เรื่อง พันธสัญญาแห่งนาคิน - นิยาย เรื่อง พันธสัญญาแห่งนาคิน : Dek-D.com - Writer
×

    เรื่อง พันธสัญญาแห่งนาคิน

    หวัดดีจ้า^^ เรา Zen นะ ปกติจะเขียนแนวอื่นๆที่ไม่ใช่แนวอย่างเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนแนวนี้ เราเคยเขียน Fiction J-ROCK แนว Y มาก่อน แต่ก็นานมากแล้ว หลังจากที่อยู่มหาลัยและติดทำนิพน เหนื่อยและยุ่งมากๆ จนละจากงานเขียนไปนานมากๆเลย ตอนนี้ก็พอจะ

    ผู้เข้าชมรวม

    346

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    346

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 พ.ค. 52 / 13:54 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    หากคุณเชื่อในความรักข้ามภพ

    และคุณปรารถนาที่จะพบใครคนหนึ่ง

    ภาพจากความฝัน อาจไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ลวงตา

    มาแล้วเพียงจากไป อรุณวันใหม่ขึ้นก็จบ

    แต่ภาพของความฝัน คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้น

    และยังคงผูกพันตราตรึงอยู่ในหัวใจของบุคคลผู้มีรัก

    ไม่ว่าความตายจะเคยพรากให้ได้เจ็บปวด

    แต่ความรักยังคงอบอวลอยู่ทั่วทุกอณูจิตวิญญาญ

    ของเขา และเธอ ที่ไม่มีวันพรากจาก..

     

     

    *

    พี่จะรักเจ้าเพียงผู้เดียว พี่ขอให้สัตสาบาญต่อวังนาคินศักดิ์สิทธิ์ พี่จะขอรักเจ้า

    พานพบเพียงเจ้า ครองคู่กับเจ้าทุกภพทุกชาติไป หากแม้นพี่ผิดซึ่งวาจานี้

    พี่ขอรับกรรมให้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส  

    นาคาหนุ่มรูปงามผิวขาวผ่องดั่งทองทานาคราชสีทองตระกูลวิรูปักษ์

    พนมมือกล่าวว่าต่อหน้าวังนาคินแห่งเมืองบาดาล เคียงข้างเขาคือ

    รมิตานาคีสีเขียวตระกูลเอราปถ นางอันเป็นที่รักยิ่ง

    เหตุท่านจึงต้องสาบาญอะไรน่ากลัวเช่นนั้น

    ข้าหาได้ต้องการให้ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งข้าต้องได้รับความทุกข์อันใด

    ข้าเชื่อในความรักของท่านที่มีต่อข้า มือนวลเอื้อมไปแตะที่แก้มของชายผู้ซึ่งเป็นที่รัก

    สองสายตาประสานกัน มือแกร่งจับมือเล็กๆที่ปรางด้านซ้ายของตนมาแนบเอาไว้ที่อก

    พี่รักเจ้า ทั้งหมดชีวิตของพี่ก็ให้เจ้าได้ อย่าได้ห่วงพี่เลย

    พี่กล่าวไปด้วยหัวใจ และอยากให้เจ้าได้มั่นใจในหัวใจรักแห่งพี่

    หม่อมฉันเกิดมาต้อยต่ำนัก เป็นเพียงบุตรสาวอำมาตย์ปลายแถว

    เพียงแค่ได้มีโอกาสถวายการรับใช้จัดเครื่องหวานถวายแด่องค์รัชทายาทแห่งนาคิน

    ก็เป็นบุญของข้าแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่า นาคีเอราปถอย่างหม่อมฉัน

    จะอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ และอยู่ในดวงหฤทัยองค์นาคราช

    ดวงหน้าหวานก้มหน้าน้อยๆ หยาดน้ำตาอาบแก้มเนียน

    มือแกร่งลูบซับน้ำตาที่แก้มนวลแผ่วเบา ดั่งกลัวว่าจะทำให้บอบช้ำ

    พี่รักเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด ต่อให้เป็นสังเสทชะพี่ก็จะรัก ขอเพียงเป็นเจ้าเท่านั้น รมิตา

    ชายหนุ่มเอ่ยวาจาหวานนุ่ม และเชยคางมนเข้ามาจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มอย่างอ่อนโยน

    รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว

    ดวงใจของหม่อมฉัน อย่าได้จากไปไหนเลย หากเมื่อขาดพระองค์ไปแล้ว หม่อมฉันคงขาดใจ

    *

     

    ..นครินทร์ตื่นขึ้นกลางดึก นี่เป็นอีกคืนในบรรดาหลายๆคืนที่เธอฝันแปลกๆ

    กับภาพชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งคาดว่าจะเป็นพญานาคที่เธอเคยเห็นตามบันไดวัด

    ภาพของชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวผ่องดั่งแสงทองกับเครื่องแต่งกายแบบโบราณ

    ที่ประดับไปด้วยอัญมณีล้ำค่า ทั้งทองและเพชรนิลจินดามากมาย

    และทั้งหมดจะเป็นสีแดงและขาวสุกใส พร้อมกับหญิงสาวที่งดงามดั่งภาพวาด

    เส้นผมสีดำคลับที่เกล้ารวบขึ้นไปแล้วปล่อยยาวเหมือนหางม้าด้านหลัง

    กับอาภรณ์พลิ้วไสวสีเขียวมรกตและเครื่องประดับสวยงาม

    ยามที่นครินทร์ฝันถึงความรักของนาคทั้งสอง

    เธอมักจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายๆดอกมะลิแต่กลิ่นหอมแรงกว่า เย็นกว่า

    ติดจมูกเธอจางๆทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้น

    เธอไม่รู้ว่าความฝันนี้ต้องการบอกอะไรกับเธอ

    บ่อยครั้งในชีวิตของเธอตั้งแต่วัยเยาที่เธอมักฝันถึงพญานาค

    สีทองบ้าง สีเขียวบ้าง ว่ายน้ำมาวนเวียนใกล้ๆเธอ

    และหลายครั้งที่เธอตกใจกลัวงูตัวใหญ่ในความฝันจนตื่นขึ้นกลางดึก

    นครินทร์เคยเล่าความฝันนี้ในกับผู้เป็นแม่ฟัง แต่ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า

    เด็กๆคงจะติดตากับภาพของพญานาคที่อยู่ตรงบันไดวัดที่แม่เคยพาเธอไปบ่อยๆ

    เลยเก็บเอามาฝันถึง ในตอนนั้นเธออายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น เมื่อมองรอยยิ้มของแม่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร

    แต่ความฝันนั้นก็ยังคงติดตามเธอมาจนโต

     

    นี่เป็นเช้าอีกวันที่เธอจะต้องตื่นขึ้นเพื่อไปเรียน โชคีที่เธออยู่หอในของมหาวิทยาลัย

    และวันนี้เป็นวันที่เธอมีวิชาเรียนช่วงบ่าย

    ทำให้ฝันนั้นไม่สามารถมาบั่นทอนเวลานอนของเธอ

    ไปก่อนนะคุณหลานรินจัง บี รูมเมทของเธอเอ่ยขึ้นอย่างคุ้นเคยกับคำที่ใช้เรียกเธอ

    ก่อนจะถือกระเป๋าแบรนเนมสุดหรูเดินเฉิดฉายออกไปพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมฟุ้งที่ยังคงกระจายไปทั่วห้อง

    บ๊าย บาย ป้าบีจัง นครินทร์หรือรินโบกมือจากข้างตู้เสื้อผ้ากับเพื่อนซี้

    คำสนทนาที่คุ้นเคยของเพื่อนซี้สองคนที่เรียกกันเป็นป้าและหลาน

    เพราะคนนึงก็ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนอีกคนก็กร้านโลกซะจริงๆ

    จะเรียกว่าแก่เกินวัยก็คงไม่ผิด ไม่นานรินก็แต่งตัวเสร็จ

    เธอต่างกับเพื่อนร่วมห้องของเธออย่าสิ้นเชิง

    เธอเป็นนักศึกษาปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง

    ชีวิตในแต่ละวันของเธอกับการเรียนคือ ใส่เสื้อยืดสีดำเรียบๆ

    และกางเกงขายาวสีดำเรียบๆเช่นกัน

    รองเท้าผ้าใบ และเสื้อนักศึกษาคลุมไปอีก 1 ตัวเท่านั้น

    ตามสไตล์เด็กศิลปกรรมเอก 3D Animetion

    ผมสีน้ำเงินทำสีตามสมัยนิยมของวัยรุ่นที่ปล่อยยาวสบายๆ กับผิวขาวๆของเธอ

    เป็นจุดเด่นที่ใครๆในมหาลัยมองกันเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไรสำหรับเด็กศิลป์อย่างเธอ

     

    หวัดดี ริน เสียงทุ่มต่ำนุ่มๆที่คุ้นเคยเอ่ยทักเธอระหว่างทางขึ้นตึกเรียน

    อืม ดี เค คำทักทายสั้นๆเรียบๆตามสไตล์สาวพูดน้อยอย่างเธอที่เอ่ยทักกลับกับชายหนุ่มร่างสูง

    เขาเป็นเพื่อนในสาขาของเธอ ที่ไม่ได้สนิทอะไรกัน แต่แรกเริ่มเขาเป็นคนเข้ามาพูดคุยกับเธอ

    และบ่อยครั้งที่เจอกัน แต่ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรมากมาย

    นอกจากคำทักทาย เจอกันแล้วก็ผ่านไป

    และในทุกๆครั้งเหมือนว่าเขาจะเห็นเธอก่อนและเข้ามาทักเสมอ

    เป็นอยู่เช่นนี้นานนับปี และจากการแลกอีเมลของเพื่อนๆในสาขา

    เธอจึงได้เมลของเขามาด้วยเช่นกัน

    ทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้นทางMSN ตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่

    มรุเดชหรือเคเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันกับเธอที่มักเข้ามาทักทายเธอเสมอๆ

    เขาเป็นคนเงียบขรึม อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆอีก 5-6 คน และชอบเดินฟังเพลง

    นั่งเรียนก็ฟังเพลง ไม่รู้ว่าสนใจใครหรืออะไรบ้างหรือเปล่า

    นั่นเป็นเพียงข้อสังเกตของเธอ

    แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจเขาไปมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ

    รินเองก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทอะไรมากมาย เธอสามารถพูดคุย ทักทาย

    และทำงานกลุ่มร่วมกับเพื่อนๆชาวศิลปกรรม หญิงสาวไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องทั่วไป

    ชีวิตของเธอไม่เคยแม้กระทั่งไปเที่ยวสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนๆยามราตรี

    ชีวิตของการเป็นเด็กหออยู่ไกลบ้าน เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่แล้วสำหรับคนเป็นพ่อแม่

    ถึงแม้เธอจะไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้ปกครอง

    แต่เธอก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจเพราะพฤติกรรมของเธอเลยสักครั้ง

    ทุกๆครั้งหลังเลิกเรียน เธอแวะเข้าไปยังซุปเปอร์มาเก็ตขนาดย่อมข้างๆมหาลัย

    เพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเองภายในหอพัก และนั่งทำงานส่งอาจารย์เกือบทั้งคืน

    อาจมีบ้างนานๆครั้งที่เธอจะออกไปในช่วงวันหยุด ไปดูหนัง

    ไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้ากับกิ่งเพื่อนสนิทต่างสาขาของเธอบ้าง

    รินคิดเสมอว่า เธอจะต้องเรียนให้จบให้ได้ เพื่อนำปริญญากลับไปให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ

    และเธออยากที่จะช่วยหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ตอบแทนบุญคุณของท่านบ้าง

    ดูจากภายนอกเธอเป็นคนที่เคร่งขรึมและดูซีเรียสกับชีวิตเสมอ

    ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตของเธอตั้งแต่เด็กต้องเจอกับเรื่องร้ายๆอะไรบ้าง

    พ่อแม่ของเธอแรกเริ่มนั้นมีฐานะที่ไม่ค่อยดี เมื่อเธอซึ่งเป็นลูกสาวคนแรกเกิด

    ก็ต้องไปอยู่กับยาย จนเมื่อโตได้สัก 7 ขวบ

    พ่อแม่ของเธอที่มีฐานะทางการเงินดีขึ้นจึงรับเธอกลับมาอยู่ด้วย

    พร้อมกับได้อยู่กับน้องสาวอีกคนนึงของเธอซึ่งมีอายุห่างกัน 3 ปี

    ครอบครัวของนครินทร์มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ พ่อของเธอเปิดบริษัทเล็กๆ

    แต่เมื่อ 4-5 ปีก่อน เศรษฐกิจย่ำแย่

    ทำให้บริษัทเล็กๆของครอบครัวต้องประสบปัญหาทางการเงิน

    ความพยายามของพ่อและแม่ที่จะประคับประครองบริษัทให้อยู่รอดก็เพียงไม่นาน

    จึงต้องปิดตัวลงเมื่อเธออยู่มหาลัยในปีที่ 2

    ความกดดันในชีวิตของหญิงสาวจึงมีมากขึ้น

     

    นครินทร์ร่วมหุ้นเปิดบูธออกแบบและขายสินค้าเครื่องประดับ

    และเสื้อผ้าวัยรุ่นสไตล์Cosplayอยู่กับกิ่งเพื่อนรักของเธอ

    ธุรกิจเล็กๆนี้ไปได้ดี และทำเงินให้เธอและกิ่งเสมอๆ

    ถึงแม้ว่าจะพลาดโอกาสในการทำเงินบ่อยครั้งเนื่องจากทั้งคู่ยังคงเรียนหนังสืออยู่

    การเข้าวัดทำบุญเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้รินสบายใจขึ้นเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจ

    และคิดถึงพ่อกับแม่ แต่เธอต้องเข้มแข็ง

    เป็นยังไงบ้างคุณน้องชาย วันเสาร์นี้ว่างไหม ไปวัดกัน

    เสียงจากปลายสายโทรศัพท์มือถือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย

    พี่มิ่งเป็นเสมือนพี่ชายของริน ทั้งคู่นับถือกันเป็นพี่น้องที่รู้จักกันมานาน 6-7 ปี

    กำลังอยากไปอยู่พอดีเลยค่ะพี่มิ่ง งั้นเดี๋ยววันนี้อย่าคุยดึกนะ เดี๋ยวรินจะทำงานส่งอาจารย์ไม่ทัน

    คร๊าบ แล้วเจอกันครับคุณน้องชาย อย่าลืมกินข้าวด้วยนะ

    เมื่อบทสนทนาจบลง หญิงสาวก็เริ่มทำงานจนถึงเลยตี 2 ตามเคยเริ่มง่วง

    เช้าวันรุ่งขึ้นเธอจะต้องรีบตื่นออกไปตามนัด 10 โมงเช้ากับการถวายสังฆทาน

    และเดินเที่ยวในสยามตามประสาวันรุ่นกับพี่ชายคนสนิท

    ตกเย็นเธอก็แยกย้ายกลับหอพักของเธอตามเดิม

    และกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ประจำวันของเธอคือ

    ออนMSN กับคำทักทายสั้นๆจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของใครคนหนึ่ง

     

     

    *****

     

    :MSN Messenger:

     

    Kei : หวัดดี ริน..

    เธอเงยหน้าขึ้นมองข้อความ เขานั้นเอง นายเค

    Rin : หวัดดีคร๊าบบบบบ.. คำทักทายแบบผู้ชายที่เธอถนัด

    Kei : รูปนี้เท่จัง  >>>>> 

    คำชมที่เธอมักได้จากเค จากรูปภาพของเธอที่โชว์บนดิสเพล

    Rin : งั้นเหรอ?

    Kei : อืม..

    Rin : วันนี้อาจตอบช้าหน่อยนะ กำลังทำกับข้าวอยู่น่ะ มือเลอะ พิมลำบาก..

    รินบอกกับเขาในขณะที่มือข้างนึงกำลังจับตะหลิว<:p>

    Kei : ทำกับข้าว!! ..

    ชายหนุ่มพิมข้อความส่งกลับมา

    Rin : ใช่ ทำกับข้าว ทำไมจะบอกว่ากินไม่ได้ละสิ..

    Kei : ป่าว ก็เคทำกับข้าวไม่เป็น ชอบคนทำกับข้าว

    Rin : 55+ งั้นเหรอ?

    Kei : อืม..

    ..

    .

    ..

    .

     

    บทสนทนามักจบลงแบบเงียบๆไปเสมอๆ

    แต่นั่นก็ทำให้เธอและเขาได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น

    เธอเองก็เป็นคนเงียบๆในสายตาของเพื่อนๆ เขาเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด

    ดูเหมือนคนที่มีโลกส่วนตัวสูง

    จะมีโอกาสได้คุยกันจริงๆก็ผ่านการออนไลน์จากอินเตอร์นี้เท่านั้น

    เขาสำหรับเธอแล้ว คือเพื่อนที่มีพฤติกรรมแปลกๆ

    เธออดคิดไม่ได้ว่า หลายต่อหลายครั้ง

    เขาพยายามที่จะมาเจอ มาทักทายเธอแบบจงใจเสมอๆ

    ทั้งที่มหาลัยและนานๆครั้งที่หน้ามหาลัยหรือแม้แต่ในห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง

    ในแต่ละวันผ่านไปแบบเดิมๆ กับชีวิตที่เอาแต่เรียนของเธอ

    กับการเข้าวัด ขายของ และความฝันเรื่องของพญานาคที่เธอยังคงไม่ได้คำตอบ

     

    นานวันนครินทร์และมรุเดชก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น จากการที่เขาเข้าหาเธอมากขึ้น

    บทสนทนาต่างๆเริ่มมีมากขึ้น ครั้งใดที่เธอไม่สบายและขาดเรียนไป

    เขาเป็นคนที่อาสาช่วยทำงานแทนเธอ บทสนทนาทางหน้าจอคอมฯมีมากขึ้น

    เธอเองเริ่มมีความสนใจในตัวเขา หลายครั้งที่นั่งเรียนอยู่ในห้องเดียวกัน

    เธอไม่รู้ว่าตัวเองเผลอจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังนั่งฟังเพลงจากสายของเครื่องเล่นจิ๋ว

    ไม่นานนักที่ชายหนุ่มรู้สึกตัว และหันมามองเธอกลับ

    หญิงสาวรู้สึกตัวและหันกลับด้วยความตกใจ

    เขามักเอ่ยทักเธอทางMSNก่อนเสมอ และเงียบเพราะไม่รู้จะคุยอะไร

    เธอจึงเป็นฝ่ายหาเรื่องมาคุยกับเขา ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องไร้สาระ

    อย่างเช่นวันนี้

     

     

    :MSN Messenger:

     

    Kei : หวัดดีครับ ริน

    Rin : หวัดดี กินข้าวยัง?

    Kei : กำลังกินอยู่

    Rin : ออ

    Rin : นี่ๆ วันนี้มี KOKOLOGY มาทายด้วยล่ะ เล่นไหม?

    Kei : ก็น่าสน..

    ..

    .

    ..

    .

     

    บทสนทนามากมายที่มีอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละคืนที่ทั้งคู่พูดคุยกันผ่านตัวอักษร

    คำถามทางจิตวิทยาที่เธอถามเขา ทำให้เธอได้รู้ถึงตัวตนและความชอบของเขา

    เป็นอีกวันที่รินรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เวลาล่วงเลยไป ตี 3 กับอีก 20 นาที

    กับการพูดคุยผ่านตัวหนังสือจากหน้าจอคอมฯของชายหญิงคู่นี้

    ความสุขที่เกิดขึ้น ทำลายความง่วงไปจนหมด

    และอีกหลายต่อหลายคืนกับการคุยแบบโต้รุ่ง

    ทำให้เขาและเธอสนิทกันมากขึ้น

    ถึงอย่างนั้นสำหรับเธอแล้วเขาก็ยังคงเป็นคนที่ชอบทำตัวมีความลับอยู่เสมอ

    หลายต่อหลายครั้งเหมือนคนที่กลัวและระแวงว่าใครจะมองตัวเองไม่ดีหรือทำร้ายตัวเอง

    แต่ทุกๆครั้งที่พูดคุยกัน เธอพยายามถนอมคำพูดให้ได้มากที่สุด

    เพราะเคคือผู้ชายที่อ่อนไหวมาก ส่วนเธอก็เป็นผู้หญิงที่ห้าวเหมือนผู้ชาย

    บ่อยครั้งที่เขาพูดจาแซวว่าเธอเป็นทอมหรือป่าวนะ

    อาจจะด้วยความนึกสนุกหรืออย่างไร แต่มันก็ทำให้เธอหงุดหงิดเป็นบางครั้ง

    และเมื่อเขาทำให้เธอไม่พอใจด้วยเรื่องอะไรก็ตาม เข้าก็จะขอโทษและเงียบเสมอ

    บางวันที่อาจารย์สั่งงานมาอย่างหนัก ทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน

    อาจเจอกันบ้างในตึกเรียน บ่อยครั้งที่เขามักบอกว่าเธอชอบมองก้มลงไป

    ไม่รู้ว่ามองอะไร มองมด? ทำไมเธอถึงไม่มองขึ้นมาบ้าง

    ในทุกๆครั้งที่เขาต้องการสบตาของเธอ แต่เธอก็มักหลบสายตาดุๆของเขาเสมอ

    สายตาที่ทั้งดู แต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้า กับการแอบมองเขา

    เธอได้รับรู้ความรู้สึกบางอย่าง ที่เขาซ้อนเอาไว้ลึกๆ ภายในดวงตาคู่โศกนั้น

     

    สายลมเอ๋ย พัดมาแต่ที่ใดกัน

    วานให้เจ้าช่วยพาความรักของข้าไปส่งให้เขาที~~

     

    คำพูดเพ้อๆแผ่วเบาของนครินทร์พัดลอยไปตามสายลม

    ก่อนที่หญิงสาวจะเข้าสู่ห้วงนิทราบนเก้าอี้นั่งเล่นตรงนอกชานระเบียงในหอพักของเธอ

     

     

    *สายลมเย็นๆพัดผ่านยามราตรีกาล ในห้องบรรทมรโหฐานของกัญจน์ธัชนาคราช

    ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับการได้โอบกอดนางเนื้อนวลอันเป็นที่รักยิ่ง

    พี่รักเจ้าเหลือเกิน ยอดดวงใจของพี่

    ริมฝีปากของนาคราชจุมพิตเบาๆที่โอษฐ์อิ่มของร่างบางด้านใต้บนเตียงกว้าง

    ความอบอุ่นและหอมหวานนี้ติดตรึงหัวใจของนาคทั้งสอง

    ตราบจนรุ่งสางที่อโณทัยขึ้นสู่ท้องนภา

     

    องค์กัญจน์ธัชเพคะ หม่อมฉันเตรียมเครื่องคาวหวานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

    สรงน้ำเสร็จแล้วหม่อมฉันจะเข้ามาถวายการรับใช้นะเพคะ

    เสียงนุ่มๆกล่าวกับร่างสูงบนแท่นบรรทม เขาตื่นนานแล้วแต่ยังคงไม่ลุกขึ้น

    รมิตาคุกเข่าทำความเคารพชายผู้เป็นที่รักอยู่ด้านล่างพระแท่น

    ด้านหลังเป็นนางกำนัลอีก 2 คนที่ถือถาดอาหารเข้ามา

    พี่เคยบอกเจ้าแล้วว่า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนี้ เจ้าเป็นนางห้ามของพี่แล้ว

    กิจอันใดที่เจ้าเคยทำ ต่อไปนี้ไม่ต้องเปลืองแรงเจ้า ให้นางกำนัลเหล่านี้ทำแทนเจ้าเถิด

    ..หน้าที่ของเจ้าคืออยู่เคียงข้างพี่ เป็นนางในดวงใจของพี่ก็เพียงพอแล้วเจ้าเนื้อนวล

    วงแขนแกร่งเอื้อมโอบร่างบางมาวางบนตัก พวกแกมนางนาคีแดงระเรื่อยด้วยความเขินอาย

    ท่ามกลางสายตาของนางกำนัลทั้ง 2 ที่นั่งก้มหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น