ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 16 เวทีจอมเวท (ครึ่งแรก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      3
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 16 เวทีจอมเวท

        เธอติดแหงกอยู่ในภารกิจเกมหลายชั่วโมง พอออกจากเกมก็กลายเป็นเวลาบ่ายสองกว่า อาการแสบท้องฟ้องว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เลวร้ายกว่านั้นคือพบว่าครูสอนพิเศษโกรธจนกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว มิเชลงานเข้าชุดใหญ่ พ่อไม่มาบ่นต่อหน้า แต่ตอนเย็นก็สั่งให้คนงานไปถอดเก็บสายหมวกสำหรับล็อคอินออกมา ทางสู่โลกพาราเรลออนไลน์จึงถูกตัดขาดทันที

        เธอกระสับกระส่ายอยากกลับเข้าไปในเกม อยากเล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ยังไม่ทันตั้งชื่อ และอยากทำอะไรอีกมากมายที่ค้างคาเอาไว้ มิเชลได้แค่ส่งข้อความบอกโทนี่ว่าคงต้องอยู่เป็นเด็กดีก่อนสักพักใหญ่ เพราะพ่อเอาจริง เขาใจดี แต่จะคอยตามใจก็ต่อเมื่อลูกสาวรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเท่านั้น

        เช้าวันจันทร์เธอไปโรงเรียนโดยที่นั่งในรถพ่อ ทั้งสองสื่อสารเพียงเล็กน้อย บรรยากาศกระอักกระอ่วนเพราะเขาไม่ยอมบอกออกมาตรงๆ ก่อนลงจากรถ มิเชลส่งกระดาษข้อความแผ่นเล็กให้ มันเขียนด้วยปากกาลูกลื่นลายมือจึงไม่สวยนัก แต่ก็เป็นคำขอโทษ ทั้งคำอธิบายถึงสาเหตุที่ออกจากเกมสาย

        มิเชลรู้สึกอึดอัดใจ ตอนนี้เธออยากมองเห็นเหลือเกินจะได้รู้ว่าเขามีสีหน้าอย่างไร เด็กหญิงนั่งนิ่งเพื่อรอคำตอบรับจากกระดาษแผ่นนั้น

        เธอเลือกเขียนด้วยภาษาของคนตาดีเนื่องจากจะสื่อถึงความตั้งใจในการขอโทษ มิเชลยอมรับว่าครึ่งหนึ่งเป็นเพราะอยากให้พ่อคืนสายของหมวกสำหรับเข้าเกม แต่อีกครึ่งก็เพราะรู้สึกผิดอยู่จริงๆ เด็กหญิงไม่ชอบอารมณ์แบบนี้เลย ทั้งที่รู้ว่าผิด แต่ก็ห้ามใจอยากเล่นไม่ได้

        ไม่นานนัก ฝ่ามืออุ่นก็ตบลงที่หัว เขาดึงมือลูกสาวออกมาและบอกเป็นภาษามือว่าค่อยคุยกันตอนเย็น

        พอถึงห้องเรียน เธอรีบคลำหาเพื่อนซี้สาวที่อยู่โต๊ะติดกัน ปรากฏว่าเจ้าตัวยังไม่กลับมาสักที โทนี่เคยบอกแค่หยุดเรียนไปผ่าตัดใส่เส้นประสาทหูเทียมสองสัปดาห์ แต่ตอนนี้อาทิตย์ที่สามแล้ว.. มิเชลคิดถึงอลิสมากเพราะส่งข้อความไปกี่ฉบับก็ไม่ตอบ เดาว่าคงวุ่นวายกับการทำกายภาพบำบัดด้านเสียงอยู่

        เมื่อถึงเวลาพักคาบเช้า เพื่อนร่วมห้องรวมถึงโทนี่ต่างเข้ามารุมโต๊ะเธอโดยไม่ได้นัดหมาย โทนี่บอกกับมิเชลว่าเพิ่งเล่าเรื่องในเกมให้ฟัง จากนั้นทุกคนก็อยากเล่นมากถึงมารุมที่โต๊ะเธอ

        "เธอทำยังไงถึงได้เล่น!? ต้องซื้อเครื่องก่อนหรือเปล่า!?"

        "โทนี่บอกว่าบอกว่าภาพชัดมาก มิเชลก็มองเห็นมันชัดเหมือนกันใช่ไหม"

        "บ้านฉันไม่มีเครื่อง จะเล่นผ่านคอมพิวเตอร์แทนได้ไหม!?"


        ฝ่ามือซ้ายขวาถูกแย่งกันดึงไปวาดสัญญาณมือโดยเพื่อนไม่ซ้ำหน้า มิเชลแทบจับใจความไม่ทัน ถ้าเปรียบกับคนหูดี คงเหมือนกับการที่ต้องฟังคนสองคนพูดในเวลาเดียวกัน

        สักพัก คำถามที่ระดมยิงมาก็หยุดไปเฉยๆ มิเชลสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงสะกิดเรียกคนข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

        "เกิดอะไรขึ้น?" มิเชลถามด้วยภาษามือแบบสัมผัสและพบว่าเป็นมือของผู้หญิง

        "มิเชล เกมนี้ปลอดภัยรึเปล่า" มือข้างนั้นขยับถามแบบรีบร้อนจนเกือบจะลืมเว้นช่องไฟให้ ปกติภาษามือควรมีการเว้นช่วงเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น แต่คนถามกลับทำสัญญาณส่งมารัวๆ ลืมคิดถึงคนฟังสนิท

        "ก็ต้องปลอดภัยสิ เล่นมาจะครบเดือนแล้ว"

        "เขาบอกว่าที่อลิสหยุดเรียนไปนานเป็นเพราะเกมนี้"

        "อลิสไปผ่าตัดใส่เส้นประสาทหูเทียมต่างหาก!"
    มิเชลเถียงกลับทันที

        "ไม่รู้สิ อาจจะผ่าตัดเสร็จแล้วค่อยไปเล่นก็ได้ เขาบอกว่าอลิสไม่ออกจากเกม เธอหลับไม่ตื่นเลย"

        "ใครบอก"

        "มีคนจากห้องอื่นเดินมาบอก มันน่ากลัวมากเลยนะแบบนี้ พวกเธอเลิกเล่นเถอะ"


        หัวมิเชลโล่งไปชั่วขณะ เธอไม่ค่อยอยากเชื่อ เพราะเข้าออกเกมอยู่ตลอดและทุกอย่างโอเคหมด เว้นไว้แค่เรื่องที่เล่นมากเกินจนพ่อโกรธ แต่ถ้ามันจริง แล้วอลิสเป็นอย่างไรบ้าง... ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ การหยุดเรียนเพิ่มอีกหนึ่งอาทิตย์เป็นลางไม่ดีหรือเปล่า?

        "แต่มิเชลไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา โทนี่ด้วย ยังมาอยู่ตรงนี้อยู่เลย"

        "ฉันก็ไม่รู้ เขาบอกมาแบบนั้น แต่เธอแน่ใจนะว่าเกมมันปลอดภัย ยิ่งไปยุ่งกับสมองด้วยเนี่ย"


        มิเชลเริ่มเดาได้ว่าคนพูดคือหัวหน้าห้องเจ้าระเบียบจากนิสัยชอบสะบัดปลายนิ้ว โต๊ะเธออยู่คนละฟาก แต่ยังอุตส่าห์เดินมาเพื่อคุยเรื่องเกม

        "แค่เรื่องสมองไม่กลัวอยู่แล้ว วิช่วลเวิร์ลก็เกี่ยวกับสมองเหมือนกัน" มิเชลเล่นวิช่วลเวิร์ลมาหลายปี และคิดว่าตัวเองปกติดี

        "บางทีมันอาจจะลดไอคิวเธอก็ได้นะ แต่เธอไม่รู้ตัว เธอเป็นแค่คนทดลองเครื่องแล้วเคยดูผลของการทดลองบ้างรึเปล่าล่ะ?"

        "มิเชลไม่ใช่คนทดลองเครื่อง เครื่องนั่นใช้ได้จริง!"


        แน่นอนว่าพ่อย่อมต้องตรวจเรื่องความปลอดภัยจนละเอียดยิบก่อนถึงมือมิเชล หากไม่มีใครทดสอบระบบให้ คิดว่าคงเป็นพ่อนั่นแหละที่ขอลองเองคนแรก เขารักเธอมากเกินกว่าจะเอามาเสี่ยงด้วย และเมื่อคิดถึงตรงนี้... ใจก็เริ่มปวดแปล็บ เย็นนี้จะได้คุยอะไรกับพ่อนะ...

        "ถ้าใช้ได้จริงทำไมถึงไม่เอามาขายสักทีล่ะ? พ่อเธอเอาให้ทดลองใช้มานานแล้วนี่นา เขาไม่บอกอะไรหรือเปล่า"

        "ไม่รู้ แต่พ่อไม่ได้ให้มิเชลทดลอง!"


        มิเชลรีบชักมือกลับ เธอไม่อยากคุยด้วยแล้ว เมื่อฝ่ายโน้นเจอท่าทีแบบนี้จึงเลิกต่อล้อต่อเถียงเช่นกัน

        ช่วงเวลาพักคาบเช้าสั้นแผล็บเดียว แค่เถียงกันก็หมดเวลา มิเชลจึงรอคุยกับโทนี่ตอนเที่ยง เธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อลิสอาจจะแค่ใช้เวลาพักฟื้นนานไปเท่านั้นเอง โรงพยาบาลของรัฐที่มีบริการใส่เส้นประสาทหูเทียมฟรีอยู่ต่างเมือง แถมยังไกลมาก เพื่อนสาวเลยต้องเปิดห้องอยู่ที่นั่นเพื่อไปกลับจากโรงพยาบาล

        พอพักเที่ยง เธอรีบลุกไปซื้อขนมปังแฮมจากตู้ขายอาหารอัติโนมัติ มันมีวางไว้บนระเบียงทางเดินชั้นละสองเครื่อง เวลาใช้ต้องกดปุ่มเลือกตามหมายเลขแล้วรูดบัตรนักเรียน พอได้ของเรียบร้อยมิเชลก็กลับโต๊ะเรียนและนั่งกินกับโทนี่

        โทนี่รออยู่บนเก้าอี้ของอลิสและเอานิ้วจิ้มวนบนหลังมือมิเชล มันเป็นสัญลักษณ์ที่นัดแนะไว้เพื่อจะได้รู้ว่านั่นคือโทนี่ หากเป็นอลิส เธอจะใช้ปลายเล็บกดสามครั้งติดๆ กันแทน

        “พ่อให้เล่นเกมได้รึยัง?”

        “ยัง”

        “แล้วเรื่องของอลิส มีคนบอกเธอยัง”

        “มี! มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ เอาจริงๆ นะ”
    มิเชลรุกคำถามโดยเร็ว

        “มีคนบอกว่าอลิสนอนเล่นเกมแล้วหลับไม่ตื่น ตอนนี้เลยไม่มาโรงเรียน”

        “อลิสไปผ่าตัดต่างหาก!”

        “ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อเหมือนเธอ เพราะพวกเรายังเล่นเกมนั้นได้ไม่เป็นไร“


        พอโทนี่บอกว่าเห็นด้วย มิเชลจึงเริ่มสงบใจได้บ้างเพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนยืนอยู่ข้างเดียวกัน

        “โทนี่คิดเหมือนมิเชล”

        “ไม่ทั้งหมดหรอก เกมอาจจะมีข้อผิดพลาด แล้วอลิสซวยพอดี แต่อย่าเพิ่งแน่ใจจนกว่าจะถามจากอลิสหรือพ่อแม่อลิสดีกว่า”


        เด็กหญิงเงียบชั่วขณะ... ที่เขาพูดก็เป็นไปได้

        “ถ้าอลิสยังไม่ตอบข้อความ วันนี้จะให้พ่อโทรไปถามที่บ้านอลิสให้เลย”

        “ทะเลาะกับพ่ออยู่ไม่ใช่หรือไง?”

        “เรื่องสำคัญ พ่อไม่ว่าหรอก”

        “งั้นฉันมีเรื่องจะเล่าต่อ เสียดายมากที่เธอไม่ได้ยินด้วย”

        “มันคือ..?”

        “เขาว่าเวลาเล่นพาราเรลออนไลน์ เราจะโดนแฮกข้อมูลจากสมอง”


        มิเชลตกใจสุดขีด มือไม้แข็งไปหมด

        “จริงน่ะ!?”

        “แล้วก็เครื่องเกมสามารถควบคุมสมองเราได้ด้วยการบังคับคลื่นสมอง”

        “เครื่องเกมทำแบบนั้นได้ด้วย!?”
    เธออึ้ง

        “มีต่ออีกนะ เขาบอกว่ามันจะทำให้เป็นมะเร็งเพราะคลื่นไฟฟ้าชื่อจำยากๆ อะไรสักอย่าง”

        “ทำไมมันน่ากลัวขนาดนี้ล่ะ...”

        “ฉันก็ไม่รู้ แต่ไปถามพ่อเธอให้ทีสิ เขาเป็นสปอนเซอร์หลักนี่ ใช่ไม่ใช่ก็มาบอกหน่อย”


        “ได้ มิเชลจะถามพ่อ.. เมื่อวานยังเล่นได้อยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้ทำไมเกมถึงดูน่ากลัวขนาดนี้นะ”

        “เห็นด้วย ศุกร์ที่แล้วฉันเพิ่งชวนพวกในห้องมาเล่นเกมนี้ได้สำเร็จตั้งห้าคน! แต่พวกนั้นคงไม่มาแล้ว”

        มิเชลหัวเราะพรืด พอลองนึกภาพโทนี่พยายามตั้งอกตั้งใจชวนคนอื่นเล่นเกมก็ตลกดี มันไม่เข้ากับบุคลิกเขาเลย ทั้งคู่ได้พูดคุยต่ออีกนิดหน่อยก่อนหมดพักเที่ยง และต่างหันมาบอกลากันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน

        มิเชลเดินตามเบรลบล็อคไปหยุดอยู่หน้าโรงเรียน พ่อมารับเหมือนปกติ เธอรอจนถึงบ้านและได้คุยตามที่นัดกันไว้ เขาเริ่มประเด็นเรื่องเกมกับครูสอนพิเศษก่อนเป็นอันดับแรก

        "ภารกิจนั้นพ่อใบ้ให้ไปเอง แต่พ่อไม่รู้ว่ามันเป็นภารกิจที่เสียเวลาขนาดนั้น" เขาบอกลูกสาว

        มิเชลคิดว่าตนกำลังจะรอดพ้นข้อหาแล้ว ทว่า โดนพ่อดักคอล่วงหน้า...

        "แต่.. ไม่ว่าในเกมจะมีอะไรก็ต้องกลับออกมาทำหน้าที่ตัวเอง ถึงจะต้องตาย เลเวลลด ตัวละครหายยังไง ถ้าถึงเวลาเรียน ลูกก็ต้องออกจากเกม เรื่องในเกมขอให้เป็นเรื่องรอง"

        "แต่มิเชลมีลงแข่งงานประลองคริสมาสต์ ถ้าโดนลดเลเวลอีก มันจะ.." เธอชะงัก และเริ่มคิดได้ว่าเรื่องนี้ก็เป็นแค่ปัญหาในเกม... ระดับความสำคัญในสายตาพ่อคงต่างกัน

        เธอดึงมือพ่อเข้าหาตัวแล้วขยับนิ้วเพื่อตอบว่า "ค่ะ"

        “ดีมาก พ่อยอมให้ลูกเล่นก็จริง แต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขต”


        หลังจากนั้น มิเชลเล่าเรื่องที่มีเพื่อนในห้องพูดเกี่ยวกับพาราเรลออนไลน์ให้ฟัง ตามด้วยคำถามขอความยืนยัน นิ้วของพ่อลากอยู่บนมือเธออย่างรวดเร็วกว่าเดิม เขารีบร้อนถามว่าใครเป็นคนพูด

        "ไม่รู้ค่ะ มีเด็กห้องอื่นเดินมาบอก มิเชลไม่ได้ยินหรอก เดี๋ยวจะถามโทนี่ให้ว่าใคร แล้วมันอันตรายจริงหรือคะ?"

        "จริงที่ไหนล่ะ สารก่อมะเร็งอะไรไม่มี เรื่องแฮกข้อมูลในสมองก็ไม่มีด้วย" พ่อกึ่งอธิบายกึ่งโวยวาย "เครื่องเกมแค่ส่งข้อมูลเข้าไปให้สมองเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวเท่านั้น มันไม่เคยเอาข้อมูลจากผู้เล่น นอกจากผู้เล่นจะเป็นคนให้เอง เคยมีอะไรในเกมอ่านใจลูกได้ไหมล่ะถ้าลูกไม่บอก"

        "มี NPC ที่รู้ชื่อมิเชลโดยไม่ได้บอก"

        "อันนั้นเป็นเพราะเขาดูจากฐานข้อมูล แต่เขาไม่ได้อ่านมันจากหัวลูก"

        "แล้วอลิสล่ะคะ.."

        "พ่อจะโทรถามให้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนติดในเกมโดยพ่อไม่รู้ นั่นมันเรื่องใหญ่มาก"


        เธอยังถามทิ้งท้ายเบาๆ อีกเรื่องเกี่ยวกับวิช่วลเวิร์ล ถึงมิเชลเถียงเพื่อนอย่างแข็งขันว่าตนไม่ใช่คนทดลองเครื่อง แต่ได้รู้จากพ่อโดยตรงย่อมสบายใจกว่า

        "เอาที่ไหนมาคิด พ่อให้ลูกเล่นเพราะมันทดลองจนปลอดภัยแล้วต่างหาก ไอคิวก็ไม่ลดด้วย!"

        เขาตอบคำถามตรงใจมาก เธอจึงยิ้มน้อยๆ

        “วันศุกร์”

        “คะ?”

        “เย็นวันศุกร์พ่อจะเสียบสายหมวกล็อคอินกลับให้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขยันเรียนหน่อยล่ะ”


        เธอกระโดดกอดขอบคุณทันที เย็นวันศุกร์คือเวลาเริ่มงานประลองของเกม... มันคงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ พ่อค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่บทลงโทษก็โอนอ่อนผ่อนผันเสมอ โดยเฉพาะมิเชลที่เชื่อฟังมาตลอด ผิดกับพี่ชายผู้อยู่ในวัยต่อต้านมาสิบปีเต็ม

        ที่จริงแล้ว วัยต่อต้านของพี่ไม่ได้เกิน 1-2 ปีหรอก แต่พ่อเรียกมันว่าแบบนั้นเพราะเขาดื้อกว่าเธอมาก มิเชลเป็นน้องคนเล็ก แถมยังมีสภาพร่างกายต่างจากคนอื่นเลยได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่และเก็บตกทุกรายละเอียด เด็กหญิงไม่ถูกตามใจ แต่ใช้ชีวิตอย่างเข้มงวดสุดๆ

        พ่อกลัวว่า หากขาดเขา ลูกจะไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้จึงยอมทำตามคำผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ตอนมิเชลยังเด็ก เขาต้องทนดูเธอหิวข้าวอยู่หลายชั่วโมง กว่าจะหยิบแครกเกอร์เข้าปากกินเป็นมื้อเช้าสำเร็จ

        บางครั้ง ยังต้องทนมองลูกหนาวเป็นนาที เพื่อรอให้มิเชลรู้จักหาผ้าเช็ดตัวมาจัดการตนเองเป็น แน่นอนว่าเขาเองก็พอรู้ขอบเขตว่าเมื่อไหร่ที่ควรยื่นมือช่วย และเมื่อไหร่ที่ควรทำแค่ดูกับรอ

        ความเข้มงวดนั้นเริ่มผ่อนผันลงเมื่อมิเชลโตขึ้น เธอเป็นเด็กดีอยู่ใต้กรอบ การหย่อนเชือกที่ขึงไว้ลงอีกนิด เพิ่มความอิสระสักหน่อย จะส่งผลให้ลูกสาวกล้าคิดกล้าทำ แต่เขาก็ยังเหลือห่วงโซ่บางอย่างอยู่บ้าง อย่างเช่นการไม่เคยปล่อยเดินทางไปไหนเองเพราะกลัวอันตราย เพราะเป็นพ่อจึงไม่อาจตัดทิ้งได้หมดทุกเรื่อง

        ความรักคือการให้โอกาส ไม่ใช่ปกป้องมากเกินไปจนผู้ถูกปกป้องไม่สามารถยืนด้วยขาของตัวเอง เพราะพ่อยอมปล่อยมือและรอ มิเชลจึงกล้าแสดงออก อีกทั้งยังมั่นใจเมื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง

        ********************************************************************

        มิเชลล็อคอินเข้าเกมอีกครั้ง เธอปรากฏตัวข้างหน้าผา มันเป็นเวลากลางวันที่แสงแดดจ้า เด็กหญิงเช็คหน้าต่างสถานะของตัวเองเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ จากนั้นค่อยนึกออกว่าตนเพิ่งได้รับมังกรน้อยมาหนึ่งตัว

        เธอล้วงเอาหินผนึกสัตว์เลี้ยงออกมาและเห็นร่างมังกรดำขนาดจิ๋วอยู่ด้านใน ถึงดูได้ไม่ค่อยชัดเพราะตัวหินผนึกเป็นสีฟ้า แต่ก็พอรู้ว่ามันจงใจหันหัวหนีมิเชล เจ้าตัวเล็กขยับปีกที่มีเพียงข้างเดียวมาปิดหน้าแล้วนอนต่อ

        มิเชลขว้างหินผนึกลงกับพื้นทันทีที่อ่านวิธีใช้จากหน้าต่างช่วยเหลือสำเร็จ หน้าต่างช่วยเหลือนั้นรูปร่างคล้ายกับหน้าต่างสถานะ แต่มันจะเขียนวิธีใช้งานสิ่งต่างๆ และการเรียกสัตว์เลี้ยงออกจากผนึก ก็คือการทำให้หินเกิดรอยร้าว

        “ฮื่อ...” หมอกสีขาวบางๆ กระจายออกพร้อมกับเสียงขู่คำราม

        เมื่อหมอกจางลง ก็ปรากฏให้เห็นมังกรสีดำตัวเล็ก มันยืนสองขา ขาหลังใหญ่กว่าขาหน้าที่เล็กลีบคล้ายแขนคน ร่างก็สูงแค่เอว แต่ถ้ายืดสุดคออาจจะยาวไปถึงหัวไหล่

        “กรุณาตั้งชื่อ”

        เสียงประกาศจากระบบดังขึ้นพร้อมกับหน้าต่างเล็กๆ ให้พิมพ์ มิเชลเพิ่งคิดได้ว่าตนไม่ทันนึกมาก่อน แต่คงดีกว่าการเรียกมันว่ามังกรน้อยเฉยๆ แบบนั้นออกจะมักง่ายเกินไปหน่อย เธอใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในการนั่งบรรจงใส่ชื่อที่ทั้งน่ารักและเท่ลงไป

        “โมนิค กรุณายืนยันเสียงอ่าน”

        เธอแปะมือตกลงเพื่อยืนยัน ชื่อนี้มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าผู้ให้คำแนะนำ มิเชลจึงหวนนึกถึงคนๆ หนึ่ง และมันก็ฟังดูทั้งเท่ทั้งน่ารัก ตรงสเปคพอดี

        “ชื่อโมนิคแล้วนะ” มิเชลลูบหัว เจ้าตัวเล็กหันขวับแล้วกัดเข้าเต็มๆ มือ “หวาย!”

        “ฮื่อ....” เจ้าตัวเล็กถอยหลังไปสามก้าว มันส่งเสียงขู่พร้อมยิงฟันที่เพิ่งงอกออกมาเป็นซี่เล็กๆ สองซี่ เธอไม่รู้ว่าควรจะทำท่ากลัวดีหรือเปล่า

        มิเชลพยายามถ้อยทีถ้อยอาศัยกับมันอยู่พักใหญ่ แต่โมนิคก็ยังกัดไม่เลิก มันไม่เชื่องเลยแม้แต่นิดเดียว และเธอเริ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้... ใช่แล้ว อาหาร! ต้องเปิดเช็คดูจากหน้าต่างสถานะของสัตว์เลี้ยง!

        ปรากฏว่าค่าความอิ่มของโมนิคเต็มหลอด สภาพร่างกายหรือค่าพลังชีวิตล้วนปกติ มิเชลลองยื่นข้าวกล่องตัวเองให้ มันก็หันหน้าออก

        “ไม่กินข้าว แล้วกินอะไร?”

        แน่นอนว่าถามไปมังกรน้อยก็ไม่ตอบ มันทิ้งตัวลงกับพื้น แล้วหลับลงดื๊อๆ...

        “อ้าว หลับได้ไง! เรายังไม่รู้จักกันเลย!” เธอประท้วงพร้อมก้าวเข้าไปเขย่าตัว จากนั้นจึงโดนงับเข้าปากทั้งมือ แต่ฟันคู่น้อยของโมนิคยังเล็กอยู่ มันเลยทำได้แค่อมเอาไว้

        “มิเชล! ได้ยินหรือเปล่า!”

        “โทนี่!”

        เธอร้อง ปกติเข้าเกมมาเมื่อไหร่ต้องเรียกหาโทนี่ก่อนทำอย่างอื่น แต่คราวนี้นอกจากโมนิคก็ยังมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่าง... พลัน มิเชลอุทานขึ้นทันที เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมส่งข้อความบอกโทนี่ในเรื่องที่เขาฝากถามพ่อ

        “มิเชลขอโทษ ลืมส่งข้อความไปบอก”

        “เรื่อง.. อ๋อ เรื่องนั้นเอง”

        “โทนี่ไม่กลัว?” มิเชลเลียบเคียงถาม

        “กลัวที่ว่าเกมจะแฮกข้อมูลจากหัว แล้วก็มีสารก่อมะเร็งอีกงั้นสิ”

        “อืม”

        “ถ้าพ่อยอมให้เธอเล่นได้ มันก็ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว”

        “นั่นสินะ” มิเชลหัวเราะตาม

        “แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่?”

        “ลืมบอกสนิทเลย...”

        มิเชลเริ่มเล่าทุกเรื่องที่ผ่านมา รวมถึงโมนิคด้วย โทนี่รับฟังเงียบๆ แล้วค่อยแทรกความเห็นในตอนท้าย เขาบอกให้เก็บโมนิคและรีบกลับเมืองมา เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามชั่วโมงงานประลองจะเริ่ม..

        “อ๊า.. ลืมไปแล้ว!!”

    **************************************




    ว้ากก ในที่สุด วีคนี้ก็ลงนิยายตามแผนได้แล้วแม้จะเป็นครึ่งตอน
    เป็นอีกหนึ่งตอนที่รอเขียนอยู่มานาน >.<


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×