ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 : Goodbye

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59



    12

    Goodbye



                      " Sometimes I feel like I'm waiting for something that isn't

                   going to happen."













    #Impassible_mn







                   ลาก่อนมาร์คจอมโง่เง่าคนเดิม!                        

     


    ประโยคที่เคยบอกกับตัวเองในครั้งนั้น  ทว่าในวันนี้กลับไร้ความหมาย  เพียงแค่เห็นใบหน้าที่คุ้นตา  ได้ยินเสียงที่จำฝังใจ ความทรงจำเดิมๆที่พยายามลืมเลือนกลับทยอยกลับเข้ามาราวกับขบวนรถไฟและเป็นขบวนรถไฟที่ยาวคล้ายไม่มีจุดจบ  มาร์คขบกรามแน่น   มือเย็นเฉียบ   ความปวดร้าวแพร่กระจายไปทั่วร่าง ก่อนที่จะให้ผู้หญิงคนเดิมได้เปล่งเสียงขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สองร่างสูงก็ชิงหมุนตัวกลับหันหลังเสียก่อน

     


    “มาร์ค อย่าเพิ่งไป คุยกับพี่ก่อน”    เสียงหวานตะโกนเสียงดังพร้อมกับวิ่งตามไปยึดแขนข้างหนึ่งเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ชายหนุ่มได้ก้าวเท้าออกจากสถานที่นี้ไป

     


    แจ็คสันกับเจบีมองหน้ากันด้วยความงุนงง  พลางปรึกษากันทางสายตาว่าเกิดอะไรขึ้น  หากคนที่รู้คงจะมีแค่สองคนที่ยืนยื้อยุดกันอยู่ตรงหน้าเท่านั้น  จึงได้แต่ยืนสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ  ไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย  ใบหน้าของเพื่อนสนิทชาวไต้หวันตอนนี้เป็นสีขาวและว่างเปล่าคล้ายกับกระดาษ พวกเขารู้ดีว่ามาร์คต้วนเวอร์ชั่นนี้น่ากลัวและอันตรายยิ่งกว่าพายุไต้ฝุ่นเสียอีก

      


    “ปล่อย...”     เสียงต่ำลึกคล้ายเค้นจากลำคอเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งงันไปชั่วครู่

     


    คนฟังสีหน้าเจื่อนลงเมื่อได้ยินทว่ายังดึงดัน    “ไม่...พี่ไม่ปล่อยจนกว่ามาร์คจะยอมคุยกับพี่ดีๆ”   ไม่เพียงแต่ถ้อยคำปฏิเสธ เยจินยังยึดแขนของคนพูดแน่นขึ้นกว่าเดิม  เป็นการบอกกลายๆว่าถ้าไม่พูดกันให้เข้าใจเธอก็จะไม่มีวันยอมปล่อยเขาไปเป็นอันขาด

     

    ชายหนุ่มนิ่งไปอีกครั้งก่อนริมฝีปากได้รูปจะเหยียดออกอย่างเย้ยหยัน



    “คุณควรจะคุยกับผมตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้วหรือเปล่า”

     


    คำพูดเรียบๆแต่แฝงความนัยนั้นคล้ายมีดแหลมคมที่ปักเข้าอวัยวะสำคัญ  หญิงสาวเม้มปากแน่นระงับก้อนสะอื้น ก่อนเอ่ยเสียงเครือ

     


    “พี่รู้ว่ามาร์คยังโกรธพี่ แต่พี่แค่อยากให้มาร์ครู้ว่าพี่เสียใจจริงๆ  พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้ง....”                             

     


    “อย่าโกหก!!!”    เสียงทุ้มต่ำตวาดลั่น



    ดวงตาที่เคยมีแว่นสายตาบดบังบัดนี้เป็นประกายกล้าด้วยแรงอารมณ์    “คุณน่ะตั้งใจแน่ๆ วางแผนอย่างดีเสียด้วย.........สนุกมากมั้ยที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น”     ประโยคหลังถึงแม้ยังแข็งกร้าวทว่าเจือด้วยความปวดร้าว

     


    มาร์คอยากถามผู้หญิงใจร้ายคนนี้มานานแล้ว..........สนุกมากไหมที่หลอกให้ผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งรัก สนุกมากไหมที่หลอกให้มันมีความหวัง สนุกมากไหมที่ทำลายหัวใจของคนอื่นอย่างไม่มีชิ้นดี

     


    ความรู้สึกของเขามันก็เหมือนกับแก้วที่ถูกผลักให้ตกลงแตกกระจายกับพื้นนั่นแหละ ถูกทำให้แตกไปแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาดีได้เหมือนเดิม

     


    เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่พยายามกลั้นน้ำตาปล่อยโฮ

     


    “พะ...พี่.. รู้..ว่า..พี่..มัน..ฮึก...เลว..พี่..ไม่ขอ...ให้..มาร์ค..ฮึก...ยกโทษ..ห..ให้..แต่...ขอ...ได้มั้ย..อ..อย่า..เป็น..แบบ..นี้..เลย..”

     

     

    เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะปรายตามามอง  หนำซ้ำยังใช้มือที่แข็งแรงกว่าแกะมือที่ยึดเขาไว้ออกช้าๆ

     


    “คนที่ทิ้งไป ไม่มีสิทธิ์ร้องขออะไรหรอก.....จำไว้”

     


    ร่างสูงลับสายตาไปแล้ว  หายไปพร้อมกับความหวังทั้งหมดที่เธอมี เยจินทรุดลงกับพื้นสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร เธอมาวันนี้ด้วยความหวัง หวังว่าอย่างน้อยจะได้รับการยกโทษ ถือแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำมันยากที่จะให้อภัย มาร์คคงจะเจ็บปวดกับการกระทำของเธอมาก แต่เยจินก็ยังหวังอย่างล้มแล้งๆว่าเวลาจะช่วยเยียวยาให้ชายหนุ่มรุ่นน้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เธอคิดผิด ผิดอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จะไม่ช่วยอะไรเท่านั้นวันเวลาที่ผันผ่านยังหล่อหลอมให้เด็กหนุ่มที่เคยมองโลกในแง่ดี มีความหวังในชีวิต และมีจิตใจที่อ่อนโยนอยู่เสมอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ มาร์คกลายเป็นชายหนุ่มที่ไม่เชื่อมั่นในความรัก มองโลกในแง่ร้าย และมีหัวใจที่เย็นชา 



    นี่เธอทำอะไรลงไป เธอจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด!

     






    #Impassible_mn

     




                    “มาร์คมึงโอเคเปล่าวะ? ”     เจบีที่เดินแกมวิ่งตามมาร้องถามด้วยความเป็นห่วง   เขาทิ้งแจ็คสันไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวแปลกหน้าที่เขาสองคนไม่เคยรู้จัก   ตอนนี้มันก็คงมีเครื่องหมายคำถามประดับบนหน้าผากเหมือนเขานี่แหละ  มาร์ครู้จักผู้หญิงคนนั้นได้ยังไงยังเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้และคำถามที่ว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องไห้เสียใจขนาดนั้นด้วยยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้คิ้วขมวดเป็นปม

     


     “กูโอเค ไม่มีอะไร”    เจ้าของชื่อตอบทั้งๆที่ยังไม่หยุดก้าวเท้าเร็วๆ

     


    ยิ่งฟังน้ำเสียงที่ตอบกลับมายิ่งทำให้เจบีแน่ใจว่าตอนนี้คนที่เดินนำกำลังไม่โอเคอย่างมาก   เสียงของมาร์คเหมือนสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บ

      


     “แต่มึงดูไม่โอเคเลยนะ ”    เสียงห้าวปนหอบน้อยๆตะโกนตามหลัง  ระยะห่างของเขากับคนข้างหน้าห่างกันประมาณสามเมตร

     

    ขาที่กำลังก้าวไปตามทางเดินของมาร์คหยุดชะงัก  ร่างโปร่งหมุนตัวกลับมาอย่างหมดความอดทน

     


    “บอกว่าโอเคก็โอเคไงวะ!  กลับไป....กูอยากอยู่คนเดียว”

     


    คนฟังอยากจะรั้งคนเป็นเพื่อนไว้แต่น้ำเสียงจริงจังประกอบกับใบหน้าเรียบเฉยคล้ายฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง  ทำให้เขาต้องยอมแพ้

     


    “เออ ก็ได้เว้ย มีอะไรก็บอกกูได้นะ”    เจบีหยุดเดิน  พร้อมส่งสายตาเป็นห่วงแกมครุ่นคิดให้กับแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินลับสายตาไปทางมุมตึก แต่ยังไม่ทันจะกลับหลังหันเสียงฝีเท้าคู่ใหม่ก็ดังใกล้เข้ามา

     


    “พี่บี พี่มาร์ค พะ....พี่มาร์คล่ะครับ”     เด็กหนุ่มรุ่นน้องถามเสียงกระหืดกระหอบ   ถ้าให้เดาคงวิ่งมาจากโรงยิมสินะ และถ้าจะให้เดามากขึ้นการที่ผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ที่นี่เวลานี้ก็คงจะเป็นแผนการของเจ้าตัวไม่ใช่ใครอื่น คนโตกว่าถอนหายใจยาว

     


    “มันวิ่งไปทางนู้นแล้ว  เดี๋ยวๆจินยอง อย่า...”   เสียงร้องห้ามหายลับไปในลำคอเมื่อร่างที่เพิ่งวิ่งมาถึงวิ่งเลยต่อไปตามทางที่เขาชี้บอก



    เจบีกลืนน้ำลายลงคอ   เขารู้นิสัยเพื่อนรักดีเวลานี้เป็นเวลาที่อารมณ์ของมันรุนแรงและแปรปรวนราวกับคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่งในวันเกิดสึนามิ ถ้าเดาไม่ผิดมันคงกำลังหาฝั่งที่จะระบายอารมณ์ และคงไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปมากกว่าน้องรหัสของเขาอีกแล้ว






    #Impassible_mn








    ทันทีที่วิ่งมาถึงสถานที่ซึ่งคาดว่าจะปรากฏร่างของคนที่ตามหา ก็พอดีกับที่สายตาปะทะเข้ากับรถสปอร์ตคันหรูสีส้มเปิดประทุนที่เจ้าของกำลังเข้าเกียร์ถอยหลังขับเคลื่อนออกจากบริเวณนี้ไป จินยองไม่รอช้าวิ่งพรวดกระโดดขึ้นรถคันนั้นไปทันที

     


      “ใครอนุญาตให้นายขึ้นรถฉัน...ลงไป! ” 

     


    ความเย็นชาทำให้หัวใจจินยองเต้นผิดจังหวะด้วยความกลัว  แต่ก็แข็งใจถามต่อไป



    “พี่มาร์คจะไปไหนครับ?”



    “เรื่องของฉัน   ได้ยินไหมฉันบอกว่าให้ลงไป! ”    คราวนี้ไม่เพียงแต่น้ำเสียงที่เยียบเย็นเท่านั้น  ท่าทีของมาร์คบอกให้รู้ว่าพร้อมจะเอาจริงหากเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่เชื่อฟัง  จินยองเองก็กลัวว่าจะถูกลากลงจากรถไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่เขาคิดแต่ยังไม่ได้พูดออกไป

     


    “ทำไมพี่มาร์คไม่คุยกับพี่เยจินให้รู้เรื่องล่ะครับ    พี่หนีความจริงตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”



    เท่านั้นอารมณ์รุนแรงที่พยายามสะกดกลั้นของมาร์คก็ระเบิดขึ้น  เขาพอจะเดาได้แล้วว่าใครที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด  ใครที่เป็นคนวางแผน เป็นคนที่พาผู้หญิงคนนั้นมา

     


    “นายเป็นตัวการอย่างนั้นสิ? ”



    “.....”      จินยองไม่ตอบหากทอดสายตาลงต่ำ    ยอมรับในโทษทัณฑ์และชะตากรรมของตัวเอง


    ความร้อนพลุ่งขึ้นมาบนใบหน้าและผิวกายของมาร์คทันทีก่อนไหลวนไปทั่วทั้งร่าง  การที่อีกฝ่ายนิ่งไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับดีๆนี่เอง  ตอนนี้เขาโกรธ....โกรธมาก  จนไม่แน่ใจว่าจะทนเห็นใบหน้าของตัวต้นเรื่องได้อีกต่อไป

     


    นิ้วที่ชี้ไล่สั่นด้วยแรงอารมณ์  เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยโทสะ




    “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ออกไป!... ลงไปจากรถฉัน”

     


    ตรงกันข้ามกับคำสั่งจินยองดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด   “ไม่ครับ ผมไม่ลง ผมอยากให้พี่ยอมรับความจริงสักที”

     


    “ไม่ลงใช่มั้ย...ได้...”



    แรกเริ่มผู้โดยสารค่อนข้างงุนงงที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปคล้ายกับว่าจะยอมให้เขานั่งรถไปด้วย  หากเพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องร้องลั่นเมื่อมาร์คกระชากรถถอยหลังจนศรีษะของคนไม่ระวังตัวกระแทกขอบเบาะอย่างแรง  และชั่วพริบตาก็เหยียบคันเร่งจนรถทะยานไปข้างหน้าราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชาก

     


    เป็นเวลานานเท่าไหร่เขาเองก็ไม่แน่ใจที่ต้องทนนั่งเกร็งบนรถเปิดประทุนคันนั้น  ก่นด่าตัวเองในใจมาตลอดทางว่าการตัดสินใจของตัวเองครั้งนี้อาจพาให้ตัวเองไปพบกับจุดจบที่คาดไม่ถึง  คนขับคงเหยียบคันเร่งไม่ต่ำกว่า120 เพื่อระบายอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองหรือไม่ก็จงใจทำให้เขากลัว  และถ้าหากเจ้าของรถประสงค์เช่นนั้นก็คงสมความปรารถนาทุกอย่าง  เพราะตอนนี้จินยองกลัวมาก....กลัวที่สุดในชีวิต....กลัวยิ่งกว่าตอนขึ้นรถกระเช้าที่ความสูงเหนือพื้นดินหลายพันเมตรเสียอีก นอกจากความเร็วของตัวรถที่น่ากลัวแล้ว  ลมแรงที่ผ่านปะทะหน้าตลอดเส้นทางก็ยิ่งทำให้ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า  มันเหมือนกับกำลังเผชิญกับอะไรสักอย่างที่ไม่รู้ว่าเราจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของมันได้หรือเปล่า

     

    และเวลาเลวร้ายก็สิ้นสุดลงเมื่อมาร์คเหยียบเบรกดังเอี๊ยดจนศรีษะของคนที่กำลังตื่นตกใจกระแทกคอนโทรลรถอย่างแรงอีกครั้ง

     

    เอี๊ยดดด!!

     


    ป๊อกกก..              

     


    “โอ้ยย !”

     

    ยังไม่ทันที่คนเจ็บจะทันได้ยืดตัวนั่งดีๆ  คำถามก็ดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์เห็นได้ชัดว่าความโกรธไม่ได้ลดน้อยลงจากเมื่อครั้งอยู่ที่ลานจอดรถเลย

     


    “บอกมา!!.....บอกมาว่านายต้องการอะไร  ทำไมถึงต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของฉัน”



    จินยองนิ่งไปชั่วครู่  พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไปจากการนั่งรถที่เร็วยิ่งกว่ารถไฟเหาะเมื่อสักครู่ ตอบช้าชัด

     


    “ผมแค่อยากให้พี่มาร์คคุยกับพี่เยจิน  มันไม่มีประโยชน์อะไรที่พี่จะหนีความจริงนะครับ”

     


    ปลั้กก!!

     


    แขนข้างหนึ่งกระแทกที่พวงมาลัยรถเพื่อระบายอารมณ์จนคนฟังสะดุ้ง   ก่อนตวาดเสียงดัง    “แล้วทำไมต้องมายุ่งด้วยวะ!.....ฉันจะเป็นยังไงจะจมปลักกับอดีตอีกกี่สิบปีก็ไม่ใช่เรื่องของนาย”

     


    สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทำให้ต้องกะพริบตาหลายครั้งด้วยความประหลาดใจ  ตามปกติสิ่งที่เห็นจากคนตรงหน้ามีแต่ความเย็นยา เมินเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น  ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงความโกรธ  ความไม่พอใจ และความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสสะท้อนให้เห็นชัดผ่านทางสีหน้าแววตาและการกระทำ  จึงเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยอีกคนให้ลืมอดีตอันเลยร้ายลงเสียที

     


    จินยองจึงเอ่ยอย่างหวังดี    “ถ้าพี่ยังเป็นแบบนี้ พี่ก็จะไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับใครได้เลยนะครับ”     ถึงแม้เขาจะไม่เคยประสบพบเจอกับตัวแต่ใครๆเขาก็บอกกันทั้งนั้นว่าความรักครั้งเก่ามักจะทิ้งตะกอนบางอย่างไว้ในใจจนทำให้ไม่สามารถเริ่มต้นกับคนใหม่ได้

     


    แต่คนฟังกลับเข้าใจไปอีกทาง  มุมปากของมาร์คจึงยกกระตุกขึ้นอย่างปริศนา

     


    “อ้อ...ฉันเข้าใจแล้วที่นายมาวุ่นวายกับชีวิตของฉันตั้งแต่นายอยู่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็เพราะนายอยากให้ฉันเปิดใจให้นายใช่มั้ย....ทำไมไม่พูดกันตรงๆล่ะจินยอง”

     


    จินยองถอยหลังแทบติดกับประตูรถเมื่อเจ้าของข้อความที่เขายังประมวลผลไม่ได้เมื่อครู่โน้มตัวเข้าหาเขาอย่างจู่โจม

     


    “พี่จะทำอะไรอ่ะครับ  ผมไม่..”

     


    แทนคำตอบคือริมฝีปากอุ่นจัดที่ทาบทับลงมา  จินยองนิ่งอึ้ง  สมองว่างเปล่า  แรกเริ่มคือความไม่เข้าใจหากเพียงชั่วครู่ความอึดอัดอันแปลกประหลาดก็ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีสัมผัสที่รุนแรงนั้น  ทว่าความพยายามของเขาก็ต้องสูญเปล่า  เนื่องจากไม่ว่าจะหันหนีไปทางทิศทางใดริมฝีปากคู่เดิมก็จะตามมาประกบอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรุนแรงและหนักหน่วง  แรงบีบบริเวณปลายคางให้สัมผัสคล้ายกับคีมเหล็กจนต้องเผยอปากขึ้นตามความต้องการของเจ้าของมือด้วยความเจ็บปวด......มันอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก.......หยาดน้ำตาเม็ดแรกกลิ้งลงมาจากหางตาพร้อมๆกับที่เรียวลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามาอย่างจาบจ้วง  เกี่ยวกระหวัดและดูดดึง..........จินยองเจ็บ   เจ็บไปหมด....เจ็บทั้งจากสัมผัสที่รุนแรงหยาบคาย   เจ็บที่เขาไม่สามารถขัดขืนอะไรได้    และเจ็บที่สุดเมื่อความรักและความปรารถนาดีของเขาถูกตีค่าเพียงแค่นี้...

     

     

    เจ็บจนรู้สึกว่าร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

     


    ...เนิ่นนานกว่าช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานที่ยาวนานจะสิ้นสุดลงมาร์คถอนริมฝีปากซึ่งประกบจูบอยู่หลายนาทีออกไปช้าๆ   ไม่ลืมใช้ฟันคมขบกัดริมฝีปากอิ่มที่เริ่มบวมเจ่อเป็นการทิ้งท้าย   จนรสเลือดจางๆแทรกซึมอยู่ที่ปลายลิ้นของคนที่ยังคงนิ่งงัน

     


    “นายคงพอใจแล้วสินะ”

     


    “......”

     


    ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ยังนิ่งสนิทอยู่กับที่ราวกับถูกตรึงติดไว้ตรงนั้น  น้ำตาที่กลิ้งหยดลงมาเมื่อสักครู่บัดนี้ไหลเป็นทาง ดวงตาบวมช้ำ   ริมฝีปากบวมเจ่อและมีรอยแตก   จินยองหลับตาอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

     


    พอแล้ว.....พอแค่นี้

     


    พอกันที่กับการกระทำที่ไร้ค่า

     


    พอกันที่กับการทำให้เขารำคาญ

     


    พอกันที่กับความรักที่เขาไม่เคยแม้แต่จะรับรู้

     



    “ผ..ผม...ไม่รู้เลย..ไม่รู้เลย..ว่าพี่มาร์คจะเกลียดผมถึงขนาดนี้” 

     


    หลังจากนิ่งอยู่นานเจ้าของร่างที่บอบช้ำทั้งกายและใจก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ

     


    “ข..ขอโทษที่มาวุ่นวายกับชีวิตของพี่นะครับ...ผมขอโทษจริงๆ”

     


    จินยองเม้มปากที่มีรอยแผลเข้าหากันเพื่อกลั้นก้อนสะอื้น  แต่มันก็ยากลำบากเต็มที  รอยแผลที่เกิดจากฟันคมยิ่งสร้างความเจ็บปวดหนักขึ้นจนแทบทนไม่ไหว

     


    แข็งใจหน่อยนะจินยอง อีกไม่นานนายจะได้ออกไปจากตรงนี้แล้ว...

     


    เพราะมีความหวังเช่นนั้นยิ้มบางๆจึงถูกสร้างขึ้นมาฉาบใบหน้าที่แดงเรื่อ


     

    “หลังจากนี้ขอให้พี่สบายใจได้....เพราะ..ว่า........เพราะว่า......เพราะว่าผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก..”



    กว่าจะแข็งใจพูดประโยคที่ทำร้ายตัวเองจนจบ   เรี่ยวแรงก็แทบไม่มีเหลือ      มันยากและเจ็บปวดเหมือนกับการหยิบมีดมากรีดที่แขนตัวเอง  เจ็บแต่ก็ต้องทำ.....เพราะการทำร้ายตัวเองอาจเจ็บน้อยกว่าโดนเขาทำร้าย



     ตอนนี้จินยองมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไปแล้วม่านน้ำตาทำให้เขาไม่เห็น....ไม่สังเกตแม้สักนิดว่าคนฟังก็เงียบลงอย่างประหลาด

     


    “ข....ขอโทษจริงๆครับ”

     


    ทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นมือที่สั่นระริกก็เอื้อมเปิดประตูรถที่เขาเคยเพิ่งเคยนั่งเป็นครั้งที่สอง  ก่อนจะก้าวเท้าพ้นออกไปยังหันกลับมาส่งยิ้มบางๆให้อีกคน



    ยิ้มบางๆที่มีความหมายว่าลาก่อน....



    © themy butter

    แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับเพราะตอนนี้เจ้าของรถได้แปรสภาพเป็นรูปปั้นที่ยังมีลมหายใจไปแล้ว







    #Impassible_mn





                                                                  

                                                                        MoonDream_


            









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×