ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : A day without you

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.42K
      103
      12 พ.ย. 59

                       


    13

                        A day without you


                                                      
      

    “ Your heart knows things your mind can't explain. 








    #Impassible_mn

                   





     

                    นับแต่วันนั้นทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ไม่สิเหมือนจะปกติต่างหาก

     


    เขายังคงใช้ชีวิตระหว่างสองสถานที่คือมหาลัยกับคอนโดฯไม่ต่างจากเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือความรู้สึกบางอย่างความรู้สึกบางๆจางๆที่บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกบางๆที่ติดตัวไปกับเขาทุกที่ จนเขารู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบตัวดูเงียบเหงา เซื่องซึม ปราศจากชีวิตชีวาอย่างที่มันเคยเป็น

     


    “มึงเป็นอะไรเปล่าวะ ตั้งแต่วันนั้นที่โรงยิมมึงก็ดูซึมแปลกๆเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ”     แจ็คสันทักขึ้นในตอนเช้าของวันหนึ่ง เมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งเอนหลังพิงโต๊ะม้าหิน สายตาดูเหม่อลอยไม่โฟกัสที่จุดใด

     


    มาร์คถอนใจยาว ตอบเนือยๆ     “กูแค่รู้สึกเบื่อๆ”

     


    “มึงไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนี่หว่า” คนช่างสงสัยขมวดคิ้ว สบตากันกับเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามอย่างปรึกษาหารือ ถ้านับจากวันเกิดเหตุวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว แต่วันๆเพื่อนสุดหล่อของเขาก็ยังนั่งถอนใจเข้า ถอนใจออกอยู่อย่างนี้ เขาอยากจะถามมันให้รู้ว่าผู้หญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อวันก่อนน่ะเป็นใคร แต่ก็ยังไม่สบโอกาสที่เหมาะสม เพราะไอ้คนต้นเรื่องคล้ายกับถูกสูบวิญญานไปเสียแล้ว

     


    เจบีตอบรับสายตาของอีกฝ่ายด้วยการเอ่ยขึ้นบ้าง  “มึงแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร มีอะไรระบายให้พวกกูฟังได้นะเว้ย พวกกูยินดีรับฟังเสมอ”



    มาร์คสั่นศรีษะช้าๆ ไม่ตอบอะไร แล้วจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง เหมือนที่หลายวันมานี้มักเป็นเสมอ

     


    ผ..ผม...ไม่รู้เลย..ไม่รู้เลย..ว่าพี่มาร์คจะเกลียดผมถึงขนาดนี้

     


    ข..ขอโทษที่มาวุ่นวายกับชีวิตของพี่นะครับ...ผมขอโทษจริงๆ

     


    หลังจากนี้ขอให้พี่สบายใจได้....เพราะ..ว่า........เพราะว่า......เพราะว่าผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก..



    จริงอย่างที่เด็กคนนั้นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นจนกระทั่งวันนี้เขาก็ไม่ได้เห็นใบหน้าขาวสะอาดตัดกันกับคิ้วเข้มและเรือนผมสีดำสนิทนั้นอีกเลย

     


    ไม่ว่าจะมองหาที่มุมใดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไร้ร่องรอย ราวกับอีกฝ่ายไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

     


    คิดดูแล้วมันก็ตลกดี...ครั้นอีกฝ่ายชอบเขา ก็จะพาตัวเองมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆหอบขนม ของขวัญหรือแม้กระทั่งเดินผ่านไปผ่านมาให้ได้เห็นอยู่เสมอ แต่พอบอกว่าลาจะไม่มาให้เห็นอีกก็กลับหายไปจริงๆ

     


    ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง พลางเปล่งเสียงถามตัวเองในใจ

     


    “แกต้องการแบบนี้เองไม่ใช่เหรอมาร์ค”

     


    นั่นสินะ... เขาต้องการแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมานั่งตายซากแบบนี้ล่ะ

     


    แกควรจะดีใจ แกต้องดีใจสิ ที่จะไม่มีใครมาคอยวุ่นวายกับชีวิตของแกอีกต่อไปแล้ว

     


    ดีใจสิวะ!!!!

     


    “โธ่เอ้ยยย!!”     เสียงทุ้มต่ำสบถเสียงดังทำเอาหนุ่มฮ่องกงที่กำลังยกกาแฟขึ้นดูดสะดุ้ง ปล่อยมือจากแก้วกาแฟจนตกกระทบเข้ากับโต๊ะหิน ฝาพลาสติกที่ครอบอยู่กระเด็นหลุด น้ำกาแฟสีน้ำตาลเจือครีมกับก้อนน้ำแข็งหกกระจายเต็มโต๊ะ ก่อนค่อยๆไหลซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งเจ้าของกำลังนั่งพิงขอบโต๊ะอยู่อย่างเหม่อลอย

     


    ความเย็นที่แผ่นหลังทำให้มาร์คผุดลุกขึ้นแทบจะในทันที แววตาที่มักว่างเปล่าในระยะหลังมีแววขุ่นเคือง หากเมื่อสายตาปะทะเข้ากับของเหลวสีเข้มบนโต๊ะกลับชะงักกึกราวกับถูกตรึงไว้กับที่

     


    คาปูชิโน่เย็นครับพี่มาร์ค” 


     

    เสียงแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว เสียงที่มาร์คเคยได้ยินติดต่อกันมานานเกือบสองปี แม้ระยะหลังเจ้าของเสียงจะไม่ได้ทำแบบเดิมแล้ว หากมาร์คก็ยังไม่เคยลืม

     


    คาปูชิโน่เย็นทุกเช้าตอนแปดโมง

     


    แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว....

     


    มาร์คจ้องมองกาแฟที่เจิ่งนองบนโต๊ะอย่างพิจารณา เพียงชั่วครู่เสียงสดใสของคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้งในโสตประสาทแห่งความทรงจำ หากเป็นความทรงจำที่ถอยห่างออกไป ไกลกว่าครั้งแรกที่นึกถึง

     


      “เอ่อ...พี่มาร์คครับ...ผมมีทิชชู่ครับ

     


    เป็นประโยคแรกที่เด็กคนนั้นพูดกับเขา จำได้ว่าตอนนั้นเขาเองไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่ ความเป็นน้องรหัสของเพื่อนสนิท ความสัมพันธ์ที่เคยเจ็บและฝังใจมาก่อนทำให้เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากจะเห็นหน้าน้องรหัสของเพื่อนด้วยซ้ำไป เพราะมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตัวเองในวันนั้นวันที่เขายังเป็นน้องรหัสของคนใจร้ายคนหนึ่ง

     


    ไม่ค่อยใส่ใจ....ไม่ค่อยสนใจ..แต่น่าแปลกที่ตัวเขาเองกลับจำได้...จำได้แม่นยำราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดเพียงไม่กี่วัน ไม่ใช่สองปีกว่าอย่างในความเป็นจริง

     


    มันเพราะอะไรนะ....

     


    “ขอโทษนะเว้ย...แต่มึงอ่ะร้องเชี่ยไรเสียงดัง กูตกใจหมด” แจ็คสันพึมพำขอโทษพร้อมกล่าวหาไปในคราวเดียวกัน

     


    “กูผิดเองแหละ ไม่โทษมึงหรอก ขอไปล้างเสื้อก่อนนะ” คนผิดเอ่ยขึ้นเรียบๆหลังจากเงียบอยู่นาน ร่างสูงโปร่งผละจากไปอย่างรวดเร็วทันทีที่เอ่ยจบ



    ทิ้งให้คนสองคนกะพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วมาร์คเป็นคนค่อนเจ้าระเบียบ รักความสะอาดที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคน ถ้าเป็นครั้งก่อนๆมันจะต้องโวยวายเสียงดังแน่ๆที่แจ็คสันซุ่มซ่ามจนทำเสื้อมันเปื้อนแบบนั้น ทว่าครั้งนี้มันกลับนิ่งเฉย หนำซ้ำยังมีประกายแห่งความครุ่นคิดบางอย่างฉายชัดในนัยน์ตาและดวงหน้าได้รูปนั้นอีก......มันเป็นอะไรของมัน?

     


    ใช่แต่เจบีและแจ็คสันที่สงสัยในเรื่องนี้เท่านั้น...มาร์คเองก็สงสัยเช่นกัน

     


    สงสัยและพยายามหาคำตอบให้แก่ตัวเอง และคำตอบก็มาในรูปของร่างสูงขาวหากค่อนข้างเพรียวที่คุ้นตา มาร์ควิ่งตามคว้าแขนของเจ้าตัวให้หันมาประจันหน้ากันทันที

     


    “จินยอง....นาย..”   ท้ายคำเงียบหายไปเมื่อดวงตาคู่คมเห็นอีกฝ่ายชัดเต็มตา แม้มีรูปร่าง สีผมและสีผิวที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่ใช่เด็กคนนั้น...

     


    “...ขอโทษที...นึกว่าเป็นคนรู้จักน่ะ...”  มาร์คพึมพำ อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าอย่างไม่ถือสาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เขาจมอยู่กับคำถามที่ตัวเองไม่รู้คำตอบอีกครั้ง







    #Impassible_mn






    เสียงบทเพลงกังวานใสจากกล่องดนตรีรูปทรงเปียโนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องชุดสุดหรูชั้นบนสุดของตึกทันสมัยหลายสิบชั้น กลไกของมันหมุนไปช้าๆ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเชื่องช้าทว่าแข็งขัน สายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องที่ผนังด้านปลายเตียง ผนังที่เคยมีรูปวาดแขวนไว้มาเนิ่นนานหลายปีแต่บัดนี้กลับว่างเปล่า จนมองเห็นได้ชัดถึงสีของกระดาษแปะผนังบริเวณที่ถูกกรอบรูปแขวนทับไว้ค่อนข้างซีดจางแตกต่างจากบริเวณอื่นๆของผนังฝั่งเดียวกัน ร่างที่นอนทอดยาวอยู่บนเตียงสีเทาอ่อนพรูลมหายใจออกยาวช้านับเป็นเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน


     

    มาร์คนึกพิศวงกับตัวเองจะว่าเป็นอุปาทานก็ว่าได้..แต่ตั้งแต่กรอบรูปนั้นแตกไป เขาก็ไม่ค่อยฝันถึงเรื่องราวในอดีตสักเท่าไหร่ และยิ่งไม่ฝันเลยแม้แต่คืนเดียวมาเกือบจะครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ซึ่งน่าแปลกใจตรงที่ว่าพอมานอนคิดใคร่ครวญดูแล้วมันเริ่มตั้งแต่วันนั้น..........วันที่เขาทำเรื่องรุนแรงขาดสติจนคนๆหนึ่ง.....เดินออกจากชีวิตของเขาไป......


     

    ตอนนี้มาร์คกำลังสงสัยว่าการแขวนรูปเพื่อเตือนสติตัวเองก่อนเข้านอนทุกวัน มันทำให้เขาจมปลักอยู่ในอดีตอย่างนั้นเหรอ.. พอไม่แขวนรูปจึงลดเรื่องราวในความฝันของเขาไปได้เกือบทั้งหมด และการที่เขาพบผู้หญิงคนนั้นก็ช่วยให้เขาหายจากการเจ็บปวดอย่างนั้นใช่มั้ย?...


     

    มันเป็นไปได้ยังไงกันที่คนๆหนึ่งทุกข์ทรมานกับเรื่องราวในอดีตมาเกือบสี่ปีกลับหายเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เจอหน้าบุคคลที่เป็นต้นเหตุเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น



    ......หรืออาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่าคนเรามักจะเจ็บปวด ทรมานจากจินตนาการที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น ดังนั้นเมื่อจินตนาการที่เฝ้าสร้างมันมาตลอดจากจากความทุกข์ในใจได้มาบรรจบกับความเป็นจริงจึงทำให้จิตสำนึกที่ยังวนเวียน หวาดกลัวกับเรื่องราวเก่าๆถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ถูกปลดปล่อยให้เผชิญหน้ากับความเป็นจริง...ความจริงที่ชเวเยจินเองก็รู้สึกผิดและเจ็บปวดไม่ต่างจากเขา ความว่างเปล่าในหลายๆวันที่ผ่านมาประกอบกับความสงบใจในบางช่วงเวลาทำให้มาร์คมีเวลาได้คิดและตระหนักว่าบางครั้งผู้กระทำก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยกว่าผู้โดนกระทำเลยสักนิดเดียว



    ภาพน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กหนุ่มรุ่นน้องยังตามมารบกวนจิตใจของเขาตลอดเวลา เสียงสั่นเครือที่พูดออกมาก็ยังชัดเจนอยู่ในห้วงความทรงจำคล้ายกับมีใครสักคนกดบันทึกเสียงและเปิดกรอกหูเขาซ้ำไปซ้ำมา

     


    เหตุการณ์ครั้งนี้เขาก็เป็นผู้กระทำไม่ใช่หรือ ถึงเหตุผลจะต่างกัน ทว่าคนผิดก็คือคนผิดอยู่ดี

     


    ใช่...เขาผิด เขารู้ตัวว่าตัวเองผิด ผิดอย่างมหันต์ที่ทำร้ายความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ดีกับเขามาตลอด

     


    พอตัดความรู้สึกเสียใจ ปวดร้าวของตัวเองออกไปแล้ว การที่เขาได้เผชิญหน้ากับชเวเยจินโดยการวางแผนของปาร์คจินยองก็เปรียบเสมือนการรักษาแผลเรื้อรังที่เขาเป็นอยู่ให้หายเร็วขึ้น มันอาจจะเจ็บมากไปสักหน่อย แต่มันกลับได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่คาดไม่ถึง เขาจมปลักอยู่กับความทุกข์ของตัวเองในอดีต คิดไปเองว่าอีกฝ่ายกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของเขา คิดว่าจะไม่สามารถพบเจอกันได้อีก คิดว่าตัวเองไม่สามารถลืมเรื่องราวในอดีตและเริ่มต้นใหม่ได้ คิดว่าเขาจะต้องจดจำความปวดร้าวนั้นไว้ คิดว่าเขาจะต้องทุกข์ และเขาก็ทุกข์แบบที่เขาคิดจริงๆ ทุกๆอย่างเกิดขึ้นจากความคิดของเขา เขาคิด คิด และคิดไปเองทั้งนั้น

     


                    มาร์คต้วน.....สุดท้ายแกมันก็แค่ผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง!!!

     






    #Impassible_mn




           

                    เป็นเวลายังไม่หกโมงดีแต่เขาก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เพราะต่อให้ฝืนข่มตาให้หลับยังไงมาร์คก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลับลงได้ อะไรหลายๆอย่างยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขาตลอดเวลา จนทำให้หลับๆตื่นๆมาตั้งแต่ตอนเข้านอน

     


                    6.45น.

     


                    มาร์คจอดรถคันหรูของตัวเองที่ลานจอดรถสาธารณะข้างมหาวิทยาลัย ก่อนเดินเรื่อยๆโดยมีจุดมุ่งหมายที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน กลิ่นกาแฟอบอวลอยู่ในร้าน เพียงแค่ผลักประตูกระจกเข้าไปภายในก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องดื่มสุดคลาสสิค

     


                    “รับอะไรดีครับ”    พนักงานกล่าวยิ้มแย้มทักทาย มาร์คกวาดสายตาไปโดยรอบ โต๊ะ เก้าอี้ต่างๆยังจัดไม่เรียบร้อยนัก  เห็นได้ชัดว่าคงเพิ่งจัดร้านกันไม่ถึงสิบนาที และเขาคงจะเป็นลูกค้าคนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย




                    “คาปูชิโน่เย็นครับ”     ตอบเมนูสุดโปรดก่อนเดินไปทรุดนั่งที่โต๊ะทรงกลมที่ใกล้เคาน์เตอร์มากที่สุด

     


                    “รอสักครู่นะครับ”     พนักงานคนเดิมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อีกครั้ง แล้วพูดต่อว่า “คาปูชิโน่นี่เป็นเมนูฮิตติดอันดับของเราเลยล่ะครับ โชคดีมากนะครับที่วันนี้คุณลูกค้ามาเร็ว เพราะปกติถ้าสั่งหลังจากเจ็ดโมงเป็นต้นไป ต้องรอนานหน่อย”

     


    มาร์คพยักหน้ารับรู้ ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เนื่องจากรสชาติของกาแฟร้านนี้กลมกล่อม นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ยังจำได้ว่าตั้งแต่เจบีซื้อไปฝากครั้งแรกตอนปีหนึ่งเขาก็นึกติดใจในรสชาติทันทีครั้นพอขึ้นปีสองก็มีคนซื้อคาปูชิโน่มาส่งถึงมือให้ทุกวันตอนเช้า

     


    จินยองมารอซื้อให้เขาทุกวันตอนเจ็ดโมงกว่า  เด็กคนนั้นต้องอดทนรอนานขนาดไหนนะ ที่เขารู้เพราะครั้งหนึ่งแจ็คสันเคยเล่าให้ฟังตอนเขาอยู่ปีสาม


     

    “ไอ้มาร์ค กูเจอเด็กมึงอ่ะ”      เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง

     


    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ถามเสียงต่ำ  “เด็กกู ใครวะ?”

                   


              “ปาร์คจินยองไง เห็นนั่งรอซื้อกาแฟให้มึงอ่ะ น้องแม่งโครตทุ่มเท..”

     


                    “แล้วมึงเสือกมาบอกกูทำไม ไม่ได้ถามสักหน่อย”  มาร์คตอบเฉยชา ทีท่าไม่ใส่ใจ

     


                    “โด่ววว....ก็แค่บอกให้รู้ เผื่อมึงจะใจอ่อนบ้างไง”


     

     

                    น่าแปลกอีกแล้วที่เขาจำได้......ทำไมเขาถึงจำเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กคนนั้นได้แม่นยำขนาดนี้นะ

                   


                    ความรู้สึกในอดีตค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ จนแทบไม่หลงเหลือ จางหายไปพร้อมๆกับเสียงประตูรถที่กดปิดเบาๆในเย็นวันนั้น แต่ความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่ในตอนนี้ คือความรู้สึกว่างเปล่าที่อธิบายชัดเจนไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร รู้แค่ว่ามันเหมือนกับเราทำบางสิ่งบางอย่างหายไป.....และเราก็รู้แน่แก่ใจว่าคงไม่มีวันได้มันคืนกลับมาอีก

     


    รออยู่ไม่นานนักกาแฟคาปูชิโน่ก็ถูกเสิรฟ์ให้ถึงมือ มาร์คจ่ายตังค์ เอ่ยขอบคุณ ก่อนออกจากร้านเล็กๆซึ่งถูกตกแต่งด้วยประตูกระจกโดยรอบ เจ็ดโมงกว่าเช่นนี้นักศึกษายังค่อนข้างบางตา ดังนั้นเมื่อขับรถมาจอดภายในรั้วมหาลัย จึงปราศจากเสียงจอแจอย่างที่เคย


     

    ( พวกมึงอยู่ไหนแล้ววะ   มาร์คตั้งคำถามในโปรแกรมแชท ปกติเขาอยู่คนเดียวได้ ชอบอยู่อย่างสงบๆคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ การอยู่คนเดียวกลับทำให้เขาฟุ้งซ่านมากกว่าสงบอย่างที่ควรจะเป็น



    รอไม่ถึงอึดใจเจ้าของชื่อไลน์JACKSON PRINCEก็พิมพ์ตอบกลับมารวดเร็ว


                                                                       (ทำไม มึงถึงม.แล้วหรือไง)


    (เออ วันนี้กูมาเร็ว)


    (นาฬิกาคอนโดฯมึงตายรึเปล่าไอ้มาร์ค นี่มันเพิ่งเจ็ดโมงกว่าเองนะโว้ยยยย)

    (กูมาเร็วแล้วมันอะไรนักหนาวะ??)


                                  (อ้าวววว!!!! ก็ปกติกว่ามึงจะเสด็จก็ปาเข้าไปแปดโมงแล้วหนิ)


    (เออๆ พวกมึงรีบมากันเลย ไอ้บีอ่ะหายไปไหนไม่เสือกอ่านไม่เสือกตอบ)


                                                                            (มึงอย่าพาลเพื่อนสิโว้ยยยย มันอาจอาบน้ำอยู่ละมั้ง เดี๋ยวกูจะรีบไปนะ) 


    พร้อมกับส่งตุ๊กตาหน้าหมูยิ้มมาให้ มาร์คได้แต่ถอนใจเซ็ง เช้านี้เขาคงต้องอยู่คนเดียวไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ๆ

     





    #Impassible_mn






    เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะดังขึ้นใกล้ตัว มาร์คเกือบจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เขานั่งรออยู่บนโต๊ะประจำไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น นับว่าเร็วใช้ได้

     


    “มึงกินอะไรมายัง ? ”   มาร์คถามโดยไม่หันกลับมามอง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกเขาจึงเงยหน้าขึ้นถามซ้ำ ติดจะหงุดหงิดนิดๆ



    “ได้ยินมั้ย กูถามว่า...”    แทนที่จะได้เห็นหน้าของเพื่อนตัวแสบไม่คนใดก็คนหนึ่งกลับเป็นใบหน้าน่ารักที่เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทำให้ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน

     


    ใคร????


     

    “เอ่อ...ฮโยจูอบคุกกี้มาให้พี่มาร์คค่ะ”  สายตามองตามที่เธอบอกก็เห็นมือเล็กทั้งสองข้างกำลังประคองกล่องสี่เหลี่ยมในมือ


     

    มาร์คกะพริบตาเรียกสติของตัวเองสองครั้งถ้วน ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์ทำนองนี้มาก่อน แต่สถานการณ์ครั้งนี้มันค่อนข้างมาโดยไม่ทันตั้งตัว หนำซ้ำผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ก็ทำให้เขาอึดอัดที่จะบอกปัดปฏิเสธอย่างเช่นทุกครั้ง จึงตัดสินใจเฉไฉถามไปว่า

     


    “รู้จักพี่ได้ยังไง พี่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าเรามาก่อนนะ”

     


    สิ้นคำถามนั้นหญิงสาวที่มีชื่อว่า ฮโยจูก็หน้าแดงราวกับมีใครมาป้ายสีบนแก้มใส


     

    “..คือว่า.....ฮโยจูรู้จักพี่มาร์คมาตั้งแต่ตอนเปิดเทอมใหม่ๆแล้วค่ะ.....เพื่อนๆเขาชอบคุยกันถึงรุ่นพี่ที่ป๊อปของแต่ละคณะ....ฮโยจูก็เลยรู้จักน่ะค่ะ”

     


    คนฟังพยักหน้ารับรู้ สีหน้าค่อนข้างยุ่งยากใจ รุ่นน้องคนนี้คงทำความรู้จักเขาฝ่ายเดียวมาตลอด และคงต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะมาหาเขา เสียงสั่นๆ และใบหน้าที่แดงอยู่แทบจะตลอดเวลาแสดงถึงความประหม่าและเขินอายชัดเจน มาร์คสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนเอ่ยประโยคซึ่งทำให้ดวงหน้าที่คล้ายมีสีแดงแต่งแต้มไว้ถูกป้ายด้วยสีขาวแทนทันที

     


    “ขอบคุณมากนะฮโยจู แต่ว่า...พี่ไม่ชอบรับของคนอื่นน่ะ”


     

    “.....”

     


    “ขอโทษนะ..”

     


    “....ไม่เป็นไรค่ะ”  แม้พูดอย่างนั้นแต่พฤติกรรมของหญิงสาวกลับตรงกันข้าม เธอยืนนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งคล้ายไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปต่อมาเมื่อตั้งสติได้เธอก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว

     


    “อีกรายแล้วหรอวะ”  เสียงห้าวๆกวนประสาทดังขึ้นเบื้องหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร เสียงอย่างนี้ก็มีอยู่คนเดียวแหละ

     

    มาร์คไม่ตอบเพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบและไม่เคยคิดว่าจะต้องตอบ มันคือความจริงที่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกและฮโยจูไม่ใช่รายแรกที่เขาปฏิเสธ ตั้งแต่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาจนย่างเข้าสู่ปีที่สี่ ......หลายสิบครั้งแล้วที่เขาต้องกล่าวคำทำร้ายจิตใจพวกนี้ออกไป


     

     เพราะไม่อยากให้ความหวัง......

     


    ......เห็นจะมีอยู่คนเดียวแหละที่เขายอมรับขนมและของขวัญพวกนั้น


     

    ตอนแรกที่รับก็เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆเขาก็รู้จัก อีกอย่างของอย่างแรกที่อีกฝ่ายให้ก็เป็นกาแฟที่ไม่ได้หาซื้อยากหรือต้องเสียแรงทำด้วยตัวเอง แต่แล้วมันกลับกลายเป็นความเคยชินโดยที่ไม่รู้ตัว......มารู้ตัวอีกทีเด็กคนนั้นก็กลายเป็นคนเดียวที่เขายอมรับความรู้สึกดีๆไปเสียแล้ว

     


    “ไอ้บีมาพอดีเลย... แจ็คสันตะโกนทักผู้เข้ามาใหม่เสียงดังจนมาร์คต้องพลอยถอนตัวออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง  ....น้องรหัสมึงหายไปไหนวะ นี่กูไม่เห็นมาหลายวันแล้ว”

     


    คนถูกถามเลิกคิ้วหนานิดๆ     “กูยังไม่ได้บอกพวกมึงเหรอ ?”

     


    “บอกอะไรวะ ?”   คราวนี้เป็นเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยถามอย่างเร่งร้อนบ้าง

     


    “จินยองจะไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสเทอมหน้าน่ะ นี่เลยยุ่งๆเกี่ยวกับพวกเอกสารอยู่”

     


    “อะไร! เขาปิดรับสมัครไปตั้งนานแล้วนะ” เขาแน่ใจว่าโครงการแลกเปลี่ยนของคณะเขาปิดรับสมัครเป็นเดือนแล้วหนิ...แล้วทำไม?

     


    “เท่าที่รู้เขาเปิดรับรอบใหม่ว่ะ เหมือนรอบที่แล้วคนสมัครน้อย” เจบีตอบเสียงเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับหนึ่งในสองของคนฟังที่ขมวดคิ้วจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นโบว์ “นี่กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน น้องมันเพิ่งโทร.มาบอกเมื่อคืนนี่เอง”

     





    #Impassible_mn




    MoonDream_


            

                     

     

     

                     

     

     

     


    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×