คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Chapter 15 : Heart Road
"The only way to find love is to stop looking."
#Impassible_mn
ละอองสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีฟ้าแกมม่วงจางๆหนึ่งในจำนวนพวกมันตกกระทบกับหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งในจำนวนหลายร้อยหน้า
ทำให้เจ้าของสายตาที่กำลังจดจ่อกับตัวอักษรบนหนังสือแหงนหน้ามองท้องฟ้าช้าๆ
ดวงหน้าขาวระบายรอยยิ้มเมื่อมองเห็นหิมะแรกของฤดูกาล
หกเดือนแล้วที่ปาร์คจินยองมาอยู่ที่นี่
หกเดือนแล้วที่ทดลองใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่สถาบัน Institut d'études politiques de Paris สถาบันที่มีชื่อเสียงด้านรัฐศาสตร์อันดับต้นๆของโลก ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขา นอกจากการเรียนในคลาสที่ยากและเข้มข้นแล้ว จินยองยังต้องฝึกฝนทักษะด้านภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสของตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้สามารถพูดคุยสื่อสารกับอาจารย์และคนทั่วไปได้รู้เรื่อง และเพื่อที่จะได้อ่านตำราฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษได้เข้าใจ ระยะเวลาหกเดือนอาจเพียงพอที่จะพูดคุยสื่อสารภาษาฝรั่งเศสในชีวิตประจำวันได้ แต่ไม่เพียงพอกับการอ่านตำราซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการมองธรรมชาติของหิมะ
เสียงห้าวทว่านุ่มนวลก็ดังขึ้นเบื้องหลัง
“คุณมานั่งอยู่ที่นี่เอง”
จินยองละสายตาจากท้องฟ้ามามองผู้มาใหม่แทน
“อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่เห็นเลย”
คนถูกทักก่อนส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนร่วมบ้านของเขาที่ตกลงแชร์ค่าเช่ากันมาเกือบหกเดือนแล้ว
“ผมเข้าทางประตูด้านหลังน่ะ....แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่...หิมะตกแล้วเข้าบ้านเถอะ”
ประโยคเดียวรัวเร็วได้ถึงสามเรื่องทำให้จินยองหัวเราะน้อยๆ
“หิมะแรกของฤดูกาลเลยนะ ได้มาอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งทีขอสัมผัสบรรยากาศหน่อยเถอะ”
“เดี๋ยวไม่สบาย..” พูดไม่พูดเปล่ามือหนายังเอื้อมมาปัดละอองหิมะบนเส้นผมดำขลับให้อีกฝ่าย
“เชื่อผม..เข้าบ้านเถอะ” สายตาคมเช่นเดียวกับน้ำเสียง
จินยองยกมือขึ้นระดับหูทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ “โอเคครับ...เข้าบ้านก็เข้าบ้าน”
ภายในตัวบ้านขนาดกะทัดรัดค่อนข้างอุ่นกว่าภายนอก
ทั้งนี้เพราะเตาผิงที่อีกฝ่ายจุดไว้ก่อนจะออกไปเรียกเขาที่หน้าบ้าน
ทันทีที่เท้าสัมผัสพรมสีเขียวเข้มเกือบดำหนานุ่มบนพื้นห้อง ความอบอุ่นก็แทรกซึมขับไล่ความหนาวเย็นจนคล้ายกับไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“ผมทำสปาเก็ตตี้ไว้แล้ว
จินยองจะทานเลยมั้ย” คำถามเอื้ออารีถูกส่งมาจากร่างสูงภายใต้เสื้อไหมพรมสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่ง
“ขอบคุณครับ” แต่เจคทานก่อนได้เลยหรือถ้าจะรอก็รอไม่เกินห้านาทีเท่านั้น
ทันทีที่เสียงของปาร์คจินยองจบลง
คิ้วเข้มของเพื่อนร่วมบ้านก็ขมวดเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ เมื่อเห็นมือเรียวใช้นิ้วชี้นับเลขบนปฏิทินก่อนขีดฆ่าด้วยปากกาสีแดงเข้มติดๆกันสี่ครั้ง
เกินกว่าจะตั้งคำถามว่าทำไม
เขาพอจะนึกคาดเดาคำตอบได้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายจะตอบว่า
“แค่นับวันกลับโซลเฉยๆน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
หรือไม่ก็ “นับเฉยๆว่าอยู่ที่ปารีสมากี่วันแล้ว
แต่เจครู้ว่าปาร์คจินยองพูดไม่จริง
ไม่ใช่ว่าเขาล่วงรู้ความลับหรือพบหลักฐานอะไรของอีกฝ่าย แต่มันเป็นสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณที่บอกว่าปาร์คจินยอง เด็กหนุ่มจากเกาหลีคนนี้กำลังปิดบังอะไรสักอย่างและก็เป็นเพราะสัญชาตญาณอีกเช่นกันที่ส่งเสียงร้องบอกเขาว่าสิ่งที่ชายหนุ่มปกปิดมันเป็นเรื่องกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของเขาที่มีให้อีกฝ่าย
“คุณจะกลับโซลเมื่อไหร่?”
จินยองตอบเรียบๆ สายตายังจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือบนปฏิทิน
“คงไม่เกินอาทิตย์หลังสอบไฟนอล”
“ทำไมรีบกลับล่ะ...ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักพัก” เพราะยืนหันหลังจินยองจึงไม่มีโอกาสเห็นใบหน้าของเพื่อนร่วมบ้านชาวเอเชียที่ซีดลงทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ
ตรงข้ามกับดวงตาของชายหนุ่มชาวเกาหลีเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยิน
ตอบช้าชัด “คิดถึงบ้าน...คิดถึงแม่..คิดถึงคนที่นู้น”
สายตาหลุบต่ำทันทีเมื่อได้ยินคำว่าคิดถึงคนที่นู้น
ข้อความเดียวกันนั้นทำเอาคนฟังเงียบไปชั่วอึดใจ
“อืม...เข้าใจละ” ฝืนยิ้มแห้งแล้งให้ด้านหลังของคนที่ยังจดจ่ออยู่กับปฏิทิน
“งั้น..มะรืนนี้เราไปเที่ยววันคริสต์มาสด้วยกันนะ..”
จินยองเบือนหน้ากลับมาตอบ “โอเคครับ” พร้อมกับคลี่ยิ้มสว่างสดใส
เป็นรอยยิ้มทีทำให้คนมองหัวใจกระตุกในทุกครั้งที่เห็น อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่สว่างเจิดจ้ามีชีวิตชีวาราวกับดวงอาทิตย์
...น่าเสียดายที่ดวงอาทิตย์ดวงนี้มีเจ้าของอยู่แล้ว
#Impassible_mn
มาร์คเพิ่งได้รู้จักกับคำว่ารอคอยเมื่อไม่นานมานี้ เขาเริ่มรู้จักคำนี้ก็เพราะถ้อยคำของใครคนหนึ่ง
“หนึ่งปีหลังจากนี้ถ้าเรายังรู้สึกเหมือนกัน...เราจะมาเจอกันที่นี้
เวลานี้....แต่ถ้าวันนั้นใครคนใดคนหนึ่งไม่มาก็แสดงว่าเราอาจถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อจะมีความทรงจำระหว่างกันสั้นๆเพียงเท่านั้น”
หกเดือนแล้วที่คำพูดประโยคนี้ก้องอยู่ในสมองของเขาทั้งยามหลับและยามตื่น..หกเดือนแล้วที่เขาไม่รู้ข่าวคราวความเป็นไปของเจ้าของเงื่อนไข....และเป็นหกเดือนแล้วที่เขาได้รู้หัวใจตัวเอง.....
เคยมีใครสักคนบอกไว้ว่าเราจะรู้หัวใจของเราดีที่สุด
ก็ต่อเมื่อเรากำลังจะสูญเสียมันไป
มันเป็นข้อคิดที่แสนเศร้าและสิ้นหวัง
แต่มาร์ครู้ดีว่าเขาไม่ใช่กำลังจะสูญเสีย......แต่เขากำลังจะได้หัวใจของอีกคนหนึ่งกลับมาต่างหาก
แค่ต้องรอ รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
หวังว่าเราจะไม่ถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันเพื่อที่จะจากลากันไปตลอดกาลหรอกนะปาร์คจินยอง...
ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาครึ่งทางแล้ว และเวลาที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งย้ำเตือนว่าทางเลือกที่อีกฝ่ายเลือกให้แก่เราสองคน
มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เราสองคนควรได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลากับสิ่งที่มีประโยชน์
ได้ใช้เวลาให้เราล่วงรู้หัวใจของตัวเอง และได้ใช้เวลาถามตัวเองว่าเมื่อถึงวันนั้นเรายังต้องการใครอีกคนอยู่หรือเปล่า
หกเดือนที่ผ่านมามาร์คใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกงาน
อยู่กับครอบครัว และคิดถึงคนที่อยู่แสนไกล
เขาเรียนจบได้เดือนกว่าแล้วและกำลังจะเข้ารับปริญญาในอีกไม่ถึงสัปดาห์ข้างหน้า
การฝึกงานตลอดระยะเวลาสีเดือนเศษที่ผ่านมาค่อนข้างราบรื่นและผ่านไปได้ด้วยดี เช่นเดียวกันกับการฝึกงานของเจบีและหวังแจ็คสัน
แม้มีปัญหาบ้างแต่ทั้งสองคนก็คลี่คลายจนผ่านลุล่วงไปได้
ตอนนี้ต่างก็แยกย้ายพักผ่อนกันคนละประเทศ เจบีอยู่เกาหลี แจ็คสันอยู่ฮ่องกง
และเขาบินกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ญี่ปุ่น
ชีวิตของมาร์คค่อนข้างสงบและเรียบง่ายมาตลอดหนึ่งเดือน
จะมีเรื่องให้กราฟอารมณ์เปลี่ยนไปบ้างก็เมื่อได้รับซองจดหมายสีครีมอ่อนจ่าหน้าซองว่า
ชเว เยจิน –
ลีโอ
การ์ดแต่งงานถูกส่งข้ามประเทศเพื่อมาแจ้งแก่เขา
มาร์ครู้ดีว่าเจ้าของความคิดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าสาวของงาน
บอกไม่ได้ว่าความรู้สึกตอนที่อ่านชื่อบนหน้าซองจดหมายนั้นเป็นเช่นไร
เสียใจ ยินดี หรือประหลาดใจ ทุกอย่างมันผสมปนเปกันไปหมด รู้แค่ว่าคนสองคนที่ทำเขาเจ็บกำลังจะแต่งงานกัน
แต่ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพี่สาวของยองแจมันจบลงไปนานแล้ว
เขามีจินยองแล้ว และไม่ควรจะไปโกรธแค้นหรือดึงตัวเองลงไปจมปลักกับอดีตครั้งนั้นอีก
คิดได้ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะจองตั๋วเครื่องบินกลับโซลเพื่อร่วมงานแต่งงานของอดีตคนเคยรัก
#Impassible_mn
เสียงดนตรีเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสดังขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่งของนครศิวิไลซ์ที่มีชื่อว่าปารีส
และคงเป็นเช่นนี้ในอีกหลายเมือง หลายรัฐ หลายประเทศในทวีปยุโรป
จินยองเองค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจกับสรรพสิ่งรอบตัวโดยมีเจคนักศึกษาปริญญาโทชาวไต้หวันทำหน้าที่เป็นไกด์สมัครเล่นคอยชี้ชวนให้ดูแสงสีตามอาคารบ้านเรือนสองฟากฝั่ง
รวมทั้งต้นสนขนาดใหญ่ที่ห้อยระย้าตกแต่งด้วยดาวเงินดาวทองและกล่องของขวัญขนาดเล็กสีสันสดใสไปทั้งต้น
เดินเบียดฝูงชนมายังบริเวณหอไอเฟล
ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าหอไอเฟลคืนนี้ดูสวยงามกว่าทุกคืนที่เคยเห็นมา พอจะอนุมานได้ว่าเป็นเพราะสีสันโดยรอบที่ขับให้สิ่งมหัศจรรย์ของโลกดูสวยงามและโดดเด่นราวกับสิ่งก่อสร้างบนสรวงสวรรค์
เป็นภาพแห่งความสุขและความประทับใจจนอยากบันทึกใส่กระเป๋าเพื่อพกพาไปทุกหนทุกแห่ง.......ไปฝากใครบางคนซึ่งอาจไม่เคยเห็นมันมาก่อนเช่นกัน
จินยองถูกปลุกให้ออกจากภวังค์เมื่อเงามืดของใครบางคนมาบดบังทัศนียภาพนั้นไว้
“เจคนั่นเองนึกว่าใคร” เอ่ยออกไปแล้วก็ต้องย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เสียงเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างรอบตัวทำให้กวาดสายตามองรอบกายทันที และภาพที่เห็นก็ทำให้เลือดสูบฉีดไปที่ผิวแก้มอย่างรวดเร็ว
“ยังไม่ชินอีกหรือไง?” เสียงถามกลั้วหัวเราะของคนตรงหน้าดังขึ้น จนเห็นไอควันบางเบาสีขาวคล้ายกับหมอกอันเกิดจากลมร้อนปะทะกับอากาศหนาวเย็นของเดือนธันวาคมลอยออกมาจากริมฝีปากหยักลึก
คนถูกตั้งคำถามส่ายศรีษะจนเส้นผมดำสนิทปลิวไปมา
ใครจะไปชินกับการเห็นคนมากอดจูบกันอยู่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจินยองเห็นแทบจะทุกวันแต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำใจกับการแสดงความรักแบบนี้ไม่ได้สักที
ได้แต่นึกภาวนาในใจขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ
หลังจากถูกทำร้ายด้วยภาพแสดงความรักอันโจ่งแจ้งไปแล้ว ลำดับต่อมาความหนาวเย็นของประเทศฝรั่งเศสก็กำลังเล่นงานเขาจนฟันบนกับฟันล่างกระทบกันกึกๆ
นัยน์ตาคู่คมเพ่งพิศมองอีกฝ่ายท่ามกลางแสงไฟเจิดจ้าของเทศกาลคริสต์มาส ริมฝีปากสีสดสั่นระริก แก้มที่เคยขาวบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม วันนี้อากาศหนาวเย็นเกินไปจนเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่อีกฝ่ายสวมอยู่เพียงชั้นเดียวไม่น่าจะเพียงพอ
จึงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “จะไปตรงอื่นหรือว่าจะกลับบ้าน?”
จินยองพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นจนเกินไป “ม..ไม่ครับ อย่ามาหมดสนุกเพราะผมเลย”
“ใครว่า..” คนสูงกว่าคลี่ยิ้ม... “ผมเห็นมันมาปีนี้ปีที่ห้าแล้ว
เบื่อ..อยากกลับไปนอนที่บ้านผิงไฟอุ่นๆมากกว่า”
“อ้าว ถ้างั้นเจคชวนผมมาทำไม”
ถามออกไปแล้วจินยองก็คิดได้ว่าพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ดวงตาคู่คมเป็นประกายวาววับ จนดวงตาที่อ่อนแสงกว่าต้องเสหลบ
แต่คำพูดกลับนี่สิกลับเรียบเรื่อยตรงกันข้ามกับประกายระยิบในดวงตา
“ก็คุณไม่เคยมาเห็นมาก่อน ผมเลยพามาให้เห็น...." เสียงห้าวนุ่มนวลพูดต่อไป “แต่ตอนนี้เห็นแล้วดังนั้นกลับบ้านกันเถอะ ยิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะ”
คนฟังพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย ในใจนึกโล่งอกที่จะได้กลับไปยังสถานที่อุ่นๆมากกว่ายืนอยู่ด้านล่างหอไอเฟลให้ลมหนาวพัดกรีดแทงแบบนี้
หนำซ้ำสุนทรียภาพทางใจเมื่อสักครู่ก็ถูกทำลายลงด้วยความโรแมนติกของชายหนุ่มหญิงสาวรอบกายไปหมดสิ้นแล้ว
บ้านหลังเล็กสีครีมเห็นเด่นชัดอยู่ที่หัวมุมถนน
จินยองค้นกุญแจในกระเป๋าเป้อยู่ครู่เดียวก็ไขประตูเปิดเข้าไป แต่เจคกลับรุดหน้าผลักประตูเข้าไปก่อน
“จินยองเปิดไฟให้หน่อย ผมจะเปิดฮีตเตอร์
จะจุดเตาผิงด้วย”
“เปิดฮีตเตอร์อย่างเดียวก็พอมั้งครับ
ไม่ต้องจุดเตาผิงหรอก” เขาไม่เห็นด้วยเมื่อเปิดฮีตเตอร์แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องจุดเตาผิงให้เปลืองฟืน
“เตาผิงมันอุ่นเร็วกว่า” เจคให้เหตุผล ก่อนพูดต่อ “คุณมานั่งตรงนี้ก่อน ตัวสั่นไปหมดแล้ว..แล้วถ้ายังไม่ง่วงนั่งคุยกันก่อนได้มั้ย”
“ได้ครับ” ตอบพร้อมทรุดนั่งลงบนพรมหน้าเตาผิงอย่างว่าง่าย
ไม่นานนักเจคที่จุดเตาเรียบร้อยก็ทรุดตัวลงนั่งตาม
แสงไฟสีส้มที่แลบเลียสูงๆต่ำๆส่งผลให้ดวงหน้าของชายหนุ่มชาวไต้หวันดูแปลกตาไปกว่าทุกครั้ง
เจคเป็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเหมือนๆกันกับผู้ชายเชื้อชาติเดียวกันอีกคนที่เขารู้จัก
แต่ดวงตากว้างและคิ้วเข้มจัดทำให้ใบหน้าของเจคออกคมมากกว่าเขาคนนั้น
และก่อนที่จินยองจะได้ทันตั้งตัวใบหน้าของเจคก็โน้มใกล้เข้ามา ใกล้มากจนจินยองกระถบหนีด้วยความตกใจ
“เจคจะทำอะไร?!”
เจคดึงตัวเองกลับไปนั่งตามเดิม ก่อนระบายยิ้มเศร้าเป็นคำตอบ
“ทำให้จินยองรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ” ถ้อยคำตรงไปตรงมานั้นทำเอาจินยองนิ่งอึ้ง อันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่รู้
ตลอดเวลาที่อยู่พักอยู่บ้านหลังเดียวกันมา การกระทำ คำพูด สายตา
หลายอย่างๆทำให้เดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก
“...แต่ก็พอรู้แล้วว่าผมไม่มีหวัง.....จินยองมีใครบางคนอยู่ในใจแล้ว...ที่ผมพูดจริงใช่มั้ย”
คำถามง่ายๆนั้นกลับยากเหลือเกินที่จะตอบ
หลังจากนิ่งอยู่อึดใจจินยองก็พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“เจครู้ได้ยังไง?”
“ไม่ยากหรอก....คุณเดินทางมาปารีสเมื่อวันที่15เดือน6แต่ปฏิทินของคุณกลับขีดฆ่าตั้งแต่วันที่9
ก็แสดงว่าเหตุผลที่คุณบอกผมมันไม่จริง”
ข้อสังเกตของคนตรงหน้าชัดเจนและเป็นความจริงจนต้องยอมรับ
“ขอโทษที่โกหกนะครับ
แต่ผมไม่เห็นว่าจะบอกเจคยังไง”
“...ผมเข้าใจ....บางอย่างมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว”
จินยองยิ้มให้อีกฝ่าย เจคเป็นคนดีอย่างนี้เสมอ
ตลอดเวลาที่รู้จักกัน เคยสุภาพ อ่อนโยน
ดีกับเขาอย่างไรทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
สายตาของเจคหลุบต่ำลง ไม่กล้าประสานสายตา
“จินยองคงรักเขามาก...”
“วันที่30นี้ก็จะครบสามปีแล้ว” เสียงที่ตอบแผ่วเบาทว่าหนักแน่น จนเจคต้องปิดเปลือกตาช้าๆเพื่อข่มความรู้สึก
“...อิจฉาเขาจัง” ก่อนพูดต่อ “จินยองไปนอนเถอะ.”
“ได้.....ผมจะไปนอนแต่อยากให้เจครู้ไว้ว่าผมขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ....ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจคให้ผมมาตลอด”
เท่านั้นเปลือกตาที่ถูกปิดไว้ก็เลื่อนเปิดขึ้น รอยยิ้มเศร้าบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้จินยองรู้สึกสงสารจับใจ
“จินยองนั่งนิ่งๆนะ”
ยังไม่ทันจะเอ่ยถามว่าอะไร และก่อนที่จะรู้ตัว ริมฝีปากเย็นจัดของอีกฝ่ายก็ประทับลงมา แนบสนิทอยู่นิ่งนาน ปราศจากการรุกล้ำ จินยองนั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อ และเจคก็ยังคงเป็นเจคเพียงไม่นานเขาก็ถอนริมฝีปากกลับไป
แทนที่ด้วยนิ้วโป้งเย็นจัดที่ยกขึ้นมาแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายแทน
“ฝันดีครับจินยอง”
กล่าวทิ้งท้ายพร้อมลุกขึ้นเข้าห้องนอนของตัวเองไปทิ้งให้จินยองนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ไม่ต่ำกว่าห้านาที
#Impassible_mn
ชเวเยจินควงคู่มากับเจ้าบ่าวร่างสันทัด
ในชุดเจ้าสาวสีขาวเปิดไหล่ข้างหนึ่ง ผมยาวม้วนตลบขึ้นกลางศรีษะแซมด้วยดอกกุหลาบขาว
ใบหน้าตกแต่งอย่างประณีตไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป เมื่อดวงตาล้อมกรอบด้วยขนตางอนยาวหันมาเห็นร่างโปร่งในชุดสูทสีเทาเข้มก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“พี่ดีใจที่มาร์คมาวันนี้” เสียงของหญิงสาวบ่งบอกถึงความยินดีเช่นเดียวกับคำพูด
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนเอ่ยช้าๆ “ผมมาแสดงความยินดี ยินดีด้วยนะครับ ยินดีด้วยจริงๆ” ยิ้มอ่อนหวานถูกระบายบนใบหน้างดงามราวตุ๊กตาของเจ้าสาว ดวงตาของชเวเยจินคลอคลองไปด้วยหยาดน้ำตา
“ผมมาคิดดูแล้ว
พี่กับผม เราคงไม่ใช่เนื้อคู่กัน...เรื่องราวระหว่างเราจึงต้องจบลงแบบนั้น..” มาร์คทอดสายตาไปมองเจ้าบ่าวของอีกฝ่าย “ตรงกันข้ามกับพวกพี่สองคนที่เป็นเนื้อคู่กันจริงๆแม้ตอนนั้นจะอยู่กันคนละประเทศก็ยังได้มาเจอกัน”
หยาดน้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงบนใบหน้าของผู้ฟัง “ขอบคุณที่เข้าใจพี่นะมาร์ค...และขอโทษสำหรับความผิดที่พี่เคยทำไว้..”
“....ผมเองก็ต้องขอโทษพี่เช่นกัน
ขอโทษสำหรับความวู่วามในวันนั้นที่โรงยิม” เยจินพยักหน้ารับรู้ มาร์คจึงพูดต่อ “
และขอบคุณ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้รู้จักความรัก ถึงมันจะทำให้ผมเจ็บปวดมากก็ตาม”
ประกายตาของเจ้าสาวคนใหม่หม่นลงทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง
แต่เพียงไม่นานก็กลับทอแสงขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นถือว่าเราต่างคนต่างไม่มีข้อติดค้างกันแล้วนะจ๊ะ.....พี่ดีใจที่ตอนนี้มาร์คได้เจอคนดีๆ
คนที่เขารักมาร์คอย่างจริงใจ...” มาร์คคลี่ยิ้มทันทีเมื่อฟังมาถึงประโยคนี้
“...ขอบคุณนะครับ....ขอบคุณที่ทำให้จินยองเข้ามาในชีวิตของผม..”
ถ้าเขาไม่ผิดหวังในคราวนั้น ถ้าเขาไม่คิดย้ายสาขาและมหาวิทยาลัยที่เรียน
เขาก็คงไม่ได้มาเจอกับปาร์คจินยอง ปาร์คจินยองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีที่มีให้เขาตลอดมา
#Impassible_mn
มาร์คแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับโทรศัพท์จากล๊อบบี้ชั้นล่างของโรงแรมว่ามีพัสดุจ่าหน้าถึงเขา
ที่อยู่ที่ส่งมาก็เป็นภาษาอะไรสักอย่างที่เขาอ่านไม่ออก เมื่อลงมือแกะกล่องพัสดุสีน้ำตาลอ่อนก็พบว่าเป็นกล่องของขวัญขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่วางสงบอยู่ก้นกล่อง
กระดาษห่อของขวัญสีเทาสลับขาวที่ทำหน้าที่ปกปิดสิ่งของภายในกล่องถูกแกะและฉีกเปิดออกจนเห็นSnow ball รูปหอไอเฟลมีเกล็ดเงินแวววาวจำลองคล้ายหิมะวาววับเป็นประกายภายใต้แก้วกลม
ในกล่องเดียวกันยังมีโปสการ์ดรูปร่างคล้ายทางเดินทอดยาวขนานไปกับต้นไม้สองฟากฝั่ง
ด้านหลังของโปสเตอร์มีข้อความไม่ยาวนักเขียนด้วยลายมือตัวเล็กเป็นระเบียบว่า
ถึงพี่มาร์ค
ของขวัญและโปสการ์ดฉบับนี้คงเดินทางมาถึงคอนโดฯของพี่มาร์ค
หลังวันรับปริญญาของพี่มาร์คไม่เกินสองวัน
ยินดีกับบัญฑิตคนใหม่ด้วยนะครับ
ปาร์ค จินยอง
มาร์คระบายยิ้มเมื่ออ่านจบ จินยองก็ยังคงเป็นจินยองคนเดิม
คนที่ใส่ใจรายละเอียดของเขาในทุกๆเรื่อง ในทุกๆอย่าง
มาร์คไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบข่าวได้อย่างไรว่าเขาจะรับปริญญา เพราะเป็นเงื่อนไขของจินยองอีกเช่นกันที่ไม่ให้เขาติดต่อไปหา
จินยองให้เหตุผลว่า การที่ยังติดต่อกันอาจทำให้เราถูกยึดกันด้วยความผูกพัน
ไม่ใช่ความรัก มาร์คยกยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อคิดว่าคราวนี้จินยองกลับเป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขเสียเอง
แต่การผิดข้อตกลงของอีกฝ่ายกลับทำให้มาร์ครู้สึกหัวใจพองโตที่ได้รู้ว่าตลอดหกเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกของจินยองที่มีต่อเขายังไม่ถูกระยะเวลาและระยะทางสั่นคลอนทำให้มันลดลงไป
ตอนนี้มาร์คก็ได้แต่หวังว่าอีกหกเดือนต่อจากนี้ความรู้สึกของคนที่อยู่แดนไกลจะยังคงเหมือนเดิมและก็ได้แต่หวังอีกอย่างว่าเมื่อถึงวันที่
9 ในอีกหกเดือนข้างหน้าเขาจะไม่ต้องไปสะพานแห่งสัญญานั้นเพียงคนเดียว
Moondream_
ความคิดเห็น