ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #20 : *Season 1*Episode 19:Meet

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 350
      0
      16 ธ.ค. 51

    บทสนทนาผ่านโทรศัพท์พร้อมกับมีเสียงทุ้มต่ำพูดรัวเร็วอย่างเงียบๆ ขณะที่มีพวกหัวหน้าหน่วยองครัก์ฝั่งมิติวังราชันย์บางส่วนอยู่ ท่ามกลางห้องที่โปร่งเย็นสบายออกแบบเป็น แบบมินิมอลลิส (การออกแบบบ้านสไตล์สถาปนิก เน้นความโปร่งโล่ง แต่กลับดูสมัยใหม่แบบบูติก มักพบบ้านแนวนี้ได้ในทวีปยุโรป หรือในบ้านเราก็มี) ผสมกับญี่ปุ่นโบราณเล็กน้อย

     

    เสียงคุยด้วยภาษาแปร่งหูมากนัก แต่กลับดูไพเราะเหมือนดนตรี และรัวเร็วจนยากจะจับฟังทัน ดูๆแล้ว คนที่พูดนั้นจะต้องคล่องอย่างแน่นอน

     

                Au revoir Merci mademoiselle”เซนริเอ่ยตอบโทรศัพท์นั้นไป ขณะที่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะวางโทรศัพท์ลง

     

                “จะว่าไป ไม่เห็นนายกลับมาญี่ปุ่นเท่าไหร่ อะไรถึงทำให้นายกลับมาได้น่ะ”ยูโตะ ผู้นำเหล่าองเมียวจิถามขึ้น และประเด็นนี้ทำให้ทุกคนสงสัย เพราะเซนริบ้านอยู่ประเทศฝรั่งเศส เขาเลยพูดภาษาฝรั่งเศสได้ และแถบยุโรปปัจจุบัน ก็นิยมใช้ฝรั่งเศสในการสื่อสารแล้ว (เปลี่ยนแล้ว ไม่ใช่อังกฤษแล้วนะเคอะ= = ทันโลกเข้า)

     

    และที่เขาพูดเมื่อครู่ ก็หมายถึงเขาคงคุยกับใครซักคนที่อายุแก่กว่าเขาเล็กน้อย

     

    ถึงคำว่า Mademoiselle จะหมายถึงนางสาว แต่คำว่านางสาว ก็แก่กว่าแน่นอน คงจะเป็นน้าหรืออาของเขาแน่นอน เพราะราชวงศ์นี้ส่วนใหญ่จะผู้ใหญ่หน่อย ส่วนคุนะยูกิจะวัยรุ่น

     

    แต่ผู้ใหญ่ก็อายุต้นๆยี่สิบ ทั้งนั้น

     

                “นายน่าจะลงแข่งFrench Open”ซานาดะออกความเห็น เฟรนช์โอเพ่น คือการแข่งแกรนด์แสลมของรายการเทนนิส (ตอนนี้ยังแข่งกันอยู่เลย คนแต่ง เขียนไปนั่งดูเทนนิสไป) ซึ่งจัดในประเทศฝรั่งเศส มีช่วงปลายเดือนพฤษภาถึงเดือนมิถุนายน และคอร์ดที่ใช้นั้นจะเป็นดิน ดินของยุโรปมีสีแดง ส่วนของเอเชียจะเป็นสีดำ (ใครคิดไม่ออกหาหนังสือพิมพ์มาอ่านไม่ก็เปิดทรูวิชั่นไปช่องกีฬาซะ) และคอร์ดดินเป็นคอร์ดที่ตียากเพราะลูกจะหนืด

     

    ถ้าไม่ใช่คนแถบนั้นก็เล่นไม่ได้ (ถ้าเล่น จะเดี้ยงแน่ๆ) ส่วนเซนริ อยู่ฝรั่งเศสอยู่แล้ว ถ้าเล่นไม่ได้ ก็ไปตายซะ (คนแต่งโหดไปป่ะ)

     

    เฟรนช์โอเพ่น จะเปิดให้คนแข่งที่อายุสิบห้าปีขึ้นไปลงแข่งได้...

     

                “ถ้าไม่ติดงานก็จะลง”คำตอบสั้นๆง่ายๆถูกส่งตอบกลับมา ไม่ใช่เขาคนเดียวที่พูดคล่อง ยูกิที่ต้องระเห็จไปไหนมาไหนกับเขาด้วย ก็พูดได้เช่นกัน ส่วนคาอินก็ไปเที่ยวบ้านเขาพร้อมๆกับคนอื่นๆบ่อยๆ เลยเล่นคอร์ดดินได้ และคอร์ดหญ้า ก็เล่นได้เช่นกัน (คอร์ดหญ้า จะเป็นการแข่งรายการวิมเบิลดันที่ประเทศอังกฤษ เป็นแกรนด์แสลมเทนนิสที่เก่าแก่ที่สุด)

     

    แต่โดยส่วนตัว คนแต่งชอบคอร์ดดินมากกว่า คลาสสสิคดี (เกี่ยวกันมั้ยนี่)

     

    แต่ยังไม่ทันที่บทสนทนาไร้ความตึงเครียดจะดำเนินต่อ คาอินก็วิ่งมา ประตูเปิดผางทำเอาแต่ละคนหันขวับไปจ้องเป็นตาเดียว หัวหน้าหน่วยคนนี้ดูเหนื่อยจากการวิ่งมาอย่างแรง

     

                “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

     

    ทุกสายตาหลายๆคู่ที่แปลกสีนั้นมองมาที่ผู้พูดอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีเงินคมสวยของหัวหน้าองครักษ์ฝั่งเซย์เรย์เทย์มีความตึงเครียดจนเห็นได้ชัด มาซาฮิโระกวาดตามองอย่างรวดเร็ว

     

                “ระยะเวลาการประหารเหลืออีก3วัน เป็นไปได้ไง!!!!

     

    เงียบ เงียบ และเงียบ ความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วห้อง อีกแค่สามวันเท่านั้น มาซาฮิโระและอากิโกะที่หันมามองหน้ากันอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก เซนริไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆแต่ท่าทางแบบนี้ไม่ได้ไม่คิดอะไรเพียงแต่กลับคิดวางแผนบางอย่างในใจ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยมองไปที่เนินโซเคียคุอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก ส่วนที่เหลือก็หันมาสบตากันอย่างเคร่งเครียด

    สามวัน...

    ระยะเวลาเพียงเท่านี้

    สู้กันกลางลานประหารเป็นแน่

     

    แม้คาอินจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆออกมา แต่ว่า พลังSOTจะทำงานอัตโนมัติ โดยไมได้อาศัยพลังวิญญาณเป็นแกนหลัก

    ส่วนเจ้าชายรัชทายาทหนุ่มแห่งราชวงศ์สายกาลเวลา ได้แต่มองไปที่รอบๆโซเคียคุ นัยน์ตาสีฟ้าที่ทำให้สาวๆละลายคาตรงนั้นได้ปรากฏแววหลายๆอารมณ์อย่างรวดเร็ว ราวกับจะวางแผนบางอย่างไว้ในใจ ร่างสูงโปร่งกระพริบตาอีกครั้ง แล้วแววตาก็กลายเป็นความมุ่งมั่นและเด็ดขาดราวกับจะตัดสินใจได้

    ความเด็ดขาด

    ตัวเลือกระหว่างหน้าที่ กฎหมาย หรือคำว่าเพื่อนคนสำคัญ

     

    เขาคนนี้

    จะเลือกทางใดกัน

    นวนิยายแฟนฟิคย่อมหักมุม และสำหรับคนๆนี้ก็ไม่เว้น

     

     

                “อะจ๊ากกกกกก”เสียงแว้กลั่นกลางลานฝึกใต้ดินดังขึ้น เมื่อคมดาบฟาดฟันใส่อย่างรวดเร็วจากตาลุงซันเงสึ ที่ต้องมาเป็นเทรนเนอร์ให้กับเจ้าเด็กฝึกหัดที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมรบและเจ้านายในเวลาเดียวกัน แต่ฝีมือ ก็ยังคงเรียกได้ว่า

    เด็กอมมือ

    ล่ะมั้ง

    เพราะการต่อสู้รอบที่จะมาถึงมันไม่ธรรมดา

    ถ้าพลาด ก็ตาย

    ถ้ารอด ก็เกือบเดี้ยง

    สรุป

    คงไม่มีตัวเลือกไปอย่างไร้รอยขีดข่วนรึยังไงกัน

    แสดงว่า เจ้าหนูคุโรซากิ อิจิโกะ เป็นคนดวงซวยแสนซวยอีกคน

     

              “ในที่สุดก็ได้พัก”เด็กหนุ่มผมส้มนอนแผ่หราลง ขณะที่ซันเงสึกลายไปเป็นดาบอีกครั้ง เพื่อให้เวลาพักได้เต็มที่ อิจิโกะกระโดดลงอ่างออนเซ็นทันที แล้วอ้าปากหาววอดๆ 

    ไม่เคยฝึกหนักมาก่อน หรือถ้าเคยก็คงจะนานมามากแล้ว และถ้าไม่หมั่นฝึกหนักบ่อยๆ ร่างกายก็ปรับตัวได้ช้านัก

    เฮ้อ... เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถูกรึเปล่าที่เล่นให้คุณโยรุอิจิท้าเจ้านั่น...

    เพราะดูท่ามันจะทำให้เขาต้องเดี้ยงก่อนจะเจอของจริงมากกว่า ทั้งความเร็ว เขาฝึกได้แค่อย่างมาก ก็เจ็ดวินาทีในการรวมพลังของเขี้ยวจันทรา แต่สำหรับเป้าหมาย อย่างน้อยก็ห้าวินาที และถ้าพอเอารอด ก็คือสามวินาที 

    ดูจากข้อมูลที่ลูเคียลอกมาให้คร่าวๆ และส่งผ่านทางคุณโยรุอิจิ ก็จะอธิบายเกี่ยวกับพลังของดาบฟันวิญญาณ

    แต่การที่จะสู้มันก็มีความเสี่ยงมากทีเดียว กับการที่อาจจะต้องปะทะกับราชวงศ์ถึงสามคน หรืออาจจะมากกว่านั้นเพราะราชวงศ์คุนะยูกิหรือโซเคนโย ไม่ใช่เล่นๆ...

    แม้ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดในการโค่นศัตรู แต่ว่า ก็รู้ถึงพลังของมาซาฮิโระและอากิโกะอย่างคร่าวๆ 

    พลังคิโอคุ (Kioku=ความทรงจำ) ดูๆแล้ว ก็เป็นการใช้ที่ซับซ้อน ส่วนดาบฟันวิญญาณ เท่าที่ลูเคียบอกมา ก็คือพลังสายอัคคีผสมกับธาตุอื่นๆส่งเสริม และเป็นดาบที่ไม่จำเป็นต้องเป็นยมทูตก็สามารถแสดงพลังมันได้ แต่จะทำได้ก็เฉพาะเจ้าของ ส่วนไวเซิร์ดอย่างฮิราโกะก็คงจะเป็นข้อยกเว้น

    ส่วนของอากิโกะ เทนโนะสึไค พลังทูตสวรรค์ ก็เน้นด้านเสียงดนตรี และการดูดซับพลังแล้วสะท้อนกลับ อาวุธที่เน้นความเร็วและเรียวบางสมกับเป็นเด็กสาว คล้ายคลึงดับของคาอินและของเซนนะทีเดียว เพียงแต่เหนือชั้นกว่า

    ยุ่งยาก...

    ยุ่งยากมาก...

    ลำบากเหนื่อยกายเหนื่อยแรงไม่พอ ดันต้องมาเรียนทฤษฎีต่างๆมากมายอีก ก็เข้าใจอยู่ว่ามันจำเป็น แต่ก็อดเบื่อเล็กน้อยไม่ได้ 

                “คุณโยรุอิจิ”เจ้าตัวหันไปเรียกหญิงสาวที่บัดนี้ใช้ร่างแมวสีดำตัวผู้อีกครั้ง ดวงตาสีเหลืองอำพันของอีกฝ่ายหันมามอง

                “แปดปีที่แล้ว โซเคนโย เลนโยเป็นคนลงมือหรอ”เจ้าตัวหันมาถาม ซึ่งโยรุอิจิถึงกับนิ่งเงียบ ราวกับพยายามทบทวนว่าจะเล่าอย่างไรดี 

                “โซเคนโย เลนโย อัจฉริยหนึ่งในสามของราชวงศ์ ซากุรากิ เคย์โกะ ท่านหญิงบุตรีแห่งท่านหัวหน้าเสนาบดี และฮายาเตะ เซโร่ น้องชายฝาแฝดของคนที่พวกเธอก็รู้จักดี”

    น้องชายฝาแฝด??? 

    ไม่อยากเชื่อ ว่าคนที่ลงมือดันเป็นคนใกล้ชิดกับพวกราชวงศ์ แสดงว่าพวกนั้นทรยศ อิจิโกะคิดในใจ แต่ก็เข้าใจตั้งชื่อดี พ่อแม่ของราชวงศ์ฮายาเตะ 

    เซนริและเซโร่

    ชื่อความหมายแนวเดียวกัน...

                “แต่ถ้าจะพูดรวมๆท่านเซโร่ก็เป็นคนนิสัยดี เพียงแต่ ตอนนั้นอารมณ์ชั่ววูบล่ะมั้ง ฉันก็ดูนิสัยเขาไม่ออก แต่ก็นับว่าเป็นศัตรูของท่านเซนริเลยก็ว่าได้ ทั้งพลังวิญญาณ ฝีมือ พื้นฐาน ต่างไล่เลี่ยกันมากนัก ส่วนนิสัยก็แตกต่างกัน สองคนนี้ตอนที่อยู่ด้วยกันยังไม่เป็นศัตรู ฝาแฝดคู่นี้ยมทูตสาวๆกรี๊ดตรึม 

    ท่านเซนริ ก็คงพอจะรู้จักนิสัยส่วนหนึ่งของเขาบ้าง เป็นคนเงียบๆ สุขุม รอบคอบ มีความเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใจร้ายอำมหิตอะไร และสนิทกับคนได้ยาก โดยเฉพาะพวกผู้หญิง แต่เป็นคนที่หนักแน่นและมั่นคงดีเป็นเพื่อนที่ดีและดูเวลาอยู่กับเจ้าหญิงแล้ว ก็ดูอบอุ่นอ่อนโยนดีนะ

    ท่านเซโร่ อันนี้พูดง่ายหน่อย นิสัยแทบทุกอย่างตรงข้ามกับพี่ชายฝาแฝดโดยสิ้นเชิง ทั้งเฮฮา มีมุขตลก ชอบความเจ็บปวดหน่อยๆ แต่เป็นคนคุยง่ายและนิสัยด้านมนุษยสัมพันธ์ดีมาก แต่ออกจะทำตัวเป็นเด็กไปนิด ต่ก็สดใส มีรอยยิ้มเสมอ

    เป็นฝาแฝดที่สนิทกันมากๆ และเข้ากันได้ดีทีเดียว เพียงแต่แปดปีที่แล้วไม่รู้เพราะอะไร และท่านเซโร่ เป็นคนสังหารท่านฮายาเตะ ซายูริด้วยมือของตัวเอง”โยรุอิจิอธิบายคร่าวๆ แต่ทำให้ลมหายใจของคนฟังสะดุด

    เมื่อได้ยินคำว่า

    สังหารแม่ตัวเอง...

    กับมือ...

    ส่วนโยรุอิจินั้น พอนึกถึงราชวงศ์สองคนนั้น ก็พาลนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่รู้จากเบียคุยะซึ่งยอมเปิดปากเล่าในที่สุด แต่ก็ชวนอมยิ้มไปตามๆกัน

    หลายปีที่แล้ว

    ในที่ทำการของหน่วยที่หกแห่งหน่วยพิทักษ์ทั้งสิบสาม และมีเสียงหวานเรียบเย็นเอ่ยขึ้นทำให้ทุกสิ่งถึงกับหยุด ดังมาจากที่ทำการของหัวหน้าหน่วย 

    ห้องของหัวหน้าหน่วยที่ถูกจัดอย่างโล่งๆตามแบบฉบับของนิสัยเจ้าตัว คุจิกิ เบียคุยะ หัวหน้าผู้นำตระกูลคุจิกิเงยหน้าขึ้น

    ดวงตาสีเทาคู่สวยสบกับดวงตาสีไพลินคมสวยของร่างตรงหน้า สาวรุ่นดูอายุไม่เกินสิบห้าปีหรือเทียบเท่า ผมยาวพลิ้วไหวปล่อยยาวเกือบถึงกลางหลัง และรูปร่างบอบบางนั้น ไม่เหมาะกับดาบคาตานะที่คมกริบซึ่งคาดที่เอวเลยแม้แต่น้อย

    แม้ไม่ได้แต่งเครื่องสำอางใดๆบนใบหน้าของเธอ แต่ดวงหน้ากลับฉายความงดงามและน่ากลัวที่สายตารวมถึงดูทรงอำนาจได้อย่างน่าประหลาด และบัดนี้สายตาของเธอจับจ้องมาที่พี่ชายบุญธรรม

                “ไปเมืองเบอร์ลินเนี่ยนะคะ”ยูกิเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อหู “ไปกับเจ้านั่น”

                “เจ้าต้องไป นี่เป็นคำสั่งที่ส่งตรงจากหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะ”เบียคุยะอธิบายอย่างใจเย็น “ในเมื่อเป็นคู่หูกัน ควรจะทำงานด้วยกัน ประตูผวนเวลาจะถูกผวนในบ่ายนี้ ไปเตรียมตัวด้วย”

     

                “เดี๋ยวค่ะ ข้าพูดภาษาเยอรมันไม่เป็น”

     

                “เซนริพูดเป็น เขาพูดภาษาของยุโรปได้ทุกภาษา passport แล้วก็ทุกๆอย่างมีเรียบร้อยแล้ว”

     

    พูดเป็นหรอ... เด็กสาวคิดในใจ จะว่าไป ถึงจะเป็นคู่หู ก็แทบไม่ค่อยได้ทำงานนอกสถานที่ด้วยกันเท่าไหร่ อย่างต่างประเทศ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรก ที่จะได้ทำกับเขาในต่างประเทศ เธอก็พอจะรู้มาบ้าง ว่าเขามาจากทวีปยุโรป แล้วมองตั้งแต่หัวจรดเท้าตอนไปไหนมาไหนด้วยกัน ถ้าดูจากการมองลักษณะภายนอกของคน ระหว่างตะวันตกและตะวันออก พูดง่ายๆก็คือยุโรปและเอเชียมักจะมีข้อเด่นข้อเสีย แต่สำหรับคนๆนี้ คือการเอาข้อเด่นทั้งสองทวีปมารวมกันประกอบเป็นเขา ทั้งตัวสูง ตาสีฟ้า ผิวขาว ผมสีอ่อน จมูกโด่งแบบคนญี่ปุ่นซึ่งดูดีที่สุด

     

    แต่เอาเถอะ ในความคิดเธอ ผู้ชายยุโรป นิสัยดีกว่าผู้ชายอเมริกันเยอะ

     

    แม้จะทำงานด้วยกันไม่กี่ครั้ง แต่ในความเห็นเธอ จัดว่าเขา เป็นผู้ชายนิสัยดีทีเดียว ถึงจะ... (ไม่พูดนะ อุบไว้ก่อน) แต่รู้สึกหงุดหงิด แต่กลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

     

    เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน เวลา14:00 PM หลังการทุบกำแพงเบอร์ลินของประเทสเยอรมัน และมีการเปิดประเทศและรวมเยอรมันตะวันออกและตะวันตกเป็นหนึ่งเดียว ทำให้การค้ารุ่งเรืองมากขึ้น สมัยก่อนนั้น เยอรมันถูกแบ่งเป็นสองฝั่งคือตะวันออกและตะวันตก ฝั่งหนึ่งเป็นประชาธิปไตย อีกฝั่งเป็นคอมมิวนิส และสร้างกำแพงกั้นไว้ โดยมีทหารคอยยิงไม่ให้ใครข้ามไปได้ ปัจจุบัน กฎหมายพวกนี้ได้ถูกกยกเลิกและทำการค้าอย่างเสรีแล้ว

    วัยรุ่นสองคนเดินไปตามเมืองเบอร์ลิน ขณะเหลือบมองกำแพงเป็นระยะๆ ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายหญิงที่ค่อนข้างสนใจมากกว่าเพราไม่เคยมาเที่ยวมาก่อน หลังจากที่ลงมาทำพันธะอยู่ที่นี่กับสมาคมยมทูตของทางนี้และสมาคมพวกแวมไพร์เท่านั้นก็เป็นอันเข้าเมืองได้ ส่วนฝ่ายชายนั้น ไม่ได้สนใจ ดวงตาสีฟ้ามีความเหนื่อยหน่ายใจ เขาคนนี้ดูไม่ต่างจากตอนที่พวกอิจิโกะเห็นซักเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ ยังดูเด็กกว่า และตัวไม่สูงเท่าตอนนั้น ส่วนฝ่ายหญิงก็เช่นกัน

     

    คนที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยคือลูเคียและเซนนะ ที่ไหนๆก็ไหนๆก็น่าจะพามาเปิดหูเปิดตาที่นี่ซะบ้าง ไม่ใช่หมกอยู่เป็นคุณหนูลูกผู้ดีทั้งวัน เซนนะนั้นเคยผ่านมาเฉยๆ แต่ถ้าจะให้ดูแผนที่ก็ดูได้ เลยไปกระโดดโลดเต้นเที่ยวกับลูเคียอย่างสนุกสนาน

     

    ทั้งสี่คนอยู่ในกายหยาบ และต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นโทนสีหม่นหรือเรียกกันว่าพาสเทล เพื่อให้เข้ากับที่นี่ ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวจึงจำเป็นต้องมีเสื้อสกีใส่ไม่งั้นอาจเป็นหวัด

                “หมายความว่า เราต้องผ่านแดนของพวกแยงกี้ที่มาอาศัยในประเทศนี้หรอ”ยูกิเอ่ยถาม ซึ่งเซนริพยักหน้าเนิบๆ 

                “แต่ก่อนจะไปพบก็คงจะพาไปหาอะไรกินก่อน ในเมื่อลูเคียและเซนนะมาเที่ยว ส่วนฉันแล้วก็นายมาทำงาน มันจะไปได้ไง หรือจะให้แยกเป็นสองกลุ่ม”ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะต้องถามตลอดเพื่อเก็บข้อมูล ดวงตาคู่สวยก้มลงมองแผนที่อยู่ในมือ ซึ่งยังดีที่เป็นภาษาอังกฤษถ้าเป็นภาษาเยอรมัน คิดว่าไม่รอด

                “แยกกันไป เพราะทางนั้นคิดว่าคงจะดูแลตัวเองได้”เซนริพูดเป็นประโยคแรกของวัน ขณะที่คอยหยุดเป็นระยะเพื่อให้อีกฝ่ายเดินตามมาทัน เด็กสาวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหยุดไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จะว่าไป เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า แล้วก็หิวมากแล้วด้วยTT 

                เด็กหนุ่มหันมามองเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า ปรากฏเห็นยูกิมองเมนูอาหารตาปริบๆ คงจะหิว... เซนริคิดในใจ ก่อนจะเดินกลับไปหา จะว่าไป ตอนนี้หิมะก็ตกมากขึ้นแล้ว 

    ดวงตาสีฟ้าคู่สวยมองเมนูบ้าง มันเป็นอาหารที่ค่อนข้างหายาก แต่เมื่อมองตามสายตาของเด็กสาว ปรากฎว่าเธอไม่ได้จ้องที่อาหารแต่จ้องที่วัตถุดิบมันต่างหาก...

     

    คิดจะทำอะไรกันแน่ 

    แต่จะว่าไป พวกนี้เขาก็เคยกินมาแล้วล่ะ

     

    ยูกิก้มลงมองเสร็จก็หันมาทางคนตัวสูงกว่า

     

                Supermaketไปทางไหน”

     

                “หือ?

     

     

     

                “นี่ ตกลงเธอจะซื้อทำไมเยอะแยะ”เซนริถามอย่างสงสัย เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาท่าทางสบายๆ แถมคนในห้างสรรพสินค้าหันมามองทั้งสองคนเป็นตาเดียว เพราะคนจะแปลกไม่เบา ถ้าเห็นบุคคลประหลาดๆมาที่นี่ คนหนึ่งก็หน้าตากึ่งๆยุโรปและเอเชีย แต่เส้นผมกับเป็นสีท้องฟ้ายามรัตติกาล ไม่มีมนุษย์ที่ไหนมีผมสีแนวๆนี้ซะด้วยซ้ำ ในยุโรป และดวงตาที่ดูดีทั้งคู่ มองยังไงๆ ก็...

     

    ไม่ใช่มนุษย์

     

    บางที เหมือนพวกเชื้อพระวงศ์ในเทพนิยายมากกว่า ...

     

                “ช่างฉัน”

    แถมยังพูดคุยภาษาญี่ปุ่นอีก คราวนี้ทั้งห้างเริ่มมองหลายๆคน เล่นเอาเซนริยกมือกุมขมับ (ตอนพึ่งบรรลุนิติภาวะใหม่ๆ จะไม่ค่อยเย็น เพราะยังไม่ม.ปลาย) เพราะไม่เข้าใจว่าพาร์ทเนอร์เขาจะทำอะไรกันแน่ อยู่ดีๆก็เรียกเขาไปช่วยอ่านฉลาก ต่อมาก็ขมวดคิ้ว สงสัยท่าจะบ้า

     

    ผู้หญิงอะไร พิลึกชะมัด ยิ่งโตมันยิ่งพิลึก มันยิ่ง...

     

     

     

     

                อึ้ง และอึ้ง...

     

                “นี่เธอเรียกฉันมาทำอะไร”เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย ขณะที่ถูกลากเข้ามาที่ห้องครัวเมื่อมาถึงหอพักเรียบร้อย แล้วทางหน่วยยมทูตสากลให้ยืมพื้นที่ใช้ได้ ดวงตาสีฟ้าคมสวย แม้ยังเยาว์กวาดมองไปรอบๆ แล้วแม่เจ้าประคุณก็เล่นเอาของมาเทๆๆๆ จากนั้นก็นั่งเตรียมของเหมือนจะ...

    ทำอาหาร...

     

    แล้วทำอาหารมันเกี่ยวอะไรกับเขา? หรือว่ายัยนี่จุดแก๊สไม่เป็น (คนแต่งว่าแกถ้าจะบ้ามากกว่านะ)

     

                “ฉันจะสอนนายทำอาหาร”

     

    ราวกับฟ้าผ่าตอนหลางวัน ท่ามกลางหิมะตก ทั้งๆที่ไม่ควรมีเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้อยคำที่ฝ่ายหญิงเอื้อนเอ่ยนั้นทำเอาเขาต้องค้าง...

     

    สะ สอนทำอาหาร...

    มันก็จริงอยู่ที่ผู้ชายมักจะไม่ค่อยรังเกียจเรื่องทำอาหารและมักจะทำอาหารอร่อย แต่ว่าเขา... ทำอาหารไม่เป็น แล้วจะทำได้เร้อ ปกติจะมีคนทำให้ตลอด ดวงตาสีไพลินคู่สวยเหมือนกับจะอ่านความคิดเขาออกหันมาจ้องเขม็งด้วยสายตายากบรรยาย

     

                “เป็นเจ้าชายภาษาอะไร ทำอาหารไม่เป็น”

     

                “เธอสิแปลก เป็นท่านหญิงอะไรทำอาหารเป็น”

     

    เอาเข้าไป... เจ้าชายมันทำอาหารเป็นซะที่ไหน แล้วท่านหญิงทำไมจะทำอาหารไม่เป็น ในโซลโซไซตี้คนทำอาหารได้ก็มีอยู่เกลื่อนกลาด จะเรียกว่าทั้งสอง บ้า... หรือว่าไม่ค่อยเข้าใจถึงฐานันดรศักดิ์เสียเท่าไหร่ก็ว่าได้

     

                “แล้วเธอจะให้ฉันทำของยากๆเลยรึไง”

     

                “โง่! หัดทำของง่ายๆก่อนเซ่ เรื่องจุดแก๊ส ไงๆนายก็เป็นแล้ว ฉันจะให้ทอดไข่”เสียงแหวใส่ แต่กลับไม่มีน้ำเสียงแห่งความไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับพูดเรื่อยๆมากกว่า เซนริยืนขมวดคิ้ว ทอดไข่ แล้วก็ตอกไข่หรอ สรุป เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ก็ต้องมาหัดจับตะหลิว จับมีดทำอาหารไปโดยปริยาย...

     

                “ไข่ไหม้แล้ว กลับๆๆๆๆ”

     

                “กลับยังไงเล่า”

     

                “ก็เอาตะหลิวไม้พลิกเซ่”

     

                “เออๆ”

    เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นไปทั่วหอพัก ทำเอาคนที่พักอยู่ซึ่งจะเป็นพวกตระกูลขุนนางย่อยๆที่มาพักร้อนนั้นเงยหน้ามองจากห้องรับแขกอย่างสงสัย แต่ละคนต่างคิดแปลกออกไป เพราะเห็นสองคนนี้ไม่ค่อยจะเป็นคนพูดมาก แต่ทำไมมาอยู่ด้วยกัน แทนที่จะเงียบมากๆ แต่ดันมาส่งเสียงเอะอะยังกับท่อประปาแตกเสียได้

     

                “ชิ้นแรกไหม้”ยูกิมองแล้วพยักหน้าเนิบๆ “แต่ไม่มาก เอาเถอะ เก็บไว้กินได้”

     

    ถึงจะขี้บ่น จู้จี้ไปนิด แต่ทว่า น้ำใจ ก็มีเหมือนกัน

     

                “ทอดอีกรอบ”

                “เฮ้ย”เซนริที่ตอนนี้มาดหลุด เมื่ออยู่ใกล้เด็กสาวต้องร้องเบาๆทันที

     

    สายตาของคนสั่งหันมาจ้อง

     

                “ทอดต่อไปจนกว่ามันจะดี”

     

    มีน้ำใจแต่ว่า... โหดชะมัด ไม่ถึงกับโหด แต่เรียกว่าเข้มงวดน่าจะดีกว่า

     

                “ตอกไข่เซ่”สาวเจ้าเท้าสะเอวตะโกนสั่งปาวๆๆๆ เล่นเอาเด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะรีบทำตามแต่โดยดี

     

     

    Episode41 สมาพันธ์องครักษ์รักษาความปลอดภัยของยมทูตประเทศเยอรมัน

                “เห็นยูกิบอกว่า จะต้องไปที่สมาพันธ์อะไรซักอย่างแหล่ะ”เซนนะบอก ขณะที่วางโทรศัพท์มือถือลง ขณะทั้งสองเดินมาถึงอนุสาวรีย์แถวๆห้องสมุดใหญ่รวมถึงมีสหประชาชาติของประเทศเยอรมันอยู่ด้วย ในมือถือไส้กรอก ราดด้วยมัสตาร์ด และซอสมะเขือเทศ ซึ่งแปลกที่ไม่มีคนกินมายองเนสเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะนิยมมัสตาร์ดมากกว่า ของเหลวสีเหลืองไหลย้อย แต่พอผสมกับไส้กรอกร้อนๆแล้วชวนน้ำลายไหล ลูเคียมองตาปริบๆกับอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน ถือซะว่าครั้งนี้มาเปิดหูเปิดตา

     

    พวกเธอไม่ค่อยมาเที่ยวบ่อยนัก และไม่ค่อยชอบมากับทัวร์เท่าไหร่ เพราะมันจะยุ่งยากและทำอะไรไมได้เต็มที่อีกด้วย ร่างของเด็กสาวสองคน มองผู้คนเดินผ่านไปมา แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่เพราหิมะโปรยปราย ลูเคียยกมือสัมผัสกับหิมะแผ่วเบา ความรู้สึกคุ้นเคยเพราะดาบฟันวิญญาณที่เป็นสายหิมะน้ำแข็ง หรือเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้

     

                “ปกติ ไม่เคยเห็นสองคนนั้นจะทำงานนอกสถานที่”ลูเคียเปรย “โดยเฉพาะต่างประเทศที่มาไกลถึงทวีปยุโรปนี้”

     

    เซนนะนิ่งคิดไปเล็กน้อย

     

                “สำหรับมิติวังราชันย์ ถ้าจะออกไปทำงานแบบนี้เองได้ ก็ต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะก่อน เพราะจะทำให้ควบคุมแรงดันวิญญาณและพลังของตัวเองได้ ถ้าควบคุมไม่ได้ ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องล่ะมั้ง”

     

    ดวงตาสีไพลินคู่สวยปราดมองอีกฝ่าย ที่ยังอายุไม่ถึง แต่ที่ได้มาก็เพราะมาเที่ยวธรรมดาเฉยๆ แล้วหรี่ตามองไปยังแรงดันวิญญาณที่สัมผัสได้จากตรงนั้น สังหรณ์ไม่ดีมาก่อนแล้ว จะเป็นอะไรรึเปล่านะ

     

     

     

    สมาพันธ์ที่เซนริและยูกิมาเยือนเป็นอาคารที่จะต้องผ่านสถานีรถไฟไป ลักษณะของมัน ถึงจะดูเก่า แต่ว่ากลับแฝงความทันสมัยอย่างน่าประหลาด (อย่างสถานีแฟรงเฟิร์ตนั้น ที่อยู่ในประเทศเยอรมัน เป็นต้นแบบของสถานีรถไฟหัวลำโพงในประเทศไทย รัชกาลที่5หรือสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จเยือนประพาสต้นยุโรปหลายครั้ง และได้แนวคิดจากสถานีรถไฟในเยอรมันไปสร้างเป็นหัวลำโพง ดังนั้น สถานีหัวลำโพงจึงมีความคล้ายคลึงกับของเยอรมัน เพียงแต่ของที่เยอรมัน มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่เพราะสถานีของเยอรมัน ทำให้ประเทศไทยในสมัยก่อน มีความเจริญและทันสมัยมากขึ้น) หลังสถานีไปนั้น ก็มีทางเดินเหมือนสวนสาธารณะ ซึ่งคนน้อยมากนัก โดยเฉพาะยามที่หิมะตกหนัก ร่างสองร่างของเด็กวัยรุ่นเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจว่าสภาพนั้นจะย่ำแย่ขนาดไหน เพราะต้นไม้และรั้วต่างหักโค่นลงมาราวกับพบเจอกับลมพัดแรงนั้น เซนริเหลือบมองซ้ายขวา แล้วสายลมก็พัดต้นไม้กระเด็นไปไกลเพื่อแหวกทางให้ ต้นไม้ต้นใหญ่ขยับออก เผยให้เห็นกับประตูเหมือนห้องใต้ดิน ไม้เก่าๆ ดูเผินๆเหมือนทำท่อระบายน้ำอย่างไงอย่างงั้น แต่กลับใหญ่มาก

     

    เซนริก้มลงดึงไม้นั่นให้เปิดออก ทันทีที่ดึงออก กลับมีประจุวิญญาณและมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยง เด็กหนุ่ม กำสายฟ้า ก่อนจะทำให้มันสลายไปทันที ทันใดนั้น สายฟ้าก็พวยพุ่งออกมา เด็กหนุ่มถอยไปห่างๆ ก่อนที่เสียงแหบห้าวจะดังขึ้นราวกับเสียงอู้อี้

     

                “ผู้บุกรุก”

     

                “นายเล่นอะไรของนาย เซนริ”ยูกิถามเสียงเครียด เพราะดูท่า จะเป็นเรื่องเสียแล้ว สมาพันธ์ที่ติดต่อยากมีอยู่ไม่มาก และเยอรมันก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าเกิดทำให้พวกนี้โกรธ ตายแน่... ดวงตาสีฟ้าคู่สวยของอีกฝ่ายปรายตามองราวกับจะสื่อว่า ไอพวกนี้มันกล้าโกรธหรอ ยูกิแค่ร้องเฮอะ แต่ดวงตากลับไร้ความหวั่นเกรง สายตาที่จะเรียกว่าปีศาจก็ไม่ใช่ เพราะมันร้ายกว่านั้น

     

    เซนริปราดมองเด็กสาว ใช่ บุคคลที่อันตราย น่ากลัว ของโซลโซไซตี้ น่ากลัวจนเกินไป ทรงอำนาจจนเกินไป และจุดๆหนึ่งที่อ่อนแอจนเกินไป

     

    ร่างของยมทูตนับสิบ ยืนรายล้อม เซนริขยับหมวกฮู้ตที่ปิดหน้าเล็กน้อย ส่วนยูกิก็ยืนนิ่งๆ ทันทีที่คมดาบนับสิบเตรียมฟาดฟัน ร่างทั้งคู่ก็หายไป

     

                “อย่าให้บาดเจ็บมากล่ะ ฉันรักษาไม่ค่อยเป็น”เด็กสาวปรายตามองอย่างเซ็งๆ ใช่ ทั้งสอง ไม่เชี่ยวชาญการรักษา ถึงจะเป็นระดับราชวงศ์ แต่ถึงยังไง ความเพอเฟ็ค ไม่จำเป็นต้องมี เพราะคนที่เพอเฟ็ค มักจะไร้ซึ่งการพัฒนา และจุดอ่อนนั้น ง่ายนิดเดียว เพราะต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่มันก็แค่ วิญญาณธรรมดาเท่านั้นต่อให้เป็นยมทูตก็ตามที แต่ไม่อาจทำลาย ดวงจิตของเทพและปีศาจได้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธาตุผสมที่น่ากลัวและอ่อนแอที่สุดในราชวงศ์

     

    เซนริกวาดตามองไปรอบๆคนที่บังอาจโจมตี ถ้าเป็นคนอื่นมาหรือเป็นท่านพ่อท่านแม่ คงโดนรับโทษข้อหาทำร้ายรัชทายาทไปแล้ว แต่ว่า เขาขี้เกียจทำให้มันยุ่งยากจึงปล่อยบ้าง ดวงตาคู่สวยมองคนที่มาด้วยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ สงสัย อย่าพึ่งให้ยุ่งดีกว่า เพราะว่า คุจิกิ โทโอยะ ยูกิ เด็ดขาดมาก แต่การตัดสินใจของเธอ ก็คือการพินิจพิเคราะห์แล้ว และการเอาจริง ก็คือจุดจบของวิญญาณธรรมดาก็ว่าได้ เพราะถูกฆ่าจากน้ำมือคนที่ไว้ใจที่สุดทำให้กลายเป็นคนแบบนี้ไปเสียแล้ว แต่จะว่าไป คนของโซเคนโยก็ล้วนจะเป็นอย่างงี้ทั้งสิ้น จะไปคิดอะไรให้มันมากความ

     

                เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่บัดนี้ออกมาจากกายหยาบและกายหยาบก็พุ่งเป็นสะเก็ดสีฟ้าและเกล็ดหิมะหายเข้าไปในตัวเรียบร้อย กำลังเมียงมองมาที่เหล่ายมทูตซึ่งบัดนี้มุทะลุจนไม่รู้อะไรแล้ว

     

                “ชิส์”เด็กหนุ่มสบถพรืด ตวัดดาบครั้งเดียว สายพลังวิญญาณพุ่งเข้าเชือดเฉือนเหล่ายมทูตของสมาพันธ์ทันที ยูกิหันขวับมาที่ด้านหลังดวงตาส่งเปรี้ยงเข้าใส่ทำให้อีกฝ่ายชะงักและตัวสั่นงกๆทันที แม้ไม่มีอาวุธ แต่ว่า แค่สายตา

     

    ก็พอแล้ว...

     

                “หยุดก่อน”เสียงของคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าดังขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวชะงัก ชายวัยกลางคน ก้มลงคุกเข่าให้เซนริที่เก็บดาบเข้าฝัก

     

                “ขออภัย ฝ่าบาท ที่พวกข้าน้อยบังอาจล่วงเกินท่าน ไม่คาดว่าท่านจะมาเยือนถึงที่นี่แล้วก็ท่านผู้นั้น”สายตาเขามองไปที่เจ้าของดวงตาปีศาจนั่น

     

                “พาร์ทเนอร์ข้าเอง”คนถูกถามบอกเรียบๆ “ท่านหญิงแห่งตระกูลคุจิกิ คุจิกิ โทโอยะ ยูกิ”คนถูกแนะนำก้มหัวนิดๆอย่างพอเป็นพิธี

     

     

     

    ห้องที่หัวหน้าบอดี้การ์ดพาไปนั้นเป็นห้องตกแต่งสไตล์ยุคrenaissance ผสมกับclassic ประตูไม้โอ๊กสีเข้มขัดเงาวาบและลูกบิดทำจากทองคำ ยูกิปรายตามองนิดๆ สมกับเป็นผู้ดีมีตระกูล ดูจากของทุกชิ้น สุดยอดจริงๆ

     

    ทั้งสามหยุดเดินอยู่ที่ห้องๆหนึ่งซึ่งลึกเข้าไปอีก หัวหน้าบอดี้การ์ดนั้น ยกมือทาบกับประตู

     

                “ท่านคาอิน ครูเซดขอรับ พวกเขามากันแล้ว”

     

                “เชิญเข้ามา” เสียงแหบห้าวนั้นตะโกนกลับมา 


    ห้องที่เหมือนกับห้องของคนป่วยก็ไม่ปาน แต่ยังคงความหรูหราตามแบบยุคReneissance เตียงใหญ่หรูหรา ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดสะอ้าน มีร่างของชายคนหนึ่งนอนอยู่ เขาคงอายุรุ่นๆคุณปู่หรือคุณทวด หรืออาจจะมากกว่านั้นก็เป็นได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว รอยลึกบนใบหน้านั้น และแก้มซูบตอบ ทำให้ผู้มาเยือนถึงกับชะงักเล็กน้อย กิโมโนสีขาวผืนบางและผ้าห่มที่หนา เพื่อป้องกันความหนาวเหน็บที่อาจแผ่จากภายนอกมาได้ ในห้องมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าปี ผมสีทองอ่อนๆแซมเงินนั้นซอยระต้นคอ และดวงตาสีเงินที่แปลกประหลาดนั่น เขานั่งอยู่เคียงข้างผู้ที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง

    เด็กหนุ่มคนนั้น ถอยไปห่างๆเมื่อเห็นอาคันตุกะทั้งสองชัดๆ 

     

                “เซ็ทสึ ต้อนรับท่านทั้งสองหน่อย”เสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้น แต่กลับฟังดูอ่อนโยน เด็กหนุ่มผมทองอ่อนคนนั้นหันมาก้มหัวเร็วๆให้แต่ดวงตายังคงประสานกับดวงตาสีฟ้าและน้ำเงินนิ่ง

     

    มันไม่ใช่ฟ้าหรือน้ำเงินธรรมดา

     

    เจ้าของดวงตาสีฟ้าเทอควอยซ์ใส แต่กลับดูไม่รับมิตรนัก เคยได้ยินประวัติมาบ้าง ฮายาเตะได้เลือกผู้สืบบัลลังค์แล้ว หลังจากคัดสรรจากเชื้อพระวงศ์มาร่วมสิบปี มั่นใจและรับประกันได้อย่างยิ่งว่า มกุฎราชกุมารผู้สืบทอดบัลลังค์ความสมดุลแห่งกาลเวลา คือเขาคนนี้เป็นแน่ ส่วนอีกคน คาอิน เซ็ทสึ รู้สึกกลัวกับสายตาที่ทั้งไร้อารมณ์และไร้ความหวาดหวั่น ทำให้เด็กผู้ชายอย่างเขาต้องหลบสายตาน่าหวาดหวั่นนั่น ทำไมเขาต้องไปกลัวยัยเด็กตัวกระเปี๊ยกนั่น...

     

    เขารังเกียจความคิดที่แผ่ซ่านมาจากตัวทุกคน แม้จะผ่านการบรรลุนิติภาวะมาแล้ว แต่เขายังไม่สามารถทำได้ในระดับที่ดีพอ

     

                “ที่ข้าเรียกพวกท่านมา ก็เพื่อให้เจอกับหลานชายข้า คาอิน เซ็ทสึ ในเมื่อเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว และข้าก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ ดังนั้นจึงอยากให้ท่านช่วยหน่อย...”ชายชราหอบหายใจเป็นพักๆ เซนริและยูกิหันขวับไปทางเจ้าเด็กคนนั้นทันที เด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คาอินมองอย่างฉุนๆประมาณว่า จ้องอะไร มีปัญหาเรอะ...

     

    เซนริขมวดคิ้ว ส่วนยูกิมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งทำให้คนถูกจ้องกดดันมากกว่าเดิม

     

                “ก็ไม่มีปัญหาล่ะมั้งนาย...”ยูกิกระซิบเบาๆ ซึ่งเซนริพยักหน้าหงึกๆ (มันพึ่งจะเข้ากันได้ดีก็ตอนนี้)

     

                “ตกลง”เจ้าชายพยักหน้ารับ “แล้วท่านจะให้ข้าทำอะไรต่อ”

     

    คาอิน ครูเซด ใช้มือผอมบางแล้วหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาให้

     

                “พวกท่านได้ยินว่าจะต้องต่อมัธยมปลายในอีกไม่ช้าสินะ แล้วที่ร.ร.ก็คงจะทำให้กดดันน่าดูเพราะความเข้มงวด... ข้าจึงเขียนใบคำร้องมาให้ เพราะมัธยมปลายเรียนหนัก ถ้าไม่จัดการบ้างก็คง...”

     

                “ร.ร. ไม่เคยปรานีเด็กเท่าไหร่ แต่ก็ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเหลือ”ยูกิพยักหน้ารับแล้วพูดเบาๆ ดวงตากวาดมองทุกสิ่งทุกอย่างในเอกสารอย่างพินิจ

     

                “เซ็ทสึ เสื้อผ้าเก็บเรียบร้อยรึยัง”ครูเซดหันไปถามหลานชาย ซึ่งพยักหน้าหงึกๆ “จำไว้ให้ดี อย่าริอ่านเป็นตัวถ่วงของใครทั้งนั้น และพยายามอยู่ตำแหน่งสูงๆเข้าไว้ จะได้มีอิสระหน่อย ถึงหน้าที่การงานจะมากขึ้น แต่คงไม่เป็นไร”

     

                “ท่านปู่พักก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการด้วยตัวเอง” ขณะที่ดวงตาสีเงินเบือนมาสบกับอาคันตุกะทั้งสอง

     

                “ฉันก็พึ่งจะรู้ว่านายแล้วก็เธออยู่ร.ร.เดียวกับฉัน”คาอินน้อยชวนคุยเรื่อยๆ

     

                “ที่นั่นปรับตัวง่ายสำหรับพวกเรามากที่สุด”ยูกิเป็นฝ่ายตอบ “ถ้าอยู่ในร.ร.อื่นก็ซวยไป โดยเฉพาะนาย เซนริ”

     

    ดวงตาน่ากลัวเหลือบมองคนตัวสูงกว่าด้วยหางตา

     

     

    กลับมาทางด้านสองสาว โดยเฉพาะลูเคียที่ถอนหายใจเฮือก เพราะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี แต่ความรู้สึกนั่นหายไปแล้ว แต่กลับไปไม่หมด ได้ยินว่า ที่โลกมนุษย์ประเทศญี่ปุ่น เขตlidabashi ซึ่งได้ยินว่า ท่านชิบะ มิโยโกะจะไปปฏิบัติงานที่นั่นในวันพรุ่งนี้ เด็กสาวหลับตาลง ขออย่าให้ความกลัวของข้าเป็นจริงขึ้นมาเลย

     

    โซลโซไซตี้

     

                “เฮ้ย หน่วยองครักษ์เนี่ยนะ”คาอินโวยลั่น ขณะที่ทุกคนกลับมาจากเยอรมันเรียบร้อย ซึ่งแต่ละคนจะออกความเห็นให้ลองทดสอบหัวหน้าองครักษ์ดู ได้ฝั่งไหนก็เอาฝั่งนั้น ใช่ สำหรับเด็กหนุ่มดวงตาสีเงินคนนี้ถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเอาจริง เพราะตอนแรกนั้น ก็บอกว่าจะลองเอาตำแหน่งสูงๆแต่ไม่คิดว่าจะสูงปรี๊ดขนาดนี้

     

                “นายนี่ เดี๋ยวปู่นายฆ่าหรอกถ้าไม่ยอมสอบ”ยูกิอธิบาย ส่วนเซนริได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา

     

                “อ้าวๆ พวกเจ้าสามคนมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”ยังไม่ทันจะมีใครพูดต่อ เสียงทุ้มต่ำแต่ฟังดูอ่อนโยนถามขึ้น ชายหนุ่มผมสีขาวยาวเอ่ยทัก เขาคืออุคิทาเกะ จูชิโร่ หัวหน้าหน่วยที่สิบสาม คาดว่า เขาคงได้ยินเสียงเอะอะเลยแวะมาดู

     

                “หวัดดีคร้าบ อาการดีแล้วหรอ”คาอินโบกมือทัก เล่นเอาคนที่ผ่านไปผ่านมาอมยิ้มเป็นแถว

     

                “อื้อ ออกมาเดินเพ่นพ่านได้แล้วล่ะ ว่าแต่กะจะมาถามอะไรซักหน่อย”อุคิทาเกะทิ้งตัวลงบนก้อนหินเรียบซึ่งอยู่ตรงสวนสาธารณะของสถาบันยมทูตชินโอ ซึ่งแต่ละคนได้รับมอบหมายให้มาช่วยงานบำเพ็ญประโยชน์ที่นี่ (คนแต่งทำ พวกแกก็ต้องทำด้วยßกำลังกระฟัดกระเฟียดเพราะไปทำมาแล้วเด็กมันงี่เง่า) ไม่ว่าจะเป็นการจัดเอกสารหรือการช่วยจดคะแนนสอบก็ตาม

     

                “มีอะไรหรอครับ”เซนริเบือนสายตามาถาม

     

                “เรื่องฮอลโลว์ที่ปรากฏตัวในชั่วโมงการสอบของพวกเด็กๆน่ะ มันไม่น่าจะมาเยอะขนาดนั้น พอจะหาสาเหตุได้มั้ย”หัวหน้าหน่วยสิบสามเอ่ยถามอย่างใจดี เด็กวัยรุ่นสามคนหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย

     

                “ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่ะ ก็เลยไม่อยากพูดอะไรตอนนี้”ยูกิตอบ ท่าทางของเธอไม่เย็นชาเท่าตอนโตเท่าไหร่นัก แต่ยังคงความนิ่งได้ตลอด จนแต่ละคนสงสัยแล้วว่า คุจิกิ เบียคุยะ เลี้ยงเด็กมาได้ยังไงถึงมานิสัยเหมือนๆกันหมด

     

                “แต่ว่าถ้ามีใครวางเหยื่อก็ว่าไปอย่าง”คาอินออกความเห็น เรื่องนี้ทางโซลโซไซตี้เองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เลยไม่มีใครเคลื่อนไหว และก็ดำเนินมานานมากแล้ว แถมยังมีเรื่องมากขึ้นทุกวัน จนชักสงสัยแล้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     

     

    หลังจากนั้นมานาน เซนริ ยูกิ คาอิน สอบผ่านการเข้าเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ได้สำเร็จ คาอินเลือกที่จะอยู่ฝั่งเซย์เรย์เทย์เพราะจะได้ทำงานกับสิบสองเทพนักรบ ที่จะเป็นลูกน้อง หน่วยนี้จึงยังคงความเฮฮา ส่วนรองหัวหน้าหน่วยก็ได้ หญิงสาวอีกคน ฮาริเนะ ยูโนกิ มาช่วยงานเพื่อไม่ให้หน่วยบ้าบอคอแตกไปมากกว่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือ พวกยุโธปกร หรือศาสตราวุธ ได้ทางตระกูลฟุยุโซระช่วยเหลือ ทำให้พวกเขาได้เจอกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันแต่อ่อนกว่าเล็กน้อย คาโฮโกะและน้องสาวของเธอนิกโกะ

     

    วันต่อมา ชิบะ ไคเอ็นถูกฮอลโลว์กลืนกิน และตายคาดาบฟันวิญญาณของคุจิกิ ลูเคีย พร้อมกับดวงวิญญาณของชิบะ มิโยโกะที่ไม่กลับมา รวมถึงไคเอ็นอีกด้วย ศพของรองหัวหน้าหน่วยสิบสามถูกนำส่งกลับบ้านตระกูลชิบะ อันซึ่งเป็นอดีตตระกูลใหญ่มาก่อน แต่ได้ล่มสลาย หน่วยสิบสามตกอยู่ในความปั่นป่วน แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากโคเท็ตสึ คิโยเนะ และเซนทาโร่ซึ่งมาช่วยงาน และเรื่องนี้ พวกหน่วยองครักษ์จึงขอไปตั้งหลักที่เซย์เรย์เทย์ ส่วนเซนริ ยูกิ และคาอินไปประจำการอยู่ตามต่างประเทศ และได้แวะไปเยี่ยมเยียนท่านครูเซดบ้างเป็นครั้งคราว และในปีต่อมาก็ได้จากไปอย่างสงบ แต่ก็ได้จากไปด้วยรอยยิ้มที่ได้รู้ว่าหลานชายที่รัก ได้เป็นหัวหน้าองครักษ์อย่างที่ไม่เคยมีใครในตระกูลได้เป็นมาก่อน ถึงจะเป็นตระกูลชั้นสูง แต่ก็ไม่เคยมีใครฝ่าด่านนี้ได้ การจากไปของท่านครูเซด ทำให้คาอินถึงกับซึมไปหลายวัน แต่ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้

    เซนรินั้น ระหว่างอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสระหว่างที่ต้องสู้กับเซโร่น้องชายฝาแฝดที่หายสาบสูญไปเจ็ดปีเต็ม ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เข่า และเอ็นที่แขนซ้ายฉีกขาด ทำให้สู้เต็มที่ไม่ได้หลายเดือน และเรี่ยวแรงเริ่มฟื้นมาบ้างแล้ว ส่วนเซโร่ แขนขวาหัก และข้อเท้าเอ็นขาดแต่ยังดีที่ไม่เป็นที่เอ็นร้อยหวาย และข้อต่อเคลื่อน

     

    ยูกิ พักหลังเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ อาการปวดหัวจากความทรงจำที่หายไปเริ่มออกอาการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงช่วยเซนริที่ต้องพักอยู่หลายเดือนเป็นอย่างดี ส่วนคาอิน รับหน้าที่จัดการเอกสารทางนี้ให้ส่วนหนึ่งและส่วนที่เหลือ โซเคนโย ซานาดะ มกุฏราชกุมารคนต่อไปของคุนะยูกิหรือโซเคนโย จะเป็นคนรับให้แทน และฟุยุโซระ คาโฮโกะเข้าเรียนที่ร.ร.คาราคุระ และได้เป็นหัวหน้าชั้นปี1

     

    ปีต่อมา ลูเคียได้ไปประจำการที่เมืองคาราคุระ และทำให้พบกับคุโรซากิ อิจิโกะ หลังจากช่วยโอริเมะได้แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ด้านศัตรูที่ถูกฟื้นกลับมาใหม่อีกครั้ง และผลแห่งการควบคุมความตายของซากุรากิ เคย์โกะ ทำให้ปีหนึ่ง ต้องดำเนินถึงสองครั้ง พูดง่ายๆคือหลังจากเดือนธันวาแล้วมาเดือนมกราคม จะต้องดำเนินในปีเดิมต่อไป เช่นปี2550เมื่อถึงเดือนธันวาขึ้นเดือนมกรายังคงจะเป็นปี2550อยู่ เซนริที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บถูกเรียกตัวกลับมาที่โซลโซไซตี้ คาอินกลับมาประจำการ เซนนะก็เช่นกัน และได้รับมอบหมายให้ไปช่วยงานที่เมืองคาราคุระ รัศมีหนึ่งพันลี้วิญญาณร่วมกับพวกอิจิโกะ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติ โซลโซไซตี้ตามตัวคุจิกิ โทโอยะ ยูกิ กลับมาทันเวลาพอดี และเรื่องราว ก็ดำเนินต่อถึงปัจจุบัน...

     

     

    เวลาปัจจุบัน โซลโซไซตี้

     

                “เฮ้ คุณพี่เซนริ”เสียงหนึ่งตะโกนแหวกอากาศดังขึ้นมา ขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร็วๆในชุดคาริกินุสีดำ ผมสีเข้มของเขาสะบัดไหว ขณะที่ดวงตาสีรูบี้มองคนที่โตกว่า ขณะเดินไปยังที่ทำการหน่วยองครักษ์ เขาเดินมาพร้อมกับอุคิทาเกะ ที่เดินตามมาติดๆอย่างรวดเร็ว มาซาฮิโระเอามือจับกำแพงแล้วหอบหายใจถี่ๆ

    ดวงตาสีฟ้าคู่สวยของมกุฏราชกุมารแห่งกาลเวลาหันมามองตามเสียงเรียก ร่างสูงโปร่งสง่างามหยุดนิ่ง เสื้อคลุมสีขาวถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบแขนสั้นคล้ายกับที่พวกเบียคุยะใส่ เมื่อเซนริหยุดลง จึงได้โอกาสจะถาม

     

                “ท่านเซนริ พรุ่งนี้ จะถึงวันประหารแล้วนะ ท่านยังนิ่งนอนใจได้อีกหรือ”อุคิทาเกะถามเสียงเครียด

     

                “คิดผิดก็คิดใหม่ได้น่า”เด็กหนุ่มแห่งความทรงจำเสนอขึ้นบ้าง

     

    เจ้าชายหนุ่มชะงักนิ่ง แต่ดวงตากลับไม่มีความหวั่นไหว เขาหันมามองเล็กน้อย

     

                “การประหารตัดสินมาแล้ว ชีวิตของยัยนั่นจะเป็นยังไงก็คงไม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว เพราะยัยนั่นตัดสินใจแล้ว และฉัน ก็ไม่มีสิทธิ์จะยุ่งเกี่ยว สัญญาระหว่างราชวงศ์กับขุนนาง ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไร”เซนริพูดประโยคยาวๆเป็นครั้งแรก ก่อนจะเดินจากไปทันที โดยไร้เยื่อใยกับใครทั้งนั้น ตัดสินใจไปแล้ว ก็คือทำจริง และสำคัญที่สุด

     

    เลือดกษัตริย์ ตรัสแล้ว ไม่คืนคำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×