ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 16 เวทีจอมเวท (ครึ่งหลัง)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 795
      3
      13 ม.ค. 56



        มิเชลกำลังอยู่ในสภาพของชายหนุ่มที่ใส่เสื้อกางเกงสีขาวกับชุดคลุมเขียว เธอมีผมสีดำสั้นแค่คอ จมูกปากค่อนข้างเล็ก แต่เพราะรูปหน้าบางมันจึงรับกันพอดี เด็กหญิงหยิบกิ่งไม้ขึ้นแล้วแปลงเป็นถุงมือ จากนั้นก็ต้องจ้ำฝีเท้าสุดชีวิตเพื่อฝ่าดงสัตว์อสูรกลับเมือง

        เธอหลบลูกธนูของเซนทอร์ คมเขี้ยวสุนัขสองหัว และผงพิษจากผีเสื้อกลางคืนยักษ์ตลอดทาง ไปๆ มาๆ ข้างหลังมิเชลก็มีพวกมันวิ่งตามเป็นโขยงใหญ่ มิเชลทำได้แค่เรียกกำแพงดินขึ้นขวางแล้ววิ่งต่อ งานประลองคริสมาสต์กำลังจะเริ่ม เธอกลัวพลาดอะไรดีๆ จึงพยายามไปให้ทัน

        กว่าจะมาถึงเมืองไขลานโซเนีย เหงื่อก็ไหลซกทั้งตัว มิเชลหายใจหอบแรงและเหลือบมองเห็นโทนี่ยืนอยู่ด้านใน เขารีบคว้าแขนเธอทันที

        “อย่าไปยืนล่อเป้าอยู่นอกเมือง! นอกเมืองเป็นเขตโจมตีอิสระ จำได้รึเปล่า!” เด็กชายต่อว่า

        “ใจร้อนจัง จะรีบไปไหนเนี่ย”

        “เธอไม่ได้เข้าเกมหลายวันคงไม่รู้ ตอนนี้ฉันไม่กล้าออกนอกเมืองเลย เข้ามาเห็นเองแล้วกัน!”

        มิเชลเดินตามแบบงงๆ ทว่า... เมื่อก้าวเข้าข้างในเมืองก็ต้องตะลึงพรืดกับภาพตรงหน้า เกือบทุกคนในเมืองสวมชุดสีแดงไม่ว่าจะนักรบหรือจอมเวท บางคนแต่งแดงตั้งแต่หัวจรดเท้าจนดูน่าเกลียด แต่คนใส่กลับเดินเฉิดฉายอย่างมั่นใจราวกับเป็นเจ้าพ่อแฟชั่นมาเอง

        เมืองไขลานโซเนียเป็นนครแห่งโลหะ พอมองคนสวมชุดสีเดียวกันเดินตัดไปตัดมากับอาคารเหล็กสารพัดชนิดทำให้รู้สึกตาลายพิกล แถมทุกคนยังหันมามองเธออีกต่างหาก

        “ใครไม่ใส่ชุดแดงตอนนี้เป็นเป้าสายตาหมด” โทนี่อธิบาย “ถ้าไม่สวมชุดแดงเดินออกจากเมืองเมื่อไหร่จะโดนฆ่าทันที”

        “ทำไมล่ะ?”

        “มันเป็นกฎระเบียบที่เจ้าพวกนั้นตั้งขึ้น”

        “พวกนั้นน่ะใคร?” เธอเลิกคิ้ว “พวกคนที่ใส่สีแดงประหลาดๆ น่ะเหรอ”

        เธอพูดเสียงดังจนกลายเป็นเป้าสายตาหนักกว่าเดิม โทนี่รีบยกมือกดปากเพื่อนซี้เอาไว้แม้จะไม่ทันแล้ว

        “เดี๋ยวฉันค่อยอธิบายให้ฟัง เธอรีบไปเข้างานก่อนเถอะ ถ้าไปไม่ทัน ทั้งฉันทั้งเธอโดนตัดสิทธิ”

        มิเชลวิ่งตามโทนี่ ผู้คนไปรวมตัวกันในลานกลางเมืองที่โดนขยายขึ้นอีกสามสิบเท่าจนกว้างสุดลูกหูลูกตา ฝูงชนเกือบหมื่นยืนแออัดจนไม่มีใครสนใจใคร ทั้งคู่จึงต้องจับมือกันเอาไว้เพราะคลื่นมหาชนสามารถพัดไปไหนก็ได้ทั้งนั้น

        ทุกคนกำลังมองขึ้น มิเชลจึงมองตาม เธอเห็นตัวเลขสีขาวชุดหนึ่งกำลังนับถอยหลัง ไล่จากหลักสิบ ไปจนเป็นเลขตัวเดียว และเมื่อนับถึงเลขศูนย์ พลุก็ถูกจุดบนท้องฟ้าหลายดอก ตามด้วยร่างของหญิงสาวคนหนึ่งลอยละล่องขี่ม้าเปกาซัสสีเงินบินโฉบเข้ามา

        เธอคือเอลฟ์สาวผู้สวมเกาะอกเหล็กกับกางเกงในโลหะติดแม่กุญแจ ทรงผมยังคงเป็นสีแดงสั้นซอยทั้งหัวเหมือนเดิม มิเชลใช้เวลาสักพัก...ก่อนนึกได้ว่านั่นคือ NPC พูดมากจากสมาคมผู้กล้าประจำเมือง!

        “สวัสดีค่าาาาาา ฉันยังไม่เคยแนะนำตัวเองเลย ฉันชื่อโซเนีย ชื่อเหมือนเมืองไขลานโซเนียเลย เท่ดีมั้ยคะ!!” เธอตะโกนพร้อมกับหันหัวมองรอบๆ “ขอกล่าวเปิดงานใหญ่แรกสุดของเกมเราตั้งแต่เริ่มให้บริการเวอร์ชั่นทดลองเล่นนะค๊าา!! ขณะนี้งานประลองคริสมาสต์เริ่มขึ้นแล้ว!!”

        แม่เอลฟ์กางเกงในเหล็กยิ้มกว้างแล้วชูสองนิ้วจากบนหลังม้า เธอกำลังแหกปากด้วยพลังเสียงระดับที่กระจายทั่วลานกว้างเข้าถึงหูผู้เล่นกว่าหมื่นคน

        “ผู้เล่นทุกคนที่ลงทะเบียนแล้วและอยู่ในเขตของตัวงานจะถือว่ายืนยันการเข้าร่วมอัติโนมัตินะคะ! ฉันมีเรื่องอยากจะกล่าวย้อนหลังเล่าถึงประวัติความเป็นมาของเทศกาลคริสมาสต์มาก... แต่เขาอนุญาตให้พูดแค่เรื่องงานแข่งเท่านั้น น่าเสียดายชะมัด!”

        มิเชลรู้สึกว่าได้ยินเสียงคนรอบข้างถอนหายใจ

        “เนื่องจากเรามีคนเยอะมากกก! ดังนั้นจะให้แบ่งเป็น 32ลานย่อยๆ ของทั้งหมวดนักรบและจอมเวท พวกเราจะสุ่มเลือกเวทีประลองให้ผู้เล่นโดยอัติโนมัติเองค่ะ!!”

        สิ้นเสียง พื้นที่ยืนอยู่ค่อยๆ สูงขึ้นกลายเป็นเวทีสีขาวทรงสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ ร่างของมิเชลกับโทนี่ลอยเคว้งจากพื้นแล้วกระเด็นไปตกแหมะคนละเวที คนอื่นนอกจากทั้งคู่ก็ไม่ต่างกัน ผู้เข้าแข่งขันร่วมทั้งหมื่นคนกลิ้งโค่โร่กลางอากาศ แล้วถลาลงสถานที่ของตัวเองจากการโดนสุ่มเลือกให้

        มิเชลกับโทนี่โดนจับแยก เธอยืนบนลานสี่เหลี่ยมที่มีแต่จอมเวทใส่ชุดผ้ากับเสื้อคลุม ส่วนโทนี่อยู่ในกลุ่มของนักรบ หนึ่งเวทีจะมีผู้เข้าร่วมประมาณร้อยกว่าคน และเกือบทุกคนแต่งตัวด้วยสีแดง...

        “กติกาง่ายๆ คือ.. ใครตาย หรือตกจากเวทีประทองนับเป็นตกรอบหมด และจะได้ผู้ชนะต่อเมื่อเหลืออยู่บนเวทีแค่สองคนเท่านั้นนะคะ! เท่ากับว่าเราจะมีผู้เข้ารอบหมวดละ 64คน!”

        เสียงร้องโห่คัดค้านดังกระหึ่ม ระบบคัดเลือกแบบนี้ถ้าใครพวกมากก็แค่ช่วยกันรุมจัดการผู้เล่นอื่น จากนั้นค่อยเลือกคนชนะออกมาจากกลุ่มตัวเองเป็นพอ

        "ดิฉันทราบดีค่ะว่ากติกานี้อาจทำให้มีการเล่นพรรคเล่นพวกบ้าง แต่ก็ได้ทำการสุ่มเวทีให้ผู้เล่นได้กระจายตัวออกไปด้วย"

        เสียงโวยวายค่อยๆ สงบลง การสุ่มขึ้นมาถึงหมวดละ 32 เวทีทำให้พรรคพวกวงเดียวกันกระเด็นไปคนละทาง หลายคนจึงพอยอมรับได้ แต่ก็ยังมีเสียงที่ไม่เลิกโห่ พวกเขาเรียกร้องว่าต้องจัดแข่งเดี่ยวหมดทุกคู่เพื่อความยุติธรรม มิเชลคิดว่าถ้าทำแบบนั้น จากงานประลองคริสมาสต์เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นวาเลนไทน์เลยดีกว่า ผู้เล่นเกือบหมื่น ไม่รู้เดือนไหนถึงจะแข่งเสร็จ

        “หากผู้เล่นท่านไหนอยากติดต่อหรือมีข้อติชมเกี่ยวกับงานนี้ค่อยกรุณาติดต่อหน้าเว็บไซต์หรือฝากข้อความไว้ที่กระดานสนทนานะคะ” โซเนียเอ่ย “ตอนนี้เราต้องดำเนินตามแบบที่มันควรจะเป็นก่อน ถ้าไม่ทำตามแผนงานเดิมอาจจะมีอะไรเละเทะกว่านี้ค่ะ”

        “ถ้าแผนงานเดิมมันไม่ดีก็ต้องเปลี่ยนสิ!” ผู้เล่นขี้โวยวายคนหนึ่งร้องผ่ากลางฝูงชน

        “ใช่ จะปล่อยให้มันเป็นงานที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้เรอะ!” อีกเสียงเสริมขึ้น

        "ดิฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่สามารถทำความต้องการผู้เล่นทุกคนได้” โซเนียตอบด้วยเสียงหวาน จากนั้นก็เบิกตากว้างและเริ่มบรรเลงสุนทรพจน์อันยาวเหยียด.. “พันธกิจของบริษัทเราคือ..."

        เธอสาธยายเรื่องการก่อตั้งบริษัทเกมและเป้าหมายทางธุรกิจ รวมทั้งประวัติผู้บริหารคนแรกยันคนสุดท้าย ผู้เล่นที่กำลังบ่นอยู่ถึงกับเงียบด้วยความอึ้ง พอโซเนียเว้นช่วงพักหายใจก็เกิดเสียงโวยวายให้เลิกนอกเรื่อง แน่นอนว่าแค่นั้นแม่ NPC ที่สามารถพูดกับตัวเองเป็นชั่วโมงไม่มีสะเทือนเด็ดขาด เจ้าหล่อนตอบพวกเขาเหมือนกำลังเข้าประเด็น แต่สุดท้ายก็พาเนียนออกทะเลดวงดาวหลุดไกลไปสุดขอบจักรวาล

        ที่จริง เกือบทั้งหมดเรียกว่าโอเคกับการสุ่มออกมาหมวดละ 32 เวทีแล้ว มันดูยุติธรรมและสะดวกสุด คนที่เบื่อต้องยืนฟังประวัติบริษัทเลยช่วยกันส่งสายตาประนามกดดันพวกขี้บ่น ส่วนโซเนียรอจนผู้เล่นเกือบทั้งหมดหยุดโวยวาย จากนั้นเธอจึงนั่งยานอวกาศจากนอกโลกกลับเข้าฝั่ง แล้วพาเรื่องกลับมาที่งานเทศกาลคริสมาสต์เหมือนเดิม

        "จะอธิบายกติกาซ้ำนะคะ ยังฟังกันอยู่รึเปล่าค๊า!"

        คนที่ยืนหลับไปแล้วค่อยทยอยสะดุ้งตื่น ส่วนมิเชลยังทนได้เพราะเคยฟังเจ้าหล่อนพล่ามคนเดียวในสมาคมผู้กล้านานกว่านั้นอีก

        "ขอให้คิดว่าเป็นการแข่งกันเอาชีวิตรอดบนเวที ใครตกเวที หรือตายจะหมดสิทธิทันที ถ้าเหลือแค่สองคนเมื่อไหร่ ฉันจะไปรับพร้อมเอ่ยคำแสดงความยินดีต่อผู้ชนะเข้ารอบต่อไปค่ะ!"

        ทุกคนไม่อยากคิดเลยว่าจะใช้เวลาฟังคำแสดงความยินดีนั่นนานขนาดไหน...

        "ยัง ยัง ยังไม่หมดค่ะ! เนื่องจากเป็นเทศกาล เราไม่ใจร้ายพอจะให้ผู้เล่นที่ตายในงานต้องโดนลดเลเวลแน่นอน! คนตายจะโดนวาร์ปออกจากเวทีและเกิดใหม่ทันทีโดยยังรับชมการแข่งขันของเวทีอื่นต่อได้ค่ะ!" เธอควบม้าเปกาซัสตีลังกากลางอากาศ แล้วตามด้วยคำพูดเปิดงาน "เริ่มได้ตั้งแต่บัดนี้ค่ะ ถ้าชักช้าไม่ยอมเริ่ม พลาดไปเสียใจไม่รู้ด้วย!"

        มิเชลพยายามมองหาโทนี่จากเวทีไกลโพ้น เธอไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่.. ห่วงก็แค่่เพื่อนซี้ แต่เพราะหาไม่เจอเลยยอมตัดใจ และกลับมามองดูภายในลานประลองนักเวทที่กำลังยืนอยู่

        คนในเวทีเริ่มเปิดฉากต่อสู้ มิเชลเตรียมดาบคู่ใจเอาไว้ สารพัดเวททั้งสายฟ้าสายน้ำหรือไฟถูกเรียกใช้ชุลมุน เธอต้องก้มหัววิ่งหลบเวทมนตร์ที่ปล่อยยิงกันมั่วซั่ว ส่วนมือจับดาบฟันสะบัดไปเรื่อย เวลานั้น ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนถือดาบกลางกลุ่มจอมเวท

        ผู้เล่นกว่าครึ่งในเวทีสวมเสื้อผ้าสีแดงออกมาเป็นธีมเดียวกัน ทีแรกมิเชลนึกว่าพวกเขาจะร่วมมือจัดการคนอื่นก่อนแต่เปล่าเลย จะสีแดงสีน้ำตาลหรือสีขาวก็ลุยกันมั่วอุตลุด

        จู่ๆ ใครบางคนแตะเข้าที่ไหล่ มิเชลหันหลังเตรียมสู้ เธอค้างมือไว้เมื่อเห็นหน้าตาของคนคุ้นเคย เรวิน นักบวชขาวผมบลอนด์ผู้ไร้มนุษย์สัมพันธ์กำลังทำหน้าตึงใส่ มันช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ มีตั้งสามสิบสองเวที แต่กลับมาเจอกันเองแบบนี้ได้

        เรวินกำลังประหลาดใจเหมือนมิเชล เขาเป็นนักบวชจึงโดนนับอยู่ในหมวดเวทมนตร์ ชายหนุ่มสวมเสื้อกางเกงขายาวสีขาวกับหมวกทรงสูงซึ่งไปคล้ายกับการแต่งตัวของหลายๆ คนบนเวทีเลยดูไม่ค่อยสะดุดตานัก

        "เก็บดาบและอย่าทำตัวเด่น"

        มิเชลเลิกคิ้ว นั่นคือคำพูดแรกของคนที่ไม่ได้เจอกันหลายวันหรือ แต่มันก็สมกับเป็นเรวินดี เธอเปลี่ยนดาบกลับเป็นกิ่งไม้ตามคำพูดเขา

        "รอให้พวกพลังงานเหลือเยอะจัดการกันเองให้เรียบก่อน ส่วนเราเก็บพลังงานไว้" เรวินอธิบายพร้อมกับเรียกมิเชลเข้ามุมอับ เขาอาศัยแสงจากเวทมนตร์และความชุลมุนเพื่อเนียนไปกับสถานที่

        "ไม่ได้เจอเรวินตั้งนาน" มิเชลนึกหาเรื่องขึ้นมาพูดเปิดประเด็น แต่เรวินไม่ตอบ

        ทั้งคู่กำลังแฝงกายอยู่ในกลุ่มควันที่เกิดจากเวทไฟ เสียงร่ายมนตร์ของผู้เล่นอื่นยังดังเอะอะมะเทิ่ง บางคนโดนฆ่าตายกลางงาน แต่ส่วนมากจะถูกผลักร่วงตกจากเวทีเสียมากกว่า มิเชลรู้สึกอึดอัด เพราะต้องก้มหัวหลบๆ ซ่อนๆ เธอไม่แน่ใจว่าแบบนี้ดีแล้วหรือ?

        "เราจะอยู่กันเฉยๆ แบบนี้ไปตลอดหรือ?" สายตามิเชลเหลือบมองพวกที่กำลังตะลุมบอนกัน เธอเกิดอารมณ์อยากมีส่วนร่วมด้วย "แบบนี้ก็ไม่ได้ประลองกับใครเลยสิ"

        "ไม่ต้องห่วง ถ้าคนเหลือน้อยเมื่อไหร่พวกนั้นก็สังเกตเห็นเราเอง" เรวินตอบ เขายังกดหัวมิเชลให้นอนลงเพื่อหลบสายตาคน "อาศัยความวุ่นวายตรงนี้หลบไป"

        วิธีของนักบวชหนุ่มคือซ่อนเพื่อเอาตัวรอด ทีแรกมิเชลอึดอัดกับความคิดเขา แต่เมื่องานดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เธอก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง คนที่มุทะลุออกตัวแต่แรกล้วนอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ พวกนั้นน่าจะเหลือพลังชีวิตและพลังเวทมนตร์น้อยมาก แบบนี้ไม่ใช่แนวทางที่ฉลาดนัก

        มีอีกหลายคนคิดเหมือนนักบวชขาว พวกเขาไม่เข้าร่วมวงต่อสู้ แต่รออยู่เฉยๆ รอบนอกเพื่อรักษาค่าพลังชีวิตตัวเองไว้ให้มากที่สุด ทำไปทำมากลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่เริ่มสังเกตได้จึงไม่พอใจ แล้วรวมหัวจัดการใครก็ตามที่แอบยืนหลบมุม มิเชลจึงต้องเปลี่ยนแผน เธอแปลงกิ่งไม้เป็นดาบ และตั้งท่าเตรียมพร้อมข้างๆ เรวิน

        "ไอ้พวกขี้ขลาด!" ลูกบอลสายฟ้าพุ่งเข้าใส่พวกมิเชลพร้อมกับเสียงตะโกน เธอรีบดึงเรวินออกจากตรงนั้นด้วยกัน มันเฉียดชายชุดคลุมเขาไหม้ไปนิดหน่อย

        "เลี่ยงการต่อสู้ได้นานสุดแค่นี้เองเรอะ" เรวินบ่น เขายกไม้เท้าขึ้นร่ายเวทเพิ่มพลังป้องกันให้ทั้งมิเชลและตัวเอง จากนั้นก็วิ่งหนีออกจากบริเวณที่ถูกสารพัดเวทถล่มยิง "ฝากนายด้วย!"

        มิเชลจับดาบคู่แล้วฟันนักเวทหัวดำที่ยืนใกล้สุดสี่ครั้งติด เขาล้มลงและถูกวาร์ปออกจากการแข่งขันทันที พอดีว่ามีอีกคนกำลังแอบร่ายเวทจากข้างหลัง เธอรู้สึกได้จึงรีบหมุนตัวกลับไปแทงอาวุธเข้ากลางอกผู้มุ่งร้าย ตัวเลขสีแดงใหญ่เบ้อเริ่มเด้งขึ้นเพื่อบอกว่าการโจมตีเมื่อครู่โดนจุดตาย

        "เป็นนักเวท.. ทำไม.. ดาบ.." เสียงนั้นขาดช่วงแล้วโดนวาร์ปหายต่อหน้าต่อตา

        มิเชลสะดุดกับคำพูดนั้น นักเวทถือดาบคงดูแปลก แต่แบบนี้ก็เท่ชะมัด ยืนควงดาบอยู่คนเดียวกลางกลุ่มนักเวท ไม่เท่แล้วจะเรียกอะไรอีก

        “หลังจากนายกำจัดคนอื่นได้ ให้ย้ายที่ด่วน” เรวินสาวเท้ามายืนข้างๆ แล้วกระชากเธอออก เขาร่ายเวทบาเรียขึ้นมาบังร่างทั้งสองคน

        “ท..ทำไมล่ะ?”

        “ถึงจะเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ต้องเลี่ยงการเป็นจุดเด่น... นายเป็นรองหัวหน้าของสมาพันธ์เรา ยังจำได้ใช่ไหม”

        “จำได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเป็นจุดเด่น”

        “สมาพันธ์เราเปิดสงครามกับพวกเกราะแดงแล้ว”

        “เปิดสงคราม.. ยังไง?” มิเชลยักคิ้ว เธอนึกภาพตามไม่ออก สงครามตามที่เข้าใจคือการรบระหว่างเมือง แล้วในเกมออนไลน์จะออกมาเป็นรูปแบบไหน?

        "เห็นคนใส่ชุดแดงเยอะๆ หรือยัง"

        "เห็นแล้ว" มิเชลเห็นแต่ชุดสีแดงมาตลอดทาง พออยู่บนเวทีก็นึกว่าแต่งแนวเดียวกันจะต้องมาด้วยกัน ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะพวกเขาร่ายเวทอัดกันมั่วไปหมด

        "พวกเกราะแดงเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ขนาดคนที่ไม่ใช่เกราะแดงยังสวมสีแดงตามเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ตอนนี้เลยมีกลุ่มต่อต้านเกราะแดงเกิดขึ้น และสมาพันธ์เราก็เป็นหัวหลักหัวตอการต่อต้านไปแล้ว"

        "แต่พวกเรวินเพิ่งจะก่อตั้งสมาพันธ์ เรามีสมาชิกเยอะพอๆ กับพวกเกราะแดงแล้วหรือไง?" เธอตั้งข้อสังเกต

        "รายละเอียดนายถามเอาจากจั๊งค์ ฉันไม่อยากคิดถึงมันเท่าไหร่" เรวินเสียงสั่นเหมือนพยายามสะกดอารมณ์โมโห

        พลัน สายฟ้าหนึ่งเส้นยิงเปรี้ยงใส่เรวิน เขาเรียกโล่แสงขึ้นมาขวาง โล่ถูกยิงแตกดังเปรี๊ยะแล้วทะลุต่อไปช็อตร่างนักบวชขาวจนล้มกลิ้ง มิเชลรีบกระโจนเข้าช่วย แต่ชายหนุ่มกลับยกมือห้ามและฟื้นพลังตัวเองทันที

        "แค่นี้ฉันดูแลตัวเองได้" เรวินพูดพร้อมกับดันตัวลุกขึ้น

        มิเชลพยักหน้าเข้าใจ เรวินไม่ใช่สายโจมตีหรือว่องไวอะไรนัก แต่เขามีทั้งเวทป้องกันและฟื้นฟูจึงพอเอาตัวรอดเองได้ เธอเลิกระวังหลังให้นักบวชหนุ่มแล้วลุยต่อเต็มที่

        จู่ๆ ปรากฏลูกไฟพุ่งฉิวมาอย่างเร็ว มิเชลขยับหลบพ้นยกเว้นแต่เสื้อผ้าที่ถูกสะเก็ดเพลิงกระเด็นใส่จนลุกไหม้ เธอเรียกทักษะสาดน้ำดับไฟ จากนั้นก็มองหาตัวต้นเหตุ ทว่าบนเวทีชุลมุนมั่วไปหมด ไม่รู้ใครกำลังยิงใคร พอมาประจันหน้ากัน ต่างคนต่างต้องรีบอ้าปากร่ายเวทเพื่อชิงความได้เปรียบ ทั้งเสียงทั้งแสงสารพัดสีจึงตีกันวุ่นวาย

        มิเชลเป็นหนึ่งในความวุ่นวายนั้น แต่เธอไม่มีเวทไว้ยิงเปรี้ยงปร้าง เธอมีแค่ดาบสำหรับฟัน ซึ่งมันก็เพียงพอให้หลายคนเริ่มเอะใจว่าไหงจู่ๆ จำนวนผู้เข้าแข่งลดไปอย่างรวดเร็ว

        เมื่อจำนวนผู้เล่นเหลือต่ำกว่าสิบ ถึงเรวินอยากให้ซ่อนตัวและไม่เป็นจุดเด่นก็ทำไม่ได้แล้ว คนบนเวทีทั้งหกมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างยืนรอดูเชิงเพราะกลัวใครจะฉวยโอกาสหากเริ่มการต่อสู้ก่อน

        ตอนนี้มิเชลขยับไปยืนข้างๆ เรวินเพื่อความสบายใจ แต่นั่นกลับเป็นผลเสีย เพราะอีกสี่คนดูจะต่างคนต่างมา ทั้งหมดคิดเหมือนกันว่าต้องร่วมมือจัดการพวกมาเป็นกลุ่มก่อน นักบวชหนุ่มรู้ทันเขาจึงเรียกโล่แสงขึ้นกั้นทันที

        ลูกบอลเวทสี่ลูกพุ่งตรงใส่มิเชลในขณะที่อีกคนร่ายเวทตรึงร่างเธอ ค่าพลังชีวิตลดลงเกือบหมดแต่เรวินช่วยรักษาให้ทัน เมื่อเวทตรึงร่างสลาย เด็กหญิงรีบขยับพุ่งเข้าฟันจอมเวทที่กำลังเสียเวลาท่องมนตร์สร้างเส้นสายฟ้า ทั้งห้ายืนตะลึงเพราะมิเชลเหมือนมาผิดเวที เวทีของเหล่านักรบอยู่คนละด้าน

        หากจอมเวทกับนักรบเผชิญหน้ากัน คนชนะมักจะเป็นนักรบเพราะไม่มีการเสียเวลาร่าย มิเชลจึงได้เปรียบ เธอพุ่งตัวเข้าเสียบนักเวทที่กำลังจะอ้าปาก แล้วก้าวกระโดดไปถึงอีกคนที่อยู่ข้างๆ เพื่อฟัน ทั้งสองเสียจังหวะล้มลง บทเวทขาดช่วง ทว่าด้านหลังยังเหลืออีกคนที่จับเขวี้ยงลูกบอลสายฟ้าใส่

        มิเชลหลบไม่พ้น ข้อบกพร่องของเวทมนตร์คือเสียเวลาร่าย ส่วนจุดดีมันคือความเร็วและแต้มโจมตีที่รุนแรงกว่าอาวุธนักรบ แต่โชคยังอยู่ข้างมิเชล เพราะเธอเองก็เป็นนักเวทแม้จะไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ ตัวเธอจึงมีค่าป้องกันเวทสูงกว่าปกติพอให้เรวินใช้ท่าฟื้นพลังช่วยทัน

        เด็กหญิงยืนตระหง่านคร่อมร่างของนักเวททั้งสองโดยไม่สนใจคนที่เหลือ เธอมั่นใจว่าเรวินสามารถสนับสนุนได้ มิเชลฟันซ้ำจนพวกเขาโดนตัดสิทธิออกจากลานประลอง เมื่อหันกลับไปจะบอกขอบคุณก็เห็นภาพนักบวชหนุ่มกำลังโดนรุมกินโต๊ะ

        เรวินไม่ได้ใช้โล่แสงหรือเวทฟื้นฟูแล้ว เขาเข้าไปหยิบไม้เท้าฟาดกบาลคู่ต่อสู้เพื่อหยุดการร่ายมนตร์ตรงๆ มิเชลรู้สึกเห็นภาพสะท้อนตัวเองแว่บๆ สภาพนักบวชหนุ่มคล้ายกับตอนที่ตนยังมีแต่กิ่งไม้ กิ่งไม้ และกิ่งไม้... ซึ่งพลังโจมตีมันต่ำเตี้ยติดดินและทำได้แค่สะกัดการโจมตีอย่างเดียว

        มิเชลรีบช่วยเรวิน พอดีมีคนสองคนยืนใกล้กันเธอจึงจัดการฟันรวบในดาบเดียว พวกเขาชะงักและได้แค่่เพียงทำหน้าตาเหรอหราเพราะทั้งคู่ไม่เห็นทางรอดจากตรงนี้เลย นี่เป็นเวทีนักเวท แต่กลับปรากฏนักเวทที่ควงดาบได้ มันเรื่องบ้าอะไรกัน...

        ทั้งคู่ก่นด่าและพร้อมใจกันตะโกนเรียกกรรมการ แต่โซเนียกำลังขี่เปกาซัสเงินแล้วบินดูจากที่สูงฉะนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงอะไร

        “เวทีนักเวทมีนักรบอยู่หนึ่งคน! ต้องแข่งใหม่”

        “นี่มันบ้าชัดๆ ไอ้พวกโกงเกม!”

        มิเชลมั่นใจว่าตนเป็นอาชีพสายเวทมนตร์ อาวุธของนักมายาธาตุเป็นกิ่งไม้ที่หน้าตาเหมือนไม้เท้า และกว่าจะได้ทักษะโจมตี... ไม่สิ มันควรเรียกว่าอาวุธ ซึ่งกว่าจะได้มาก็ต้องเหนื่อยอยู่นาน ฉะนั้นเธอย่อมมีสิทธิสมกับความลำบากที่ผ่านมา

        เธอย้ำดาบลงไปบนร่างพวกเขา และก็ตามคาด ทั้งสองโดนวาร์ปออกจากลานประลองทันที ส่วนอีกหนึ่งคนที่เหลือนั้น เรวินกำลังสู้ในเชิงรับอย่างสูสี... มันเป็นภาพตลกมากที่เห็นนักบวชหนุ่มสลับกันเอาไม้คฑาเคาะหัวอีกฝ่าย เด็กหญิงจึงเข้าไปช่วยด้วยการฟาดดาบซ้ำ ศัตรูของเรวินจึงถูกจัดการโดยมิเชล

        บนเวทีเหมือนจะเหลือเพียงสองคน ถ้าแบบนั้นทั้งเธอและเขาก็ชนะแล้ว มิเชลมองหน้าเรวินพร้อมกับยิ้มให้อย่างยินดี นักบวชหนุ่มผู้ยิ้มยากกำลังจะยกมุมปากยิ้มตาม แต่แล้วก็ต้องชะงัก เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงดึงให้มิเชลหันหลังดู

        เมื่อหันหลังก็พบนักเวทชายหญิงสองคน พวกเขาแอบหลบด้วยวิธีสุดพิสดารและเสี่ยงมาก นั่นคือการเอาแขนเกาะห้อยตัวอยู่ตรงขอบเวที และตอนนั้นฝ่ายนักเวทหนุ่มเพิ่งช่วยดึงร่างเพื่อนสาวให้ปีนขึ้นได้สำเร็จ

        นักเวทสาวใส่ชุดที่คล้ายบิกินี่ติดผ้าผืนบางพริ้วๆ เส้นผมสีเขียวอ่อนของเธอยังมัดรวบขึ้นเป็นหางม้าสะบัดไหว ลักษณะเจ้าหล่อนดูอ่อนช้อยทั้งตัวจนค่อนไปทางนักเต้นรำมากกว่าจอมเวท ส่วนฝ่ายชายมีรูปหน้าเหลี่ยม เขาทำผมตั้ง ทรงคล้ายจั๊งแต่เป็นสีดำ ดวงตาคมเพราะมีหางตายกสูง

        นักเวทสาวหันมองนักเวทชาย แล้วล้วงหยิบพัดเหล็กคู่จากกระเป๋าพร้อมกับออกตัวเต้นรำในท่วงท่ารุนแรง มิเชลกับเรวินเข้าใจว่าเวทมนตร์ของเธอนั้นต้องร่ายผ่านการเต้น เด็กหญิงจึงพุ่งเข้าไปหมายจะหยุด

        เจ้าหล่อนสะบัดพัดเหล็กรับการโจมตี เธอยกขาขึ้นสูง มิเชลกระโดดถอยหลังเพราะนึกว่าจะถูกเตะ ปรากฏว่านักเวทสาวแค่เพียงกวาดปลายเท้าอยู่บนพื้นพร้อมยืนเขย่งและหมุนไปรอบๆ

        นักเวทชายเริ่มกรีดเสียงร้องขึ้นสูง มันเป็นบทเพลง บทเพลงที่สามารถสะกดร่างผู้ฟังไว้กับที่ กล้ามเนื้อบนหน้ามิเชลเริ่มเกร็งค้าง เธอทำตาโตและอ้าปากกว้างจนหุบไม่ลง ส่วนเรวินนั้นไม่ต่างกัน เขายืนตัวแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้า

        มิเชลกับเรวินยืนตัวแข็ง... เพราะไม่เคยฟังเพลงที่ห่วยขนาดนี้มาก่อน! ทั้งผิดคีย์ หลงคีย์ และเอื่อยราวกับกำลังท่องอาขยาน คนเต้นรำประกอบบทเพลงก็พอๆ กัน เจ้าหล่อนสะบัดผมรุนแรง แต่ออกมาเหมือนคนกลอกหัวอย่างไร้ทิศทาง ส่วนท่ากางแขนเลียนแบบนกจะโผบิน ดูแล้วไม่มีทางบินขึ้นเด็ดขาด

        เรวินใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีก่อนกลับมาตั้งสติได้ เขาไม่ไว้ใจแก๊งนักเวทนักดนตรีตรงหน้าจึงบอกให้มิเชลรีบจัดการ

        “อย่าเพิ่งนะ! อีกนิดเดียวจะจบเพลงแล้ว!” หญิงสาวนักเต้นกรีดร้อง “มันเป็นความฝันของพวกเราที่จะได้เปิดการแสดงบนเวที!!”

        “การแสดง..?” มิเชลผงะ.. ไอ้เจ้าการเต้นยึกยือยึกยั่นกับเสียงหลงคีย์เรียกเป็นการแสดง?

        “ใช่แล้ว! เรากำลังแสดงบนเวทีที่มีผู้ชมหนึ่งหมื่นคน!”

        มิเชลหันหัวไปรอบๆ ตามคำพูดพวกเขา แต่หนึ่งหมื่นคน..? อยู่ตรงไหน? เธอมองเห็นแค่การแข่งของเวทีอื่นๆ ที่กำลังดำเนินอยู่เท่านั้น... ทุกคนก็ไม่มีมาสนใจใครเพราะต่างต้องสนใจการต่อสู้ตรงหน้าตัวเอง

        จริงสิ... คนเข้าร่วมงานแข่ง มีหนึ่งหมื่นคน และเธอกำลังเหมาว่าทุกคนคือคนดู... แบบนี้เรียกคิดไปเองใช่ไหม...

        มิเชลมองเรวินเพื่อขอความเห็น ปรากฏว่า เธอถึงกับลืมหายใจเมื่อเห็นคนยิ้มยากอย่างเขากำลังริมฝีปากกระตุก นักบวชหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต คล้ายกับว่าหากหลุดเสียงหัวเราะเมื่อไหร่จะต้องโดนโจมตีแน่นอน

        และแล้ว การแสดงสุดห่วยก็จบลงภายในเวลาห้านาที แต่มิเชลคิดว่าสำหรับเรวินคงเป็นความเครียดที่ยาวนาน

        “ความฝันเราเป็นจริงแล้ว... ขอบคุณไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม” นักเต้นสาวประทับจูบลงบนแก้มมิเชลด้วยน้ำตาคลอเบ้า ส่วนเรวินนั้นถอยห่างไปหลายก้าวเพราะยังไม่เชื่อใจ

        “ในที่สุดเราก็ได้เต้นบนเวทีที่มีผู้ชมเป็นหมื่น..” เขาทำท่าเพ้อแล้วยกแขนเช็ดคราบน้ำตา

        “ที่รักคะ เราจะต้องพยายามมากกว่านี้ ครั้งนี้มีผู้ชมหลักหมื่น คราวหน้าต้องเป็นเวทีที่มีผู้ชมหลักแสน!” เธอกอดแฟนหนุ่มแน่น “หลักหมื่นเลยนะคะ...”

        “ใช่แล้วจ๊ะ...ที่รัก เรายืดอกบอกเพื่อนฝูงได้แล้วว่าได้ร้องบนเวทีที่มีคนดูหลักหมื่น!”

        “ค่ะ หลักหมื่น!”

        “ใช่ หลักหมื่น!”

        “หมื่น!!”

        ทั้งคู่กระโดดออกจากเวทีเพื่อตัดสิทธิตัวเอง มิเชลระเบิดเสียงหัวเราะดังกว่าเดิมพอเห็นเรวินมุมปากกระตุกขึ้นลงหลายครั้ง เขาพยายามเกร็งไม่ให้ตัวเองหลุดขำ แต่นั่นเป็นอะไรที่ตลกพอๆ กับคู่รักคู่เพี้ยนเมื่อครู่

        งานประลองคริสมาสต์ครั้งนี้เรียกว่ามีผู้เข้าร่วมหมื่นคนจะเป็นจำนวนตัวเลขที่ถูกกว่า แต่ทุกคนก็ไปวุ่นวายอยู่กับการท้าตีท้าต่อยในเวทีตัวเอง ดังนั้นพวกที่มามองดูพวกเขาเต้นและร้องเพลงอาจไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำไป

        เมื่อคู่รักคู่เพี้ยนตัดสิทธิตัวเอง แสงจากเวทีส่องขึ้นทันที ครั้งนี้ทั้งคู่จึงมั่นใจว่าพวกเขาชนะแน่แล้ว โซเนียขี่เปกาซัสสีเงินพุ่งเข้ามากล่าวคำแสดงความยินดี มิเชลไม่รู้ว่าควรเลือกอันไหนดี ระหว่างสุนทรพจน์น่าเบื่ออันยาวนานกับบทเพลงกระแทกโสตประสาทแต่สั้น

        พวกเขาปล่อยให้เสียงของโซเนียไหลทะลุหูขวาออกหูซ้ายไป พอมีเวทีอื่นที่แข่งกันเสร็จสิ้น โซเนียจึงเลิกสนใจทั้งคู่แล้วบินไปเอ่ยคำแสดงความยินดีกับผู้ชนะรายใหม่ มิเชลกับเรวินถึงค่อยได้พักหูบ้าง

        มิเชลกับเรวินโดนวาร์ปออกจากเวทีกลางเวหาลงมาอยู่บนพื้น พอมองจากที่ต่ำกว่าแล้วแทบไม่เห็นว่าข้างบนนั้นทำอะไรกัน เธอเห็นแค่แผ่นหลังผู้เข้าแข่งเท่านั้น ส่วนมากก็จะไปตะลุมบอนกันอยู่ตรงกลางที่เป็นจุดอับสายตาคนดูเสียด้วย หากแพ้ คนมักออกจากงานเลยเพราะไม่มีอะไรให้ทำ แต่มิเชลยังต้องรอโทนี่ และเรวินยังต้องรอเจอหน้าจั๊งค์

        ระหว่างที่รอโทนี่ มิเชลได้พบเพื่อนเก่าหลายคน เธอเจอเรเชลน้องชายของเรวินเป็นคนแรก  นักดาบหนุ่มน้อยพยายามถามถึงโทนี่ ดูเหมือนทั้งคู่จะไปสนิทกันยิ่งกว่าเดิมในช่วงที่มิเชลไม่เข้าเกม และเมื่อจั๊งค์แข่งเสร็จเขาก็ตามมาทักทายด้วย แต่กลับโดนเรวินลากตัวไปประชุมสมาพันธ์หลังจากพูดคำว่า ‘เฮ้’ เท่านั้น

        “ไอ้หมอนี่มันเป็นรองหัวหน้าไม่ใช่เรอะ ทำไมมันอยู่ที่นี่ได้ แล้วฉันต้องไปประชุมด้วยล่ะ!” โจรหนุ่มโวยวาย

        “เขารอเพื่อนอยู่” เรวินค้อน “ส่วนนาย ฉันรู้ว่าไม่ได้รอใคร ฉะนั้นไปด้วยกันซะ เรเชล นายก็ต้องมาด้วย!”

        “ฉันจะรอเด็กโทนี่นั่นบ้างไม่ได้เรอะ! นั่นมันเพื่อนของรองหัวหน้าสมาพันธ์เราเชียวนะเฟ้ย!”

        “ไอ้บ้า” เรวินตัดบท เขาสั่งให้น้องชายตัวเองผู้มีแรงมากกว่าเพราะเป็นอาชีพนักดาบออกแรงลากเพื่อนจอมกวนไปด้วยกัน

        นอกจากคนในสมาพันธ์เดียวกันอย่างเรวิน เรเชลและจั๊งค์ เธอยังเจอแพนด้าน้อย ชายผู้มีร่างกายใหญ่โตกับใบหน้าดุดันเหมือนหมีก้าวลงจากเวทีพร้อมชัยชนะ หลังเหตุการณ์หาดอกบัวสีดำด้วยกันในทะเลทรายกะทะร้อนและบึงอสรพิษ มิเชลได้คุยกับเขาน้อยมาก

        “สบายดีนี่” เขาทักทายพร้อมเก็บขวานขึ้นสะพายหลัง

        “ทำไม...”

        ชุดของแพนด้าน้อยกลายเป็นสีแดงไปแล้ว นี่เขาอยู่ทีมเกราะแดงด้วยหรือ...?

        “อ๋อ ไอ้เสื้อผ้าแบบนี้น่ะนะ” แพนด้าน้อยหัวเราะเสียงดัง “แค่ใส่เพื่อเนียนๆ ไปกับกลุ่มคน ฉันชอบอยู่แบบไม่วุ่นวาย”

        “จริงเหรอ ใส่สีแดงแล้วจะไม่มีปัญหา?” มิเชลทำหน้าคิด

        “ฉันน่ะทำได้ แต่นายไม่ควรหรอก”

        “ทำไม?”

        “ก็นายเป็นรองหัวหน้าของสมาพันธ์จักรพรรดิหน้าตาย” แพนด้าน้อยเกริ่น “แมกกาซีนที่ลงเรื่องของนายฉันได้อ่านอยู่นะ”

        มิเชลตัวแข็งทื่อ เจ้าแมกกาซีนประหลาดนั่นสินะ...

        “มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ! ไอ้ที่บอกว่า...”

        “ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ แต่ว่ารองหัวหน้าของสมาพันธ์จักรพรรดิไม่ควรจะทำตัวสมยอมพวกเกราะแดงนักหรอก...” ชายร่างยักษ์เอ่ย “ที่จริง... ฉันเองก็ชอบอยู่แบบสงบๆ แล้วมาคุยกับนายที่กำลังจะเป็นหนึ่งในแกนกลางของความวุ่นวายทำไมหว่า... ไปดีกว่า แล้วค่อยคุยกันในที่ๆ มีคนดูน้อยกว่านี้”

        งานประลองกลางหาวยุติลงด้วยเวลาในเกมที่ยาวนานเกือบยี่สิบชั่วโมง โทนี่ออกมาเกือบคนสุดท้าย มิเชลแปลกใจอย่างแรงเพราะเขากลายเป็นผู้ชนะ ทั้งที่ไม่เก่งสักนิดกลับชนะในเวทีที่ไม่มีเธออยู่ด้วย เด็กหญิงจึงสนว่าใครคือผู้ชนะร่วมอีกคนมาก

        “ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่ได้คุยกันเลย” โทนี่ตอบคำถามเธอด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

        “เขาช่วยโทนี่หรือเปล่า?”

        “ฉันช่วยตัวเองต่างหาก...” เขาเถียงทันที “หัดมองว่าฉันเก่งบ้างสิ”

        “มิเชลก็คิดว่าโทนี่เก่ง แต่เก่งคนละแบบ ไม่ใช่เก่งอะไรแนวนี้” เธอตอบตามความคิดจริง

        “เดี๋ยวจะได้เห็นอะไรดีๆ ช่วงที่เธอหายจากเกมไปหลายวัน ฉันพัฒนาแล้วนะ”

        “ขี้คุย”

        “เพิ่งรู้หรือไง” โทนี่แย้ง จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มหัวเราะพร้อมกัน

        “วันศุกร์หน้าก็ยังต้องแข่งต่ออีก”

        “ก็ชนะมีได้แค่คนเดียวนี่... ไม่สิ สองคนจากสองหมวด วันนี้ได้คนเข้ารอบไปหมวดละ 64 คน คงแข่งแบบจับคู่น่ะแหละ”

        หลังจากนั้นมิเชลพยายามมองหาอีกหลายคน แต่คนเยอะมาก แค่เจอเรวินกับแพนด้าน้อยก็เรียกว่าสุดจะบังเอิญแล้ว เธอชวนโทนี่ออกไปล็อคเอาท์พักผ่อน เพราะตามเวลาจริงมันเที่ยงคืนกว่า สถานที่สำหรับล็อคเอาท์ยังคงเป็นป้อมยามหน้าเมือง เด็กหญิงถึงกับตกใจเมื่อเจอหน้าคนคุ้นเคยคนสุดท้าย

        “พี่!”

        ชายหนุ่มหน้ามน ผมบลอนด์สลวยกับดวงตาสีฟ้า ทั้งยังรูปหล่อจนน่าหมั่นไส้และท่าทางขี้เก๊กจนเชิญชวนให้ผู้ชายด้วยกันอยากฆ่าทิ้งกำลังยืนพิงกำแพง เขาดึงปีกหมวกที่ปิดบังใบหน้าขึ้นแล้วกดลงอีกครั้ง

        “โทนี่.. เธอไปก่อนเถอะ ขอคุยกับน้องสาวตัวเองสักหน่อย”

        โทนี่ยึกยัก เขาทำท่าลังเล แต่มิเชลส่งสายตาไม่เป็นไรให้ก็เลยออกจากเกมโดยที่ยังมองเหลียวหลังตามอยู่

        และเมื่อโทนี่จากไป มิเชลหันกลับมามองหน้าพี่ชายแท้ๆ ด้วยความระแวง เธอรู้สึกว่า ถ้าเผลอจะต้องมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีกแน่นอน

    *********************************************
    หมายเหตุ : ขอแก้ไขหน่อยนะครับ

    ในตอนแรก พี่ชาย ของมิเชลมีสองชื่อ นั่นคือ ชาร์ลี ชื่อในเกมส์
    และมิลเลอร์เป็นชื่อจริง ซึ่งไม่รู้ว่าคนอ่านลืมไปยังว่ามันมีอีกชื่อด้วย 5555+

    แต่ตอนนี้ตัวละครเยอะจนกลัวคนจำไม่ได้ เลยขอลบเหลือชื่อเดียว นั่นคือ "มิลเลอร์" คำเดียว ทั้งในเกมส์นอกเกมส์




    มาช้ากว่าวันเสาร์ไปสองชั่วโมง ถ้าพระอาทิตย์ไม่ขึ้น ผมถือว่ายังไม่เปลี่ยนวันละกัน55+




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×