ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #105 : Kamichu! เมื่อคนธรรมดากลายเป็นเทพเจ้า!!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.62K
      4
      12 พ.ย. 53


    Kamichu! เป็นการ์ตูนที่ผมให้ความสนใจ หลังจากที่ผมกำลังเขียนเรื่อง Cloth Road และเกิดไปเจอการ์ตูนเรื่องดังกล่าวเข้า ผมลองอ่านเนื้อหาคร่าวๆ ดูก็น่าสนใจ และพลานให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “Bruce Almighty" หรือชื่อไทยว่า 7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า” เข้า

    เรื่อง Bruce Almighty ผมเคยดูภาพยนตร์นี้ตอนเด็กๆ ครับ อืม...เนื้อหาเกี่ยวกับชายคนหนึ่งชื่อบรูซ(นำแสดงโดยจิม แคร์รีดาราตลกที่มีชื่อเสียง)ที่เป็นนักข่าวทีวีท้องถิ่นที่ชีวิตกำลังรุ่งเรื่องแต่อยู่ดีๆ กลับตกอับซะงั้นเมื่อเขาทำผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิตแต่ความผิดครั้งนี้กลับใหญ่ยิ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาโดนไล่ออก ส่งผลทำให้บรูซไม่พอใจเขาเลยโทษพระเจ้าที่เป็นเหตุทำให้เขาโชคร้ายขนาดนี้....

    จนกระทั้งวันหนึ่งบรูซก็ได้พบกับพระเจ้าตัวจริง(มอร์แกน ฟรีแมน) ที่เขาได้ยินคำด่าบรูซ เลยต้องลงมายังโลก และเขาก็ได้เสนอสัญญากับบรูซอย่างหนึ่งคือเขาจะให้บรูซเป็นพระเจ้า 7 วัน ดูซิว่าเขาจะทำหน้าที่พระเจ้าดีกว่าเขาหรือไม่ และแล้วบรูซก็ได้พลังอำนาจพระเจ้าสมใจ เขาได้ใช้พลังนี้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่สนคนเดือดร้อนอยู่เบื้องหลัง จนกระทั้งภาพยนตร์ก็ถึงจุดไคแมกซ์เมื่อบรูซต้องตัดสินใจว่า เขาจะยอมเป็นคนโง่แต่มีพลังยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล หรือจะเป็นมนุษย์ที่เป็นมีความสุขพอเพียง.......

     ด้วยความอยากรู้ว่าเนื้อหาการ์ตูนเรื่องนี้จะเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนี้หรือเปล่า(ประมาณว่าตัวเอกของเรื่องมีนิสัยเหมือนบรูซ) ผมเลยพยายามหาเรื่องนี้ในเว็บไซต์ดู ปรากฏว่าผมหาโหลดบิตไม่ได้(อาจจะเป็นซีรีย์เก่าหรือไม่ก็ความไม่เทพของผมที่หาเว็บโหลดไม่ได้) และเรื่องนี้ก็ไม่มีซับไทยให้ดูฟรี ดังนั้นวิธีสุดท้ายของผมคือสั่งเรื่องนี้ไปทางไปรษณีย์เพื่อดูการ์ตูนเรื่องนี้โดยเฉพาะ และเมื่อผมดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วปรากฏว่ามันต่างจากที่ผมคิดพอสมควร เพราะเนื้อหา Kamichu! นั้นละเอียดลึกซึ้งมาก สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้พยายามนำเสนอ ค่อนข้างจะเน้น ในหัวข้อที่ว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นพระเจ้า

     


    Kamichu!

    แฟนตาซี, เหนือธรรมชาติ, โรแมนติก, เรื่องราวชีวิตวันต่อวัน

    ไม่สามารถหาดูในเว็บได้ ฟังและดูเพลงเปิดละกันนะครับ

    http://www.youtube.com/watch?v=7kUuMtyCo-s&feature=related
    มังงะโหลดที่ http://www.afkrotch.com/manga1.htm

     

    Kamichu! หรือชื่ออังกฤษคือ "A Deity As a Middle-School Student" แปลเป็นไทยก็ “เมื่อเทพเป็นเด็กผู้หญิงมัธยมปลาย” เป็นการ์ตูนซีรีย์ญี่ปุ่น 16 ตอนจบ(ในโทรทัศน์ฉาย 12 ตอน และ 4 ตอนในดีวีดี )ผลงานของสตูดิโอ Brain 's Base ที่มีผลงานโครตคุณภาพอย่างSpice and Wolf II, Durarara!! แพร่ภาพครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นทางสถานีโทรทัศน์ทีวีอะซะฮิ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน 2005 นอกจากนี้ยังมีมังงะภายใต้ชื่อเดียวกันตีพิมพ์อยู่ในนิตยสารเด็งเกคิไดโอ แต่งเรื่องโดยเบซาเมะมุโช และวาดภาพโดยฮารุโกะ ฮานาฮารุ ในนิตยสาร Dengeki Daioh มี 2 เล่มจบ

     ที่เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับปรัชญาของลัทธิชินโต ผสมกับเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาว ครั้งแรกเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นทางทีวี การ์ตูนนี้ถูกฉายออกเป็นทั่วเอเซีย(แต่ไทยคงไม่มี) และได้รับรางวัลอนิเมชั่นเคลื่อนไหวยอดเยี่ยมปี 2005

                เกี่ยวกับผู้เขียนมังงะคือ ฮารุโกะ ฮานาฮารุ(Hanaharu Naruko) ขอบอกว่าภาพสวยมากๆ ครับ ผลงานของเขาไม่มีหลากหลายครับ ส่วนใหญ่ผลงานจะเป็น H (การ์ตูนโป๊) เปิดตัวแบบเงียบๆ  โดยเรื่องสั้นเรื่อง 2 of 4 ผมชอบมาก และผมติดตามผลงานของเขามานานก่อนจะมาทราบว่าเขาวาดการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย

    คะมีจุ! (Kamichu! เป็นชื่อเล่นของนางเอกและเสียงร้องของนางเอกเวลาปล่อยพลังอำนาจครับ) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กนักเรียนมัธยมต้นที่แสนจะขี้อาย ตัวเล็กกะทัดรัด และไม่มั่นใจในตนเอง นาม ยูริเอะ ฮิโตสึบาชิ ซึ่งจู่ๆ ที่อยู่ๆ วันหนึ่งเธอได้พบตนเองว่าเธอได้กลายเป็น “กามิ” เทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาชินโต ซึ่งกลายเป็นว่าชื่อเล่นของเธอเลยกลายเป็น คะมิจุ!(มาจาก กามิแปลว่าพระเจ้า ส่วนจุมาจาก chugakusei แปลว่าโรงเรียน ถ้าผมแปลไม่ผิดนะครับ)ซึ่งเธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเธอเป็นเทพเจ้าได้ไง แถมไม่รู้ด้วยว่าตนเป็นเทพอะไร(เนื่องจากญี่ปุ่นมีเทพหลายชนิดมาก) และแล้วชีวิตของยูริเอะก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อเธอต้องจัดการชีวิตของเธอ ระหว่างชีวิตเด็กสาวมัธยมปลายธรรมดา กับหน้าที่ของพระเจ้าที่ทำให้ความปรารถนาเป็นจริง พร้อมกับการพัฒนาจิตใจของยูริเอะไปด้วยอย่างช้าๆ

      

    โดยเวทีสถานที่ดำเนินเรื่องในการ์ตูนหรือเมืองที่ยูริเอะอยู่นั้นได้คือเมืองโอโนมิจิ  ในจังหวัดฮิโรชิมา บนชายฝั่งทะเลน้ำจืดของญี่ปุ่นโอโนมิจิ เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีวัดและบ้านผู้คนอยู่ปะปนกัน จุดเด่นคือการข้ามฟากโดยเรือกลไฟที่ปรากฏบ่อยมากในเรื่อง ซึ่งหลายสถานที่ปรากฏในการ์ตูนนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ท่าเรือ บันไดหินเก่าแก่ โดยเฉพาะศาลเจ้าที่เพื่อนยูริเอะอยู่ซึ่งเป็นสถานที่จริงส่งผลให้ศาลเจ้านี้กลายเป็นศาลเจ้าคะมีจุ! ไปด้วย มีคนขอพรเทพเจ้ายูริเอะแก้มป่องกันใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดเมืองแห่งนี้ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่องโปเนียวเทพธิดาสมุทร(Ponyo on the Cliff)ด้วย

      

    ยูริเอะ ฮิโตสึบาชิ(Yurie Hitotsubashi) ตัวเอกของการ์ตูนเรื่องนี้ ซึ่งตอนแรกเธอเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาทั่วไป นิสัยเป็นคนไร้เดียงสาใสซื่อ ที่มีความรักแต่เธอเป็นคนขี้อายเกินไปที่จะรับสารภาพ อีกทั้งเธอยังเป็นคนตัวเล็กกระทัดรัดและหัวไม่ค่อยดีอีกต่างหาก เธอมักหน้าแดงหรือทำแก้มป่องๆ เวลางอนหรืออาย หากหลังจากที่เธอได้กลายเป็นเทพเจ้า(ที่รู้ตัวยิ่งกว่าฮารุฮิ)อีกที่มีพลังอำนาจมหาศาลที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้, สามารถดลบันดาลให้เป็นจริงได้  ซึ่งเธอก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการใช้พลังอันนี้ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ดลบันดาลคำขอของเทพ, ภูต, มนุษย์ต่างดาว, เหล่าผู้คนให้เป็นจริง หรือการจัดการกับตนเองในชีวิตประจำวัน การรู้จักตนเอง และความพยายามตั้งใจ

      

    มัทสุริ ซาเอะกุสะ(Matsuri Saegusa) เพื่อนของยูริเอะ เธอเป็นลูกชายสาวนักบวชในศาลเจ้าไรฟูคู และมีน้องสาวอีกคนชื่อมิโกะ  ซึ่งเธอแตกต่างจากมิโกะตรงที่ไม่สามารถมองเห็นภูตหรือเทพได้ เธอมักใช้ประโยชน์จากเทพยูริเอะในการใช้พลังของเธอเรียกคนเข้ามาทำบุญศาลเจ้าของเธอให้มากยิ่งขึ้น ภายนอกเหมือนสาวแก่นทอมบอย ฝีปากกล้า พูดเก่ง นิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ  และเกลียดวัฒนธรรมตะวันตก(โดยเฉพาะวันคริสตมาส วาเลนไทน์ และฮาโลวีน) แต่จิตใจลึกๆ แล้วรักครอบครัวและรักเพื่อนมาก ส่วนชื่อ “มัทสุริ” หมายถึงงานเทศกาล

      

    มิตซู ชิโจ( Mitsue Shijo) สาวแว่นเพื่อนสนิทของยูริเอะ ที่มีความปรารถนาอยากมีแฟนและชีวิตที่มีความตื่นเต้นสีสันมากยิ่งขึ้น เป็นคนรักเพื่อนและเข้าใจจิตใจของยูริเอะได้เป็นอย่างดี และมักให้คำแนะนำและให้กำลังกับยูริเอะบ่อยๆ นอกจากนี้เธอมักเป็นร่างทรงของเทพ “ยาชิม่า” เทพประจำศาลเจ้าไรฟูคู เพื่อสื่อสารกับผู้คนและเล่นกีตาร์โชว์ในงานวัด........

    การ์ตูน Kamichu! มีความละเอียดสูงนะครับ เพราะหลายๆ ฉากในการ์ตูนเรื่องคัดลอกจากสถานที่ของเมืองโอโนมิจิซึ่งเป็นเมืองที่สงบเงียบในจังหวัดฮิโรชิมา เกือบทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น

      

    คนญี่ปุ่นชอบการ์ตูนเรื่อง Kamichu! มากและไม่พลาดที่จะไปชุมนุมบนรางรถไฟในมุมหนึ่งของเมือง โดยฉากดังกล่าวปรากฏหลายครั้งในการ์ตูนเรื่องนี้

      

    ตรงข้ามกับรางรถไฟคือโรงเรียนของยูริเอะที่เป็นโรงเรียนที่มีอยู่จริง

      

    สวนหินที่ประดับหน้าโรงเรียนที่พบเห็นได้บ่อยในการ์ตูนเรื่องนี้

      

    บริเวณโรงเรียน

       

    บริเวณโรงเรียนด่านฟ้าตอนต้นเรื่อง

     

    ด่านฟ้าโรงเรียนหนึ่งในสถานที่ปรากฏบ่อยที่สุดในเรื่อง

      

    บริเวณเมือง

       

    บันไดศาลเจ้า

     

    ศาลเจ้า

      

    ศาลาน้ำ

      

    ศาลาน้ำ

      

    คำอธิบายต่อเทพคะมิชู

      

    คำอธิบายต่อเทพคะมิชู

      

    คำอธิบายต่อเทพคะมิชู

     

    เนื้อหาในมังงะนั้นจะมีความแตกต่างในอนิเมชั่นพอสมควร เพราะมีการปรับเปลี่ยนตอนและเพิ่มตอนที่ไม่มีอนิเมชั่นเข้ามา(และเปลี่ยนตอนจบ) แต่ตอนสำคัญยังอยู่ คือ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2-3 ตอนที่ 4-5 ตอนที่ 12 นอกเหนือจากนั้นอาจมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับมังงะ ซึ่งผมก็ชอบทั้งสองแบบน่ะครับ (ปล. ชื่อตอนอนิเมชั่นหลายตอนมาจากชื่อเพลงป๊อปญี่ปุ่นในยุค 1980 และ 1990)

    ถ้าจะถามความรู้สึกที่ดู อืม.....ให้นึกถึงการ์ตูนจำพวกมิตรภาพของสาวๆ(ที่ในกลุ่มมักมีคาแร็คเตอร์สาวแว่น สาวแกร่ง และนางเอกที่มักขี้อายอ่อนแอ) บวกกับการ์ตูนแม่มดเวทมนตร์ที่มีเนื้อหาช่วยเหลือผู้เดือดร้อนดูนะครับ(รู้สึกผมนึกถึงการ์ตูนเรื่องแม่มดน้อยโดเรมี) นั้นแหละคือเนื้อหาโดยรวมของการ์ตูนเรื่อง Kamichu! แต่สิ่งที่แตกต่างจากการ์ตูนทั้งสองแนวและสาเหตุที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับรางวัล คือปรัชญาที่แฝงลงในเรื่องครับ ภายใต้การ์ตูนที่ดูเหมือนจะธรรมดาประเภทสาวสามช่วยเหลือผู้คนนี้ กลับนำเสนอปรัชญาของลัทธิชินโตได้อย่างเต็มเปี่ยม ครบถ้วนกระบวนความ และสิ่งที่นำเสนอที่ออกมาอย่างชัดเจนในอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็คือ “มันไม่ง่ายเลยที่เป็นเทพเจ้า”

      

    Kamichu! เปิดฉากโดยยูริเอะ(แก้มป่อง) กับเพื่อนสนิทของเธอมิตซูกำลังรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จู่ๆ ยูริเอะก็เอ่ยปากว่าฉันได้กลายเป็นเทพเมื่อคืนวานนี้เอง แน่นอนว่าตอนแรกมิตชูไม่เชื่อเธอ ก่อนที่เพื่อนร่วมชั้นอีกคนคือมัทสุริได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ จึงได้ดึงเก้าอี้ขึ้นมาและได้แนะนำตนเองว่าเป็นเพื่อนใหม่ของยูริเอะ และเชื่อว่าเธอเป็นเทพเจ้า สาเหตุเนื่องจากเธออาศัยอยู่ที่ศาลเจ้า และเธอมีความไวต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ เธอเลยตัดสินใจช่วยยูริเอะเพื่อค้นหาพลังอำนาจของเธอ จากนั้นเธอได้ลากยูริเอะกับมิตชูขึ้นด่านฟ้าโรงเรียน(จนกลายเป็นฉากดำเนินเรื่องที่พบบ่อยที่สุดในการ์ตูนเรื่องนี้) และนี้คือจุดเริ่มต้นของการ์ตูนอนิเมชั่นฤดูร้อนที่ได้รับรางวัลปี 2005

    จากนั้นการ์ตูนก็ได้นำเสนอตัวตนของยูริเอะ ที่เป็นคาแร็คเตอร์สาวน้อยตัวเล็กๆ ใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ขี้อาย ไม่มีความมั่นใจในตนเอง และไม่ได้เก่งกาจอะไร จนไม่น่าเชื่อว่าจะเด็กสาวคนนี่เป็นเทพเจ้าที่มีพลังอำนาจสูงสุดไปได้ นอกจากปัญหาเรื่องเรียนแล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องความรักอีก เนื่องจากเธอตกหลุมรัก “นิโนมิยะคุง” เด็กหนุ่มที่แสนจะเฉื่อย(ก็พอๆ กับ “โย” ในชาแมนคิง) ที่อยู่ชมรมพู่กัน(ที่มีสมาชิกคนเดียวคือเขา) แต่จนบัดนี้เธอก็ยังไม่ได้สารภาพรักเขาได้สำเร็จสักที

     
             มัทสุริพยายามค้นหาพลังของยูริเอะ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จสักที จนกระทั้งในมัทสุริได้เสนอให้ยูริเอะให้เรียกลม โดยใส่อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเธอและแล้วเธอก็ตะโกนคำว่า “คะมีจุ!”

    ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็เริ่มมีลมพัดจากที่อื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่น........

    เมื่อยูริเอะกลับมาถึงบ้านก็พบว่าเธอเหนื่อยจนแทบลุกขึ้นเดินไม่ไหว เธอเลยขอแม่เพื่อนอนหลับจนถึงเย็น และเมื่อตื่นขึ้นก็พบรายงานข่าวไต้ฝุ่นกำลังมุ่งหน้าที่เมืองของเธอ และใต้ฝุ่นนี้ดันมีหน้าตาคล้ายกับเธออย่างกับแกะ(และชื่อไต้ฝุ่นก็คือ ยูริเอะ ด้วย)

      
             
    ยูริเอะรู้ทันทีเลยว่าไต้ฝุ่นนี้เป็นฝีมือของเธอแน่นอนดังนั้นเธอจะต้องหาวิธีหยุดมัน ยูริเอะได้นัดเพื่อนมิตชูให้เจอที่โรงเรียน ระหว่างเธอไปโรงเรียนเธอก็ได้เห็นสิ่งที่แปลกไป เธอได้เห็นคามิกับภูตผีมากมาย จนไม่เชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้เอง และเมื่อเธอไปถึงโรงเรียน เธอก็พบเพื่อนสองคนคือมิตชูและมัทสุริรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และทั้งสามสาวพยายามทำพิธีเพื่อหยุดพายุแต่สุดท้ายล้มเหลว จนกระทั้งยูริเอะได้เห็นนิโนมิยะคุง(มันอยู่ในโรงเรียนได้ไงว่ะ)กำลังถูกพายุลอยขึ้นไปท้องฟ้า ยูริเอะเลยตระโกนเรียกชื่อเธออีกครั้งก่อนที่จะกลายเป็นเทพเจ้าผมยาวเธอขี่กระดาษบินเพื่อไปรับนิโนมิยะคุง และเมื่อเธอรับเขาได้พายุยูริเอะก็หายไป

      
               และเมื่อถึงเช้าวันถัดมายูริเอะก็ตื่นขึ้นไปโรงเรียน เธอก็พบว่าทุกคนในเมืองรู้ข่าวว่าเธอเป็นเทพเจ้าไปเสียแล้ว และแล้วเธอก็รู้สาเหตุว่าทำไมข่าวของเธอกระจายไปเร็วนัก เมื่อมัทสุริประกาศไปทั่วเมืองว่า “ยูริเอะเป็นทำเทพเจ้าองค์แรกที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย
    !!

     เปิดฉากคุ้นๆ ไหมครับว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหน แน่นอนว่ามันช่างละม้ายคล้ายความหดหู่ของฮารุฮิเหลือเกิน เพียงแต่เรื่องของยูริเอะนั้นมีอารมณ์หลากหลายกับฮารุฮิเยอะครับ

             

    Kamichu! เป็นการ์ตูนที่นำเสนอแตกต่างจากการ์ตูนประเทศเมื่อคนธรรมดากลายเป็นพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะปกติการ์ตูนที่ตัวเอกได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่มักทำตัวเสมือนหลงระเริงอำนาจ อย่างเช่นเรื่องไลท์ ณ เดธโน้ตที่ตอนแรกเป็นคนธรรมดาอยากเป็นพระเจ้าโลกใบใหม่ ทำเสมือนพระเจ้าตัดสินความเป็นความตายของผู้คน ใครอวยให้รอดใครด่าเอ็งตาย หรือจะเรื่อง Bruce Almighty 7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ตัวเอกใช้พลังเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตน แต่กรณีของยูริเอะ แม้ว่ายูริเอะจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกเลยก็ว่าได้ แต่เจ้าตัวกลับไม่ใช้พลังนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตน(ที่จริงก็ใช้ หากแต่เธอใช้พลังนี้เพื่อเปลี่ยนช่องทีวีแทนรีโมต!!) โดยการ์ตูนได้ให้คำตอบว่าเพราะเธอเป็นคนที่มีจิตบริสุทธิ์ ซึ่งก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ว่า ตน เป็นอมตธรรม เป็นที่พึ่งที่แท้จริง ยูริเอะพยายามตนเป็นที่พึ่งแห่งตนมากกว่าจะใช้พลังอำนาจเหล่านี้เพื่อประโยคของตนเอง

    สิ่งที่การ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอหลักๆ ก็คือ สมมุติว่าเราเป็นธรรมดาจู่ๆ เราถูกรับเลือกให้ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่(ถ้าน้ำเน่าก็ปกป้องโลก, ปราบจอมมาร) เหมือนประโยคอมตะหนึ่งจากเรื่องสไปเดอร์แมนว่า พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง คุณจะสามารถทำหน้าที่ได้ไหม??  แต่ที่แน่ๆ สำหรับยูริเอะน่าจะเพิ่มด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากได้พลังอำนาจยิ่งใหญ่นี้หรอก ขอเป็นคนธรรมดาดีกว่า เพราะมีหลายฉากเลยที่ยูริเอะพบว่าตนไม่ชอบพลังอำนาจนี้เลย เพราะพลังนี้นำมาซึ่งปัญหาต่างๆ เพิ่มขึ้น ปกติชีวิตของเธอก็มีปัญหามากอยู่แล้ว ไหนจะต้องไปโรงเรียน ทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ ซึ่งเธอก็เรียนไม่ค่อยเก่งอะไรและจัดตารางชีวิตประจำไม่ได้อยู่แล้ว พอตนได้เป็นเทพกลับเพิ่มหน้าที่ ภาระเพิ่มขึ้นไปอีก บางอย่างเธอก็ไม่อยากทำเลย อย่างเช่นต้องไปพูดต่อหน้าผู้คนมากมายบนเวที ให้ตายเถอะชีวิตนี้ฉันไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยน่ะเนี้ย แถมยังต้องรับปรึกษาปัญหาคนและเทพที่มีความปรารถนาที่แต่ละอย่างเธอก็ไม่รู้จะแก้ยังไง และถ้าเป็นเธออยากได้เหมือนกัน

                    เช่น มีอยู่ฉากหนึ่งที่มีคนปรึกษาเทพยูริเอะว่าฉันอยากได้แฟน ยูริเอะคิดในใจว่า ฉันก็อยากให้นิโนมิยะคุงคุงมาบอกรักฉันเหมือนกันง่ะ

                    เช่น มีอยู่ฉากหนึ่งที่มีคนปรึกษาเทพยูริเอะว่าฉันอยากมีเงินค่าขนมเพิ่ม ยูริเอะคิดในใจว่า ฉันก็อยากได้เหมือน  เงินค่าขนมฉันเดือนนี้ได้แค่ 300 เยนเองง่ะ

                    แน่นอนยูริเอะก็เซ็งกับเรื่องปรารถนาแบบนี้เหมือนกัน เธอก็เลยปรึกษาเทพยาชิม่า ว่าสมควรให้ทุกคนสมปรารถนาหรือไม่ เทพตอบว่า ต่อให้เป็นเทพเจ้า เราก็ไม่สามารถรับฟังความต้องการของทุกคนได้หรอก ถ้าเราทำให้ความปรารถนาของทุกคนเป็นจริง ก็ไม่มีใครทำอะไรเลย ดังนั้นการที่เราจะทำอะไรในชีวิตนั้นจงอย่าได้พึ่งปาฏิหาริย์ อย่าพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงพึ่งความสามารถของตนเอง และความปรารถนั้นจะเป็นจริงโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังของเทพเลย ซึ่งจะว่าไปเทพเจ้าก็คือสิ่งสมมุติมนุษย์ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์เชื่อและสร้างเทพกันเอง ตั้งขึ้นมาเอง แล้วบูชาเป็นเครื่องยึดเหนียวจิตใจ และขอพรให้สมปรารถนา พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลและตัวบุคคลมากเกินไปจนลืมพิจารณาตนเอง การจะได้สิ่งใดมาหากไม่ทำด้วยตนเองก็อยากจะได้สิ่งที่ต้องการ

      

    การ์ตูนเรื่องนี้ได้สอดแทรกเรื่องของชินโตและเทพของญี่ปุ่นไว้พอสมควร โดยชินโตนั้นความจริงและไม่เชิงว่าไม่ใช้ศาสนา เพราะชินโตไม่มีศาสดา ดังนั้นชินโตก็คือลัทธิ ส่วนความหมาย ชินโตหากทั่วๆ ไปก็หมายถึง วิถีเทพเจ้า โดยมีรากฐานความเชื่อนี้มาจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและธรรมเนียมแต่ละเมือง โดยไม่ถือว่าเป็นพิธีกรรมอย่างเป็นทางการ หากแต่มีการสืบทอดกันและปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน และปัจจุบันชินโตก็แตกแยกหลายนิกาย บ้างก็ถูกนำมารวมในศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ

                    การ์ตูนได้นำเสนอเทพญี่ปุ่นมากมายหลากหลาย เพราะเทพเจ้าของญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างจากเทพเจ้ากรีกหรืออียิปต์ หรือประเทศต่างๆ พอสมควร ลัทธิชินโตนั้นมีระบบความเชื่อเทพเจ้า(และวิญญาณ)ที่ซับซ้อน และเทพของชินโตนั้นมีมากมายถึง 8000 องค์(ตน)เลยทีเดียว บางตนก็มาจากความเชื่อท้องถิ่น บางตนมีความเชื่อจากสิ่งของเก่าๆ ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีจะกลายเป็นเทพ บางตนมาจากความเชื่อท้องถิ่น หรือวิถีชีวิตประจำวัน ฯลฯ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเราล้วนมีเทพ(วิญญาณ)สิงสถิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในธรรมชาติหรือเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่ว่าจะเป็น ลม ฟ้าร้อง ก้อนหิน น้ำ ต้นไม้ ถ้วยชา ยางรถยนต์ ลฯ  ล้วนมีเทพสิงสถิตทั้งสิ้น ฯ นอกจากนี้ยังนับถือวิญญาณของบรรพบุรุษของจักรพรรดิญี่ปุ่น วิญญาณคนธรรมดา วิญญาณวีรบุรุษ หรือชายที่ทำแต่คุณงามความดีจนได้รับยกย่อง ก็ยังถูกยกเป็นเทพเจ้าได้ด้วย โดยเทพเจ้าญี่ปุ่นที่บ้านเรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น เทพเจ้าแห่งโชคลางทั้งเจ็ด, เทพเจ้ายากจน, เทพเจ้าสายฟ้า เทพเจ้าแห่งความตาย ฯลฯ

    สังเกตอีกว่าแม้ว่ายูริเอะจะถึงยกย่องเป็นเทพ แต่คนในครอบครัวหรือคนในเมืองไม่ได้บูชาเธอถึงขั้นบ้าคลั่งอะไรเลย อีกทั้งไม่ได้ขอให้เธอทำอะไรเกินตัวหรือทำเรื่องไม่ดี อย่างเช่น คืนชีพคนตาย ขอหวย หรือใช้พลังเพื่อหาประโยชน์ส่วนตน ซ้ำยังปฏิบัติยูริเอะเหมือนสาวน้อยมัธยมปลายธรรมดาเหมือนเดิม อีกทั้งยังเป็นเพื่อน เอาใจช่วย ดูแล้วช่างอบอุ่นจริงๆ ซึ่งมันก็ตรงกับความเชื่อของลัทธิชินโตก็คือมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับเทพได้โดยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เรียกได้ว่าเทพเจ้าของญี่ปุ่นนั้นมีใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่าเทพของประเทศอื่นๆ

    สิ่งการ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอคือการพัฒนาด้านจิตใจของยูริเอะ แม้การพัฒนาด้านจิตใจของยูริเอะจะดูค่อนข้างช้า แต่ก็เหมือนปรัชญาของลัทธิชินโต คือเรียบง่ายและช้าๆ แม้ว่ายูริเอะไม่มีความปรารถนาที่จะเป็นเทพ หากแต่เธอไม่ได้หลงระเริงไปกับมัน และไม่คิดที่จะหนีมัน กลับกันเธอก็พยายามที่จะเรียนรู้การเป็นเทพเจ้า โดยมีเพื่อนที่อารมณ์มั่นคงอย่างมิตซู(มนุษย์) และมัทสุริกล้าหาญ(งานเทศกาล)คอยช่วยเหลือ นอกจากนั้นในช่วงท้ายๆ เราจะเห็นเหล่าผู้คนในเมืองคอยช่วยเหลือเทพยูริเอะกันอย่างเต็มที่เพราะยูริเอะเคยช่วยเหลือพวกเขา และคือผลตอบแทนที่เธอสมควรจะได้รับ

                     

                    ตัวละครที่น่าสนใจในเรื่องนอกจากยูริเอะคือ มัทสุริที่พยายามใช้ผลประโยชน์แก่ยูริเอะในความเป็นเทพ เพื่อให้ผู้คนกราบไหว้ศาลเจ้ามากยิ่งขึ้น(สาเหตุคือศาลเจ้าเธอใกล้ล้มละลาย) ซึ่งเรื่องนี้มอง 2 มุม คือ รักศาลเจ้าเธอจริงๆ และมุมมองที่สองคือเธอมีศาลเจ้าชินโตปัจจุบันมีความเป็นธุรกิจมากยิ่งขึ้น แม้มัทสุริจะมีความโลภ แต่ความโลภของเธอเป็นเพียงผลประโยคเล็กๆ น้อยๆ และเทพยูริเอะก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเธอ ตีความได้ว่ามีทสุริคืองานเทศกาลซึ่งตามหลักชินโตแล้วชินโตไม่มีหลักจริยธรรม ไม่ถือว่าคนต้องรับผิดชอบความชั่วของตน ถือว่ากรรมชั่ว มลทินทางกาย เกิดจากสิ่งภายนอก ต้องแก้ไขด้วยพิธีกรรมธรรมชาติ อีกทั้งเทพเจ้ามี่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องของคนธรรมดาอยู่แล้ว

                    นอกจากนี้นิสัยของมัทสุริมีอีกอย่างคือเกลียดวันของฝรั่ง โดยเฉพาะคริสต์มาส เพราะมันทำให้ศาลเธอไม่ม่มีคนเข้ามาทำบุญ อันนี้มองได้อีกอย่างว่าญี่ปุ่นญี่ปุ่นเป็นประเทศชอบกลเรื่องศาสนานัก ในชีวิตประจำวันนับถือลัทธิชินโตและศาสนาพุทธก็จริง แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนมากในยุคปัจจุบันไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าตัวเองนับถือศาสนาใดอย่างเฉพาะเจาะจงนัก เวลางานแต่งงานใช้ศาสนาคริสต์ งานศพใช้ศาสนาพุทธ วันสำคัญของคริสต์ศาสนา ญี่ปุ่นก็ทำไม่เหมือนใครอย่างวาเลนไทน์ก็ให้ช็อกโกแลตซึ่งไม่มีประเทศไหนที่มีธรรมเนียมมอบช็อกโกแลตวาเลนไทน์เลยสักประเทศ

                    นี้คือสิ่งที่ผมสังเกตแบบง่ายๆ ในการ์ตูนในเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วยังมีจุดสังเกตอีกมากในการ์ตูนเรื่องนี้และผมรู้สึกเจ็บใจในตัวเองที่ผมไม่สามารถตีความสิ่งที่การ์ตูน Kamichu! นำเสนอทั้งหมดได้

                    นอกจากนี้ยังมีตอนที่ผมประทับใจหลายตอน เช่น

    ตอนที่ 2 Kami-sama Onegai เป็นตอนที่เทพศาลเจ้าของมัทสุริหนีออกจากบ้าน และยูริเอะจะต้องตามเทพกลับมา ตอนนี้จุดประสงค์ที่ต้องการจะสื่อคือตอกกลับเหล่าผู้คนที่ต่างพามาปรึกษาปัญหาต่างๆ เทพเจ้า ด้วยคำถามที่ว่า “แล้วถ้าเทพเจ้ามีปัญหาล่ะควรปรึกษาใครดี?” แสดงให้เห็นว่าเทพเจ้าของชินโตนั้นก็มีปัญหาเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

    ตอนที่ 3 Sonna Tsumori ja Nakatta no ni เทพเจ้าแห่งความยากจนได้มายังเมืองที่ยูริเอะอยู่ ส่งผลทำให้เศรษฐกิจในเมืองอยู่สภาวะล้มละลายและแมวสัตว์เลี้ยงของยูริเอะก็หายไป และทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีบางอย่างที่เหมือนกัน....ตอนนี้ผมชอบฉากท้ายๆ ตอนดูแล้วประทับใจจริงๆ

    ตอนที่ 10 Fushigi na Boken  เป็นตอนที่ยูริเอะได้ย้ายโรงเรียนชั่วคราว เพื่อเข้าร่วมประชุมเทพเจ้าในเดือน Kannazuki(เป็นเดือนที่สิบในปฏิทินญี่ปุ่น ซึ่งชินโตเชื่อกันว่าเทพเจ้าทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่ที่อิซุโมะในจังหวะชิมาเนะเพื่อตัดสินเลือกคู่ให้แก่มนุษย์ ทำให้ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดอยู่ที่ศาลเจ้าตามท้องถิ่น ผู้คนจึงเรียกเดือนตุลาคมนี้ว่า คุนนะซึกิ ซึ่งหมายถึง เดือนไร้เทพแต่ที่ อิซึโมะ  จะเรียกเดือนนี้ว่า คามิอาริซึกิฃ ซึ่งหมายถึง เดือนแห่งเทพ) และเมื่อเธอเข้าไปเรียนในโรงเรียนใน อิซึโมะก็พบว่าทุกคนในโรงเรียนนั้นทุกคนปฏิบัติเธอด้วยความเคารพสูงสุด ซึ่งแตกต่างจากเมืองบ้านเกิดของเธอที่ปฏิบัติกับเธอเสมือนเพื่อนมากกว่า แสดงให้เห็นว่าการนับถือเทพนั้นก็แล้วแต่ละท้องที่ บางท้องที่นับถือเทพเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรลบหลู่

    ฯลฯ

     
              ส่วนประกอบอื่นๆ ในอนิเมชั่น ด้านงานภาพอาจดูสีจางๆ บ้างตามอนิเมชั่น 2005 แต่กระนั้นฉากเมืองในอนิเมชั่นนั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเงียบสงบเขียวชอุ่มพร้อมเสียงอนิเมชั่น ก็น่าพอใจ ส่วนคาแร็คเตอร์ต่างๆ ก็มีเสน่ห์ น่ารัก เคลื่อนไหวได้น่าสนใจจนกลายเป็นจุดแข็ง โดยเฉพาะฉากยูริเอะแก้มแดงได้ใจผู้ชมหลายคน และเพลงประกอบก็ทำได้ดี ใช้เพลงประกอบยุค 90 นำมาผสมกับบ้านเมืองเก่าๆ ทำให้เหมือนกับการ์ตูนของครอบครัวที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ทำได้ถูกจังหวะจนฟังแล้วเกิดประทับใจในฉากๆ นั้น เช่นฉากที่ยูริเอะกอดเทพจายกในตอนที่ 3 นั้นได้ใจผมเต็มๆ

                    หลังจากที่ผมดู Kamichu! ผมย้อนกลับมาดูการ์ตูนอนิเมชั่นที่สอดแทรกหลักธรรมศาสนาของไทยเราบ้างบ้าง ว่าอนิเมชั่นเหล่านี้ประสบผลสำเร็จหรือไม่ คำตอบคือได้ผลระดับหนึ่ง แต่ปัญหาการ์ตูนไทยที่จะยังไม่สามารถตีแตกคือ ขาดการดำเนินเรื่องที่แตกแยก(หมายถึงการดำเนินเรื่องที่น่าตื่นเต้นดูแล้วน่าติดตาม) และการสอดแทรกหลักธรรมที่แนบเนียน ผมเชื่อว่าหากการ์ตูนไทยทำเหมือน Kamichu! การ์ตูนไทยจะน่าสนใจมากขึ้นไม่มากก็ไม่น้อย

    สำหรับคนที่คิดอยากจะดู Kamichu! ก่อนอื่นก็ขอบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่มีตัวโกงหรือนางอิจฉา ประเภทอยากใช้พลังเทพครองโลก ไม่มีต่อสู้หวือหวาหรือมีอะไรให้ลุ้นมันหยดตื่นเต้น หรือเนื้อหาซับซ้อนอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นแนวเรื่อยๆสบายๆ น่ารักไม่มีพิษมีภัย ที่จบด้วยความสุขความสมหวังทุกตอน อีกทั้งตัวละครในเรื่องล้วนเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ภูต หรือเทพ ล้วนเป็นมิตรกับยูริเอะแทบทั้งสิ้น

    สรุปคือ การ์ตูน Kamichu! ได้อะไรมากมายกว่าที่คุณคิด นอกเหนือจะเป็นการ์ตูนสาวน้อยมหัศจรรย์ ที่เด็กสาวกลายเป็นเทพเจ้าข้ามคืน!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×