ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Exo]+ ShortFic++(ChanSoo)

    ลำดับตอนที่ #4 : (นอกเรื่อง)SSF Vampire,Warm Bodies'

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 56





    ชี้แจงก่อนนิดนึงนะคะ**
    เรื่องส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องหลักแต่อย่างใดนะคะ^^
    พอดีเป็นssf 
    ต้องบอกแบบนี้เพราะย่อมาจาก ซูปเปอร์ชอร์ทฟิค55555555555
    คือมันสั้นมากๆ คล้ายๆกับการ์ตูนห้าช่องประมาณนั้น แต่ละวันมีเวลาว่างนิดๆหน่อยเองไม่พอจะมานั่งหน้าคอมต่อเรื่องหลัก
    เลยพล็อตๆ เขียนเรื่องสั้นๆนิดหน่อย ลงในกรุ้ปเอาไว้ในFBไว้(น้องในกรุ้ปอาจจะอ่านแล้วล่ะ แต่พี่เอามาแปะเป็นขุมไว้ในเด็กดีด้วย-..-)
    แต่คิดไปคิดมาเลยเอามาลงไว้ในนี้ด้วยดีกว่า เผื่อจะเก็บเป็นชิ้นอัน เผื่ออนาคตอาจจะหยิบมาต่อยอด555

    อ่านเล่น เพลินๆนะคะ  ไม่ได้มีเนื้อหาหนักหน่วงอะไร
    เชิญอ่านค่า~
    ขอบคุณนะคะ(น้องปิ้กชอบคุณน้ะ)

    +++++++++++++++++++++


    ส่วนอีเรื่องนี้ ดูเทรียลเลอร์เรื่องวอร์มบอดี้เลยจุดประกายขึ้นมา เจ้าแม่เวิ้นเว้ออะ 55555
    ทางที่ดี ปิดเพลงของหน้าหลักทิ้งแล้วฟังเพลงนี้รหว่างอ่านฟิคสั้นๆเรื่องนี้นะ จะดีกว่า ฮี่(เรื่องมากอีก))



     




    Vampire,Warm Bodies'


    ใครว่าเป็นแวมไพร์แล้วมีเพื่อนไม่ได้ล่ะ 

    ผมนี่ไง...คนนึง

    ผู้ชายคนนี้เคยเป็นเพื่อนผมเมื่อสามร้อยปีก่อน 

    ส่วนตัวผมเองถูกสต้าฟไว้ที่อายุ22ปีแบบนี้มาได้300ร้อยปีกว่าแล้วเช่นกัน



    แต่ต่างกันแค่ สามร้อยปีก่อน เขา’ รับได้ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรก็ตาม----

    ความเป็นอมตะ ถูกทำให้สิ้นสุดลงเมื่อทายาทคนสุดท้ายอย่างผมเลือกที่จะค้นหาหนทางเพื่อปิดตายตำนานปีศาจผีดิบ

    ตำนานของสิ่งมีชีวิตที่ต้องทนกับความทุกข์ทรมานอย่างไม่มีวันจบ

    ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดที่จะจบมันหรอกนะครับ ---แต่การที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างเรื่อยเปื่อยแบบนี้วันต่อวัน ค่อยๆดูผู้คนรอบๆข้าง

    ลมหายตายจา
    กไปทีละคนทีละคน...ก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่

    แวมไพร์อย่างเราๆเหมือนสัตว์เลือดเย็น ไม่มีอวัยวะใดๆที่จะทำการสูบฉีด เหมือนศพไร้ชีวิตที่เพียงแต่เคลื่อนไหวได้เท่านั้น




    พ่อกับแม่ได้จากไปเมื่อครั้งที่โลก’ทำสงครามกับพวกเรา เพื่อทำลายล้างสิ่งมีขีวิตที่อันตรายอย่างพวกผมให้หมดสิ้น 

    ผมเองเลยถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ 

    และเมื่ออายุครบ20ปี การออกล่าเพื่อดื่มเลือดด้วยตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะมันหมายถึงช่วงวัยที่ผมเจริญเติบโตอย่างเต็มตัว

    แต่การตระเวณหาเหยื่อโดยใช่มนุษย์เป็นเครื่องมือนั้น ...ผมไม่เคยได้ทำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
    การออกล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยเป็
    นทางเลือกที่ผมมักจะเลือกทำเสียมากกว่า

    แต่เลือดมนุษย์คือยาอุยุวัฒนะที่จะทำให้ร่างกายของแวมไพร์ เป็นอมตะ’

    เพราะฉะนั้น ร่างกายของผมจึงค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรมลงคล้ายกับมนุษย์ทีละเล็กทีละน้อย ตราบที่เมื่อไหร่ก็ตาม ผมยังคงเลือกที่จะปฎิเสธการออกล่ามนุษย์เพื่อนำเลือดบริสุทธิ์ของผู้คนแหล่านั้นมาเป็ยาอายุวัฒนะให้กับตัวเอง

    หากแต่ ไม่มีใครกล้าเข้าไกล้ผมนัก ยกเว้นเขา’

    ผมรู้ว่าเรามีอะไรบางอย่างที่ผูกจิตให้เชื่อมโยงกันจากการมีชีวิตของห้วงเวลาหนึ่งที่เคยใช้ร่วมกันเมื่อครั้งหลายร้อยปีมาแล้ว

    สหายผู้ซื่อสัตย์


    แน่นอน


    300ร้อยปีที่แล้วโดคยองซูเป็นหญิงสาว’ที่น่าตาน่ารัก คำพูดคำจาฟังดูอ่อนโยน เป็นที่เอ็นดูของใครต่อใครในหมู่บ้าน

    ผมรู้จักกับเธอและเป็นเพื่อนกัน
    มาจนกระทั่งเธอได้หมดอายุขัยไปตามกาลเวลาของมนุษย์ 

    ทว่าผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่แบบนี้ต่อมาเรื่อยๆ



    เรื่อยๆ...


    เพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว 

    จนกระทั่งวันนึงได้หวนกลับมา

    เด็กผู้ชายที่ชื่อโดคยองซู’ 


    บุล...กลายเป้นเด็กผู้ฃายตัวเล็กๆที่มีแววตาเป็นประกายสดใสและน่ารัก

    เขามักจะมาวนเวียนไกล้ๆผมเสมอๆ เจ้าหมอนี่เป็นเด็กมัธยมที่น่ารำคาญคนนึงเลยกว่าได้ ...เวลาที่ผ่านไปอาจจะทำให้เพศที่แตกต่างและความเรียบร้อยน่ารักเหล่านั้นของบุล’ได้เลือนหายไปด้วย 

    ผมยังจำเขาได้ดีเพราะรอยแผลเป็นที่กระดูกไหปลาร้า 

    คยองซูมีมัน...

    รอยจากธนูเมื่อครั้งที่บุลสอนให้ผมออกล่าเหยื่อที่เป็นสัตว์ป่าแทนการที่ต้องดื่มเลือดมนุษย์ มันยากสำหรับเด็กผู้ชายอย่างผมเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่จะต้องสังหารใครอย่างง่ายดายโดยไร้เหตุผล

    อา...อธิบายไปก็คงไม่มีคนเข้าใจ

    แวมไพร์มีเซ้นอะไรหลายๆออย่างที่พวกคุณไม่ไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ..

    บุลในเวลานี้เหมือนคนงี่เง่า ...เธอไม่ฉลาดเหมือนแต่ก่อน เหลือเพียงความซื่อ ที่แลดูจะเกินขอบเขต

    บุล’หรือคยองซูในตอนนี้เป็นเด็กผู้ชายที่ขับรถส่งนมเลี้ยงครอบครัวเล็กๆ เขาบอกว่า ผมน่าสงสาร เพราะเห็นผมที่ชอบออกมานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์เก่าริมถนนชานดงเพียงคนเดียวทุกๆวันในช่วงเวลาเช้ามืด


    ผมแค่หิว..
    แต่เลือกไม่ได้ว่าสมควรจะทำอย่างไรดี
    หาเลือดสัตว์ที่กำลังไกล้ตายแล้วกินเหมือนอย่างที่ทำมา ก็แลดูจะทำให้เนื้อตัวที่เย็นเฉียบนี่ถดถอยหมดกำลังลงไปทุกที

    คยองซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นอะไร...

    แต่ทุกครั้งที่เราเจอกันเขามักจะเข้ามานั่งข้างๆ 
    ผ่อนรถโกโรโกโสเอาไว้ริมทาง ..และค่อยๆบ่นเรื่องราวในหนึ่งวันที่ผ่านมาให้ฟังราวกับคนบ้า
    ทั้งที่ผีดิบไร้ชีวิตอย่างผมไม่
    ได้มีประโยชน์และโต้ตอบเขากลับเป็นอยู่สองคำเท่านั้น

    คำว่า อืม..’.กับ อือ..’.

    ...เช่นเคย
    สุดท้าย เมื่อเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนี่หมด
    ความทุกข์ใจ...เขาก็จะทิ้งนมสดหนึ่งกล่องเอาไว้ให้ผมเสมอๆ เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับกระโถนรองรับเรื่องราวร้อยแปดพันอย่างอย่างผม
    ผมกินมันได้นิดหน่อย –มันคาว และเหม็นเกินไปสำหรับน้ำสีขาวขุ่นที่เจ้าหมอนั่นบอกว่ามันมีประโยชน์ -------
    ก็แค่สำหรับมนุษย์
    ---

    ผมรู้ว่าเขาแพ้ยุง..

    ผมรู้ว่าเขาโค่นสัตว์ป่าตัวเขื่องได้ทั้งตัวด้วยมือเดียว หรือในอย่างในห้วงเวลานี้ที่ความสามารถเหล่านั้นดูจะติดตามตัวของเขามาด้วย คยองซูสามารถส่งนมด้วยระยะทางกว่า10กว่ากิโลด้วยจักรยานเพียงคันเดียว 

    แต่เค้าไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวอะไรกับผมแม้เพียงย่างเดียว นอกจากชื่อ...และนามสกุล

    เขาไม่รู้ว่าผมต้องใช้ความสามารถในการควบคุมตัวเองขนาดไหนในยามที่มีสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายไหลเวียนไปด้วยเลือดสีแดงข้นอันอบอุ่นอยู่ไกล้ๆ

    บุลไม่งี่เง่าเหมือนเขา 

    บุลเรียนรู้ที่จะอยู๋ร่วมกับแวมไพร์อย่างผม แต่...บุลในกาลเวลานี้กลับงี่เง่าอย่างเหลือเชื่อ

    “คิดอะไรอยู่หรอชานยอล!!”

    มือเล็กแกว่งไกวผ่านใบหน้าของผมจนสร้างความหงุดหงิด เสียงเจื้อยแจ้วนั่นตะโกนร้องเรียกให้ประสาทการรับรู้ของผมกลับคืนมาสู่เวลาปัจจุบัน รอยยิ้มที่ดูสดใสนั้นช่างน่าตลกเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไปที่เพิ่งทำงานเสร็จ ด้วยเวลาที่ยาวนานสิ่งที่ผมเฝ้ามองพวกเขามักจะทักทายกันด้วยใบหน้าถมึงทึงแบบนั้นเสียมากกว่า

    คยองซูไม่เป็นแบบนั้น ---แววตาของเขายังเหมือนเดิม
    รอยยิ้มของเขาก็ยังคงเป็นบุล’ที่ผมรู้จัก

    “กระเถิบห่างฉันหน่อย” ผมกระซิบ เมื่อได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่เชื้อเชิญผมให้อดทนไม่ไดที่จะจัดการเขา 

    ทุกครั้ง เขามักจะลืมตัวเสมอๆ เมื่อเราเริ่มประโยคสนทนาเกินมากกว่า10คำ
    วันนี้เหงื่อผมออกมากกว่าปกติ เพราะร่างกายที่แห้งผาก 

    ผมไม่ได้ดื่มเลือดมามากกว่าสี่วันแล้ว ไม่แม้แต่เลือดของสัตว์ตัวเล็กๆอย่างแมว หรือนก เพราะอย่างที่บอก ความสับสนเหล่านั้นที่วนเวียนอยู่ในสมองกำลังสร้างความทรมาน ผมอาศัยอยู่บนโลกของมนุษย์ 

    โลกที่รายล้อมไปด้วยอาหาร 

    แต่ผมกลับทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้...

    ทั้งที่เป็นเวลามากว่าปีหนึ่งแล้ว 

    เพราะเจ้าหมอนี่---...ถ้าหากผมเป็นพวกคนปกติอย่างพวกเขา คงคล้ายๆกับพวกมนุษย์ผู้ชายที่เสพติดบุหรี่ ทั้งโหยหา หงุดหงิดหมดเรี่ยวแรง ผิวพรรณเริ่มหยาบกระด้าง ดวงตาหม่นหมอง 

    ผมอยากปฎิเสธเหลือเกินว่ามันไม่ใช่เพราะเขา’

    หัวใจของผมมันเย็นชา และไร้ความรู้สึก ควาสตาย การจากลา การไร้ซึ่งคนรักนั้นเป็นชีวิตปรกติที่ผมต้องเจอจนชินเสียแล้ว ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อน ไม่มีใครอยากพูดคุย 

    แน่นอนละครับ ...จะมีใครอยากจะเริ่มประโยคสนทนากับผู้ชายที่ไม่เคยมอบรอยยิ้มให้กับคนทั่วไปมั่งเล่า---
    ยกเว้นเจ้าหมอนี่อีกนั่นละ

    “ นายบอกนายเป็นโรคผิวหนัง ก็เลยห้ามฉันจับเนื้อต้องตัว –แต่วันนี้นายเหงื่ออกมากเลยนะชานยอล บ้านนายนายก็ไม่บอกฉันว่าอยู่ไหน ซ้อนจักรยานไปหาหมอกับฉันถอะ ฉันชำนาญเส้นทางแถวนี้ดี ไม่นานหรอก—อีกอย่าง ผิวของนายก็ไม่เห็นขึ้นผื่น ขึ้นอะไรเลย ฉันไม่ติดนายหรอก ฉันแข็งแรง!!^^”

    ร่างบางลุกขึ้นยืนกระโดดโลดเต้นโชว์ร่างกายที่ปราศจากความเมื่อยล้านั่นไปรอบๆ คอยงซูรบเร้าผมด้วยคำพูดต่างๆนาก่อนที่ความเงียบจากร่างไร้อารมณ์ของผมจะเริ่มทำให้เขาหยุดลงและกลับมานั่งลงในพื้นที่วางจุดเดิมอีกครั้ง

    “เลิกยุ่งกับฉันแล้วกลับบ้านไปเถอะน่า...” ผมกระเถิบออกห่างคยองซูอีกครั้ง เมื่อสังเกตว่าเขาเริ่มเลื่อนก้นเข้ามาไกล้อีก 

    “ ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม ห้ามแตะตัวฉันไม่ว่าจะเพราะอะไร ...ส่งนมเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปซะ มันยังไม่เช้าดี แมลง ยุงกก็เยอะผิวนายแพ้ง่ายนะ”

    พูดพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนที่คยองซูจะเบิกตาโพลง ---เขาดูแปลกใจ เพราะบางครั้ง ผมมักจะรู้จักเขา ทั้งที่ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องราวส่วนตัวคยองซูเลยสักคำเดียว

    เขาคงลืมไปหมดแล้วว่าเคยเป็นสหายที่ผมสนิทมากแค่ไหนเมื่อ300กว่าปีก่อน..

    เจ้าเตี้ยน่ารำคาญถอนหายใจเสียจนดังเมื่อเห็นท่าทีของผมที่เริ่มแปลกไป เขาเริ่มควักนมสองสามกล่องสุดท้ายที่มักจะเหลือตกค้างจากกล่องพาสติกที่ตั้งเอาไว้บนพื้นที่ให้ผมทั้งหมด คิ้วบน

    ใบหน้าที่ขาวสะอาดขมวดแน่นคล้ายกับจะใช้ความคิด

    “ชานยอลกินนมทั้งหมดนี่ให้เกลี้ยงเลยนะ...นายห้ามกินนิดเดียวแล้วทิ้งอีก มันเงินทั้งนั้นเลเข้าใจไหม.”

    “อืม....รู้แล้ว”

    “แต่ฉันไม่สบายใจเลยชานยอล...หน้านายซีดมากๆ..ละ”

    “กลับไปเหอะหน่า..”

    ผมตัดบทคนตัวเล็กให้จบๆเสียที ผมกำลังหมดแรงลงไปทุกขณะ ถ้าหากคยองซูหันหลังกลับไป ผมอาจจะต้องหาสิ่งมีชีวิตเล็กๆน้อยแถวนี้เพื่อนประทังร่างกายที่แสนทรมานนี่ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นแล้วล่ะ อีกอย่าง...ถ้าหากสว่างมากกว่านี้ พลังงานที่จะต้านทานแสงอาทิตย์ก็คงจะหมดไปเพราะภูมิต้านทานที่ค่อยๆสุญสิ้น

    ติดที่ว่า 

    คยองซูเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอาหารของแวมไพร์เหมือนกัน...
    ยิ่งเขาเข้าไกล้ผม----ผมก็จะควบคุมตัวเองยากขึ้นไปด้วย

    “รีบไปสิ!” ผมร้อง ผมชักโมโหเมื่อเจ้าหมอนั่นทำท่าลังเล มือสองข้างที่ยกจักรยานขึ้นตั้งหลักก็แลดูจะเชื่องช้ากว่าปรกติหลายเท่า ทั้งๆที่ความจริงเขาเป็นคนกระฉับกระเฉงยิ่งกว่าอะไรดี

    คยองซูชั่งใจ...สุดท้ายเจ้าหมอนั่นก็ปล่อยรถคันเล็กให้กลับลงไปกลิ้งเกลือกลงกับพื้นเหมือนเดิม สองขาสั้นก้าวกลับมายังจุดที่ผมนั่ง 

    คยองซูกำลังทำในสิ่งที่ผมกลัวที่สุด…

    สองมือของมนุษย์ที่อบอุ่น

    ร่างกายของเขาอบอุ่น..

    “ชานยอล ไปเถอะ นายค่อยๆลุกนะ ฉันจะพานายไปหาหมอเอง!!! แม่ฉันสอนว่าการช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากเป็นเรื่องที่ดี ฉันเชื่อแบบนั้น ไปเถอะ รีบลุกเร็วเข้า “ 

    คยองซูพร่ำบ่นอยู่ข้างๆหู

    ตัวของเขาอุ่นอย่างน่าประหลาด 

    ร่างกายที่เย็นเฉียบของผมไม่ได้ถูกใครแตะต้องมากว่าร้อยปี ๆ เพราะผมเลือกที่จะทำแบบนั้น 
    มือเล็กที่กำลังตีที่ใบหน้าซีดเผือกของผมซ้ำ หยุดชะงักลงเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นยะเยือก

    “นะ...นายตัวเย็นจังเลย...”

    เจ้าตัวเล็กอึกอัก 

    ผมไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้อีก
    เพียงแค่ปล่อยศรีษะที่อ่อนแรงให้คล้อยลงไกล้กับพวงแก้มที่ร้อนระอุ


    “นายจำฉันไม่ได้หรอ...” ผมพึมพำเมื่อเราสองคนอยู่ไกล้กันมากกว่าทุกครั้งๆ 

    ผมมั่นใจว่าแวมไพร์ยังคงปราศจากหัวใจภายใต้ร่างกายที่ไม่มีชีวิตมาตลอดหลายร้อยปีที่ผมยังคงยืนอยู่บนโลกมนุษย์อันแสนโดดเดี่ยว

    จนกระทั่งเวลานี่ที่ความคิดของผมกำลังจะเปลี่ยนไป

    ผมกำลังสำผัสได้ถึงก้อนเนื้อภายใต้เสื้อหนาที่ปกปิดเนื้อหนังเอาไว้

    มันค่อยๆดัง

    ตึก

    ตึก

    ตึก
    ......
    อาจจะเป็นเสียงหัวใจของโดคยองซูใช่ไหม ไม่มีทางหรอก...
    ไม่มีทางที่จะมาจากตัวของผมแน่ๆ..

    ร่างกายของผมกำลังจะแปรเปลี่ยนอย่างช้าๆ 
    มันกำลังค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ..

    “หนาวหรอ ฉันถูกมือให้นายเองนะ นายนั่งก่อนนะ ฉันจะไปเอาจักรยานมาไกล้ๆนะชานยอล”

    คยองซูใช้มืออุ่นๆนั่นถูกไปมาสร้างแรงเสียดสีบนฝ่ามือหนาของผมที่มันเย็นราวกับน้ำแข็ง เย็นแบบนั้นมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะฤดูที่แตกต่าง....เขากำลังทำอะไรคล้ายคนโง่ๆอีกแล้ว ถ้าผมบอกความลับเหล่านั้นไป 

    เขาคงไม่ทำแบบนี้สินะ
    คยองซูจะวิ่งหนีไปเพราะหวาดกลัวรึปล่าว…

    “ชานยอล ตัวนายอุ่นขึ้นแล้ว เลือดมาเลี้ยงเต็มฝ่ามือนายเลย ดูสิ ฮ่า^O^ ฉันเก่งใช่มั้ย --- เอาล่ะ นายนั่งก่อนนะ ฉันจะไปเอารถมา”

    นั่นสิ ..
    ผมค่อยๆจ้องมองมือสีซีดของตัวเองที่แสนจะคุ้นเคยกับสภาพแบบนั้นกำลังเป็นสีชมพูทีละน้อย ทีละน้อย..
    ...
    อา....
    พ่อครับ...

    พ่อเคยเป็นแบบผมรึปล่าว
    .....ร่างกายของผมกำลังอุ่นขึ้น

    .....

    ผมเห็นเลือดภายใต้เนื้อหนังอันไร้ชีวิต..ค่อยไหลวนวูบวาบไปมาช้าๆ

    …..

    ….

    แวมไพร์มีหัวใจรึปล่าว....
    ทำไมผมได้ยินเสียงหัวใจของผมกำลังเต้นดังขึ้นซะแล้วล่ะ’
    .....



    -end-

     


     

    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×