คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8
ดัลเช เอท เดคอรัม โปร ปาเตรีย มอริ...การตายเพื่อชาติอันเป็นที่รักถือว่าเป็นศักดิ์ศรี ความถูกต้องและเกียรติสูงสุด
ดวงหน้าคมคายหันมามองพร้อมกับยิ้มกว้างก่อนเอ่ยถามเบาๆ “คุณคิดอย่างงั้นไหม?”
คนโดนถามเลิกคิ้วอย่างงุนงงแทนคำตอบแต่ก็พอจะเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังพูดถึงอะไรอยู่ “กูลาหนะหรือ?” เมื่อคำตอบคือการพยักหน้าจึงเลือกที่จะพูดต่อไป “เขาดูเสียสละเพื่อองค์กรอะไรนั่นของเขาดีนะ”
“ก็คงเพราะเขาคิดว่าการตายเพื่อองค์กรของเขาเป็นความถูกต้อง เกียรติยศและศักดิ์ศรีสูงสุดหนะสิ”เอ่ยเสริมไประหว่างที่ในใจนึกชื่มชมถึงความกล้าหาญและความเสียสละของกูลาเพื่อเป้าหมายที่ใฝ่ฝัน
ฮีชอลเลือกที่จะหันกลับไปยังงานของตนที่ยังคงค้างเอาไว้ มันคือการแก้คำใบ้ปริศนาที่กูลาเขียนเอาไว้ก่อนตาย
L’emuincalatt
เมื่อเห็นร่างเล็กเงียบไปก็พอเดาออกว่ากำลังขะมักขะเม้นกับการแก้คำปริศนานั่นอยู่ ซีวอนเลือกที่จะนั่งดูข้างๆเงียบๆระหว่างที่ในมือยกกาแฟในถ้วยขึ้นจิบไปด้วย
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองร่าง สิ่งเดียวที่ยังคงดังสม่ำเสมอนั้นคือลมหายใจและเสียงดินสอจรดลงบนสมุดโน้ตที่ดังไม่รู้จบบ่งบอกได้ว่าเจ้าของดินสอนั้นกำลังตั้งอกตั้งใจทำงานของตนได้มากขนาดไหน
“ไอรา...”เสียงหวานที่ดังทำลายความเงียบขึ้นมาเรียกความสนใจของคนข้างๆให้หันมามองได้ ดวงหน้าหวานนั้นยังคงจดจ่ออยู่กับคำใบ้ปริศนาข้างหน้าตนหากแต่ปากเล็กขยับเป็นคำพูด “ภาษาละติน บาปแห่งโทสะคือคนต่อไปที่นายจะต้องเจอ”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยถาม ฮีชอลก็พูดขัดขึ้นมาอีกรอบ “เพราะสีแดงคือสีที่เป็นตัวแทนของบาปนี้” ถึงคำตอบที่เอ่ยมาจะฟังดูเป็นไปได้ แต่หนึ่งสิ่งที่ซีวอนอดจะโต้แย้งไม่ได้ในใจก็คือ กูลาอาจจะใช้เลือดเพียงเพราะมันคือสิ่งเดียวที่สามารถใช้เป็นหมึกได้ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรเขียนก็ได้ไม่ได้คิดจะเจาะจงขนาดนั้น...ได้แค่คิดไม่กล้าพูดตอบขัดใจออกไป
แต่คิมฮีชอลก็ยังคงเป็นคิมฮีชอลคนที่รู้ใจเขาอยู่ดีวันยังค่ำ
ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยพูดราวกับอ่านใจตนออก “แต่มันก็ถูกที่ว่าอาจเป็นเพราะกูลาไม่มีอะไรจะใช้เขียนแล้วก็ได้เลยใช้เลือดตัวเอง
ฉันคงคิดมากไปหน่อยเท่านั้นแหละ”น้ำเสียงนั้นฟังดูล้าเต็มทนจนซีวอนนึกเป็นห่วง
“แต่ยังไงซะ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องสู้กับเจ้าไอรานั่นอยู่ดี”ประโยคที่ดังต่อขึ้นมาเมื่อร่างเล็กพูดจบนั้นตามมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างให้กำลังใจเมื่อเห็นดวงหน้าเหนื่อยล้าของคนตรงหน้า
ดูก็รู้ว่าเครียดขนาดไหนเพราะความหวังของทุกคนนั้นขึ้นอยู่กับฮีชอลในการแกะคำใบ้อันนี้เพื่อไปยังสถานที่ต่อไป
ประโยคทุ้มเสียงที่ดังขึ้นนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนที่เหนื่อยอ่อนจากการแกะปริศนาให้เผยออกมาได้
ฮีชอลเลือกที่จะนิ่งเงียบไป ดวงตากลมโตนั้นยังคงจับจ้องไปยังข้อความตรงหน้า
หากแต่อะไรบางอย่างที่ลอยเข้ามาในหัวทำให้เขาพูดมันออกไปราวกับไม่ได้สติ...ประโยคที่ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้
“Vergissmeinnicht”
.
.
.
“หนึ่งอาทิตย์เลยเหรอ?”
แม้สีหน้าจะไม่แสดงออกอะไรใดๆทั้งสิ้นหากแต่น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแค่คนตรงหน้าบอกว่าจะต้องไปดูงานที่อเมริกาหนึ่งอาทิตย์เขาก็รู้สึกถึงความเหงาที่ถาโถมเข้ามาเกาะกินในหัวใจแล้ว
ชายตรงหน้าได้แต่พยักหน้าโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น
เขาเข้าใจความรู้สึกร่างเล็กข้างหน้า
เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันที่ต้องจากคนที่รักหมดหัวใจไปไกลอีกฝากหนึ่งของโลก
“Vergissmeinnicht”
ประโยคภาษาที่ไม่คุ้นหูดังผ่านริมฝีปากหยักเรียกความสนใจของคนตรงหน้าให้เงยหน้าขึ้นมามองแล้วทวนคำตามอย่างงุนงงก่อนเอ่ยถาม
“มันแปลว่าอะไรหนะ?”
“ภาษาเยอรมัน”ซีวอนเอ่ยตอบก่อนจะดึงร่างข้างหน้ามารั้งกอด ดวงหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ๆพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
เอ่ยตอบก่อนจะประทับจุมพิตเบาๆบนหน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน
Do
not forget me
.
.
.
นึกถึงภาพอดีตแสนหวานที่แล่นเข้ามาทำให้หัวใจเจ็บปวดเล่นๆก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง เมื่อหันไปมองคนข้างๆก็พบว่าฮีชอลกำลังฉีกยิ้มอยู่เช่นกัน...ทั้งสองคนจมอยู่ในห้วงความทรงจำแสนหวานที่คอยทิ่มแทงหัวใจให้ปวดร้าวกับความจริงที่ว่าทั้งเขาและฮีชอลต่างก็เลิกรากันไปครึ่งปีกว่าแล้ว
แต่ในใจก็ร่ำร้องอยากจะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ทุกๆวัน
“ผมดีใจ...”เสียงทุ้มที่เกริ่นขึ้นมาเบาๆเรียกความสนใจให้ดวงหน้าหวานหันขวับไปมองได้
ชเวซีวอนกำลังฉีกยิ้ม...ทั้งน้ำตาที่ปริ่มเต็มขอบตาคมนั่น
“ผมดีใจที่คุณยังจำประโยคนั่นได้”เอ่ยต่อก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา...ให้ตายเถอะ เขาดีใจเป็นบ้าเลยที่คนๆนี้ยังจำมันได้เหมือนที่เคยจำได้ทุกรายละเอียด
ฮีชอลฉีกยิ้มเศร้าๆที่ไม่แพ้กับชายหนุ่ม “ฉันก็เหมือนนาย จดจำมันได้ทุกๆรายละเอียด ไม่มีส่วนไหนเลยที่เลือนไป...ฉันไม่เคยลืมเรื่องของเราตั้งแต่ต้นจนจบได้เลยแม้แต่น้อย”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเองก็เป็นคนโง่เหมือนนายที่ยังคอยนึกถึงอดีตของเราสองคนที่ไม่มีอีกแล้ว”
ไม่มีคำพูดใดๆออกจากริมฝีปากของทั้งสองร่างเมื่อสิ้นสุดประโยคนั้น สองร่างจูบกันตามลำพังในห้องพักขนาดเล็ก มีเพียงจุมพิตที่เต็มไปด้วยความรักความดีใจและความตื้นตันใจจากซีวอนที่ส่งผ่านริมฝีปากให้ร่างเล็กในอ้อมกอดได้รับรู้เท่านั้นที่ฮีชอลสัมผัสได้ ความเครียดความเหนื่อยล้าจากการแก้ปริศนาหายไปเป็นปลิดทิ้ง
คำหนึ่งคำก้องอยู่ในหัวระหว่างที่ดวงตากลมโตค่อยๆปรือตาลงรับจุมพิตที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความดูดดื่มช้าๆ ประโยคนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวพร้อมทั้งคำแปลจากปากซีวอน
Vergissmeinnicht
เวอกิชไมนิค
ไม่เคยลืม...ทำยังไงก็ไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้ออกไปจากใจ ไม่เคยลบออกไปได้เสียที แม้ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ตามแต่
Do not forget me
ยังไงก็ไร้ผล...ชเวซีวอนก็ยังคงอยู่ในหัวใจของเขามาโดยตลอดจนถึงวินาทีนี้ และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนกว่าเขาจะตาย
อย่าลืมผม
“เจ็บไหม?”
เป็นเวลานานกว่าคิมคิบอมจะรวบรวมความกล้าของตัวเองเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าที่ยื่นแขนให้เขาทายาแก้ฟกช้ำให้ จากการต่อสู้เมื่อครู่ ถึงแม้ว่าดงแฮจะชนะกูลาก็จริง แต่ชายหนุ่มเองก็โดนกูลาใช้กระบองฟาดไปชนเกิดแผลฟกช้ำอย่างน่ากลัวเอาเยอะเหมือนกัน
คนโดนถามได้แต่ฉีกยิ้มกว้างพลางเอ่ยตอบกลับไปอย่างสบายอารมณ์ “แค่แผลฟกช้ำดำเขียวแค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“ไม่เป็นไรบ้าอะไรเล่า!”เสียงหวานตะโกนขัดมาทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับร่างเล็กที่น้ำตาคลอเบ้า...ตายห่าแล้วลีดงแฮ แกไปทำอะไรให้คนน่ารักคนนี้เขาร้องไห้วะ?!
ได้แค่เพียงอ้าปากเท่านั้นก่อนจะค้างไปเมื่อพบว่าคิบอมโผเข้าหาตน มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นทุบหน้าอกเสียรัวพร้อมกับเสียงหวานที่ตะโกนไปด้วย “เจ้านั่นใช้กระบองฟาดนายนะ! ถ้ามันโดนหัวนายหละ?! แค่แขนก็ช้ำซะขนาดนี้แล้ว ถ้า...ฮึกก...ถ้ามันโดนหัวนายหละคิดดู?!!!”
เสียงสะอื้นไห้ดังแทนที่ประโยคคำพูดพร้อมๆการทุบตีอกแกร่งที่หยุดไป กำปั้นเล็กคลายลงแล้วขยำเสื้อเชิตสีขาวจนยับยู่ยี่แทน “แล้วถ้านายตายไป...ฮึกก...”
“ใครจะมาเป็นแสงสว่างให้ฉันหละ?”
มันคือคำถามที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งความปวดร้าว ความผิดหวังและความโดดเดี่ยวที่แม้แต่คนรับฟังยังสัมผัสได้ถึงความเหงาที่แผ่ซ่านมาจากตัวของคนๆนี้...คนที่ไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต
ลีดงแฮนิ่งไปเป็นเวลานานเมื่อได้ยินประโยคนั้นก่อนที่ริมฝีปากหยักจะฉีกยิ้มกว้างออกมา สองแขนแกร่งยกขึ้นโอบกอดคนที่กลายมาเป็นร้องไห้เอาลูกเดียว เป็นเวลานานกว่าคนในอ้อมกอดจะหยุดร้องไห้ได้ ดวงหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าคนที่ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ
“คุณยิ้ม?”เอ่ยถามเสียงเบาราวกับกระซิบ คนโดนทักก้มลงมามองทั้งรอยยิ้มก่อนเอ่ยตอบกลับไป “ผมดีใจ...” เว้นวรรคประโยคพลางกระชับอ้อมกอด
“ที่คุณเห็นผมเป็นแสงสว่างในชีวิตของคุณ...ผมดีใจมากเลยหละ”
คิมคิบอมเงียบไปในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั่น ก่อนจะฉีกยิ้มหวานส่งกลับไปให้...ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดมันออกไป แต่เขาไม่นึกเสียใจเลยว่าเขาได้พูดมันออกไปแล้ว
“อย่าทิ้งผมไปนะ...”มันเป็นคำสัญญาและคำขอร้องจากคนหนึ่งคนที่ไร้ซึ่งแสงสว่างในชีวิต คนที่ทุกอย่างจบสิ้นและมีแต่เรื่องแย่ๆ
ชายหนุ่มฉีกยิ้ม และตอบกลับไปเบาๆโดยไม่ลังเลที่จะกลับมาคิดใหม่เลย คงเพราะเป็นคิมคิบอมคนที่เขาตกหลุมรักเสียตั้งแต่แรกพบเป็นคนพูดออกมา เขาจึงไม่ปล่อยให้วินาทีที่กำลังจะผ่านไปสูญเปล่าเมื่อร่างเล็กพูดจบ
เพราะเขาสัญญาว่าจะเป็นแสงสว่างให้แก่คิมคิบอม และเขาจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งคนนี้จะทำได้
“ผมจะไม่ทิ้งคุณ”
L ’ e m u I n c a l a t t
เมื่อลองเว้นวรรคตัวอักษรกระจายกันออกไปแล้ว ฮีชอลก็รู้สึกว่ามันช่างเป็นคำศัพท์ที่ดูคุ้นตาตนเป็นอย่างมาก และมันไม่ได้ยากอะไรเลยด้วยซ้ำเมื่อลองกระจายตัวออกห่างจากกัน
มันเป็นคำที่คุ้นตาเขา...ใช่ เขารู้จักคำๆนี้มาก่อน และคำๆนี้มันก็ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ มันเป็นภาษาอิตาลีต่างหาก กูลาเรียงตัวอักษรสลับกันเพียงเพื่อจะสร้างความงงงวยให้แก่เขาเพียงเท่านั้น และถ้าหากเอามาเรียงใหม่ก็จะได้เป็น...
L’ultima cena
The Last Supper
พระกายาหารมือสุดท้าย จิตกรรมฝาผนังที่มาจากเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าเป็นพระกายาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูก่อนที่พระองค์จะถูกนำไปตรึงบนไม้กางเขน ภาพวาดนี้ถูกวาดโดยจิตรกรชาวอิตาลีผู้โด่งดัง เลโอนาร์โด ดาวินชี
“แล้วตัว t ที่เกินออกมานั่นหละ?”เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากข้างๆดังขึ้นมาพร้อมกับนิ้วยาวที่ชี้ไปยังตักอักษรหนึ่งตัวที่ยังไม่ถูกขีดฆ่าไปบ่งบอกได้ว่ายังไม่ได้ใช้ ดวงตากลมโตมองตามไประหว่างที่ในหัวประมวลความคิดที่สามารถเป็นไปได้
ก่อนที่จะเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“มันคือสถานที่...ตัวTตัวนี้หมายถึงโบสถ์Tangerloที่ประเทศเบลเยี่ยม ที่ซึ่งภาพThe Last Supperได้ถูกจำลองเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ดาวินชีในโบสถ์นั้น และจะเปิดทุกๆวันอาทิตย์เท่านั้น”
คำอธิบายยอดเยี่ยมอย่างไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องนั้นทำเอาคนรับฟังถึงกับฉีกยิ้มกว้าง ในที่สุดฮีชอลก็ไขปริศนานั่นออก...คิดได้เพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังประตู เปิดมันออกมาก่อนจะรีบบอกข่าวดีให้แก่เพื่อนร่วมทีมทั้งสองและชินดงที่เปิดประตูอีกบานเข้ามาพอดี
“เราจะไปเบลเยี่ยมกัน”
สิ่งที่ทำให้ฮีชอลรู้สึกสนใจในประเทศเบลเยี่ยมนั้นก็คือความจริงที่ว่าแม้เบลเยี่ยมจะเป็นประเทศหนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งสหภาพยุโรปหรือEuropean Union(EU) และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เช่นองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตลินติกเหนือ(NATO – North Atlantic Treaty Organization) แต่ที่น่าแปลกใจนั้นก็คือความจริงที่ว่าเบลเยี่ยมไม่มีภาษาพูดเป็นของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
และเพราะภาษาที่แตกต่างกันไปนั้นจึงทำให้ระบบการปกครองค่อนข้างซับซ้อน ถึงแม้ภาษาดัตช์ ภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมันจะเป็นสามภาษาราชการ แต่ก็ยังมีภาษาอื่นๆในเบลเยี่ยมเช่นภาษาวัลลูน ภาษาปีการ์ด ภาษาชองเปนัวและภาษาลอแรงอีกด้วยเช่นกัน
เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นในกระเป๋าทันทีที่ชเวซีวอนเหยียบเท้าเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ดาวินชีในตัวโบสถ์นั้น ชายหนุ่มคว้ามันขึ้นมาก็พบกับหมายเลขที่ไม่เปิดเผย ลังเลใจอยู่สักพักก่อนจะกดรับ
//สิ่งที่ไม่ควรจะมีในภาพข้างหน้า//
และโทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไปด้วยฝีมือคนปลายสาย ซีวอนที่ดูจะงุนงงเล็กน้อยกับโทรศัพท์ปริศนานั้นตั้งสติไม่ได้เลยและค้างอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถามอย่างงุนงงกับท่าทีของชายหนุ่ม “เป็นอะไรไป?”
คนโดนถามสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเก็บโทรศัพท์ในมือพลางเอ่ยตอบ “มีคนโทรมา...ผมคิดว่าเป็นพวกเดียวกับกูลา เขาบอกว่าสิ่งที่ไม่ควรจะมีในภาพข้างหน้าแล้วก็ตัดสายไป”
“แสดงว่าพวกนั้นก็ต้องรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ และกำลังจับตาดูพวกเราจากที่ใดสักแห่งหนึ่ง”บทสรุปของฮีชอลนั้นทำเอาชายหนุ่มต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ระหว่างที่กวาดสายตามองไปรอบๆ มีคนค่อนข้างมาก...พวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรในที่ๆมีคนเยอะหรอก
แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือภาพข้างหน้าเขาต่างหาก
ราวกับนัดหมายกัน ทั้งสองคนค่อยๆหันไปมองยังภาพข้างหน้าตน...The Last Supperที่ถูกจำลองมาได้เหมือนจริงบนผนังนั้นเด่นสง่าอยู่ในสายตาพวกเขา สองร่างค่อยๆเดินไปข้างหน้าราวกับมีแรงดึงดูดก่อนจะหยุดอยู่ข้างหน้าภาพนั้น
ดวงตากลมโตกวาดสายตาพิจารณาไปทั่วรูป รายละเอียดทุกอย่างไม่เคยรอดพ้นสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อไล่ดูไปหลายรอบแล้วฮีชอลจึงทิ้งตัวเองเข้าสู่ห้วงความคิดแห่งประวัติศาสตร์กาลเวลา อะไรมาก่อนอะไรมาหลัง
และนั่นก็ทำให้เขาได้คำตอบออกมา
“ส้ม”หนึ่งคำที่หลุดออกมาจากปากเรียกความสนใจจากคนที่เหลือให้หันมามองได้ เสียงหวานอธิบายต่อไปอย่างรู้หน้าที่ “เพราะในยุคนั้นยังไม่มีการนำเข้าส้ม...ส้มหนะ ถูกนำเข้าโดยประเทศจีน300ปีหลังจากการตายของพระเยซูต่างหาก”
“แล้วมันมา...”
“ฉันคิดว่าคงเพราะดาวินชีได้ยินเรื่องส้มมาจากพวกทหารแหละ”เอ่ยตอบขัดดงแฮที่ยังไม่ทันจะได้จบประโยคคำถามของตนอย่างรู้ใจก่อนที่ทุกคนรวมทั้งตัวของเขา
“หรือเขาจะหมายถึงสวนส้ม?”เสียงเล็กๆหนึ่งเสียงดังเข้ามาในโสตประสาทความคิดของทุกๆคนเรียกความสนใจให้หันไปมองยังเจ้าของเสียงที่เสนอความเห็นออกมา
คิมคิบอมลังเลสักพักเมื่อสายตาของทุกๆคนจับจ้องมายังเขา “ตอนที่เดินทางมาที่นี่ผมเห็นสวนส้มขนาดใหญ่อยู่ริมทางมาโบสถ์หนะครับ พวกนั้นคงต้องหมายถึงที่นั่นแน่ๆเลย”
ช่างสังเกตุ คำๆนี้ดูจะเป็นคำๆแรกที่อธิบายคิมคิบอมได้ และเป็นคำที่อยู่ในหัวของทุกๆคนได้ ณ ตอนนี้...สิ่งที่พวกเขาทั้งสี่ขาดไปคือความช่างสังเกตุ พวกเขามักจะมองข้ามเรื่องราวรอบข้าง และคิมคิบอมก็ได้เติมเต็มปมด้อยจุดนี้ไป
ทุกคนมองหน้ากันก่อนที่จะพากันหันไปมองยังซีวอนเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มยืนก้มหน้านิ่งระหว่างที่ในหัวกำลังประเมินคำอธิบายของคิบอม...ที่ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก เพียงเท่านั้นดวงหน้าคมคายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาลูกทีมทุกคน
“แล้วจะมัวรออะไรอยู่หละ?”
---------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้กำลังขยันอัพฮาเล อยากจะบอกว่าตอนนี้ซ๊องแต่งมาจนถึงตอนใกล้จบแล้ว
จะทยอยเอามาให้อ่ากันนะคะ ตอนนี้สมองยังไม่ตันๆ ก้เลยไปได้ไกลกว่าวันเดอ บวกเรื่องนี้ออกแนวเครียดแล้วแบบตอนนึงสั้นไม่เหมือนวันเดอด้วย
ความคิดเห็น