คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 : In front of your house
"Be stupid enough to fall in love and be smart enough to know it"
#Impassible_mn
เพียงเท่านั้นอวัยวะที่มีหน้าที่เดินของมาร์คก็ออกวิ่งสุดแรง
ถ้าถามว่ากำลังจะไปไหน กำลังจะทำอะไร มาร์คก็คงต้องบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังสตาร์ทรถและขับออกไปจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
เร็วอย่างที่ไม่กี่วันนี้เขาเคยขับ
ทว่าวันนี้กับวันนั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
ความโมโห แต่วันนี้...มันเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าคนๆนึงจะหายจากชีวิตของเขาไปตลอดกาล
#Impassible_mn
ไดอารี่สีฟ้าอ่อนกำลังถูกปิดช้าๆ
ก่อนถูกหย่อนลงลิ้นชักใส่กุญแจ
ปล่อยให้ปากกาที่เขียนคำสุดท้ายเมื่อสักครู่วางอยู่บนโต๊ะอย่างหงอยเหงา
เมื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่สิ่งเก่าๆก็ควรถูกลืม
ปาร์คจินยองบอกกับตัวเองเช่นนั้น แม้รู้ว่าในความเป็นจริงมันจะทำได้ยาก
ยากพอๆกับการบังคับตัวเองให้เลิกดิ่มเครื่องดื่มที่ชอบมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ
ในเมื่อการจำไม่มีประโยชน์อะไรหนำซ้ำยังทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก แต่จินยองก็เชื่อว่าความหนาวเย็นของประเทศฝรั่งเศสกับภาระการเรียนหนักหนาที่รออยู่คงช่วยทำให้อดีตที่ฝังใจในไดอารี่เล่มนั้นค่อยๆละลายหายไปเหมือนกับหิมะที่ถูกแสงแดดตกกระทบในเช้าวันแรกของฤดูร้อน
เปลือกตาถูกกดให้ปิดลงช้าๆปล่อยให้เรื่องราวต่างๆซึมแทรกผ่านเข้ามา
และมันก็เหมือนกับทุกครั้งในระยะหลังมานี้ เมื่อหลับตาลงครั้งใดเหตุการณ์บนรถคันหรูก็จะตามมาหลอกหลอนในทุกครั้ง
"ข....ขอโทษจริงๆครับ
ทันทีที่ปิดประตูรถคันนั้นลง เขาก็รีบก้าวเดินจากมา
ปาร์คจินยองไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน จากรถยนต์ซึ่งยังจอดนิ่งอยู่ตรงที่เดิมนั้น ยิ่งทำให้เขาอยากเดินหนีออกมาให้ไกลที่สุด ไกลจากคนที่เกลียดเขา ก่อนหน้านี้จินยองไม่เคยคิดว่าจะต้องได้รับความรักจากอีกคนกลับมา ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ถ้าจะมีสิ่งที่เขาวาดฝันไว้บ้างก็คือการที่อีกฝ่ายยอมพูดจาดีๆกับเขา ไม่เย็นชาหรือทำร้ายเขาด้วยคำพูดที่ไม่มีเยื่อใยแบบที่ผ่านมาอีก แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่อีกคนแสดงออกมามันกลับทำให้เขาปวดร้าวอย่างที่สุด ไม่เพียงแต่ความรู้สึกดีๆที่อีกคนจะไม่มีให้แล้ว มันกลับเป็นความรำคาญ ความเกลียดที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อสักครู่ คำพูดของอีกฝ่ายยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาท
"อ้อ ฉันเข้าใจแล้วที่นายมาวุ่นวายกับชีวิตของฉันตั้งแต่นายอยู่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็เพราะนายอยากให้ฉันเปิดใจให้นายใช่มั้ย ทำไมไม่พูดกันตรงๆล่ะจินยอง"
การกระทำรุนแรงและจาบจ้วงที่เขายังจำสัมผัสได้
รสคาวของเลือดยังแทรกซึมอยู่ที่ปลายลิ้น
การได้จูบกับคนที่ตัวเองรักคงจะมีความสุขนะว่ามั้ย?
แต่น่าแปลกที่ถ้าเลือกได้ เขายินดีให้อีกฝ่ายด่าทอมากกว่าทำร้ายความรู้สึกกันด้วยวิธีการแบบนั้นเสียอีก
“จินยองมีคนมาหาแน่ะลูก” เสียงของมารดาดังขึ้นข้างตัว มืออุ่นๆแตะมือเขาอย่างอ่อนโยน จึงค่อยๆขยับเปิดเปลือกตาขึ้น
“เขารออยู่ด้านล่างจ้ะ”
“ทำไมยองแจไม่ขึ้นมาข้างบนล่ะครับ” ความคิดไพล่ไปถึงเพื่อนสนิท
ที่คุยกันคือมันจะมาช่วยเก็บของและจะมานอนค้างคืนด้วยคืนหนึ่ง.....แล้วทำไม
คุณแชยอลเพียงยิ้มบางๆ “ลงไปดูสิลูก....เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญ พาไปเดินเล่นที่สะพานท้ายหมู่บ้านก็ได้นะ
วันนี้อากาศดี”
จินยองหัวเราะน้อยๆ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ “มันคงเดินจนเบื่อแล้วล่ะครับ”
ผู้เป็นมารดาเพียงแต่ส่งยิ้มบางๆให้เหมือนเคย
เจ้าของบ้านขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อเดินลงมายังชั้นล่างอันเป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นในห้องเดียวกันแล้วไม่พบใคร
คงเป็นเพราะสัญชาตญานทำให้เท้าภายใต้สลิปเปอร์สีขาวก้าวตรงไปยังหน้าบ้าน
เพื่อเจอกับใครคนหนึ่ง.....อันเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่นึกฝันว่าจะมาปรากฏตัวในเวลานี้
ทันทีที่ผู้เป็นแขกเงยหน้าขึ้นจากพื้นความเงียบงันอันปราศจากเสียงก็เริ่มดำเนินไปช้าๆ
จินยองกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
แต่ต่อให้กะพริบตาสักกี่ครั้งภาพตรงหน้าก็ยังคงชัดเจนไม่เลือนหายไปอย่างที่เขานึกให้มันเป็น
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้า ถามเสียงเรียบ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“..ค..คือว่า....
มาร์คพูดไม่ออก เพียงแค่เห็นคนที่เขาไม่ได้เจอมาหลายวันเอ่ยถามอย่างไม่มีเยื่อใย
คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดก็คล้ายลอยหายไปกับสายลม สมองมาร์คว่างเปล่า ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เขาควรพูดอย่างไรให้จินยองไม่ไปจากเขา ไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์ที่จะรั้งคนๆนี้ไว้หรือเปล่า ความมั่นใจที่เคยมีมาเกือบสี่ปีบัดนี้มันอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีอึกอัก
อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจินยองจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าครั้งแรกให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินครบถ้วนหมดทุกคำ
“พี่มาร์คมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“คือ....ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” พูดออกไปแล้วก็ถอนใจยาวด้วยความโล่งอกที่ท้ายที่สุดแล้วก็พูดมันออกมาได้
คนฟังนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจ
“เราไปคุยกันนอกบ้านเถอะครับ”
ตลอดทางที่มุ่งตรงไปยังสะพานท้ายหมู่บ้านความขัดแย้งในความรู้สึกของคนสองคนปรากฏชัด คนหนึ่งเยือกเย็นอย่างคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด ส่วนอีกคนร้อนรุ่ม ไม่แน่ใจ และเมื่อเดินมาถึงสะพานสีขาวซึ่งทอดยาวไปยังสวนสาธารณะ อันมีไม้ยืนต้นและดอกไม้หลากสีดูงดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นเอก คำถามเรียบๆก็ถูกถามขึ้นเป็นครั้งที่สาม
“พี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“...ไอ้บีมันบอกว่านายจะไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส”
หลังจากเงียบมาตลอดทางในที่สุดมาร์คก็ค้นหาเสียงตัวเองเจอ
“ใช่ครับ”
คำตอบสั้นเฉยเมยนั้นทำให้มาร์คนิ่งไป
ตอนนี้ปาร์คจินยองคล้ายเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ความอ่อนโยน มีชีวิตชีวา
ละเอียดอ่อนมลายหายไป เหลือเพียงความเฉยชาราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง
“ทำไม..”
แววตาดำใสสบตากับเขาอย่างตั้งคำถาม
อะไรคือสิ่งที่เขาถามว่าทำไม
“....ทำไมนายจะต้องไป”
คนถูกถามยิ้มบางๆ
“ผมกำลังจะไปมีอนาคตที่ดี”
มาร์คสะอึกกับคำตอบตรงไปตรงมานั้น
อนาคตที่ดีในที่นี้ตีความได้หลากหลายทั้งอนาคตด้านการเรียน.....รวมถึงอนาคตที่จะได้เจอคนดีๆ
“...งั้นถามหน่อย...ตอนนี้...นายยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?..”
หยาดน้ำใสเอ่อคลอทันทีที่คำถามจบลง แม้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งแค่ไหนแต่ปาร์คจินยองก็ยังเป็นปาร์คจินยองคนเดิม...คนที่แอบรักเขาข้างเดียว
จินยองพยายามระงับเสียงไม่ให้สั่นเครือ
“ไม่ต้องรู้หรอกครับ....”
“ทำไมล่ะ...แค่บอกมาว่ารัก...หรือไม่รัก” มาร์คคาดคั้น
“มันไม่มีประโยชน์..”
“มีสิ....เพราะถ้านายยังรักฉันอยู่ฉันก็แสดงว่าฉันมีสิทธิ์ขอร้อง...ขอร้องให้นายไม่ไป”
จินยองระบายยิ้มเศร้า
“พี่มาร์คเกลียดผมไม่ใช่เหรอครับ.....ถ้าเกลียดกันก็ไม่ควรมาเจอกัน...ถ้าเกลียดกันก็ควรปล่อยให้ผมไปซะให้พ้นๆ”
คราวนี้เสียงทุ้มต่ำเป็นฝ่ายสั่นเครือน้อยๆ “ใครบอกว่าฉันเกลียดนาย...”
“พี่มาร์คเป็นคนบอกผมเอง...
พี่บอกผมผ่านการกระทำมาตลอดและวันนั้นตอนที่พี่ทำแผลให้
พี่ก็บอกว่าพี่......เกลียดผม..” ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ
เจ็บจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
มาร์คค่อยๆยกยิ้มเมื่อนึกว่าคนตรงหน้าช่างจดจำเสียเหลือเกิน
จดจำแต่ในเรื่องแย่ๆ เหมือนอย่างที่มาร์คเคยเป็นมาก่อน
“วันนั้นนายลืมไปหรือเปล่าว่าฉันไม่สบตานาย...”
จินยองชาวาบไปทั้งร่างกาย เสียงทุ้มต่ำที่พูดถึงทฤษฎีการโกหกยังก้องอยู่ในหู
"เขาบอกว่าคนโกหกจะไม่กล้าสบตา"
“ฉันมีเรื่องที่อยากถามนายหลายอย่าง”....เสียงของมาร์คเครือคล้ายคนเป็นหวัด....“อย่างแรกเลยที่นายมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉันตลอดเพราะนายรักฉันใช่มั้ย..”
ศรีษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิทพยักหน้าขึ้นลงอย่างอัตโนมัติ
สมองมึนงงคล้ายกับคอมพิวเตอร์ถูกป้อนข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
“...งั้นช่วยบอกหน่อย”...มาร์คเอ่ยกึ่งเศร้ากึ่งอ่อนโยน..... “ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร...”
“........”
“ถ้าฉันมองเห็นคนๆหนึ่งอยู่ตลอด
เห็นเป็นคนแรกเสมอไม่ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางคนมากมายแค่ไหน....”
“ถ้าฉันเป็นห่วงเขา..ห่วงว่าเขาจะกลับบ้านยังไง มีเพื่อนกลับไหม....กลับคนเดียวจะอันตรายหรือเปล่า”
"ขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง"
"ฉันบอกว่าให้ขึ้นรถไม่ได้ยินหรือไง"
“ถ้าฉันเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอด แม้ทำเป็นไม่มองแต่ฉันก็เห็นเขาตลอดเวลา”
"มองอะไร?"
"ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง"
"ผะ...ผมกำลังมองว่าพี่มาร์คอ่านหนังสือเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ"
“ทั้งๆที่ทำเป็นไม่สนใจ....แต่เวลาเห็นเขาเจ็บ...หรือกำลังจะเจ็บ...ก็ลืมตัวเข้าไปช่วยทุกที"
"ขอโทษนะครับ ถ้าผมไม่ซุ่มซ่ามพี่มาร์คก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัว"
"ฉันผิดเองต่างหากที่เข้าไปรับนายไว้"
"นั่งทำอะไรอยู่เห็นมั้ยว่าเศษแก้วมันบาดมือ
“..แค่กล่องของขวัญกล่องหนึ่ง...แต่ฉันก็อยากแกะเป็นกล่องสุดท้าย...อยากแกะตอนที่ฉันอยู่คนเดียว..”
"วางมันไว้ตรงนั้นก่อน"
“เวลาไม่เห็นเขาหรือเขาไม่มาให้เจอ...ก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป...รู้สึกว่าวันทั้งวันมันมีแต่เรื่องน่าเบื่อ”
“...และถ้าฉันไม่อยากให้เขาหายไปจากชีวิต....แค่ได้ยินว่าเขากำลังจะไปฝรั่งเศสฉันก็รีบมาหา...อย่างนี้มันใช่ความรักหรือเปล่า....ใช่ความรักหรือเปล่าจินยอง...”
คนถูกถามยืนนิ่งราวรูปปั้น น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ทั้งที่ฉันไม่อยากรักใครแล้ว ฉันกลัว
กลัวว่าตัวเองต้องเจ็บอีก...แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้...”
มาร์คกล่าวเสียงอ้อนวอน “ถ้าฉันบอกว่าฉันรักนาย....นายจะไม่ไปได้หรือเปล่า..”
จินยองยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลช้าๆ หยาดน้ำตามากมายไม่รู้ว่ามาจากที่ใด แต่เสียงที่เอ่ยกลับมั่นคงอย่างประหลาด
“...วันนั้นที่ผมบอกว่าจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก..ผมก็หมายความตามนั้นจริงๆ”
มาร์คหน้าเผือดสี “หมายความว่า...นายไม่ให้อภัยฉัน...”
จินยองสั่นศรีษะ พูดช้าชัด “ผมไม่เคยโกรธพี่มาร์คครับ..การปฏิเสธคนที่ตัวเองไม่รัก..ไม่ใช่เรื่องที่ผิด”
“แต่ฉันรักนา..”
“ตอนนี้พี่มาร์คอาจกำลังสับสน มันคงเป็นความเคยชินที่ผมไปวุ่นวายกับชีวิตพี่....พอผมหายไป พี่เลยรู้สึกใจหาย..”
“นายคิดว่าฉันโง่ขนาดไม่รู้ใจตัวเองเหรอปาร์คจินยอง.. " มาร์คถามเสียงเข้ม “..คิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ความรู้สึกของคนเรามีหลายอย่างนะครับ
รัก...ชอบ..รู้สึกดี...หรือที่เลวร้ายที่สุดคือแค่หวั่นไหว”
สายลมที่พัดมาอย่างแผ่วเบาช่วยทำให้ใจของจินยองสงบเยือกเย็นอย่างประหลาด
แม่จะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ก็ตามแต่เขาอยากจะขอบคุณ ขอบคุณที่แนะนำให้เขาพาคนตรงหน้ามาพูดคุยกันที่นี่
“ถ้าอย่างนั้นฉันควรทำยังไงให้นายเชื่อว่าฉันไม่ได้แค่หวั่นไหว
ชอบ หรือแค่รู้สึกดี..”
“อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าผมกำลังจะไปมีอนาคตที่ดี
ถ้าพี่บอกว่าพี่รักผม...พี่ก็ควรปล่อยให้ผมไปตามทางที่ผมเลือก..”
เพียงเท่านั้นมาร์คก็ถามขึ้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“นายมาทำให้ฉันรัก
แล้วก็จะทิ้งกันไปอย่างนี้เหรอ..”
“ผมไม่ใจร้ายกับตัวเองขนาดนั้นหรอกครับ....จินยองยิ้มน้อยๆดวงตาที่ยังมีหยาดน้ำใสคลออยู่เปล่งประกายสดใสแวบหนึ่ง”
“หมายความว่า..?.”
“หนึ่งปีหลังจากนี้ถ้าเรายังรู้สึกเหมือนกัน...เราจะมาเจอกันที่นี้
เวลานี้....แต่ถ้าวันนั้นใครคนใดคนหนึ่งไม่มาก็แสดงว่าเราอาจถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อจะมีความทรงจำระหว่างกันสั้นๆเพียงเท่านั้น”
เมื่อฟังเงื่อนไขของอีกฝ่ายจบลง
มาร์คก็เอ่ยถามแผ่วเบา
"แน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้"
จินยองพยักหน้า "มันน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดครับ
ผม่จะได้ทำตามเส้นทางที่ผมเลือก....โดยไม่ต้องมาเสี่ยงกับอะไรที่ยังไม่แน่นอน...
แล้วพี่มาร์คเองก็จะได้ใช้เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้อยู่กับตัวเอง....บางทีเมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่พี่มาร์คคิดว่ามันคือความรักมันอาจเป็นแค่ความผูกพันเท่านั้น”
มาร์คยิ้มออกมาบ้างเมื่อฟังเหตุผลของอีกฝ่ายจบลง
“แล้วถ้าวันนั้นฉันมาคนเดียวล่ะ..”
“ก็หมายความว่าผมได้เจอคนที่ใช่คนอื่นแล้วไงครับ”
เท่านั้นคนฟังก็หน้าเจื่อน จินยองคนจึงรีบเสริมต่อว่า
“วันนั้นผมอาจเป็นคนที่มาที่นี่คนเดียวก็ได้ครับ....." จินยองยิ้มเศร้า "......บางทีพี่มาร์คอาจรู้ใจตัวเองในไม่กี่วันนี่ก็ได้”
ทันทีที่ฟังจบเสียงทุ้มต่ำก็ย้ำหนักแน่น
“เชื่อเถอะว่าวันนั้นฉันจะมารอนายอยู่ที่นี่แน่นอน..ปาร์คจินยอง”
จินยองไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ถ้าเป็นในละครป่านนี้ตัวเอกก็คงถือโอกาสเล่นแง่ ให้อีกฝ่ายตามงอนง้อ แต่นั้นไม่ใช่สำหรับเขา....ไม่ใช่สำหรับผู้ชายที่ชื่อจินยองคนนี้...การที่เราได้รับความรู้สึกดีๆกลับมาจากคนที่เรารักเขาข้างเดียวมาตลอดมันเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่ามหัศจรรย์....เมื่อโอกาสนั้นมายืนรออยู่ตรงหน้า การผลักไสปฏิเสธมันไปก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่ใช่หรือ...หลังจากนี้เป็นต้นไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้รู้ไว้ว่าเขาจะไม่มีวันเสียใจ...แม้อีกหนึ่งปีข้างหน้าคนที่มายืนรออยู่ตรงนี้จะมีแค่เขาคนเดียวก็ตาม.....
.และไม่ว่าในอนาคตผลลัพธ์มันจะเป็นเช่นไรแต่ในความทรงจำของเขาเรื่องราววันนี้จะคงอยู่ในใจของเขาตลอดไป
#Impassible_mn
ความคิดเห็น