ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16 : Ready for love

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.12K
      74
      12 พ.ย. 59

                                                                               16
                 Ready for  love

         

                                                     

                                                       "I love you just as you are"








    #Impassible_mn





                   การเดินทางต่อให้ยากลำบากแค่ไหน แต่ถ้าเรารู้ว่ามีใครสักคนยืนรอยู่ที่ปลายทาง ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่างลงไปบนระยะทางแห่งกาลเวลา บนถนนแห่งอุปสรรค และบททดสอบของการพิสูจน์ใจ จะไม่กลายเป็นสิ่งไร้ค่า....ไม่เลยจนนิดเดียว

     

                    จินยองรู้ใจของตัวเองมานานแล้ว...รู้ว่ามันรักใคร และรู้ว่ามันได้เก็บซ่อนใครบางคนไว้ตั้งแต่สมัยอยู่ปีหนึ่ง ..ทว่าตอนนั้นทุกอย่างกลับดูห่างไกลราวกับขอบฟ้าแสนไกลที่มองเห็นแต่ก็ไม่มีวันเอื้อมมือสัมผัสถึง

     

    ความสุขเล็กๆจากการได้มองเห็น ได้พูดคุย ได้รู้จักกลับนำมาซึ่งความทุกข์มากจนเกือบจะเท่ากันกับความสุขที่ได้รับ

     

    การรักข้างเดียวก็เป็นอย่างนี้แหละ....นึกขึ้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง

     


    จินยองยังจำได้ดีถึงสายตาว่างเปล่า น้ำเสียงเย็นชา ท่าทางห่างเหินที่มักได้รับจากอีกคนจนคล้ายกับเป็นสิ่งสามัญประจำวัน วันไหนไม่เป็นอย่างนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก... หลายต่อหลายครั้งที่คิดอยากถอดใจอยากเดินออกไปจากถนนที่มองไม่เห็นปลายทางเส้นนี้ แต่ทุกครั้งก็จะถูกรั้งกลับมาด้วยใบหน้าของคนๆหนึ่งที่ลอยเข้ามาในห้วงความคิดพร้อมกับเสียงจากจิตใต้สำนึกของตัวเองที่คล้ายตะโกนถามกันว่า


     “แกคิดดีแล้วเหรอ  แกแน่ใจนะว่าไม่ต้องการเจอหน้าคนๆนี้อีก!!”     แล้วคำตอบก็จะเหมือนเดิมทุกครั้งคือปาร์คจินยองตัดสินใจกลับไปเดินต่อบนถนนเส้นเดิม


    ถ้าจะมีสักครั้งที่คำตอบมันตรงกันข้ามก็คือครั้งที่โดนทำร้ายความรู้สึกครั้งใหญ่บนรถของอีกฝ่าย สำหรับเขาครั้งนั้นมันเหมือนฟางเส้นสุดท้าย...มันเจ็บปวดเกินไป และทนเดินต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ


    เมื่อไม่ไหวจึงตัดสินใจหมุนตัวเพื่อจะเลี้ยวกลับ ก็พอดีกับที่แสงสว่างรำไรทอลอดขึ้นที่ปลายทาง ถึงแม้แสงสว่างนั้นจะมีเพียงเสียง แต่ก็เป็นเสียงที่ส่วนลึกของหัวใจเขาปรารถนามากที่สุด มันเป็นเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นว่า

     


    ถ้าฉันบอกว่าฉันรักนาย....นายจะไม่ไปได้หรือเปล่า..

     


    ใครจะไปคิดว่าคำสารภาพรักที่เขาปรารถนา  ในที่สุดเขาจะมีโอกาสได้ยินมัน...

     


    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่จินยองตัดสินใจหมุนตัวกลับไปเพื่อจะทอดฝีเท้าไปสู่ถนนสายเดิม จะแตกต่างออกไปบ้างก็ตรงที่ครั้งนี้จินยองเลือกยืนอยู่กับที่ ไม่ถอยหลัง ไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า ปล่อยให้อีกคนค่อยๆเดินเข้ามาหาแทน




    พันธะสัญญาระหว่างกันในวันนั้น เขายังจดจำมันได้ดี


     

    หนึ่งปีหลังจากนี้ถ้าเรายังรู้สึกเหมือนกัน...เราจะมาเจอกันที่นี้ เวลานี้....แต่ถ้าวันนั้นใครคนใดคนหนึ่งไม่มาก็แสดงว่าเราอาจถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อจะมีความทรงจำระหว่างกันสั้นๆเพียงเท่านั้น

     


    “เหลือเชื่อเลย”    เจคอุทานขึ้นเบาๆเมื่อฟังเรื่องเล่าของจินยองจบลง เขามีท่าทีลังเลแต่ก็ตัดสินใจเอ่ยถามประโยคต่อมา


    “..แต่ถ้าวันนั้นคุณไปที่สะพานนั้นคนเดียวล่ะ...จะไม่เสียใจเหรอ”

     

    จินยองยิ้มนิดๆ ทอดสายตามองอากาศว่างเปล่าตรงหน้า     “เสียใจสิ  ทำไมจะไม่เสียใจ ...ผมรักคนๆหนึ่งมาตลอดสามปีนะ ถ้าจะมีสิ่งใดที่หวังมากที่สุด... ก็คือการหวังว่าสักวันเขาจะรู้สึกเหมือนกัน”

     

    เพียงเท่านั้นคนฟังก็นิ่งไป ความเงียบอย่างฉับพลันของคู่สนทนา  ทำให้คนพูดรู้สึกตัวทันทีว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปคงสะเทือนใจของอีกฝ่ายไม่น้อย  กำลังจะขยับตัวเพื่อขอโทษ  เจคก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเสียก่อน

     


    “..ผมไม่เป็นไร สิ่งที่จินยองพูดจริงทุกอย่าง สำหรับคนแอบรัก การได้รับความรักตอบนั่นคือความสุขสูงสุด” เขาเงียบไปอีกครั้งก่อนพูดต่อนุ่มนวล “...สัญญาได้ไหมว่า ถ้าวันนั้นคุณเป็นคนเดียวที่ไปสะพาน... ...คุณจะให้โอกาสผม”

     

    เป็นจินยองที่เป็นฝ่ายนิ่งบ้าง ที่นิ่งเพราะนึกตลกกับโชคชะตาที่เล่นอะไรประหลาดๆทำนองนี้อีกแล้ว ครั้งหนึ่งเคยเหวี่ยงให้เขากับพี่มาร์คมาเจอกัน แล้วครั้งนี้ก็เหวี่ยงชายหนุ่มอีกคนที่ดีเท่ากันหรือจะเรียกว่าดีกว่าก็ไม่เกินจริงลงมาให้ ดีอย่างที่ว่าไม่เคยทำให้เขาต้องเสียใจ หรือ เสียน้ำตา   หนำซ้ำยังเคยดูแลเขาสารพัดจนแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วทำอะไรด้วยตัวเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับค้นพบว่าตัวเองคงเป็นพวกนิยมรักคนไม่ดีมากกว่าคนดีอย่างที่เขาว่ากันล่ะมั้ง   จึงไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่เจคทำให้แม้แต่น้อย ในสายตาของเขาเจคคงเป็นอะไรอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเพื่อน ......แม้คิดอย่างนี้แต่ประสบการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตกลับทำให้จินยองคิดได้ว่าบางครั้งคนที่จะอยู่เคียงข้างเราไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็อาจไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยความรักแบบที่ใจตรงกัน แต่เราอาจผูกพันกันด้วยความรู้สึกห่วงใย เอื้ออาทร ปรารถนาดีต่อกันแบบที่เขามีให้เจคในวันนี้ก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้น จึงเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล


    “..ตกลงครับ”



    เจคคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย แต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขารู้ว่า.....วันนั้นที่เขารอคอยจะไม่มีวันเป็นจริง

     



    วันที่เขาสองคนนัดกันเหลือเพียงไม่กี่วันเท่านั้น



    และความจริงที่เจ็บปวดกว่านั้นก็คือจินยองกำลังจะจากไปแล้วในวันพรุ่งนี้

     


    “พรุ่งนี้ผมออกจากบ้านตอนเช้า เ ช้ามาก”    ชายหนุ่มชาวเกาหลีเป็นฝ่ายเปรยขึ้น

     

    “อืม รู้แล้ว กี่โมงล่ะผมจะได้ไปส่ง”

     

    จินยองส่ายหน้า    “ไม่รบกวนดีกว่า เจคนอนเถอะ ลากันตั้งแต่คืนนี้เลย”

     

    “ให้ผมไปส่งเถอะจินยอง”   ความเศร้าปรากฏชัดในน้ำเสียง เมื่อพูดต่อ   “ผมคงไม่ได้เจอคุณอีกนาน บางทีอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็ได้”

     

    “เรายังติดต่อกันได้นี่นา ทั้งทางไลน์ ทางเมล”

     

    ใบหน้าหล่อเหล่าส่ายหน้าช้าๆ    “มันไม่เหมือนเดิมหรอก ..บางทีเขาคนนั้นของคุณอาจจะไม่ชอบใจ”

     

    คนฟังผิวแก้มร้อนผ่าวทันทีเมื่อนึกตามคำพูดนั้น   แต่กลับเฉไฉพูดออกไปอีกอย่าง

     

    “วันนั้นผมอาจเป็นคนเดียวที่ไปก็ได้”

     

    สายตาคมลึกล้ำจับจ้องมองมาที่เขาทันที ลึกซึ้งและเปิดเผย จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า เสียงของเจคช้าชัดฟังชัดเจน เมื่อย้ำว่า     “เชื่อผมเถอะ  ถ้าเขาไม่ไปก็โง่เต็มที”

     

      






    #Impassible_mn






    รวมเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงที่จินยองนั่งเครื่องบินจาก สนามบินปารีสชาร์ลเดอโกลมาสู่สนามบินอินชอน ทันทีที่โผล่พ้นประตูทางออกของสนามบิน เสียงสดใสก็ดังขึ้นแหวกฝูงชน

                                                                               

    “พี่จินยองทางนี้ครับ”   เจ้าของชื่อหันหน้าไปตามเสียงก็พบกับใบหน้าแสนคุ้นเคยของรุ่นน้องร่วมสถาบัน แบมแบมยังคงเหมือนเดิมมีรอยยิ้มสว่างประดับบนใบหน้าน่ารักอย่างที่เขาคุ้นตาดี

     

    “หวัดดีแบมแบม ยูคยอมด้วย เป็นไงสบายดีไหม”    ประโยคหลังเขาหันไปทักหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่เปลี่ยนสีผมเป็นสีบลอนด์ออกขาว

     

    เจ้าของชื่อยิ้มรับหน้าบาน     “สบายดีครับพี่ พี่จินยองขาวขึ้นนะครับ จากที่เดิมก็ขาวอยู่แล้ว”

     

    “ที่นู้นมันยุโรปหนิ แดดไม่ค่อยมี มีแต่หิมะ ก็ขาวขึ้นเป็นธรรมดา”   จินยองตอบยิ้มๆ

     

    “แล้วพี่ยองแจล่ะครับ ไม่กลับมาด้วยกันหรอ”

     

    “ยองแจมันกลับประมาณวันที่ยี่สิบกว่าๆ  ยูมันปิดช้ากว่าพี่นิดหน่อย”

     


    ยองแจกับเขาแม้เรียนที่ประเทศเดียวกัน แต่ก็คนละมหาวิทยาลัย คนละเมือง ตอนที่เขาส่งข่าวถึงมันว่ามีแผนจะกลับ มันเอะอะใหญ่

     

    “แกรอกลับพร้อมฉันสิวะ อีกสิบกว่าวันเท่านั้นเอง”

     

    จินยองปฏิเสธทันที   “ไม่ได้หรอก ฉันต้องรีบกลับ”

     

    เท่านั้นยองแจก็หัวเสีย  “เพราะไอ้สัญญาบนสะพานของแกกับไอ้พี่มาร์คใช่ไหม โถ่วว!! ทำไม?ตอนนี้พวกแกยังไม่รักกันอีกหรือไง”

     

    “มันไม่เหมือนกันนี่หว่า...”    จินยองแย้งเสียงเรียบ   “..แกไม่เป็นฉันแกไม่เข้าใจหรอก”

     

    “เออ ฉันไม่มีวันเข้าใจแกหรอกโว้ย ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมพวกแกต้องรอให้มันครบ1ปีก่อนถึงจะรักกันได้”

     


     คนเป็นเพื่อนระบายลมหายใจยาว   “ก็เพราะว่าเวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ใจคนที่เที่ยงตรงที่สุดไง ถ้าอนาคตแกไปรู้สึกดีกับใครสักคนก็อย่าเพิ่งไปเหมาว่ามันคือความรัก.....ฉันก็แค่อยากให้พี่เขาได้รู้ใจตัวเอง......แค่ไม่อยากเสียใจว่ะ”

     

    “เออๆไอ้พวกปรัชญาเรื่องความรัก  อยากกลับก็กลับไปเลย  ฉันกลับคนเดียวก็ได้”  ในที่สุดยองแจก็ยอมแพ้ แต่ก็ยังไม่วายบ่นไล่หลังมาอีกหลายประโยค

     



    “พี่จินยองเจอพี่มาร์คหรือยังครับ”    เสียงของแบมแบมฉุดเขาออกจากภวังค์ความคิดทันที

     

    “ยังเลย มีอะไรเหรอ”

     


    เด็กหนุ่มรุ่นน้องมีแววลังเลเล็กน้อยว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี เรื่องราวระหว่างเขาและพี่มาร์คนอกจากยองแจแล้วเขาก็ไม่แน่ใจว่ามีใครที่รู้อีก แต่ก็พอจะคาดเดาได้จากท่าทีของอีกฝ่ายนี่แหละว่ายังไม่รู้     


    “แบมเจอพี่มาร์ควันรับปริญญาครับ...พี่เขาดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน”

     

    คนฟังขมวดคิ้ว   “หมายถึงอะไร เปลี่ยนยังไงเหรอ”

     

    “...พี่มาร์คก็ยังนิ่งๆเหมือนเดิมนะครับ แต่ดูสดใสไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน..เนอะยูคเนอะ”   คำหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนสนิท

     

    แม้ในใจจะรู้สึกยินดีที่ชายหนุ่มรุ่นพี่หลุดพ้นจากการจมปลักกับอดีตที่เลวร้าย แต่จินยองก็ยังไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดหรือแสดงความคิดอะไรทั้งนั้น จึงยิ้มบางๆแทนการตอบรับให้กับรุ่นน้องทั้งสองคน

     

     




    #Impassible_mn






    ในที่สุดก็กลับมาถึงบ้าน  บ้านที่แสนอบอุ่น  ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้สเปรย์กลิ่นวานิลาหอมอ่อนๆก็ยังคงลอยอวลอยู่ในอากาศเหมือนกันกับแม่ที่ยังคงเป็นแม่คนเดิม เคยอ่อนหวาน  ใจดีอย่างไรตอนนี้แม่ก็ยังเป็นแบบนั้น เขาเป็นคนบอกแม่เองว่าไม่ต้องไปรับ เพราะว่าแม่ต้องทำงาน เขาไม่อยากรบกวนงานของแม่  นักศึกษามหาวิทยาลัยฮันยางคงจะพลาดความรู้ดีๆมากมาย ถ้าอาจารย์คนเก่งลาสอนในวันนี้


     ทันทีที่แม่เห็นเขาแขนสองข้างก็กางออกโอบกอดด้วยความยินดี ดวงตาที่ละม้ายคล้ายลูกชายพิจารณามองอีกฝ่ายทั่วตัว


    “ขาวขึ้นนะลูก ดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดนึงด้วย”


    นัยน์ตาเรียวก้มมองดูตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้ม   “เมทดีน่ะครับ เขาทำอาหารเป็นหลายอย่าง อร่อยทุกอย่างซะด้วย”


    คุณแชยอลพยักหน้าด้วยความพอใจและโล่งใจระคนกัน    “ดีแล้ว ตอนแรกแม่ก็กลัว กลัวว่าจะลำบากเรื่องอาหารการกิน แต่พอได้คุยกันแล้วแม่ก็สบายใจ”


    “ผมมีของมาฝากแม่ด้วยนะครับ”    เอ่ยพร้อมเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษสีอ่อนส่งให้


    ภายในบรรจุผ้าพันคอเนื้อนุ่มสีเบจพิมพ์ลายรูปดอกไม้สีน้ำตาลกลีบบาง   “เอาไว้ตอนหนาว แม่จะได้พันคอให้อุ่น”


     “ขอบใจจ้ะลูก ว่าแต่หิวหรือยังล่ะ แม่ซื้อเนื้ออบเจ้าอร่อยมาฝากด้วยวันนี้”

     

    อาหารค่ำวันนั้นเป็นอาหารมื้ออร่อยที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว เป็นเวลานานเกือบหนึ่งปีที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมกับแม่ ไม่ได้เจอหน้าแม่ ไม่ได้นั่งใกล้แม่แบบในวันนี้  ตอนอยู่บ้านทุกวันจินยองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก แต่พอถึงเวลาจากไปไกลแสนไกล ความรู้สึกรัก ผูกพันมันก็กลับปรากฏชัด  ชัดราวกับใครมาผนึกมันไว้ในห้วงความคิด

     



    นอกจากแม่แล้วจินยองก็ยังมีใครอีกคนที่คิดถึงจนสุดหัวใจ.....แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะคิดถึงกันบ้างไหม




     



     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความในยามเช้า ทำเอาเจ้าของโทรศัพท์ย่นคิ้วด้วยความสงสัย  ใครกันนะส่งข้อความมาเช้าขนาดนี้ และเพียงเหลือบเห็นรายชื่อที่ขึ้นโชว์ที่หน้าจอก็ทำเอาจินยองหัวใจแทบหยุดเต้น



    อยู่ไหนแล้ว ยังไม่ลืมนัดกันใช่ไหม


     

    ข้อความแรกของเช้าวันที่เก้าบอกชัดว่าพี่มาร์คยังไม่ลืมสัญญาระหว่างกัน จินยองมือสั่น จากปกติที่เคยพิมพ์ได้คล่องกลับต้องมองหาตัวอักษรบนแป้นพิมพ์อยู่นาน



    อยู่บ้านครับ ยังไม่ลืม...ไม่เคยลืม


    วันนี้ไม่มีอะไรทำ จะไปนั่งรอ เรามาเมื่อไหร่จะได้เจอ

     


    ผมจะรีบออกไป...มาเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ


     

    ไม่ต้องรีบก็ได้ อยากรู้บ้างว่าการรอใครสักคนมันเป็นยังไง




    เท่านั้นจินยองก็ยิ้มกับตัวเองเหมือนคนบ้า




     

    อากาศยามแปดโมงเช้าของโซลค่อนข้างสบาย ไม่เย็น และไม่ร้อนจนเกินไปจินยองจึงเลือกสวมแค่เสื้อแขนสามส่วนสีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงยีนส์ เพียงก้าวลงมาจากชั้นบนยังไม่ทันลงบันได้ขั้นสุดท้ายเสียงของมารดาก็ดังขึ้น



    “จะไปไหนล่ะลูก กินข้าวเช้าก่อนไหมแม่ทำไว้ให้”



    “ผมออกไปที่สะพานท้ายหมู่บ้านนะครับแม่”   เมื่อลูกชายไม่ตอบคำถามซ้ำยังรีบตัดบท คุณแชยอลก็พอจะคาดเดาได้ว่า เรื่องอะไรที่ทำให้ลูกชายตัวเองต้องรีบร้อนแบบนี้



    “ไปเถอะ โชคดีนะลูก”    แล้วเธอก็ก้มหน้าอ่านนิตยสารสุขภาพในมือต่อไป ไม่เอ่ยซักถามอะไรอีก

     



    ปกติระยะทางจากบ้านถึงสะพานท้ายหมู่บ้านไม่ไกลเท่าไหร่หรอก แต่วันนี้มันกลับดูช่างแสนไกลในความคิด ไกลจนเหมือนหลายกิโลเมตรมากกว่าไม่กี่ร้อยเมตรในความเป็นจริง



    ไกลจนกลัวว่าอีกคนต้องรอนานจนเกินไป



     

    ว่างเปล่า.....




     

    ใช่มันว่างเปล่า ทันทีที่ก้าวถึงเชิงสะพานก็มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยว่าใครเคยเดินผ่านมา และว่างเปล่าเหมือนความรู้สึกของเขาในตอนนี้ จินยองรู้สึกเหมือนตัวเองไร้กระดูก  ต้องเอื้อมมือสั่นเทาเกาะราวสะพานสีขาวหม่นนั้นเอาไว้ น้ำตาจากไหนมากมายนักไม่รู้ไหลออกมาจนทุกอย่างรอบกายพร่าเลือน  และเพียงไม่นานเข่าสองข้างก็ทรุดลงกับพื้น



    พี่มาร์คไม่ได้มา...



    จะตอนนั้นหรือตอนนี้คนที่รักก็ยังคงเป็นเขา...แค่คนเดียว




    จินยองหลับตาลงช้าๆ พยายามขับไล่ทุกความรู้สึก โสตประสาทได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วๆคงจะเป็นใครสักคนที่เดินผ่านมาทางนี้ สภาพของเขาคงน่าเวทนาไม่น้อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้จินยองไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะทรงตัวลุกขึ้นยืนดีๆ



     “ร้องไห้ทำไม?”   เสียงคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหน้า ตอนแรกคนฟังก็คิดว่าตัวเองประสาทหลอน เพ้อได้ยินไปเอง



    “ถามว่าร้องไห้ทำไม”   คำถามครั้งที่สองทำให้จินยองต้องขยับเปิดเปลือกตาเพื่อเพ่งมองคนถามให้ชัดๆ ตอนแรกมันก็ค่อนข้างเบลอเพราะดวงตายังไม่ชินกับความสว่าง หนำซ้ำยังร้องไห้จนสายตาพร่ามัวไปหมด  แต่เพียงไม่นานเมื่อเห็นโครงหน้า ตา จมูก ปาก ชัด จินยองก็ต้องร้องไห้ออกมาอีกรอบ..



    .....ด้วยความดีใจ


     

    “ถามไม่ยอมตอบหรือไง ฉันถามว่าร้องไห้ทำไม”


    “ผ..ผมนึกว่า..ผ..ผม..มาที่นี่แค่คนเดียว....นึกว่า...พ...พี่มาร์คไม่..ม..มา”


    “ตอนเช้าก็ส่งข้อความไปหาแล้วไง ทำไมยังจะคิดในแง่ลบอีก”   มาร์คตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นซับน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา


    การกระทำง่ายๆของอีกคนแต่กลับเรียกเสียงเต้นเป็นจังหวะจากอกเบื้องซ้ายของเขาจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุหลุดออกมา เราอยู่ใกล้กันมากจนจมูกได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของอีกฝ่าย  ในที่สุดจินยองต้องเป็นฝ่ายเสมองไปทางอื่น


    “หน้าแดงทำไม”   ก็เขินไงครับ ไม่น่าถามเลย แต่สิ่งที่พูดออกไปได้คือ


    “เอ่อ..คงเพิ่งร้องไห้มั้งครับ”


    “อ๋อ เข้าใจแล้ว”   บอกว่าเข้าใจแต่กลับขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าเดิมจนใบหน้าแทบจะชิดติดกัน


    “พ..พี่มาร์คจะทำอะไรครับ?”   จินยองถามเสียงสั่น ตัวก็สั่นไปด้วย


    “...คนโกหกจะไม่กล้าสบตา ไหนลองมองตาฉัน แล้วบอกสิว่าไม่ได้เขิน”


    สีแดงที่สุดของโลกนี้เป็นยังไงถ้าใครยังไม่เคยเห็นขอเชิญมามองได้ที่หน้าของเขาตอนนี้เลย!



    “เร็ว!!...มองสิ”



    จินยองต้องเบือนสายตาจากทิวทัศน์ข้างสะพานที่ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีอะไรบ้าง มาสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายแทน    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยเฝ้ามองในระยะไกล   เคยมีครั้งหนึ่งที่เห็นมันใกล้กว่าทุกครั้งแต่ตอนนั้นมันกลับวาวโรจน์เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนแบบในวันนี้  จินยองรู้สึกคล้ายกับถูกตรึงไว้กับที่ ไม่สามารถขยับหนีและไม่สามารถละสายตาไปไหนได้เลย


     

    “...จูบกันไหม?”    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

     


    แทนคำตอบคือการหลับตาลง  พร้อมกับที่ริมฝีปากอุ่นจัดของอีกฝ่ายทาบทับลงมา  สัมผัสเนิบนุ่มทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้น้ำตาแห่งความตื้นตันหยดหนึ่งกลิ้งลงจากหางตา  ถ้าจะถามว่าการจูบครั้งนี้เป็นอย่างไร ก็คงไม่มีคำบรรยายใดใกล้เคียงเท่ากับ...มันคล้ายกับมีน้ำผึ้งอุ่นๆไหลรินไปทั่วร่างกาย  และคล้ายกับว่ามีผีเสื้อนับพันบินอยู่รอบๆตัว




     

    ตอนนี้เราย้ายมานั่งกันบนเก้าอี้ในสวนแล้ว ทันทีที่นั่งลงพี่มาร์คก็เอื้อมหยิบกระถางดอกไม้สีน้ำเงินส่งให้  จินยองใช้สายตามองอีกฝ่ายแทนคำถาม


     “เมื่อกี้ที่หายไปก็เพราะไปซื้อเจ้านี่มานี่แหละ”   มาร์คตอบยิ้มๆ  


    “ทำไมจะให้ต้นไม้กับผมล่ะครับ”   


    มาร์คนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบช้าๆ   “รู้หรือเปล่าว่าดอกไฮเดรนเยียมีความหมายว่าอะไร”


    จินยองส่ายหน้าเป็นคำตอบ


    “เขาว่ากันว่าไฮเดรนเยียมีความหมายทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ถ้าในเชิงลบมันหมายความว่า ดอกไม้แห่งหัวใจที่ด้านชา ส่วนความหมายเชิงบวก.. มันหมายความว่า คำขอบคุณ.....”    คนพูดหยุดอธิบายแต่ใช้สายตาอ่อนโยนทอดมองมาที่อีกคนหนึ่งแทน  “......ขอบคุณที่เข้าใจกัน ขอบคุณที่รักฉัน และยอมรับความเป็นฉันเสมอมา...”


    คนถูกมองยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย


    “ขอบคุณเหมือนกันครับ...ขอบคุณที่พี่มาร์คยังจำสัญญาระหว่างกันได้ ขอบคุณที่มาหากันในวันนี้”


    มือเรียวแข็งแรงค่อยๆขยับประสานมือกับมือที่เล็กกว่า   “ ... มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถาม  เอาจริงๆก็อยากถามมานานแล้ว”


    “อะไรเหรอครับ?”


    “..ทำไมนายถึงรักฉันล่ะ ทั้งที่ฉันก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง”


    นั่นสินะ เพราะอะไร นี่ก็เป็นคำถามที่เขาไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย


    “ถ้าจะให้ตอบตามตรงก็ต้องบอกว่าไม่รู้เหมือนกันครับ...”   จินยองรีบเสริมเมื่อเห็นดวงตาอีกฝ่ายฉายแววผิดหวัง  


    "..แต่ก็คิดว่า...น่าจะเป็นเพราะพี่มาร์คดูเป็นคนที่มีอะไรอยู่ข้างใน เข้าถึงได้ยาก เลยทำให้ผมอยากรู้ว่าเพื่อนพี่รหัสคนนี้เขาเป็นคนแบบไหนนะ ทำไมเขาถึงมีนิสัยแบบนี้ พูดแบบนี้ มีแววตาแบบนี้...ประกอบกับที่ได้เห็นพี่มาร์คมากขึ้น ได้เห็นในมุมอื่นๆอย่างตอนที่พี่ช่วยเทรนผมประกวดทั้งๆที่ก็ดูไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ตอนที่พี่ยกมือถามอาจารย์เมื่อไม่เข้าใจ....ตอนพี่ยิ้ม หัวเราะ  ทำหน้าเฉยๆ ผมรู้สึกอยากเห็น อยากมอง อยากคุยด้วย อยากเจอพี่ทุกวัน ...จนในที่สุดผมก็ได้รู้ว่ามันคือความรัก....แล้วพี่มาร์คล่ะครับ ทำไมถึงรู้ตัวว่า..เอ่อ..รักผม”



    “..เอาจริงๆก็พอจะรู้มานานแล้ว”   มาร์คตอบเสียงเรียบ ตรงข้ามกันกับคนฟังที่โพล่งถาม



    “ครับ!?” 



      จินยองตกใจ ตกใจจริงๆ มันเป็นคำตอบที่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้ยิน



    “พี่มาร์คหมายความว่า...”


    “พอจะรู้ตัวตั้งแต่วันที่ไอ้แจ็คมันบอกเรื่องกาแฟแล้ว......มันบอกว่ากาแฟที่นายซื้อมาเป็นอย่างเดียวที่ฉันไม่เคยเรียกมันกับไอ้บีกิน ทั้งๆที่ปกติไม่ว่าจะเป็นอะไรฉันไม่เคยเลยที่จะไม่เรียกมัน”



    จินยองนิ่งฟังราวรูปปั้นที่มีลมหายใจ



    “ตอนนั้นฉันกลัวความจริง ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง....ก็อย่างที่นายเห็นฉันเขวี้ยงแก้วทิ้งทันทีที่ได้ยิน...แล้วก็พยายามหลอกตัวเองต่างๆนานา.......ตลกดีนะความรู้สึกของตัวเองแท้ๆกลับต้องให้เพื่อนมาบอก”



    มือของจินยองเย็นเฉียบเมื่อฟังต่อไป



    “พอฉันรู้ว่านายกำลังจะไป  ความรู้สึกต่างๆก็ชัดขึ้นมา ฉันรู้ตัวว่าไม่สามารถโกหกตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว....ฉันจึงมาหานายที่บ้าน... เพื่อบอกทุกความรู้สึกให้นายได้ฟังและหวังว่านายจะไม่ไป...แต่ก็นะมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”   มาร์คหัวเราะน้อยๆเมื่อพูดประโยคท้าย   ชายหนุ่มกระชับมือที่กุมระหว่างกันพร้อมกับเอื้อมมือข้างที่เหลือมาวางบนเส้นผมสีดำสนิทราวเส้นไหม



    “....ต่อจากนี้อย่าหายไปไหนอีกนะ”






    #Impassible_mn





    MoonDream_




     

     

     



     





     



    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×