ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Something In The Air
- 9 -
Something In The Air
ผมไม่เคยสงสัยเลยจนกระทั่งตอนนี้ว่าความรู้สึกที่มีต่อทะเลนั้นมันคืออะไร ผมแค่รู้สึกว่าต้องการเขา ต้องการกระทำตามความคิดดำมืดข้างใน ผมไม่รู้จริงๆว่าลึกๆแล้วที่ต้องการมันไม่ใช่แค่นั้น...มันมากมายกว่านั้นและเลยเถิดไปไกล...
ไกลเกินกว่าที่จะถอนตัว
....
ผมไม่พูด ทะเลก็ได้ไม่ถาม
ผมไม่รู้ว่าทะเลคิดยังไง หรือรู้สึกแบบไหนกับการกระทำแบบนั้นของผม การที่ทะเลไม่ปฏิเสธมันหมายความว่าอะไร ผมไม่สามารถตีความอะไรได้ทั้งนั้นกับท่าทีที่เป็นปกติทุกอย่างของทะเล
จูบเมื่อคืนทะเลทำราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น
ไม่แสดงท่าทีโกรธ รังเกียจ สงสัยหรืออะไรสักนิด มันคงจะดีถ้าทะเลจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้างไม่ให้ผมคิดฟุ้งซ่านแบบนี้
วันนี้ผมมีสอบแต่ดูท่าคงยากที่จะมีสมาธิ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น อาบน้ำหรือแม้ตอนกินข้าวเช้าด้วยกันผมก็ยังคิดถึงเรื่องเมื่อคืน คิดเรื่องทะเลกับก้าน คิดถึงจูบของเรา มันทำให้สับสนว้าวุ่นใจ
“เดี๋ยววันนี้ไปส่ง" ผมบอกทะเลตอนที่กินข้าวเสร็จ ทะเลพยักหน้ายิ้มให้ผมแล้วเดินขึ้นห้องไปเอากระเป๋า
ผมจะทำยังไงดี
ทะเลก็ยิ้มเหมือนเดิมแต่ผมรู้สึกไม่เหมือนเดิม
ผมเดินตามทะเลขึ้นมาบนห้อง เคาะสองสามครั้งแล้วเดินเข้าไป ทะเลเดินไปเดินมาเอาหนังสือออกจากกระเป๋าและหาเล่มที่ต้องเอาไปอยู่พักหนึ่ง พอจัดกระเป๋าเสร็จก็เปิดชั้นเอาถุงเท้ามาใส่ ผมนั่งบนเตียงมองทะเลอยู่ตลอดระหว่างนั้นโดยที่ทะเลไม่ได้สนใจผม
"ไปกัน" พอเตรียมตัวพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงหันมามองผมที่นั่งอยู่
ผมเดินเข้าไปหาแล้วปลดเป้ที่ทะเลสะพายอยู่ลง ทะเลมองผมนิ่งไม่ได้ถอยหนี ทั้งที่รู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร
ผมใช้มือนึงรั้งเอวเข้ามา มืออีกข้างจับใบหน้าแล้วก้มลงจูบ
จูบย้ำๆโดยไม่รุกล้ำก้ำเกิน
ผมโหยหาและต้องการมันมากจนไม่สนใจเหตุผลอะไร
ทั้งที่ในใจอยากกระทำมากมายกว่านี้หลายเท่า อยากจะบดขยี้ให้ได้เลือดและลิ้มเลียรสชาติ ตอนนี้ผมยังห้ามตัวเองได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะทนได้ไหม
และก็นึกสงสัยว่าถ้าเกิดสักวันหนึ่งผมเอาทะเลมาเป็นของผม ยื้อแย่งมา ผมจะทำให้ทะเลมีความสุข หรือทำให้ทะเลทรมานกันแน่
ผมยังไม่มั่นใจหากจะแย่งมาแต่ก็ขอยื้อเอาไว้กับตัวก่อน
ผมเห็นแก่ตัวใช่ไหม
ตอนนี้ผมทำได้แค่นี้จริงๆ
มือของทะเลที่โอบรอบเอวผมขณะที่เราจูบกันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่ผมปล่อยออก ทะเลก็หลบตาและยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก ผมยิ้มก่อนจะหยิบเป้ขึ้นมาให้ทะเลสะพายแล้วบอกให้ทะเลไปรอข้างล่างก่อน
ผมเข้ามาหยิบของที่ห้องแล้วรีบลงมาข้างล่างด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็รู้สึกได้แค่ชั่วครู่ ผ่านมาเหมือนความฝันแล้วหายไปทันทีที่เห็นก้าน เห็นแววตาขอโทษที่มองทะเล และเห็นท่าทีอ่อนอกอ่อนใจไม่ถือโทษโกรธเคืองของทะเล พอผมเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองก็หันมามอง ทะเลมองผมและหันไปมองก้านเหมือนชั่งใจ
“พี่บลูมีสอบ เลไปกับก้านดีกว่าเดี๋ยวพี่บลูจะไปช้า"
“ตามใจ"
ผมตอบเหมือนไม่คิดอะไร พยายามทำตัวให้ปกติทั้งที่ในใจแทบคลั่ง อะไรๆก็ดูไม่เหมือนเคยอีกแล้วสำหรับผม ผมหวงทะเลโดยเฉพาะกับเพื่อนคนนี้ เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดูเกินกว่าคำว่าเพื่อนจากเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อคืน ผมไม่อยากคิดเอาตัวเองเปรียบเทียบ แต่หากว่ามันจะเกินเลยเหมือนความสัมพันธ์ของผมกับป็อปขึ้นมาผมคงยอมไม่ได้
ใช่ ยอมไม่ได้...แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
และยิ่งไม่รู้ว่าทะเลรู้สึกหรือคิดอะไรบ้างไหมกับก้าน...หรือแม้แต่กับผม
ผมเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองโดยมีสายตาของทะเลมองตาม เมื่อออกรถขับผ่านทั้งสองผมก็เห็นหน้าหงอยๆของทะเลที่มองผมอยู่ โดยไม่สนใจจะหันมองก้านที่กำลังเรียกให้ขึ้นรถสักนิด
...
“ตูนไม่มาด้วยกันเหรอ"
ร็อคถามผมทันทีที่ถึงห้องซ้อม ดูท่าอาการของมันหนักหนาสาหัสขึ้นทุกทีเพราะถามหาแต่ไอ้ตูนทุกครั้งที่เห็นหน้าผม หลังสอบเสร็จวันนี้ผมออกมาเร็วกว่าคนอื่นแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย ลืมคิดถึงตูนไปสนิทว่าจะมาซ้อมด้วยกันเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น
“เปล่า เดี๋ยวคงตามมา ป็อปล่ะ"
“ไม่รู้ไปไหน ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว"
“อืม" ผมรับสั้นๆ ร็อคเปิดเพลงใหม่ที่คิดว่าเราน่าจะเล่นให้ผมฟัง เราต่างคนต่างฟังต่างซ้อมของตัวเองไปสักพักไอ้ตูนก็มา
“ทิ้งกู" เปิดเข้ามาคำแรกก็ว่าผมก่อนเคืองๆ
“โทษที ลืม"
“เลี้ยงข้าวกูเลย หิว"
“เออๆ ก็ได้" ผมบอกเพราะผิดจริงที่ลืมมันซะสนิท ปล่อยให้มันมาเอง ดูท่าคงจะหงุดหงิดเข้าไปอีกถ้าไม่ได้กินข้าว ผมหันไปชวนร็อคไปด้วยกันเพราะรู้ว่ามันรอให้ชวนอยู่ดูจากหน้าตาระริกระรี้ของมัน
เรากินข้าวเสร็จกลับมาที่ห้องซ้อมก็เห็นป็อปกลับมาแล้ว จากนั้นก็เริ่มซ้อมกัน ผมคิดว่าพวกเราค่อนข้างเข้ากันได้ดีกับนักร้องใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากฝีมือแล้ว การเล่นให้เข้ากันจนผสมกลมกลืนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสียงเพลงฟังแล้วมีพลังดึงดูดผู้คน
เมื่อผมจดจ่อสมาธิอยู่ที่จังหวะของเพลงก็สามารถทำให้สมองปลอดโปร่ง ลืมความรู้สึกนึกคิดก่อนหน้า ปล่อยใจดำดิ่งลงไปกับดนตรีและล่องลอยไปกับมัน เสียงของตูนมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด เสียงแหบๆที่กำลังโหยหวนอยู่เหมือนกับร้องออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ มันสามารถเข้าถึงบางสิ่งในตัวผม ถึงจะฟังแล้วเศร้าแต่ผมก็ชอบ มันเป็นเสียงที่เหมือนคว้าจับบางสิ่งในใจผมได้
และก็คงไม่แปลกที่มันคงคว้าจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในใจของร็อคได้เช่นกัน
ผมเห็นสายตาที่ร็อคมองตูน มันเป็นสายตาจริงจังยากจะเห็น อะไรบางอย่างสื่อออกมาให้รับรู้เด่นชัด แค่มองตาผมก็รู้ได้
ร็อค...กำลังตกหลุมรักเพื่อนของผม
ผมรู้
เพราะผมเคยเห็นสายตาแบบนี้ที่มองผม...จากป็อป
ทั้งความรู้สึกของผม ความรู้สึกของป็อป ความรู้สึกของร็อค และเสียงร้องของตูน ทำให้เพลงที่เรากำลังเล่นคล้ายมีอะไรบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ มันไม่เป็นรูปเป็นร่าง หากแต่มันมีความหมายและสามารถกระทบกระเทือนเข้ามาในจิตใจ
คล้ายความสุข คล้ายความเศร้า คล้ายความเหงา
คล้ายความรัก
ผมคิดว่าเราทุกคนในห้องนี้สัมผัสและรับรู้ได้
หลังเลิกซ้อมร็อคชวนเราทั้งหมดกลับด้วยกัน แต่ผมบอกให้กลับกันไปก่อนเพราะอยากอยู่ต่ออีกสักพัก ป็อปก็บอกว่าจะอยู่ด้วยเหมือนกัน ร็อคมองพวกผมเหมือนเข้าใจเงียบๆและออกไปพร้อมกับตูนที่ดูจะไม่ชอบสถานการณ์ที่ต้องอยู่กับร็อคสองคนเท่าไหร่ แต่ก็ต้องจำใจไปด้วยกัน
ป็อปยังนั่งเล่นกีตาร์อยู่ ผมหลับตาฟังแล้วปล่อยความคิดดำเนินไปอีกครั้ง ใจล่องลอยไปถึงคนที่ทำผมสับสนว้าวุ่นใจทั้งวันเพราะความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ตัวเองเป็นคนก่อเมื่อคืนนี้
ผมถอยกลับไม่ได้และยิ่งไม่อยากถอย แต่ก็เดินหน้าไม่ได้เช่นกัน มันก่ำกึ่งขัดแย้ง ท่าทีของทะเลก็ทำให้ผมหลากใจ อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่คิดไปมันก็อาจเป็นแค่ความใจดีของทะเล...หรืออาจจะแค่ทำไปเพราะไม่กล้าปฎิเสธ ผมไม่สามารถรู้ได้เลยจริงๆ
“คิดอะไร" ผมลืมตามองป็อปที่หยุดเล่นกีตาร์และมาอยู่ตรงหน้าโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“คิด...ไปเรื่อย" เกือบจะบอกว่าคิดเรื่องทะเลไปแต่ก็เปลี่ยนใจ
“พรุ่งนี้มีสอบไหม"
“ไม่"
“งั้น อยู่กับกูก่อนนะ" ป็อปพูด นั่งคร่อมตักผม แล้วยื่นซองถุงยางให้ ไม่มีบทสนทนาใดๆต่อจากนี้นอกจากการกระทำ ผมเอื้อมมือไปกดรีโมทเปิดเครื่องเสียง ปรับระดับให้ดังมากพอที่จะสามารถกลบเสียงที่จะเกิดขึ้น
เพลงเมทัลหนักๆสามารถปลุกเร้าอารมณ์ผมได้ดี มันสั่นสะเทือนถึงใจ อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นเต็มที่ช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะระบายความอึดอัดออกมาในรูปแบบที่คุ้นเคย ผมดึงสายแจ็คที่ต่อเข้ากับกีตาร์และแอมป์ออก เอามามัดมือของป็อปไว้ข้างหลัง จับป็อปคุกเข่ากับพืื้นปลดกางเกงออก
ไม่มีการจูบ ไม่มีการเล้าโลม
ผมจับสายไฟที่พันมือป็อปยึดเอาไว้แล้วสอดตัวกระแทกเข้าไปคล้ายการขับควบ เสียงร้องของป็อปดังห้ามปรามให้ผมผ่อนแรงลงบ้าง มันคงจะเจ็บเหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยผ่อนแรงและกระทำตรงกันข้ามกับคำร้องขอ
“ร้องสิ ร้องออกมาดังๆ" ผมจิกดึงเส้นผมสีดำให้เงยขึ้นมาแล้วกระซิบบอก จากนั้นก็กระแทกตัวรุนแรง ป็อปร้องออกมาเสียงดังตามที่ผมบอกพร้อมๆกับหยดน้ำตา ผมจับเปลี่ยนท่าทางโดยที่ยังไม่ปล่อยพันธนาการที่มือ มันคงทรมาน ผมรู้ดี
บางทีผมก็อยากให้ป็อปบอกให้หยุด อยากให้ห้ามผม อยากให้ทนไม่ไหว อยากให้เขาหนีจากผมไป เลือกที่จะไปจากผมเอง แต่จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ยังไม่ทิ้งผมไป
เพราะอะไร...รักงั้นเหรอ
ใช่ มันคงเป็นคำๆนั้น คำที่ใช้แทนเหตุผลของการกระทำที่ดูงี่เง่าทั้งหมด
ผมจับป็อปให้คร่อมตัก ป็อปเองก็พยายามขยับเคลื่อนอยู่บนตัวผมอย่างเอาใจขณะที่มือทั้งสองยังอยู่ข้างหลังและไม่นานก็ซบลงตรงบ่าผมอย่างหมดแรง
ผมเร่งตัวเองด้วยอารมณ์ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ป็อปหอบหายใจหนักตัวโยกคลอนไปตามแรง แล้วกัดลงไปที่บ่าผมเพื่อระบายอารมณ์ ผมกดหน้าป็อปเข้าให้กัดแรงขึ้นอีก มันให้ความเสียวซ่านจนถึงจุด เมื่อทุกอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมก็ปล่อยตัวนิ่งสนิทปรับอารมณ์ สักพักป็อปก็เงยหน้าขึ้นมองผมและขยับเข้าใกล้
ผมหันหน้าหนีคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
คิดยังไม่อยากให้ใครมาซ้ำรอย
ป็อปมองผมด้วยแววตาผิดหวัง ผมแก้มัดที่มือ ดึงเสื้อป็อปขึ้นมาแล้วติดกระดุมให้
“โดนอะไร" ผมถามถึงผ้าพันแผลที่แปะไว้ที่หลังด้านซ้ายของป็อป
“เพิ่งสักมา"
“เจ็บไหม"
“ไม่หรอก อย่างอื่นเจ็บกว่า"ผมรู้ความหมายที่ป็อปกำลังบอกจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
เราออกห้องซ้อมกันก็ดึกมากแล้ว ครั้งแรกที่นั่นมันเร้าอารมณ์ผมยิ่งกกว่าในห้องพักจืดชืด มันทำให้ผมรู้ว่าผมชอบฟังเพลงเสียงดังๆแล้วทำกิจกรรมอย่างนั้น เราจึงใช้ที่นั่นอีกบ่อยครั้ง...
บ่อย..จนไม่ได้ระวังตัว
...
ผมกลับไปถึงบ้านทะเลก็นอนอยู่ที่เตียงผมแล้ว
สายตาที่ทอดมองผมเหมือนสายตาเมื่อเช้าไม่มีผิด มันเป็นสีหน้าที่ทะเลชอบทำเวลาน้อยใจผม ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนรู้สึกแบบนั้นเพราะทะเลเลือกที่จะไปกับก้านแทนที่จะไปกับผม
“กลับช้า" ผมยิ้มให้กับคำพูดที่เหมือนกับว่ารอผมอยู่ ทำให้ผมลืมความรู้สึกน้อยใจเมื่อเช้าไปจนหมดสิ้น
“ไปซ้อมมา"
“รอจนง่วง"
“ง่วงก็นอน พี่ไปอาบน้ำก่อน" ผมบอกแล้วเข้ามาอาบน้ำให้เร็วที่สุดเพราะใจมันอยากจะไปนอนเต็มที
ทะเลนอนหันหลังให้ผมอยู่ เมื่อผมก้าวขึ้นไปนอนด้วยทะเลก็พลิกตัวกลับมาแล้วกอดผมไว้ ผมเห็นรอยยิ้มน้อยๆของทะเล ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่จงใจแต่ผมกลับคิดไปแล้วว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ยั่วกัน ผมเขยิบเข้าไปใกล้แล้วจูบเบาๆเหมือนเคย
ผมจูบแม้ว่าตัวผมเองจะสับสน...หรือแม้จะทำให้ทะเลสับสน
เราสับสน เราหวั่นไหว เราทำ...แต่เราก็ไม่ได้พูดถึงมัน ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป
ลุ่มหลง มัวเมา พร้อมๆกับความคลุมเครือ
....
การสอบของพวกเราทุกคนเสร็จสิ้น ผมจบปีหนึ่งในขณะที่ป็อปกับร็อคเรียนจบแล้ว เรายังคงเล่นที่ร้านพี่ตินเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งป็อปและร็อคหลังจากเรียนจบก็รับสอนดนตรีและรับงานไปเล่นตามที่ต่างๆ ทั้งสองคิดจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีและสตูดิโออัดเสียงซึ่งก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามสไตล์เรื่อยๆของมัน
ปิดเทอมนอกจากเล่นดนตรีส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่อู่ช่วยงานน้าวิทย์ไม่ค่อยได้ไปไหน ทะเลก็อยู่กับผมแทบตลอดเวลาเหมือนทุกๆปิดเทอม จะมีบ้างที่ออกไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนซึ่งไม่บ่อยนัก
ทะเลกลับมาตัวติดผมเหมือนเดิมทำให้ผมลืมสิ้นสิ่งอื่นใด การเปลี่ยงแปลงของเราเป็นไปอย่างช้าๆ เราจูบกันบ่อยแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส บางทีผมก็ทรมานที่ทำได้เพียงแค่จูบแต่ถึงจะแค่นั้นผมก็มีความสุข มันเป็นแค่จูบที่ไม่ได้ดูดดื่มถึงขนาดใช้ลิ้น เพราะผมรู้ว่าหากถึงขั้นนั้นคงยากที่จะหยุดและเลยเถิดไปไกลยากกู่กลับ
ผมชอบตาใสๆของทะเลเวลาปรือตามองขณะที่เราจูบกัน ชอบรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเมื่อผมกดจมูกลงบนแก้ม ชอบนิ้วเรียวๆที่จับใบหน้าผมในบางครั้ง
การกระทำของทะเลผมจะตีความมันว่าอะไรดี ผมจะเข้าข้างตัวเองไปไหมถ้าจะคิดว่าทะเลก็รักผมเหมือนกัน
ผมอยากคิดให้เป็นแบบนั้นเลยปล่อยไป ไม่ได้ถามหรือบอกอะไร เพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดไว้จะไม่ใช่ความจริง
ก้านดูจะหายหน้าไปไม่ได้เห็นหน้าบ่อยๆเหมือนทุกทีซึ่งมันก็ทำให้ผมพอใจและไม่รู้สึกขัดตาบ่อยๆอีกแล้ว ความสัมพันธ์ของผมกับป็อปก็เป็นไปเรื่อยๆอย่างที่เคย ป็อปไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายไปกว่านั้น
แต่ในบางครั้ง...บางครั้งที่ผมเห็นแววตาของป็อปเปลี่ยนไป...มันดูเลื่อนลอยไม่สะท้อนเงาของผมเหมือนที่เคยเป็น
เราเหมือนทำความต้องการของร่างกายและปล่อยให้มันเป็นไป ผมไม่สามารถตัดขาดได้แม้ใจจะอยาก...แต่ร่างกายมันยังต้องการ ส่วนลึกที่ต้องการปลดปล่อยมันรุนแรงส่วนหนึ่งก็เพราะทะเลด้วย ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าทดแทนยังไงมันก็ไม่สามารถเติมเต็มแต่ก็ยังทำ ความสัมพันธ์ของเรามันเรียงร้อยเกี่ยวเนื่องกันจนตัดไม่ขาด
วันนี้มันก็คล้ายกับหลายๆวัน
ผมนอนอ่านหนังสืออยู่เพราะยังไม่ง่วง เรานอนกันบนฟูกที่ปูกับพื้นในห้องผม ไม่ได้นอนบนเตียงอีกแล้ว เพราะเตียงมันเริ่มเล็กไปจริงๆสำหรับพวกเรา ผมตัดสินใจย้ายลงมานอนกันข้างล่างก็ตอนที่ตื่นมาเห็นทะเลนอนดิ้นออกจากกอดผมไปจนเกือบตกเตียง หลังจากวันนั้นผมก็เลยเอาที่นอนของทะเลที่มีอยู่มาปูและลงมานอนด้วยกัน
ทะเลนอนอยู่ข้างๆผมเลิกเล่นมือถือในมือและชะโงกหน้ามาใกล้ๆดูหนังสือที่ผมอ่านอยู่แล้วถาม
“สนุกเหรอ อ่านนานแล้วนะ"
“อืม เดี๋ยวก็จบแล้ว"
“เลนอนก่อนนะ ง่วงแล้ว"
“รอก่อนสิ"
“รอทำไม พี่ก็อ่านไปสิ เลจะนอนแล้ว"
ผมวางหนังสือทันทีแล้วเดินไปปิดไฟ ดึงทะเลเข้ามากอดไว้แล้วสูดกลิ่นหอมๆของแชมพู ก่อนจะจูบไปทั่วๆใบหน้า ทะเลมองหน้าผมจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะบึ้งก็ไม่บึ้ง ผมเลยหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร" ผมส่ายหัวไม่ตอบแล้วกดจูบลงไปไม่ให้ทะเลได้ตั้งตัว ผมเท้าตัวคร่อมทะเลไว้แล้วทั้งจูบ ทั้งขบเม้ม ทะเลก็เริ่มทำตามแบบผมบ้างซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเราร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มใช้ลิ้นเลียที่ริมฝีปากลิ้มเลียรสชาติ ทะเลเปิดปากคิดจะทำแบบผมบ้างแต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเมื่อปลายลิ้นเราแตะกับแผ่วเบา
เพียงแค่นั้นก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วร่าง
ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดไม่อาจยั้งตัวเองต่อไป ทะเลส่งเสียงอืออาในลำคอเมื่อผมจูบอย่างโหยหาเต็มไปด้วยอารมณ์ มือผมสอดเข้าไปในเสื้อแล้วบีบเฟ้นหนักๆไปตามตัว แต่แล้วมันก็สิ้นสุดลงในเวลาอันสั้นเมื่อผมได้ยินคำนั้นจากทะเล
“เจ็บ"
ทะเลบอกเพราะผมขบกัดไปที่ปลายลิ้นและดูดเลียอย่างกระหายในความหวานที่ได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรก ทะเลเจ็บจนผละออกจากผม แม้จะรู้สึกเสียดายแต่เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันและสายตาที่มองผมก็ทำให้รู้ตัวว่าผมพลาดไป
เผลอรุนแรงกับทะเลไป...เผลอจนเกือบจะเลยเถิดไปไกล
“ขอโทษ"
ผมบอกแล้วดึงทะเลเข้ามากอด ทะเลก็ส่ายหน้าไม่พูดอะไร แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการแต่ผมก็กอดทะเลไว้ไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่านี้แล้วบังคับให้ตัวเองหลับไป...พร้อมๆกับความทรมาน
...
แม้รู้ว่าไม่ถูกต้องที่ต้องระบายความอัดอั้นที่บ้าคลั่งกับใครสักคนแต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ผมเคยตัวที่มีคนคอยสนองตอบตลอดเวลาโดยไม่ปริปากบ่น แม้รู้อยู่เต็มอกว่าผิด แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดได้ง่ายๆ
เพราะคนเราใช่จะหยุดทำเรื่องชั่วๆเพราะรู้ว่าชั่ว แต่คนเราจะหยุดก็ต่อเมื่อสำนึกเท่านั้น
หากยังไม่สำนึก เราก็ยังคงทำต่อไป
เสียงเพลงยังคงดังจนสั่นสะเทือนพร้อมๆกับจังหวะการเคลื่อนตัว วันนี้เมื่อซ้อมกันเสร็จแล้วผมก็ไม่รีรอและเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพราะความต้องการจากเมื่อคืน การตอบสนองโดยไม่ปริปากห้ามปรามของป็อปทำให้เป็นไปอย่างถึงใจอย่างที่ผมอยากให้เป็น
ป็อปจิกมือตะกายฝาผนังแล้วร้องออกมาเสียงดัง ผมขยับตัวเร่งเร้าพลางมองรอยสักรูปดอกกุหลาบที่ปีกหลังด้านซ้าย
มันเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยคมหนาม
ผมมองดูแล้วอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปไล้เลียช้าๆ แค่นั้นป็อปก็เกร็งตัวเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง ผมทั้งขบกัด และจูบซ้ำๆอยู่ที่รอยสักนั้น
และนั่นก็เป็นครั้งแรก...ที่ผมได้ยินเสียงร้องครวญครางคล้ายสุขสมของป็อป
ผมไม่รู้ว่าความสุขสมครั้งนั้นมันให้ภาพออกมาเป็นแบบไหนสำหรับคนมอง
ประตูที่แง้มอยู่บ่งบอกว่าใครสักคนเป็นคนเห็นมัน
ใครสักคนที่ไม่ควรเห็น
เป็นคนสุดท้ายที่ควรเห็น
ใช่ มันเป็นความสุขสมครั้งแรกของป็อป
ความสุข...ที่มาพร้อมกับความทุกข์ของเราทุกคน
Song Titles : Something In The Air
Artist : David Bowie
Something In The Air
ผมไม่เคยสงสัยเลยจนกระทั่งตอนนี้ว่าความรู้สึกที่มีต่อทะเลนั้นมันคืออะไร ผมแค่รู้สึกว่าต้องการเขา ต้องการกระทำตามความคิดดำมืดข้างใน ผมไม่รู้จริงๆว่าลึกๆแล้วที่ต้องการมันไม่ใช่แค่นั้น...มันมากมายกว่านั้นและเลยเถิดไปไกล...
ไกลเกินกว่าที่จะถอนตัว
....
ผมไม่พูด ทะเลก็ได้ไม่ถาม
ผมไม่รู้ว่าทะเลคิดยังไง หรือรู้สึกแบบไหนกับการกระทำแบบนั้นของผม การที่ทะเลไม่ปฏิเสธมันหมายความว่าอะไร ผมไม่สามารถตีความอะไรได้ทั้งนั้นกับท่าทีที่เป็นปกติทุกอย่างของทะเล
จูบเมื่อคืนทะเลทำราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น
ไม่แสดงท่าทีโกรธ รังเกียจ สงสัยหรืออะไรสักนิด มันคงจะดีถ้าทะเลจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้างไม่ให้ผมคิดฟุ้งซ่านแบบนี้
วันนี้ผมมีสอบแต่ดูท่าคงยากที่จะมีสมาธิ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น อาบน้ำหรือแม้ตอนกินข้าวเช้าด้วยกันผมก็ยังคิดถึงเรื่องเมื่อคืน คิดเรื่องทะเลกับก้าน คิดถึงจูบของเรา มันทำให้สับสนว้าวุ่นใจ
“เดี๋ยววันนี้ไปส่ง" ผมบอกทะเลตอนที่กินข้าวเสร็จ ทะเลพยักหน้ายิ้มให้ผมแล้วเดินขึ้นห้องไปเอากระเป๋า
ผมจะทำยังไงดี
ทะเลก็ยิ้มเหมือนเดิมแต่ผมรู้สึกไม่เหมือนเดิม
ผมเดินตามทะเลขึ้นมาบนห้อง เคาะสองสามครั้งแล้วเดินเข้าไป ทะเลเดินไปเดินมาเอาหนังสือออกจากกระเป๋าและหาเล่มที่ต้องเอาไปอยู่พักหนึ่ง พอจัดกระเป๋าเสร็จก็เปิดชั้นเอาถุงเท้ามาใส่ ผมนั่งบนเตียงมองทะเลอยู่ตลอดระหว่างนั้นโดยที่ทะเลไม่ได้สนใจผม
"ไปกัน" พอเตรียมตัวพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงหันมามองผมที่นั่งอยู่
ผมเดินเข้าไปหาแล้วปลดเป้ที่ทะเลสะพายอยู่ลง ทะเลมองผมนิ่งไม่ได้ถอยหนี ทั้งที่รู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร
ผมใช้มือนึงรั้งเอวเข้ามา มืออีกข้างจับใบหน้าแล้วก้มลงจูบ
จูบย้ำๆโดยไม่รุกล้ำก้ำเกิน
ผมโหยหาและต้องการมันมากจนไม่สนใจเหตุผลอะไร
ทั้งที่ในใจอยากกระทำมากมายกว่านี้หลายเท่า อยากจะบดขยี้ให้ได้เลือดและลิ้มเลียรสชาติ ตอนนี้ผมยังห้ามตัวเองได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะทนได้ไหม
และก็นึกสงสัยว่าถ้าเกิดสักวันหนึ่งผมเอาทะเลมาเป็นของผม ยื้อแย่งมา ผมจะทำให้ทะเลมีความสุข หรือทำให้ทะเลทรมานกันแน่
ผมยังไม่มั่นใจหากจะแย่งมาแต่ก็ขอยื้อเอาไว้กับตัวก่อน
ผมเห็นแก่ตัวใช่ไหม
ตอนนี้ผมทำได้แค่นี้จริงๆ
มือของทะเลที่โอบรอบเอวผมขณะที่เราจูบกันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่ผมปล่อยออก ทะเลก็หลบตาและยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก ผมยิ้มก่อนจะหยิบเป้ขึ้นมาให้ทะเลสะพายแล้วบอกให้ทะเลไปรอข้างล่างก่อน
ผมเข้ามาหยิบของที่ห้องแล้วรีบลงมาข้างล่างด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็รู้สึกได้แค่ชั่วครู่ ผ่านมาเหมือนความฝันแล้วหายไปทันทีที่เห็นก้าน เห็นแววตาขอโทษที่มองทะเล และเห็นท่าทีอ่อนอกอ่อนใจไม่ถือโทษโกรธเคืองของทะเล พอผมเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองก็หันมามอง ทะเลมองผมและหันไปมองก้านเหมือนชั่งใจ
“พี่บลูมีสอบ เลไปกับก้านดีกว่าเดี๋ยวพี่บลูจะไปช้า"
“ตามใจ"
ผมตอบเหมือนไม่คิดอะไร พยายามทำตัวให้ปกติทั้งที่ในใจแทบคลั่ง อะไรๆก็ดูไม่เหมือนเคยอีกแล้วสำหรับผม ผมหวงทะเลโดยเฉพาะกับเพื่อนคนนี้ เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดูเกินกว่าคำว่าเพื่อนจากเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อคืน ผมไม่อยากคิดเอาตัวเองเปรียบเทียบ แต่หากว่ามันจะเกินเลยเหมือนความสัมพันธ์ของผมกับป็อปขึ้นมาผมคงยอมไม่ได้
ใช่ ยอมไม่ได้...แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
และยิ่งไม่รู้ว่าทะเลรู้สึกหรือคิดอะไรบ้างไหมกับก้าน...หรือแม้แต่กับผม
ผมเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองโดยมีสายตาของทะเลมองตาม เมื่อออกรถขับผ่านทั้งสองผมก็เห็นหน้าหงอยๆของทะเลที่มองผมอยู่ โดยไม่สนใจจะหันมองก้านที่กำลังเรียกให้ขึ้นรถสักนิด
...
“ตูนไม่มาด้วยกันเหรอ"
ร็อคถามผมทันทีที่ถึงห้องซ้อม ดูท่าอาการของมันหนักหนาสาหัสขึ้นทุกทีเพราะถามหาแต่ไอ้ตูนทุกครั้งที่เห็นหน้าผม หลังสอบเสร็จวันนี้ผมออกมาเร็วกว่าคนอื่นแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย ลืมคิดถึงตูนไปสนิทว่าจะมาซ้อมด้วยกันเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น
“เปล่า เดี๋ยวคงตามมา ป็อปล่ะ"
“ไม่รู้ไปไหน ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว"
“อืม" ผมรับสั้นๆ ร็อคเปิดเพลงใหม่ที่คิดว่าเราน่าจะเล่นให้ผมฟัง เราต่างคนต่างฟังต่างซ้อมของตัวเองไปสักพักไอ้ตูนก็มา
“ทิ้งกู" เปิดเข้ามาคำแรกก็ว่าผมก่อนเคืองๆ
“โทษที ลืม"
“เลี้ยงข้าวกูเลย หิว"
“เออๆ ก็ได้" ผมบอกเพราะผิดจริงที่ลืมมันซะสนิท ปล่อยให้มันมาเอง ดูท่าคงจะหงุดหงิดเข้าไปอีกถ้าไม่ได้กินข้าว ผมหันไปชวนร็อคไปด้วยกันเพราะรู้ว่ามันรอให้ชวนอยู่ดูจากหน้าตาระริกระรี้ของมัน
เรากินข้าวเสร็จกลับมาที่ห้องซ้อมก็เห็นป็อปกลับมาแล้ว จากนั้นก็เริ่มซ้อมกัน ผมคิดว่าพวกเราค่อนข้างเข้ากันได้ดีกับนักร้องใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากฝีมือแล้ว การเล่นให้เข้ากันจนผสมกลมกลืนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสียงเพลงฟังแล้วมีพลังดึงดูดผู้คน
เมื่อผมจดจ่อสมาธิอยู่ที่จังหวะของเพลงก็สามารถทำให้สมองปลอดโปร่ง ลืมความรู้สึกนึกคิดก่อนหน้า ปล่อยใจดำดิ่งลงไปกับดนตรีและล่องลอยไปกับมัน เสียงของตูนมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด เสียงแหบๆที่กำลังโหยหวนอยู่เหมือนกับร้องออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ มันสามารถเข้าถึงบางสิ่งในตัวผม ถึงจะฟังแล้วเศร้าแต่ผมก็ชอบ มันเป็นเสียงที่เหมือนคว้าจับบางสิ่งในใจผมได้
และก็คงไม่แปลกที่มันคงคว้าจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในใจของร็อคได้เช่นกัน
ผมเห็นสายตาที่ร็อคมองตูน มันเป็นสายตาจริงจังยากจะเห็น อะไรบางอย่างสื่อออกมาให้รับรู้เด่นชัด แค่มองตาผมก็รู้ได้
ร็อค...กำลังตกหลุมรักเพื่อนของผม
ผมรู้
เพราะผมเคยเห็นสายตาแบบนี้ที่มองผม...จากป็อป
ทั้งความรู้สึกของผม ความรู้สึกของป็อป ความรู้สึกของร็อค และเสียงร้องของตูน ทำให้เพลงที่เรากำลังเล่นคล้ายมีอะไรบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ มันไม่เป็นรูปเป็นร่าง หากแต่มันมีความหมายและสามารถกระทบกระเทือนเข้ามาในจิตใจ
คล้ายความสุข คล้ายความเศร้า คล้ายความเหงา
คล้ายความรัก
ผมคิดว่าเราทุกคนในห้องนี้สัมผัสและรับรู้ได้
หลังเลิกซ้อมร็อคชวนเราทั้งหมดกลับด้วยกัน แต่ผมบอกให้กลับกันไปก่อนเพราะอยากอยู่ต่ออีกสักพัก ป็อปก็บอกว่าจะอยู่ด้วยเหมือนกัน ร็อคมองพวกผมเหมือนเข้าใจเงียบๆและออกไปพร้อมกับตูนที่ดูจะไม่ชอบสถานการณ์ที่ต้องอยู่กับร็อคสองคนเท่าไหร่ แต่ก็ต้องจำใจไปด้วยกัน
ป็อปยังนั่งเล่นกีตาร์อยู่ ผมหลับตาฟังแล้วปล่อยความคิดดำเนินไปอีกครั้ง ใจล่องลอยไปถึงคนที่ทำผมสับสนว้าวุ่นใจทั้งวันเพราะความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ตัวเองเป็นคนก่อเมื่อคืนนี้
ผมถอยกลับไม่ได้และยิ่งไม่อยากถอย แต่ก็เดินหน้าไม่ได้เช่นกัน มันก่ำกึ่งขัดแย้ง ท่าทีของทะเลก็ทำให้ผมหลากใจ อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่คิดไปมันก็อาจเป็นแค่ความใจดีของทะเล...หรืออาจจะแค่ทำไปเพราะไม่กล้าปฎิเสธ ผมไม่สามารถรู้ได้เลยจริงๆ
“คิดอะไร" ผมลืมตามองป็อปที่หยุดเล่นกีตาร์และมาอยู่ตรงหน้าโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“คิด...ไปเรื่อย" เกือบจะบอกว่าคิดเรื่องทะเลไปแต่ก็เปลี่ยนใจ
“พรุ่งนี้มีสอบไหม"
“ไม่"
“งั้น อยู่กับกูก่อนนะ" ป็อปพูด นั่งคร่อมตักผม แล้วยื่นซองถุงยางให้ ไม่มีบทสนทนาใดๆต่อจากนี้นอกจากการกระทำ ผมเอื้อมมือไปกดรีโมทเปิดเครื่องเสียง ปรับระดับให้ดังมากพอที่จะสามารถกลบเสียงที่จะเกิดขึ้น
เพลงเมทัลหนักๆสามารถปลุกเร้าอารมณ์ผมได้ดี มันสั่นสะเทือนถึงใจ อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นเต็มที่ช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะระบายความอึดอัดออกมาในรูปแบบที่คุ้นเคย ผมดึงสายแจ็คที่ต่อเข้ากับกีตาร์และแอมป์ออก เอามามัดมือของป็อปไว้ข้างหลัง จับป็อปคุกเข่ากับพืื้นปลดกางเกงออก
ไม่มีการจูบ ไม่มีการเล้าโลม
ผมจับสายไฟที่พันมือป็อปยึดเอาไว้แล้วสอดตัวกระแทกเข้าไปคล้ายการขับควบ เสียงร้องของป็อปดังห้ามปรามให้ผมผ่อนแรงลงบ้าง มันคงจะเจ็บเหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยผ่อนแรงและกระทำตรงกันข้ามกับคำร้องขอ
“ร้องสิ ร้องออกมาดังๆ" ผมจิกดึงเส้นผมสีดำให้เงยขึ้นมาแล้วกระซิบบอก จากนั้นก็กระแทกตัวรุนแรง ป็อปร้องออกมาเสียงดังตามที่ผมบอกพร้อมๆกับหยดน้ำตา ผมจับเปลี่ยนท่าทางโดยที่ยังไม่ปล่อยพันธนาการที่มือ มันคงทรมาน ผมรู้ดี
บางทีผมก็อยากให้ป็อปบอกให้หยุด อยากให้ห้ามผม อยากให้ทนไม่ไหว อยากให้เขาหนีจากผมไป เลือกที่จะไปจากผมเอง แต่จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ยังไม่ทิ้งผมไป
เพราะอะไร...รักงั้นเหรอ
ใช่ มันคงเป็นคำๆนั้น คำที่ใช้แทนเหตุผลของการกระทำที่ดูงี่เง่าทั้งหมด
ผมจับป็อปให้คร่อมตัก ป็อปเองก็พยายามขยับเคลื่อนอยู่บนตัวผมอย่างเอาใจขณะที่มือทั้งสองยังอยู่ข้างหลังและไม่นานก็ซบลงตรงบ่าผมอย่างหมดแรง
ผมเร่งตัวเองด้วยอารมณ์ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ป็อปหอบหายใจหนักตัวโยกคลอนไปตามแรง แล้วกัดลงไปที่บ่าผมเพื่อระบายอารมณ์ ผมกดหน้าป็อปเข้าให้กัดแรงขึ้นอีก มันให้ความเสียวซ่านจนถึงจุด เมื่อทุกอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมก็ปล่อยตัวนิ่งสนิทปรับอารมณ์ สักพักป็อปก็เงยหน้าขึ้นมองผมและขยับเข้าใกล้
ผมหันหน้าหนีคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
คิดยังไม่อยากให้ใครมาซ้ำรอย
ป็อปมองผมด้วยแววตาผิดหวัง ผมแก้มัดที่มือ ดึงเสื้อป็อปขึ้นมาแล้วติดกระดุมให้
“โดนอะไร" ผมถามถึงผ้าพันแผลที่แปะไว้ที่หลังด้านซ้ายของป็อป
“เพิ่งสักมา"
“เจ็บไหม"
“ไม่หรอก อย่างอื่นเจ็บกว่า"ผมรู้ความหมายที่ป็อปกำลังบอกจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
เราออกห้องซ้อมกันก็ดึกมากแล้ว ครั้งแรกที่นั่นมันเร้าอารมณ์ผมยิ่งกกว่าในห้องพักจืดชืด มันทำให้ผมรู้ว่าผมชอบฟังเพลงเสียงดังๆแล้วทำกิจกรรมอย่างนั้น เราจึงใช้ที่นั่นอีกบ่อยครั้ง...
บ่อย..จนไม่ได้ระวังตัว
...
ผมกลับไปถึงบ้านทะเลก็นอนอยู่ที่เตียงผมแล้ว
สายตาที่ทอดมองผมเหมือนสายตาเมื่อเช้าไม่มีผิด มันเป็นสีหน้าที่ทะเลชอบทำเวลาน้อยใจผม ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนรู้สึกแบบนั้นเพราะทะเลเลือกที่จะไปกับก้านแทนที่จะไปกับผม
“กลับช้า" ผมยิ้มให้กับคำพูดที่เหมือนกับว่ารอผมอยู่ ทำให้ผมลืมความรู้สึกน้อยใจเมื่อเช้าไปจนหมดสิ้น
“ไปซ้อมมา"
“รอจนง่วง"
“ง่วงก็นอน พี่ไปอาบน้ำก่อน" ผมบอกแล้วเข้ามาอาบน้ำให้เร็วที่สุดเพราะใจมันอยากจะไปนอนเต็มที
ทะเลนอนหันหลังให้ผมอยู่ เมื่อผมก้าวขึ้นไปนอนด้วยทะเลก็พลิกตัวกลับมาแล้วกอดผมไว้ ผมเห็นรอยยิ้มน้อยๆของทะเล ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่จงใจแต่ผมกลับคิดไปแล้วว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ยั่วกัน ผมเขยิบเข้าไปใกล้แล้วจูบเบาๆเหมือนเคย
ผมจูบแม้ว่าตัวผมเองจะสับสน...หรือแม้จะทำให้ทะเลสับสน
เราสับสน เราหวั่นไหว เราทำ...แต่เราก็ไม่ได้พูดถึงมัน ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป
ลุ่มหลง มัวเมา พร้อมๆกับความคลุมเครือ
....
การสอบของพวกเราทุกคนเสร็จสิ้น ผมจบปีหนึ่งในขณะที่ป็อปกับร็อคเรียนจบแล้ว เรายังคงเล่นที่ร้านพี่ตินเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งป็อปและร็อคหลังจากเรียนจบก็รับสอนดนตรีและรับงานไปเล่นตามที่ต่างๆ ทั้งสองคิดจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีและสตูดิโออัดเสียงซึ่งก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามสไตล์เรื่อยๆของมัน
ปิดเทอมนอกจากเล่นดนตรีส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่อู่ช่วยงานน้าวิทย์ไม่ค่อยได้ไปไหน ทะเลก็อยู่กับผมแทบตลอดเวลาเหมือนทุกๆปิดเทอม จะมีบ้างที่ออกไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนซึ่งไม่บ่อยนัก
ทะเลกลับมาตัวติดผมเหมือนเดิมทำให้ผมลืมสิ้นสิ่งอื่นใด การเปลี่ยงแปลงของเราเป็นไปอย่างช้าๆ เราจูบกันบ่อยแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส บางทีผมก็ทรมานที่ทำได้เพียงแค่จูบแต่ถึงจะแค่นั้นผมก็มีความสุข มันเป็นแค่จูบที่ไม่ได้ดูดดื่มถึงขนาดใช้ลิ้น เพราะผมรู้ว่าหากถึงขั้นนั้นคงยากที่จะหยุดและเลยเถิดไปไกลยากกู่กลับ
ผมชอบตาใสๆของทะเลเวลาปรือตามองขณะที่เราจูบกัน ชอบรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเมื่อผมกดจมูกลงบนแก้ม ชอบนิ้วเรียวๆที่จับใบหน้าผมในบางครั้ง
การกระทำของทะเลผมจะตีความมันว่าอะไรดี ผมจะเข้าข้างตัวเองไปไหมถ้าจะคิดว่าทะเลก็รักผมเหมือนกัน
ผมอยากคิดให้เป็นแบบนั้นเลยปล่อยไป ไม่ได้ถามหรือบอกอะไร เพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดไว้จะไม่ใช่ความจริง
ก้านดูจะหายหน้าไปไม่ได้เห็นหน้าบ่อยๆเหมือนทุกทีซึ่งมันก็ทำให้ผมพอใจและไม่รู้สึกขัดตาบ่อยๆอีกแล้ว ความสัมพันธ์ของผมกับป็อปก็เป็นไปเรื่อยๆอย่างที่เคย ป็อปไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมายไปกว่านั้น
แต่ในบางครั้ง...บางครั้งที่ผมเห็นแววตาของป็อปเปลี่ยนไป...มันดูเลื่อนลอยไม่สะท้อนเงาของผมเหมือนที่เคยเป็น
เราเหมือนทำความต้องการของร่างกายและปล่อยให้มันเป็นไป ผมไม่สามารถตัดขาดได้แม้ใจจะอยาก...แต่ร่างกายมันยังต้องการ ส่วนลึกที่ต้องการปลดปล่อยมันรุนแรงส่วนหนึ่งก็เพราะทะเลด้วย ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าทดแทนยังไงมันก็ไม่สามารถเติมเต็มแต่ก็ยังทำ ความสัมพันธ์ของเรามันเรียงร้อยเกี่ยวเนื่องกันจนตัดไม่ขาด
วันนี้มันก็คล้ายกับหลายๆวัน
ผมนอนอ่านหนังสืออยู่เพราะยังไม่ง่วง เรานอนกันบนฟูกที่ปูกับพื้นในห้องผม ไม่ได้นอนบนเตียงอีกแล้ว เพราะเตียงมันเริ่มเล็กไปจริงๆสำหรับพวกเรา ผมตัดสินใจย้ายลงมานอนกันข้างล่างก็ตอนที่ตื่นมาเห็นทะเลนอนดิ้นออกจากกอดผมไปจนเกือบตกเตียง หลังจากวันนั้นผมก็เลยเอาที่นอนของทะเลที่มีอยู่มาปูและลงมานอนด้วยกัน
ทะเลนอนอยู่ข้างๆผมเลิกเล่นมือถือในมือและชะโงกหน้ามาใกล้ๆดูหนังสือที่ผมอ่านอยู่แล้วถาม
“สนุกเหรอ อ่านนานแล้วนะ"
“อืม เดี๋ยวก็จบแล้ว"
“เลนอนก่อนนะ ง่วงแล้ว"
“รอก่อนสิ"
“รอทำไม พี่ก็อ่านไปสิ เลจะนอนแล้ว"
ผมวางหนังสือทันทีแล้วเดินไปปิดไฟ ดึงทะเลเข้ามากอดไว้แล้วสูดกลิ่นหอมๆของแชมพู ก่อนจะจูบไปทั่วๆใบหน้า ทะเลมองหน้าผมจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะบึ้งก็ไม่บึ้ง ผมเลยหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร" ผมส่ายหัวไม่ตอบแล้วกดจูบลงไปไม่ให้ทะเลได้ตั้งตัว ผมเท้าตัวคร่อมทะเลไว้แล้วทั้งจูบ ทั้งขบเม้ม ทะเลก็เริ่มทำตามแบบผมบ้างซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเราร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มใช้ลิ้นเลียที่ริมฝีปากลิ้มเลียรสชาติ ทะเลเปิดปากคิดจะทำแบบผมบ้างแต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเมื่อปลายลิ้นเราแตะกับแผ่วเบา
เพียงแค่นั้นก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วร่าง
ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดไม่อาจยั้งตัวเองต่อไป ทะเลส่งเสียงอืออาในลำคอเมื่อผมจูบอย่างโหยหาเต็มไปด้วยอารมณ์ มือผมสอดเข้าไปในเสื้อแล้วบีบเฟ้นหนักๆไปตามตัว แต่แล้วมันก็สิ้นสุดลงในเวลาอันสั้นเมื่อผมได้ยินคำนั้นจากทะเล
“เจ็บ"
ทะเลบอกเพราะผมขบกัดไปที่ปลายลิ้นและดูดเลียอย่างกระหายในความหวานที่ได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรก ทะเลเจ็บจนผละออกจากผม แม้จะรู้สึกเสียดายแต่เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันและสายตาที่มองผมก็ทำให้รู้ตัวว่าผมพลาดไป
เผลอรุนแรงกับทะเลไป...เผลอจนเกือบจะเลยเถิดไปไกล
“ขอโทษ"
ผมบอกแล้วดึงทะเลเข้ามากอด ทะเลก็ส่ายหน้าไม่พูดอะไร แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการแต่ผมก็กอดทะเลไว้ไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่านี้แล้วบังคับให้ตัวเองหลับไป...พร้อมๆกับความทรมาน
...
แม้รู้ว่าไม่ถูกต้องที่ต้องระบายความอัดอั้นที่บ้าคลั่งกับใครสักคนแต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ผมเคยตัวที่มีคนคอยสนองตอบตลอดเวลาโดยไม่ปริปากบ่น แม้รู้อยู่เต็มอกว่าผิด แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดได้ง่ายๆ
เพราะคนเราใช่จะหยุดทำเรื่องชั่วๆเพราะรู้ว่าชั่ว แต่คนเราจะหยุดก็ต่อเมื่อสำนึกเท่านั้น
หากยังไม่สำนึก เราก็ยังคงทำต่อไป
เสียงเพลงยังคงดังจนสั่นสะเทือนพร้อมๆกับจังหวะการเคลื่อนตัว วันนี้เมื่อซ้อมกันเสร็จแล้วผมก็ไม่รีรอและเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพราะความต้องการจากเมื่อคืน การตอบสนองโดยไม่ปริปากห้ามปรามของป็อปทำให้เป็นไปอย่างถึงใจอย่างที่ผมอยากให้เป็น
ป็อปจิกมือตะกายฝาผนังแล้วร้องออกมาเสียงดัง ผมขยับตัวเร่งเร้าพลางมองรอยสักรูปดอกกุหลาบที่ปีกหลังด้านซ้าย
มันเป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยคมหนาม
ผมมองดูแล้วอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปไล้เลียช้าๆ แค่นั้นป็อปก็เกร็งตัวเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง ผมทั้งขบกัด และจูบซ้ำๆอยู่ที่รอยสักนั้น
และนั่นก็เป็นครั้งแรก...ที่ผมได้ยินเสียงร้องครวญครางคล้ายสุขสมของป็อป
ผมไม่รู้ว่าความสุขสมครั้งนั้นมันให้ภาพออกมาเป็นแบบไหนสำหรับคนมอง
ประตูที่แง้มอยู่บ่งบอกว่าใครสักคนเป็นคนเห็นมัน
ใครสักคนที่ไม่ควรเห็น
เป็นคนสุดท้ายที่ควรเห็น
ใช่ มันเป็นความสุขสมครั้งแรกของป็อป
ความสุข...ที่มาพร้อมกับความทุกข์ของเราทุกคน
Song Titles : Something In The Air
Artist : David Bowie
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น