ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 : In front of your house

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


                                                                          14
      In  front of your house

           


    "Be stupid enough to fall in love and be smart enough to know it"










    #Impassible_mn







                   เพียงเท่านั้นอวัยวะที่มีหน้าที่เดินของมาร์คก็ออกวิ่งสุดแรง

                   

    ถ้าถามว่ากำลังจะไปไหน กำลังจะทำอะไร  มาร์คก็คงต้องบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังสตาร์ทรถและขับออกไปจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว

                   

    เร็วอย่างที่ไม่กี่วันนี้เขาเคยขับ ทว่าวันนี้กับวันนั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ความโมโห แต่วันนี้...มันเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าคนๆนึงจะหายจากชีวิตของเขาไปตลอดกาล

     

     




    #Impassible_mn

     





    ไดอารี่สีฟ้าอ่อนกำลังถูกปิดช้าๆ ก่อนถูกหย่อนลงลิ้นชักใส่กุญแจ ปล่อยให้ปากกาที่เขียนคำสุดท้ายเมื่อสักครู่วางอยู่บนโต๊ะอย่างหงอยเหงา

     


    เมื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่สิ่งเก่าๆก็ควรถูกลืม ปาร์คจินยองบอกกับตัวเองเช่นนั้น แม้รู้ว่าในความเป็นจริงมันจะทำได้ยาก ยากพอๆกับการบังคับตัวเองให้เลิกดิ่มเครื่องดื่มที่ชอบมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ

     


    ในเมื่อการจำไม่มีประโยชน์อะไรหนำซ้ำยังทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก แต่จินยองก็เชื่อว่าความหนาวเย็นของประเทศฝรั่งเศสกับภาระการเรียนหนักหนาที่รออยู่คงช่วยทำให้อดีตที่ฝังใจในไดอารี่เล่มนั้นค่อยๆละลายหายไปเหมือนกับหิมะที่ถูกแสงแดดตกกระทบในเช้าวันแรกของฤดูร้อน

     

     เปลือกตาถูกกดให้ปิดลงช้าๆปล่อยให้เรื่องราวต่างๆซึมแทรกผ่านเข้ามา

     

    และมันก็เหมือนกับทุกครั้งในระยะหลังมานี้ เมื่อหลับตาลงครั้งใดเหตุการณ์บนรถคันหรูก็จะตามมาหลอกหลอนในทุกครั้ง



    "ข....ขอโทษจริงๆครับ

     


    ทันทีที่ปิดประตูรถคันนั้นลง เขาก็รีบก้าวเดินจากมา



    ปาร์คจินยองไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน จากรถยนต์ซึ่งยังจอดนิ่งอยู่ตรงที่เดิมนั้น ยิ่งทำให้เขาอยากเดินหนีออกมาให้ไกลที่สุด ไกลจากคนที่เกลียดเขา ก่อนหน้านี้จินยองไม่เคยคิดว่าจะต้องได้รับความรักจากอีกคนกลับมา ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ถ้าจะมีสิ่งที่เขาวาดฝันไว้บ้างก็คือการที่อีกฝ่ายยอมพูดจาดีๆกับเขา ไม่เย็นชาหรือทำร้ายเขาด้วยคำพูดที่ไม่มีเยื่อใยแบบที่ผ่านมาอีก แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่อีกคนแสดงออกมามันกลับทำให้เขาปวดร้าวอย่างที่สุด ไม่เพียงแต่ความรู้สึกดีๆที่อีกคนจะไม่มีให้แล้ว มันกลับเป็นความรำคาญ ความเกลียดที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อสักครู่  คำพูดของอีกฝ่ายยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาท 



    "อ้อ ฉันเข้าใจแล้วที่นายมาวุ่นวายกับชีวิตของฉันตั้งแต่นายอยู่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็เพราะนายอยากให้ฉันเปิดใจให้นายใช่มั้ย ทำไมไม่พูดกันตรงๆล่ะจินยอง"




     การกระทำรุนแรงและจาบจ้วงที่เขายังจำสัมผัสได้ รสคาวของเลือดยังแทรกซึมอยู่ที่ปลายลิ้น


    การได้จูบกับคนที่ตัวเองรักคงจะมีความสุขนะว่ามั้ย?

     

     แต่น่าแปลกที่ถ้าเลือกได้ เขายินดีให้อีกฝ่ายด่าทอมากกว่าทำร้ายความรู้สึกกันด้วยวิธีการแบบนั้นเสียอีก


     

     

    “จินยองมีคนมาหาแน่ะลูก”   เสียงของมารดาดังขึ้นข้างตัว  มืออุ่นๆแตะมือเขาอย่างอ่อนโยน จึงค่อยๆขยับเปิดเปลือกตาขึ้น

     

    “เขารออยู่ด้านล่างจ้ะ”

     

    “ทำไมยองแจไม่ขึ้นมาข้างบนล่ะครับ”  ความคิดไพล่ไปถึงเพื่อนสนิท ที่คุยกันคือมันจะมาช่วยเก็บของและจะมานอนค้างคืนด้วยคืนหนึ่ง.....แล้วทำไม

     

    คุณแชยอลเพียงยิ้มบางๆ   “ลงไปดูสิลูก....เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญ พาไปเดินเล่นที่สะพานท้ายหมู่บ้านก็ได้นะ วันนี้อากาศดี”

     

    จินยองหัวเราะน้อยๆ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้   “มันคงเดินจนเบื่อแล้วล่ะครับ”

     

    ผู้เป็นมารดาเพียงแต่ส่งยิ้มบางๆให้เหมือนเคย


     

    เจ้าของบ้านขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อเดินลงมายังชั้นล่างอันเป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นในห้องเดียวกันแล้วไม่พบใคร คงเป็นเพราะสัญชาตญานทำให้เท้าภายใต้สลิปเปอร์สีขาวก้าวตรงไปยังหน้าบ้าน เพื่อเจอกับใครคนหนึ่ง.....อันเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่นึกฝันว่าจะมาปรากฏตัวในเวลานี้

     

    ทันทีที่ผู้เป็นแขกเงยหน้าขึ้นจากพื้นความเงียบงันอันปราศจากเสียงก็เริ่มดำเนินไปช้าๆ

     

    จินยองกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด แต่ต่อให้กะพริบตาสักกี่ครั้งภาพตรงหน้าก็ยังคงชัดเจนไม่เลือนหายไปอย่างที่เขานึกให้มันเป็น

     

    ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้า  ถามเสียงเรียบ

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     

     “..ค..คือว่า....

     

     มาร์คพูดไม่ออก เพียงแค่เห็นคนที่เขาไม่ได้เจอมาหลายวันเอ่ยถามอย่างไม่มีเยื่อใย คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดก็คล้ายลอยหายไปกับสายลม สมองมาร์คว่างเปล่า ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขาควรพูดอย่างไรให้จินยองไม่ไปจากเขา ไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์ที่จะรั้งคนๆนี้ไว้หรือเปล่า ความมั่นใจที่เคยมีมาเกือบสี่ปีบัดนี้มันอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีอึกอัก อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจินยองจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าครั้งแรกให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินครบถ้วนหมดทุกคำ

     


    “พี่มาร์คมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

     

    “คือ....ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”  พูดออกไปแล้วก็ถอนใจยาวด้วยความโล่งอกที่ท้ายที่สุดแล้วก็พูดมันออกมาได้

     

    คนฟังนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจ “เราไปคุยกันนอกบ้านเถอะครับ”

     



    ตลอดทางที่มุ่งตรงไปยังสะพานท้ายหมู่บ้านความขัดแย้งในความรู้สึกของคนสองคนปรากฏชัด คนหนึ่งเยือกเย็นอย่างคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด ส่วนอีกคนร้อนรุ่ม ไม่แน่ใจ และเมื่อเดินมาถึงสะพานสีขาวซึ่งทอดยาวไปยังสวนสาธารณะ อันมีไม้ยืนต้นและดอกไม้หลากสีดูงดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นเอก คำถามเรียบๆก็ถูกถามขึ้นเป็นครั้งที่สาม

     

    “พี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

     

    “...ไอ้บีมันบอกว่านายจะไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส” หลังจากเงียบมาตลอดทางในที่สุดมาร์คก็ค้นหาเสียงตัวเองเจอ

     

    “ใช่ครับ” 


    คำตอบสั้นเฉยเมยนั้นทำให้มาร์คนิ่งไป ตอนนี้ปาร์คจินยองคล้ายเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ความอ่อนโยน มีชีวิตชีวา ละเอียดอ่อนมลายหายไป เหลือเพียงความเฉยชาราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง

     

    “ทำไม..” 


    แววตาดำใสสบตากับเขาอย่างตั้งคำถาม อะไรคือสิ่งที่เขาถามว่าทำไม

     


     “....ทำไมนายจะต้องไป”

     


    คนถูกถามยิ้มบางๆ

     


    “ผมกำลังจะไปมีอนาคตที่ดี”

     


    มาร์คสะอึกกับคำตอบตรงไปตรงมานั้น อนาคตที่ดีในที่นี้ตีความได้หลากหลายทั้งอนาคตด้านการเรียน.....รวมถึงอนาคตที่จะได้เจอคนดีๆ



    “...งั้นถามหน่อย...ตอนนี้...นายยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?..”



     หยาดน้ำใสเอ่อคลอทันทีที่คำถามจบลง แม้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งแค่ไหนแต่ปาร์คจินยองก็ยังเป็นปาร์คจินยองคนเดิม...คนที่แอบรักเขาข้างเดียว

     


     จินยองพยายามระงับเสียงไม่ให้สั่นเครือ

     


    “ไม่ต้องรู้หรอกครับ....”

     


    “ทำไมล่ะ...แค่บอกมาว่ารัก...หรือไม่รัก”  มาร์คคาดคั้น

     


    “มันไม่มีประโยชน์..”

     


    “มีสิ....เพราะถ้านายยังรักฉันอยู่ฉันก็แสดงว่าฉันมีสิทธิ์ขอร้อง...ขอร้องให้นายไม่ไป”

     


    จินยองระบายยิ้มเศร้า

     


    “พี่มาร์คเกลียดผมไม่ใช่เหรอครับ.....ถ้าเกลียดกันก็ไม่ควรมาเจอกัน...ถ้าเกลียดกันก็ควรปล่อยให้ผมไปซะให้พ้นๆ”

     


    คราวนี้เสียงทุ้มต่ำเป็นฝ่ายสั่นเครือน้อยๆ  “ใครบอกว่าฉันเกลียดนาย...”

     


    “พี่มาร์คเป็นคนบอกผมเอง... พี่บอกผมผ่านการกระทำมาตลอดและวันนั้นตอนที่พี่ทำแผลให้ พี่ก็บอกว่าพี่......เกลียดผม..”  ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ เจ็บจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป

     

    มาร์คค่อยๆยกยิ้มเมื่อนึกว่าคนตรงหน้าช่างจดจำเสียเหลือเกิน จดจำแต่ในเรื่องแย่ๆ เหมือนอย่างที่มาร์คเคยเป็นมาก่อน

     


    “วันนั้นนายลืมไปหรือเปล่าว่าฉันไม่สบตานาย...”

     


    จินยองชาวาบไปทั้งร่างกาย เสียงทุ้มต่ำที่พูดถึงทฤษฎีการโกหกยังก้องอยู่ในหู



    "เขาบอกว่าคนโกหกจะไม่กล้าสบตา"




    “ฉันมีเรื่องที่อยากถามนายหลายอย่าง”....เสียงของมาร์คเครือคล้ายคนเป็นหวัด....“อย่างแรกเลยที่นายมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉันตลอดเพราะนายรักฉันใช่มั้ย..”

     


    ศรีษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิทพยักหน้าขึ้นลงอย่างอัตโนมัติ สมองมึนงงคล้ายกับคอมพิวเตอร์ถูกป้อนข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน

     


     “...งั้นช่วยบอกหน่อย”...มาร์คเอ่ยกึ่งเศร้ากึ่งอ่อนโยน..... “ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร...”



    “........”

     


     “ถ้าฉันมองเห็นคนๆหนึ่งอยู่ตลอด เห็นเป็นคนแรกเสมอไม่ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางคนมากมายแค่ไหน....”



    “ถ้าฉันเป็นห่วงเขา..ห่วงว่าเขาจะกลับบ้านยังไง มีเพื่อนกลับไหม....กลับคนเดียวจะอันตรายหรือเปล่า”



    "ขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง" 


    "ฉันบอกว่าให้ขึ้นรถไม่ได้ยินหรือไง"

     



     

    “ถ้าฉันเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอด แม้ทำเป็นไม่มองแต่ฉันก็เห็นเขาตลอดเวลา”



    "มองอะไร?"


    "ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง"


    "ผะ...ผมกำลังมองว่าพี่มาร์คอ่านหนังสือเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ"

     


     

                    “ทั้งๆที่ทำเป็นไม่สนใจ....แต่เวลาเห็นเขาเจ็บ...หรือกำลังจะเจ็บ...ก็ลืมตัวเข้าไปช่วยทุกที"



                     "ขอโทษนะครับ ถ้าผมไม่ซุ่มซ่ามพี่มาร์คก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัว"

                

                     "ฉันผิดเองต่างหากที่เข้าไปรับนายไว้"


                     "นั่งทำอะไรอยู่เห็นมั้ยว่าเศษแก้วมันบาดมือ

     

                  


    “..แค่กล่องของขวัญกล่องหนึ่ง...แต่ฉันก็อยากแกะเป็นกล่องสุดท้าย...อยากแกะตอนที่ฉันอยู่คนเดียว..”



    "วางมันไว้ตรงนั้นก่อน"

     



    “เวลาไม่เห็นเขาหรือเขาไม่มาให้เจอ...ก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป...รู้สึกว่าวันทั้งวันมันมีแต่เรื่องน่าเบื่อ”

     

     “...และถ้าฉันไม่อยากให้เขาหายไปจากชีวิต....แค่ได้ยินว่าเขากำลังจะไปฝรั่งเศสฉันก็รีบมาหา...อย่างนี้มันใช่ความรักหรือเปล่า....ใช่ความรักหรือเปล่าจินยอง...”

     


    คนถูกถามยืนนิ่งราวรูปปั้น น้ำตาไหลอาบแก้ม

     


    “ทั้งที่ฉันไม่อยากรักใครแล้ว ฉันกลัว กลัวว่าตัวเองต้องเจ็บอีก...แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้...”



    มาร์คกล่าวเสียงอ้อนวอน    “ถ้าฉันบอกว่าฉันรักนาย....นายจะไม่ไปได้หรือเปล่า..”



    จินยองยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลช้าๆ  หยาดน้ำตามากมายไม่รู้ว่ามาจากที่ใด  แต่เสียงที่เอ่ยกลับมั่นคงอย่างประหลาด



    “...วันนั้นที่ผมบอกว่าจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก..ผมก็หมายความตามนั้นจริงๆ”



    มาร์คหน้าเผือดสี   “หมายความว่า...นายไม่ให้อภัยฉัน...”



    จินยองสั่นศรีษะ  พูดช้าชัด   “ผมไม่เคยโกรธพี่มาร์คครับ..การปฏิเสธคนที่ตัวเองไม่รัก..ไม่ใช่เรื่องที่ผิด”



    “แต่ฉันรักนา..”   คำพูดนั้นหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายยกมือเป็นเชิงห้าม



    “ตอนนี้พี่มาร์คอาจกำลังสับสน มันคงเป็นความเคยชินที่ผมไปวุ่นวายกับชีวิตพี่....พอผมหายไป พี่เลยรู้สึกใจหาย..”



    “นายคิดว่าฉันโง่ขนาดไม่รู้ใจตัวเองเหรอปาร์คจินยอง.. "    มาร์คถามเสียงเข้ม   “..คิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ”



     “ความรู้สึกของคนเรามีหลายอย่างนะครับ รัก...ชอบ..รู้สึกดี...หรือที่เลวร้ายที่สุดคือแค่หวั่นไหว”



    สายลมที่พัดมาอย่างแผ่วเบาช่วยทำให้ใจของจินยองสงบเยือกเย็นอย่างประหลาด แม่จะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ก็ตามแต่เขาอยากจะขอบคุณ ขอบคุณที่แนะนำให้เขาพาคนตรงหน้ามาพูดคุยกันที่นี่



    “ถ้าอย่างนั้นฉันควรทำยังไงให้นายเชื่อว่าฉันไม่ได้แค่หวั่นไหว ชอบ หรือแค่รู้สึกดี..”



    “อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าผมกำลังจะไปมีอนาคตที่ดี ถ้าพี่บอกว่าพี่รักผม...พี่ก็ควรปล่อยให้ผมไปตามทางที่ผมเลือก..”



    เพียงเท่านั้นมาร์คก็ถามขึ้นอย่างหมดเรี่ยวแรง



    “นายมาทำให้ฉันรัก แล้วก็จะทิ้งกันไปอย่างนี้เหรอ..”



    “ผมไม่ใจร้ายกับตัวเองขนาดนั้นหรอกครับ....จินยองยิ้มน้อยๆดวงตาที่ยังมีหยาดน้ำใสคลออยู่เปล่งประกายสดใสแวบหนึ่ง”



    “หมายความว่า..?.”



    “หนึ่งปีหลังจากนี้ถ้าเรายังรู้สึกเหมือนกัน...เราจะมาเจอกันที่นี้ เวลานี้....แต่ถ้าวันนั้นใครคนใดคนหนึ่งไม่มาก็แสดงว่าเราอาจถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อจะมีความทรงจำระหว่างกันสั้นๆเพียงเท่านั้น”



    เมื่อฟังเงื่อนไขของอีกฝ่ายจบลง มาร์คก็เอ่ยถามแผ่วเบา

     


    "แน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้"

     


    จินยองพยักหน้า    "มันน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดครับ ผม่จะได้ทำตามเส้นทางที่ผมเลือก....โดยไม่ต้องมาเสี่ยงกับอะไรที่ยังไม่แน่นอน... แล้วพี่มาร์คเองก็จะได้ใช้เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้อยู่กับตัวเอง....บางทีเมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่พี่มาร์คคิดว่ามันคือความรักมันอาจเป็นแค่ความผูกพันเท่านั้น”

     


    มาร์คยิ้มออกมาบ้างเมื่อฟังเหตุผลของอีกฝ่ายจบลง 



     “แล้วถ้าวันนั้นฉันมาคนเดียวล่ะ..”



    “ก็หมายความว่าผมได้เจอคนที่ใช่คนอื่นแล้วไงครับ”



    เท่านั้นคนฟังก็หน้าเจื่อน  จินยองคนจึงรีบเสริมต่อว่า



    “วันนั้นผมอาจเป็นคนที่มาที่นี่คนเดียวก็ได้ครับ....."   จินยองยิ้มเศร้า    "......บางทีพี่มาร์คอาจรู้ใจตัวเองในไม่กี่วันนี่ก็ได้”



    ทันทีที่ฟังจบเสียงทุ้มต่ำก็ย้ำหนักแน่น

     


    “เชื่อเถอะว่าวันนั้นฉันจะมารอนายอยู่ที่นี่แน่นอน..ปาร์คจินยอง”

     


    จินยองไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า  ถ้าเป็นในละครป่านนี้ตัวเอกก็คงถือโอกาสเล่นแง่ ให้อีกฝ่ายตามงอนง้อ แต่นั้นไม่ใช่สำหรับเขา....ไม่ใช่สำหรับผู้ชายที่ชื่อจินยองคนนี้...การที่เราได้รับความรู้สึกดีๆกลับมาจากคนที่เรารักเขาข้างเดียวมาตลอดมันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่ามหัศจรรย์....เมื่อโอกาสนั้นมายืนรออยู่ตรงหน้า การผลักไสปฏิเสธมันไปก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่ใช่หรือ...หลังจากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้รู้ไว้ว่าเขาจะไม่มีวันเสียใจ...แม้อีกหนึ่งปีข้างหน้าคนที่มายืนรออยู่ตรงนี้จะมีแค่เขาคนเดียวก็ตาม.....


    .และไม่ว่าในอนาคตผลลัพธ์มันจะเป็นเช่นไรแต่ในความทรงจำของเขาเรื่องราววันนี้จะคงอยู่ในใจของเขาตลอดไป




    #Impassible_mn




    MoonDream_

                                                         

                    

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×