ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #9 : *Season 1*Episode 9: Before Odoru

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 446
      0
      9 มี.ค. 52

                “นายจับดาบให้ดูก่อน”เซนริที่จำใจต้องมาเป็นครูสอนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะอุราฮาร่าทูลให้ช่วยหน่อย เพราะน่าจะพัฒนาไปได้เร็ว เขาเลยคิดว่าน่าจะตรวจสอบการจับดาบก่อน อิจิโกะที่ถูกถีบมา เพราะเรื่องพื้นฐานด้อยสุด (ขอย้ำว่าถีบ) จับซันเงสึให้ดู เจ้าชายมองการจับดาบแล้วพยักหน้าราวกับรู้อะไรบางอย่าง ส่วนคาอินนั้นก็เตรียมเป็นแพทย์เตรียมรักษา

     

                “ลองคลายความแน่นดู”เมื่อถูกสั่ง ก็ต้องทำตาม แต่เมื่อลองคลายก็ปรากฎว่าดาบหลุดมือ...

     

                “นั่นทำอะไรน่ะ”โอริฮิเมะไม่เข้าใจไปทุกที เพราะเล่นบอกให้จับดาบผ่อนแรง เพิ่มแรงไปเรื่อยๆไม่เห็นรู้เรื่องอะไร แต่ฮิตซึกายะพอเข้าใจในทันที

     

                “นั่นคือพื้นฐานที่ทุกคนมองข้ามที่สุด การจับดาบ”

     

    อิจิโกะที่ถูกบังคับให้ใช้แรงกำดาบไปเรื่อยๆเริ่มงุนงงเข้าไปทุกที ต่อมาเซนริเรียกนกตัวหนึ่งซึ่งสร้างมาสดๆร้อนๆ

     

                “ดาบก็เหมือนนกตัวนี้”

     

    นกตัวที่เกาะอยู่นั้นไม่ยอมไปไหน เพราะพลังบางอย่างทำให้มันรู้ว่า ถึงต้องตายด้วยมือคนๆนี้ก็คุ้มที่สุด เซนริแบมือที่มีนกยืนนิ่งๆอยู่ให้ดู

     

                “ถ้ากำหลวม”

     

    เขาค่อยๆกำแบบหลวมๆ ทันใดนั้น นกตัวนี้ก็หลุดออกมาได้ไม่ยาก

     

                “ดาบก็หลุดออกจากมือ นกก็หนีไปได้”

     

    แล้วเขาก็ให้นกบินเข้ามาในมืออีกครั้ง

     

                “ถ้ากำมันแน่นเกินไป”

     

    ชายหนุ่มขอโทษเบาๆกับนกแล้วบีบมันแน่นจนมันเริ่มใกล้ตาย

     

                “มันก็ตาย และมันจะส่งผลร้ายมาที่เรา”

     

    พลังบางอย่างในตัวชายหนุ่มแล่นเข้าไปยังนกให้มันแข็งแรงอีกครั้ง

     

                “แต่ถ้ากำแบบพอดี”เขากำแบบพอดี นกก็ไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ แต่มันก็ไม่ตาย “ไม่ว่าการต่อสู้อะไร ดาบจะไม่มีวันหลุดจากมือ จำไว้ดีๆ”

     

    เด็กหนุ่มที่เป็นนักเรียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อรู้ว่าการจับดาบต้องอย่ากำแน่น แต่อย่าหลวมเกินไป

     

    อิจิโกะกำซันเงสึด้วยพละกำลังที่พอดี แล้วตั้งรับ เซนริยืดกอดอกดูการจับดาบที่ท่าทางลงตัวเรียบร้อย เขาถอยไปเล็กน้อย

     

                “เหวี่ยงดาบมาตรงๆใช้เขี้ยวจันทราด้วย”

     

                “หา” เพราะถ้าเหวี่ยงมาเมื่อไหร่ คมดาบอาจจะทำร้ายเชื้อพระวงศ์ตรงหน้าได้ แต่มกุฎราชกุมารก็ย้ำคำเดิม เมื่อไม่มีทางเลือกก็ยอมแต่โดยดี เขี้ยวจันทราสีดำเหวี่ยงเข้าหาอย่างรุนแรง แต่ทันใดนั้นมันก็สลายไปเมื่อเซนริแผ่พลังวิญญาณออกมาทำลายมันไปเสียหมด

     

                “กำลังใจมุ่งมั่นดี แต่นายเพิ่มความเร็วขึ้นด้วย”

     

    รอบต่อไปและรอบต่อๆไป การเหวี่ยงพลังก็เป็นไปได้เรื่อยๆ โดยมีมกุฎราชกุมารยืนกำกับ และถ้าดูไปเรื่อยๆก็พบว่ามันสนุก เพราะเซนริพูดด้วยน้ำเสียงที่มีขึ้นๆลงๆให้มันดูตื่นเต้น จนเขี้ยวจันทราเริ่มไปได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่าสุดท้ายก็เริ่มหมดแรง อิจิโกะนอนแผ่หราที่พื้น หอบหายใจแฮ่กๆ เพราะพี่แกสั่งให้เหวี่ยงถี่ๆๆๆๆ ไม่พอต้องจับจังหวะให้ทัน ซ้าย ขวา ตรง สูง ต่ำ ซึ่งพูดเร็วมาก จนปรับสมองแทบไม่ทัน เมื่อเหวี่ยงตรงๆเสร็จไม่ทันไร ก็สั่งให้ขึ้นไปบนฟ้าต่อ พอบนฟ้าเสร็จก็เหวี่ยงไปซ้าย เสร็จก็ขึ้นบนฟ้า แล้วเสร็จก็ให้หันหลังเหวี่ยงดาบโดยที่เซนริเสียสละเป็นเป้านิ่งให้

     

                “อ๋อ เข้าใจล่ะ”อุราฮาร่าพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อสังเกตุวิธีการสอนซึ่งคิดอยู่นานว่ามีจุดประสงค์อะไรอยู่ โยรุอิจิและเท็ตไซเองก็เข้าใจแล้วเช่นกัน

     

                “นาย พูด... เร็วโคตรๆ”อิจิโกะพูดไปหอบไป ดาบซันเงสึปักอยู่ด้านข้างตนเอง “แถมยังเป็นเป้านิ่งอีก ชอบเสี่ยงรึไงเนี่ยพี่ชาย”

     

                “พี่ชาย???”คนถูกถามทวนคำเบาๆอย่างสงสัย เด็กหนุ่มหัวแฟนต้ารสส้ม (โครม//คนแต่งถูกอิจิโกะถีบ)ลุกพรวดขึ้นมา

     

                “ก็นายทำตัวยังกับเป็นพี่พวกฉัน เลยเรียกว่าพี่ชายไปน่าจะเหมาะสมดีนี่ ถึงจะแก่กว่านิดเดียวก็เถอะ ใช่มะ คุณพี่ชาย”

     

    เซนริตาเหลือก กลอกตาไปมาเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่นึกขึ้นได้ว่าเจ้ารุ่นน้องคนนี้ถามคำถาม จึงอธิบาย

     

                “ฉันพูดเร็วก็จริง แต่ถือว่าช้ากว่าการต่อสู้ของจริงมาก เวลานายสู้ ฉันพอจะดูออกว่านายจะกระโดดไล่ตามคู่ต่อสู้ไป ซึ่งมันจะเหนื่อยและเสียเวลาเปล่าๆ แนะนำว่าอย่าเคลื่อนตัวมากเกินจำเป็น เป็นไปได้ให้อยู่เฉยๆ แล้วพยายามขยับเล็กน้อยแต่พลังรวดเร็ว การที่ฉันพูดซ้ายขวา บน ล่าง หลังสลับเร็วๆก็เพราะความเร็วของคู่ต่อสู้เขาจะไม่ช้า การรวมพลังของเขี้ยวจันทราสำหรับนายอาจจะเร็ว สำหรับฉันถือว่าค่อนข้างช้ามาก ถ้านายเจอคู่ต่อสู้ด้านความเร็วมากๆ การเหวี่ยงท่าไม้ตายนายแต่ละครั้งต้องใช้เวลา แถมต้องไล่ตามคู่ต่อสู้ให้ทันอีก เสียแรงเป็นสองเท่า พยายามเหวี่ยงไปรอบๆให้เร็วตามใจนึกน่าจะดีกว่า”คำพูดยาวๆที่หาได้ยาก แต่ทำให้เข้าใจไม่ยากว่า ถ้าขยับตัวน้อยๆแต่สามารถส่งเขี้ยวจันทราได้อิสระโดยที่แทบไม่ต้องเคลื่อนไหวก็ย่อมมีประโยชน์ เบสิคนี้ง่ายๆแต่ใช้ได้หลายสถานการณ์มาก ไม่ว่าจะมาจากบนฟ้า หรือจากด้านหลังก็ตามที

     

                “แต่ว่า ถ้านายสู้ความเร็วจะขนาดไหนน่ะ แสดงให้ดูหน่อย เอ้า ฉันเป้านิ่งให้ก็ได้”อิจิโกะกระเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง คนถูกถามใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะไม่รู้จะทำยังไงไม่ให้ฆ่าคนดี แล้วเขาก็คิดออก เซนริหันไปทางเด็กสาวผมสีน้ำตาลอมส้มซึ่งมีพลังโล่บุปผาอยู่ และถ้าเขาจำไม่ผิด เพราะไม่ค่อยคุยด้วยมาก น่าจะชื่ออิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ

     

                “สร้างโล่สามสวรรค์แบบแรงๆให้ที”

     

    โอริฮิเมะสะดุ้งโหยง เมื่อถูกขอโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ยอมให้ความร่วมมืด เกราะสีส้มสามเหลี่ยมปรากฎ เกราะที่ไม่ว่าใครอยู่ด้านหลังเกราะก็ไม่มีทางบาดเจ็บได้ แม้เกราะจะแหลกสลายก็ตามที เกราะล้อมรอบตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ ส่วนร่างสูงโปร่งตามมาตรฐานเด็กยุโรปก็อยู่นอกเกราะป้องกัน

     

                “อย่าขยับ ยืนนิ่งๆด้วย”เซนริสั่งการ ร่างสูงถอยห่างจากโล่สามสวรรค์สองเมตร เขามองไปที่เกราะ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนพลังวิญญาณทุกคนกระตุก และยังไม่ทันกระพริบตา โล่สามสวรรค์ก็แตกเป็นจุนพร้อมกับมีรอยแยกของพื้นดินที่เรียวบางทว่ามีกลิ่นของพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โชยมา รอยกรีดที่คมกริบชวนคร่ามครั้นและเมื่อมองไปด้านหลัง ปรากฎว่าโขดหินทั้งหมดถูกผ่าเป็นสองซีกด้วยรอยตัดที่เรียบสนิท ชนิดที่ยังไม่มีใครทันตั้งตัว ไม่ถึงเสี้ยววินาที...

     

                “ฉะ ฉันยังไม่ทันจับเวลาเลย”ฮินาโมริครางด้วยน้ำเสียงสั่นระริก เพราะไม่ถึงเสี้ยววินาที รอยแยกทั้งหมดก็ปรากฎ โล่สามสวรรค์แตกละเอียดโดยไม่มีใครรู้สึกตัว พลังทะลุเกราะนั้นไปผ่าและเชือดเฉือนทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังให้ขาดเป็นสองท่อน ดิ่งไปตรงเป๊ะๆ!!!

     

                “สมกับเป็นผู้คุมทัพสูงสุด”โยรุอิจิพูดราวกับปิดความทึ่งไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มหยุดเวลาโดยที่ไม่มีใครตั้งตัว ไม่มีใครรู้เลยว่าเวลาหยุดตอนไหน มันเร็วมากจนมนุษย์หรือแม้แต่อมนุษย์ก็ตามไม่ทัน ความน่ากลัวและความกดดันแผ่ขยายจนเจ้าของพลังยากจะระงับ

     

                “เอ่อ...”อิจิโกะพูดอะไรไม่ออก ราวกับมีก้อนแข็งๆจุกที่ลำคอทำให้พูดไม่ออก มันเร็วเหลือเกิน น่ากลัวด้วย ยูกิ คาอิน และเซนนะยังคงมีสีหน้าเฉย แม้สองคนหลังจะแสดงอาการทึ่งๆมาบ้างก็ตามที แต่ก็เล็กน้อย

     

                “ฉันแค่ให้มันเฉียดๆ แต่ถ้านายขยับก็ตายลูกเดียว”

     

    ยูกิมองภาพตรงหน้าซึ่งไม่ค่อยต่างจากพี่น้องเท่าไหร่ ใช่... เซนริเป็นคนที่ดูเป็นพี่มา เพราะท่าทางเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็...

     

    เฮือก!!!

     

    หญิงสาวสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างเกิดขึ้นในจิตสำนึก จนรันงิคุตั้งท่าจะถามแต่หญิงสาวลุกขึ้นออกไปโดยไม่พูดอะไร แต่ท่าทางวิ่งนั้นเร่งรีบมาก ส่วนเซนริ คาอิน เซนนะ อุราฮาร่า เท็ตไซ และโยรุอิจิมองตามด้านหลังไป พลางหรี่ตาลง การกระตุ้นสินะ... คืนนี้เป็นงานเต้นรำ ดังนั้น

     

     

     

                “อ๊ากกกกก หาคนไปเปิดฟลอร์ คุณฟุยุโซระคิดจะฆ่าพวกเรารึไง”อาซาโน่ เคย์โงะร้องแว๊กลั่นหลังจากมารวมตัวกันที่ห้องประชุม ซึ่งรวมนักเรียนเซนต์ราฟาเอลที่นั่งปะปนอยู่กับเด็กนักเรียนคาราคุระ ซึ่งหัวหน้าตระกูลขุนนางซึ่งอยู่ในคราบหัวหน้าห้องชักสีหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ว่าทำไมมันต้องโวยวายขนาดนี้ด้วย ส่วนคาอินและมิตซึโฮะ สองประธานนักเรียนถึงกับละจากการสนทนาเรื่องงาน ซึ่งได้เตรียมตัวไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนคาราคุระปรารถนาจะให้เด็กเข้าสังคมบ้าง และเป็นการดีที่จะได้เชื่อมความสัมพันธ์กับเด็กนักเรียนต่างโรงเรียนที่มีต่างชาติรวมอยู่ด้วย

     

    แต่ทว่าบางคนก็มีปัญหา ไม่เต้นรำไม่เป็นก็ไม่กล้าเต้น แต่ก็ส่วนน้อย แต่ปัญหาใหญ่คือหาตัวแทนนักเรียนโรงเรียนคาราคุระไปเปิดฟลอร์ ซึ่งแน่นอนว่า คนที่เปิดฟลอร์ต้องเจ๋งจริงๆถึงจะมาเปิดได้ ไม่งั้นคงจะขายหน้าตายเป็นแน่

     

                “ถ้าไม่มีใครเสนอฉันจะจับฉลากในวันงาน”คาโฮโกะส่งเสียงข่มขู่ทำให้หลายคนไม่กล้าหือ

     

                “ง่า ก็ดูหน้าตาของพวกเราสิ จะไปสู้กับพวกนั้นได้ไง”มิตสึฮิโระออกความเห็นเช่นกัน แต่หลายคนก็ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะพวกนั้นมีแต่หน้าตาดีขั้นเทพ ประธานนักเรียนก็เรียกได้ว่าหล่อเกินมนุษย์ เหมือนตัวละครในหนังสือเรื่องทไวไลท์หลุดออกมา พอคาอินโดนจ้อง เขาก็หันมาสบตากับทุกคนแล้วผละออกไปขณะนั่งเขียนแผนผังโครงสร้างที่ใช้ห้องประชุมใหญ่พอควร

     

                “เราไม่ได้วัดที่หน้าตา วัดที่มารยาทในการเต้นต่างหาก”คาโฮโกะขยายความ “การเต้นรำต้องมองคู่เต้นเป็นการให้เกียรติ รักษาหน้าตาของคู่เต้น เราจะสามารถสลับคู่ไปเต้นกับต่างร.ร.ต่างชั้นปีก็ได้ ถ้าเกิดคิดอยากจะเต้นด้วย”เด็กสาวอธิบายอย่างใจเย็น “แต่งตัวขอให้เป็นพิธีการซักนิดเถอะ นี่อุตส่าห์สนองความต้องการเต้นรำแบบพระราชวังแล้วนะ ช่วยๆร่วมมือหน่อยสิ”

     

                “หา แล้วเวที อะไรพวกนี้ทำทันหรอ”นักเรียนบางคนตะโกนถามขึ้นมา ซึ่งคาโฮโกะก็ขยายความต่อ

     

                “ทางฝ่ายเซนต์ราฟาเอลจัดการให้แล้ว ทีนี้ก็ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วมาเจอกันที่หอประชุมใหญ่ กรุณามาเป็นคู่ๆจะดีมาก จะได้สวยๆหน่อย อย่าแต่งตัวบ้าๆมานะ”เธอชำเลืองไปทางอิกคาคุ ยูมิจิกะ และเร็นจิเป็นพิเศษราวกับจะย้ำว่า ถ้าเกิดแกทำอะไรบ้าบอ ตาย!!! “ งานเลี้ยงเริ่มตอนหกโมงเย็น เลิกประชุมได้”

     

    แต่ละคนแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ส่วนใหญ่ก็จะนัดกันมาเจอตามห้องประชุมเล็กที่ต่างๆมีเสียงคุยจ้อกแจ้กและนักเรียนชายต่างวิ่งหานักเรียนหญิงพล่านเป็นการใหญ่เพื่อเป็นคู่ควง ส่วนคาอินแยกตัวจากมิซึโฮะเมื่อประชุมเสร็จ แล้วเดินตามเพื่อนๆไป อิจิโกะเกาหัวจนผมยุ่งมากกว่าเดิมเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี แล้วผู้หญิงในกลุ่มก็มีไม่พอจำนวนเด็กนักเรียนชายซะด้วย แล้วถ้าไม่เต้นรำก็ขายหน้าคนอื่นเขา

     

                “เฮ้อออออ”เจ้าตัวถอนหายใจใหญ่ “แล้วจะหาผู้หญิงไปงานได้มั้ยน่ะนั่น”

     

                “ก็ถ้าคิดไม่ออกจริงๆก็รวมกลุ่มไปได้เหมือนกัน”คาอินอธิบาย “อย่างพวกเราทุกคนก็ไปๆด้วยกันได้น่ะนะ”

     

                “แล้วเรื่องเปิดฟลอร์”ยังไม่ทันที่แช้ดจะถามต่อสายตาก็พลันเห็นผู้อำนวยการเซนต์ราฟาเอลกำลังชี้ท่าทางให้เรียกอีกคนให้หน่อย ซึ่งเด็กหนุ่มชาวเม็กซิกันก็สังเกตุได้ไม่ยาก จึงหันไปสะกิดเรียกคนที่ต้องเรียก แช้ดดูสบายๆเพราะแม็กซิกันก็ใช้ภาษาอังกฤษด้วยในการสื่อสารนอกจากภาษาสเปน แล้วพวกนี้ก็ไม่มีปัญหา เวลาคุยบางทีก็ใช้ภาษาอังกฤษ

     

                Er Senri

     

    คนถูกเรียกหันมามอง วันนี้เขาดูแปลกตาเมื่อไม่เห็นยูกิอยู่ด้วย ทั้งที่ปกติก็จะอยู่ด้วยเกือบตลอด

     

              Yes?

     

                Principal is calling you.

     

    เซนริหันขวับไปทางผู้อำนวยการซึ่งอยู่ไกลท่ามกลางกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่เบียดเสียดกันออกไป เขาพยักหน้าเล็กน้อย

     

                Thank you”เขาเดินออกไปทันทีท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนๆ

     

                “ผู้อำนวยการเรียกไปทำอะไรหว่า”เซนนะ ซึ่งคนอื่นๆได้แต่ยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องถึงเวลาที่รีบไปเตรียมตัวได้แล้ว เพรามีเวลาอีกสองชั่วโมงในการเตรียมตัว

     

     

     

                “หัวหน้าใหญ่ ท่านพูดว่าอะไรนะ!!!”หัวหน้าอุคิทาเกะพูดเสียงหลงหลังจากมีการประชุมหัวหน้าหน่วย ทุกสายตาจับจ้องไปที่หัวหน้าใหญ่เก็นริวไซด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ในมืออันเหี่ยวย่นมีกระดาษแข็งๆซึ่งเป็นคำสั่งจากวังกลาง46ห้องส่งมาถึงเมื่อวานตอนบ่าย และเมื่อรู้ว่าข้อความในจดหมายนั่นคืออะไร ก็มีเสียงพูดคุยไม่ได้ศัพท์

     

                “เราทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”เบียคุยะพูดเสียงเคร่ง “มันเท่ากับจะประกาศสงครามกับจักรวรรดิทันที”

     

                “ผนึกกำลังจะสลายไป อีกไม่นานเธอคนนั้นต้องกลับมาแน่ แต่ไม่รู้จะกลับมาแล้วเป็นไงต่อ เพราะเธอไม่มีความทรงจำ และยิ่งไม่มีความทรงจำ ก็ยิ่งทำงานนั้นง่ายมากขึ้น”หัวหน้าคุโรซึจิ มายูริอธิบาย “แต่แน่ล่ะ เธอเป็นคนที่ไม่ควรแตะต้อง ไม่เข้าใจเหมือนกันกับไอความคิดบ้าๆนั่น”

     

                “วังกลางแจ้งไปยังมกุฎราชกุมาร และหัวหน้าราชองครักษ์เรียบร้อย มันไม่มีทางเลือกเลย ตอนนี้เจ้าชายไม่ได้กลับไปหาองค์จักรพรรดินานมากแล้ว ไม่เข้าใจๆ”หัวหน้าเคียวราคุยกมือกุมขมับ เพราะเป็นปริศนาที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กระจ่าง

     

    เซนริไม่ใช่คนที่นิสัยเลว แต่เขาดีกว่ามนุษย์หรือคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เท่าที่รู้ก็ส่งจดหมายไปหาพระบิดาอยู่หลายๆครั้ง แต่กลับไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้พระราชวังหลวง ไม่ยอมแม้แต่จะเข้าไปใกล้ๆพื้นที่นั่นเลยแม้แต่น้อย มันผิดวิสัยเกินไป

     

                “ถ้าไม่เป็นเพราะเรื่องนั้น เขาคงจะกลับบ้าน”เบียคุยะที่เป็นคนช่วยดูแลตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นคนอธิบาย “มกุฎราชกุมารเคยบอกว่าไม่อยากตอบคำถามมากๆจากพวกเสนาบดี”

     

                “แต่ก็น่าเห็นใจ”หัวหน้าอุโนะฮานะออกความเห็นบ้าง “แต่วังกลางสั่งมาเราก็ขัดขืนไม่ได้ คงต้องยอมทำตาม”

     

    ยอม... เพราะขัดไม่ได้ ทุกอย่างมันลงตัวจนไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกต่อไป

     

    แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่มันก็คือคำสั่ง ต้องทำตาม

     

    มันก็คือเรื่องที่ธรรมดา

     

    ร่างของว่าที่จักรพรรดิเดินตามผู้อำนวยการไป ผู้ซึ่งมีอะไรบางอย่างไม่ธรรมดา จนกระทั่งถึงห้องทำงาน ชายชรายกมือแตะที่อกแล้วคุกเข่าเป็นการทำความเคารพเชื้อพระวงศ์ที่เคารพ เพราะปกติจะเป็นลูกศิษย์และอาจารย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจัง ก็ไม่ต่างจากการคุยกับมกุฎราชกุมารมากนัก เซนริเองก็พยักหน้าเงียบๆ ชายหนุ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเด็กอายุ18ปีที่ดูท่าทางสุขุม แต่ก็เป็นมิตรอ่อนโยนในเวลาเดียวกันแปรเป็นความสุขุม เยือกเย็น สายเลือดขัตติยาที่ไหลวนเวียนในเลือดและความเป็นสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ แผ่ออกมา จากเด็กมัธยมปลายแปรเปลี่ยนเป็นมกุฎราชกุมาร ผู้ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ดวงตาสีฟ้าที่ทั้งอบอุ่นแต่ทว่าแฝงความน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน บวกกับรูปร่างที่สูงสง่าและดูดีขัดจากน้ำหนักที่แท้จริงของเขาโดยสิ้นเชิง

     

                “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนั้นแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ”

     

                “ฉันทราบมันแล้ว”เจ้าชายรัชทายาทตอบช้าๆ แล้วเดินไปประชิดกับหน้าต่างบานใหญ่ที่ดูสมัยใหม่ แล้วยกมือทาบไปที่กระจก น่าแปลกที่ไม่มีรอยเปื้อนเลยแม้แต่น้อย แต่ทำให้กระจกใสกว่าเดิม ปราศจากสิ่งแปดเปื้อนที่จะไม่มีวันแตะต้องผู้ที่ถือสายเลือดเทพเจ้าได้ ดวงตาที่เจิดจรัสคมกริบมองราวกับจะทะลุกระจกจนแตก “ท่านพ่อเองก็ทรงทราบ ท่านตรัสให้ฉันตัดสินใจเอาเอง หากเกิดผลร้าย เราอาจจะมีประกาศสงครามกับโซลโซไซตี้ ซึ่งฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”ถ้อยคำน้ำเสียงที่ทั้งทรงอำนาจ ทุ้มต่ำ แฝงความอ่อนเยาว์และผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกันทำให้ผู้อำนวยการสั่นสะท้าน

     

                “ทรงพระปรีชา องค์จักรพรรดิทรงมีสายพระเนตรที่ลึกล้ำจริงๆ”

     

                “ท่านพ่ออาจจะเลือกผิด”น้ำคำย้อนกลับมาทำให้ผู้อำนวยการส่ายหน้าไปมา

     

                “ฝ่าบาทมีคุณสมบัติที่ดีกว่าองค์จักรพรรดิองค์ใดๆในประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยทั้งหมด ผู้ที่ได้รับสมญาแห่งมกุฎราชกุมารที่แท้จริงของราชวงศ์ฮายาเตะตั้งแต่โบราณไกลโพ้น มีแค่สองพระองค์ หากนับฝ่าบาทด้วย กระหม่อมเชื่อในการตัดสินพระทัยของพระองค์ว่าจะทรงเลือกและตัดสินพระทัยไม่มีวันผิด”

     

    เซนริที่จับกระจกอยู่นั้นถอนหายใจเฮือก ยามนี้คราบแห่งเด็กมัธยมปลายไม่เหลือแล้ว เปลือกนอกที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดฐานะของตนเองได้หายไป ไม่ว่ามองมุมใด ก็ไม่ต่างจากมหาราชันย์ที่ยังทรงพระเยาว์กำลังยืนมองวิวทิวทัศย์ เนตรสีฟ้าที่งดงามกว่าอัญมณีล้ำค่าใดๆสะกดสายตาของทุกคน บัดนี้แฝงความกังวลไม่ให้ใครเห็นยกเว้นคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น

     

                “มีอีกเรื่องที่หม่อมฉันอยากจะขอพระราชทานอนุญาตฝ่าบาท”

     

    ร่างสูงสง่ากว่าใครหันกลับมาทางผู้ที่ยังคุกเข่าด้วยความเคารพ

     

    และเมื่อรับฟังคำขอก็ถึงกับเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×