่ายไหนแพ้ชนะ  ทุกอย่างมีขาวกับดำ มันอยู่ที่เราจะอยู่ร่วมกันยังไง  

    ทุกคนต่างมีเรื่องสิ้นหวัง ผ่านเรื่องสิ้นหวังมาแล้วทุกคน นาเอกิและฮินาตะเองก็ผ่านเรื่องสิ้นหวังมามาก  แต่ทั้งสองก็ใช้ความสิ้นหวังนี้เปลี่ยนเป็นความหวัง

    แม้จะนานไปหน่อย แต่มันก็คุ้มค่า จนพบบทสรุปที่แอปปิ้ในตอนท้าย

    ในขณะที่บางคนอาจไม่ชอบใจ เพราะดูไม่เป็นซีรีย์แรกๆ เลย และมีปริศนาต่างๆ ที่ไม่เคลียร์ แต่สำหรับบางคน (รวมทั้งผม) ซึ่งไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะจบดี ทุกคนมีความสุข อยู่ด้วยกัน ซึ่งถือว่าแปลก เพราะปกติแนวๆ นี้จะแยกกันไปคนละทิศละทาง โดยสรุปแล้วถือว่าเป็นตอนจบที่ผมค่อนข้างที่จะพอใจพอสมควร และอาจยกซีรีย์นี้ดีที่สุดของซีซั่นนี้ก็ว่าได้ (พอๆ กับม็อบ 100)



     ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Danganronpa V3

     

    แม้ว่า Danganronpa 3จะจบลงอย่างแอปปี้ไปแล้ว แต่ซีรีย์นี้ก็ยังไม่จบง่ายๆ เมื่อมีการประกาศภาคใหม่ ในชื่อ Danganronpa V3 ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก บอกได้เพียงแต่ว่าเกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 12 มกราคม 2017  ศาลโรงเรียนก็จะกลับมาอีกครั้ง และระบบต่างๆ ยังเหมือนเดิม และมีการเพิ่มระบบสืบสวนใหม่คือการ “จับโกหก” ตัวละคร ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะมีผลอะไรกับการสืบคดีหรือไม่

    สำหรับอาจไม่ได้อยู่โลกเดียวกับนาเอกิ (อาจเป็นโลกคู่ขนาน) และเนื้อเรื่องอาจอยู่ในโลกอนาคตล้ำยุค ไซไฟยิ่งกว่านาเอกิ และสถานที่เกิดก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแห่งความหวัง แต่เป็นอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื้อเรื่องยังไม่เปิดเผยร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องดูอีกทีเมื่อเกมวางขาย

     

    เป็นอันว่าจบเพียงเท่านั้นสำหรับซีรีย์ Danganronpa ที่ผมเขียนถึง 4 บทความ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเล่นตัวเกมเลยแม้แต่น้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×