ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #19 : *Season 1*Episode 18:Two Princes

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 290
      0
      9 มี.ค. 52

    ความเจ็บปวดที่ชา และทำให้ขยับตัวไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าครั้งก่อน

     

    เปลือกตาที่หนักอึ้งนั้นได้เบาลง อิจิโกะลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพที่ปรากฏในคลองสายตาคือดาดฟ้าของที่ทำการซักอย่าง เขายันตัวลุกขึ้น แต่แผลที่อกเจ็บแปลบ หนอย เจ้าคาอินเล่นแทงซะเต็มแรง... ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล แต่ยังมีเลือดไหลซึมอยู่บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลมองฟูกสีขาว ขณะที่มีกิโมโนแบบเบาตัดแบบง่ายๆหรือจะให้ถูกคือผ้าคลุมซึ่งมีตราตระกูลชิโฮอินอยู่

     

    ตราตระกูลชิโฮอิน งั้นก็แสดงว่า...

     

    เด็กหนุ่มหันมาทางขวาของตัวเอง เห็นดวงตาคู่สีเหลืองอำพันกำลังจ้อง โยรุอิจิกอดอกพิงกับเสาอยู่

     

              "ไง อิจิโกะ"เธอทัก "เป็นไงล่ะ สู้มา"

     

              "คุณโยรุอิจิมาอยู่ที่นี่ได้ไง"อิจิโกะถามทันที หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

     

              "ประชุมสี่ตระกูลขุนนางน่ะ พอดีก่อนหน้านั้นที่ข้าจะกลับไปโลกมนุษย์ ข้า หัวหน้าเคียวราคุ คูคาคุแห่งตระกูลชิบะ และคุณชายเบียคุยะถูกเรียกให้เข้าประชุม พร้อมเจอราชวงศ์รวมถึงหัวหน้าส่วนหนึ่งของหน่วยองครักษ์ฝั่งมิติวังราชันย์ ประชุมเสร็จก่อนกลับข้าลืมของไว้เลยเอาไป แล้วค่อยวกกลับมาเซย์เรย์เทย์"

     

              "เอ๋ แล้วคุณโยรุอิจิเข้าไปในมิติวังราชันย์ได้ไงน่ะ"

     

    ไอเด็กนี่มันเซ่อหรือว่าโง่ หญิงสาวคิดในใจ ดวงตาสีอำพันมีแววแห่งความไม่พอใจชัดเจน ทั้งที่ตอนนั้นก็มีการเปิดมิติให้ดูอะไรพรรค์นั้นแล้ว ยังจำไม่ได้อีก เด็กสมัยนี้ความจำมันแย่กันหมดแล้วรึไง หรือส่วนเซเรบรัมไม่ทำงานกันแน่ (หน่วยความทรงจำในสมอง)

     

              "เค้าเรียกประชุมก็ต้องมีทางเข้าเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว"

     

    ทันทีที่พูดจบความเงียบก็ปกคลุม คนป่วยเริ่มนึกอะไรขึ้นมาได้ จริงสิ ตอนนี้พวกลูเคียไปถึงหอสำนึกผิดแล้ว แต่ว่า คงจะไม่ง่าย และเขาสัญญาว่าจะไปสมทบด้วย

     

              "เดี๋ยวผมต้องไปหอสำนึกผิด"เขาพยายามลุกขึ้น

     

              "เดี๋ยวเซ่ สภาพแบบนี้จะไปทำอะไรได้ แค่จะฟันดาบยังแทบจะไม่ไหว"

     

              "ยังไงผมก็ต้องไป"

     

    ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าโอบิมาคาดที่เอวแล้วคว้าซันเงสึออกไปทันที ก้าวพริบตาแม้จะใช้ได้เล็กน้อย แต่เจ้าตัวยังกระฟัดกระเฟียดจะไปต่อให้ได้ โยรุอิจิถึงกับกัดฟันกรอด มือกำหมัดแน่น

     

              "หนอย สภาพแบบนั้นถูกฆ่าง่ายแหงๆ ตอนนั้นข้าเห็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์มิติวังราชันย์แต่ละคนแล้วยังคิดไม่ออกเลยว่าเจ้าจะได้มีศพกลับบ้านรึเปล่า"ว่าแล้วเธอก็รีบตามไปทันที แต่ว่าเค้าไอของอิจิโกะเบาบาง จนทำให้จับได้ยาก แถมต้องหยุดพักเพราะก้าวพริบตานั้นสำหรับเธอที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้ มันก็คือการทรมานคนแก่ดีๆนั่นเอง!

     

     

     

     

    แค่กๆ

     

    เสียงไอของใครบางคนดังอยู่เนืองๆ ขณะที่ลูกน้องสองคนได้แต่มองอย่างเป็นห่วง หัวหน้าหน่วย13อุคิทาเกะ จูชิโร่หลังจากฟื้นตัวจากโรคได้จากการล้มหมอนนอนเสื่อตอนนี้ก็เริ่มกลับมาได้แล้ว แถมเขาไม่ได้มาประชุมนานพอสมควร

     

              "หัวหน้าครับ พักก่อน แล้วค่อยไปทำงาน"เซนทาโร่บอก

     

              "นั่นสิคะ"คิโยเนะเห็นด้วย ทำให้คนพูดก่อนหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ

     

              "มาพูดตามฉันทำไม คิโยเนะ"

     

              "อย่ามาทำเป็นหวงคำพูดหน่อยน่า เซนทาโร่"

     

              "ใครหวง เธอแหล่ะจอมงก!"

     

              "หนอย ไอบ้าเซนทาโร่ แก๊~~~"

     

              "พอก่อนเถอะ"อุคิทาเกะรีบห้ามทัพเพราะชักเวียนหัว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปซักกี่สิบปี เจ้าสองตัวนี้ยังทะเลาะกันตลอด ตั้งแต่รับเจ้าสองคนนี้มาเป็นลูกน้อง แต่ก็อดสงสารไม่ได้ เพราะสองคนนี้รวมถึงทุกคนในหน่วย13ของเขา เคยมีความสดใสมากกว่านี้ สมัยที่ไคเอ็น อดีตรองหัวหน้าของเขายังอยู่ และต้องตายไป ทำให้หน่วยดูเหงา แต่สองคนนี้ก็หาเรื่องมาให้ทุกคนปวดหัวเล่นจนได้ และดูเหมือนจะทำให้หัวหน้าตัวเองเดี้ยงตามรองหัวหน้าไปด้วยอีกคน

     

              "แต่ว่าพวกวังกลางคิดอะไรถึงขนาดจะประหารคุจิกิน่ะ"ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย และดูตกใจกับข่าวนี้ไม่ใช่น้อย เพราะตอนแรกนั้นที่อยู่โลกมนุษย์ก็เห็นไม่กล่าวกันมาก แต่ไม่นึกว่าจะทำกันจริงๆ

     

              "ใช่ค่ะหัวหน้า แถมภายในเกิดการทะเลาะกันเองอีก วังกลางก็ไม่ยื่นรับอะไรทั้งนั้น มีแต่สั่งๆๆๆๆ"คิโยเนะใส่เป็นชุด

     

              "ใช่ครับหัวหน้า พวกหน่วยองครักษ์เองก็มากันหมดแล้ว แถมนักสู้ลำดับที่สี่แห่งหน่วย6ของหัวหน้าคุจิกิ ยังถูกเจ้าหญิงฟุจิวาระทำซะเกือบตาย ตอนแรกๆเห็นทางมิติวังราชันย์เงียบๆ แต่ว่ารอบนี้มาเอง แสดงว่าเอาจริง"

     

              "ถ้าระดับหัวหน้าองครักษ์ฝั่งมิติวังราชันย์ พวกอิจิโกะคุงจะเหลือเหรอ"อุคิทาเกะเริ่มสงสัย

     

              "อ๋า นั่นสิคะหัวหน้า แถมพลังของอิชิดะยังลดลงจนไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก พลังของอิจิโกะเองก็อ่อนลงไปเยอะ เมื่อครู่จากสัมผัสแรงดันวิญญาณที่คนของหน่วยเราไปดูให้ คาดว่าเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ฝั่งเซย์เรย์เทย์ คาอิน เซ็ทสึไม่ผิดแน่ หัวหน้าคาอินพลังยังไม่ได้ลดลงเลย แถมพวกคนสืบข่าวของเราแค่เดินไปในระยะสองกิโลเมตรก็เข้าไปไม่ได้เพราะทนแรงดันวิญญาณไม่ได้ ตอนนี้ทางราชวงศ์ก็ถูกกักบริเวณห้ามการประหารไม่ได้อีก"คิโยเนะบ่นร่ายยาวอย่างไม่หยุดพักหายใจ

     

              "เธอหายใจทางผิวหนังรึไง"

     

              "หมายความว่าไง"คนถูกถามขมวดคิ้วใส่เซนทาโร่ซึ่งเป็นคนถาม

     

              "ก็ไม่หยุดพักหายใจอย่างงี้ไม่ขาดอากาศตายรึไง หรือว่าหายใจทางผิวหนังเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเวลาจำศีลกันแน่"

     

    หนึ่ง... สอง... สาม...

     

              "ไอเซนทาโร่~~~~~"คนถูกหลอกด่าแหกปากโวยวายลั่นจนอุคิทาเกะต้องยกนิ้วอุดหูเสียงที่ทั้งแสบแก้วหู ทั้งหน้าเวียนหัวปวดหัวสารพัดจนถึงขั้นไมเกรนขึ้น (โห ยมทูตยังเป็นไมเกรนเลย)

     

    แต่ซักพักก็รู้สึกถึงแรงดันวิญญาณหนึ่งได้ดวงตาฉายแววเคร่งเครียดทันที

     

              "เซนทาโร่ คิโยเนะ ไปหอสำนึกผิดกับข้าเดี๋ยวนี้!"

     

     

     

     

              กลับมาทางด้านหอสำนึกผิดที่พวกลูเคียอยู่...

     

              "รู้แต่ว่าคงบอกตอนนี้ไม่ได้"เจ้าหญิงโทโอยะบอก "เพราะบอกไปก็คงเชื่อได้ยากและถ้าฉันบอก คงจะน่าเชื่อยาก"

     

              "หมายความว่าไง"

     

    ลูเคียตั้งถ้าจะถามต่อ แต่อีกฝ่ายชะงัก

     

    ยูกิชะงักเมื่อกำลังจะพูดบางอย่าง ดวงตาที่มองผ่านประตูหอสำนึกผิดที่มืดมิดไป ดวงตาสีน้ำเงินที่เคยมีแววตาบัดนี้แววตาหายไป ดวงตาค่อยๆเปลี่ยนแปรสภาพเป็นอำมหิตเยือกเย็น แต่ให้ความรู้สึกมองผ่านทะลุได้ทุกสิ่งรับรู้ได้ทุกอย่าง ประกายตาที่ทุกคนในราชวงศ์ของเธอมี ซักพักมันก็เหมือนเดิม เนตรมาร

     

    พลังหนึ่งของส่วนพลังอสูร...

     

    ทุกอย่างเงียบกริบราวกับได้ยินเสียงลม และแล้ว แรงสั่นสะเทือนก็สั่นไปทั่วบริเวณ พลังวิญญาณที่คุ้นเคย พลังวิญญาณของพวกจักรวรรดิ!!!

     

              "แย่ล่ะสิ"ยูกิส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด เมื่อจะส่งเด็กสองคนกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอรู้สึกได้ว่าจะมีพวกนี้มา แต่ดันเตือนช้าไป

     

              "ออกไปดีมั้ยครับ"ฮานะทาโร่ถามความเห็นอย่างกล้าๆกลัวๆ

     

              "ออกไปให้โดนจับ"ลูเคียยกมือกุมขมับ ฮานะทาโร่เป็นคนแรกที่เดินออกไป

     

              "งั้น ผมจะไปเองนะครับ"

     

    สองสาวอึ้งสนิท เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็วิ่งตามออกมาแล้ว เมื่อวิ่งออกมา สัมผัสทางบรรยากาศก็เปลี่ยนไป ความอึดอัดและแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ยูกิเองก็เช่นกัน เพราะเธอสูญเสียการควบคุมพลังไปเรียบร้อยจนตอนนี้ไม่สามารถป้องกันอะไรได้ แต่เธอสามารถรู้แล้วว่าคนที่มามีใครบ้าง เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ เช่นเดียวกับอีกสองคนที่แข็งเป็นหินไปเรียบร้อย

     

    คนที่ยืนอยู่ ดวงตาสีฟ้าเข้มเทอควอยซ์ที่ไม่เหมือนใคร คนๆนั้นมีแค่คนเดียว และเด็กหนุ่มอีกคนดูอายุน้อยกว่าสองสามปี เป็นคนหน้าตาดีจนจัดเข้าขั้นหล่อมากแม้จะยังเด็ก

     

    รวมถึงยังมีเบียคุยะอยู่ด้วยอีก!

     

              "พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่"หัวหน้าหน่วย6ถามเสียงเย็น เล่นเอาลูเคียชาวูบไปทั้งตัว จะทำยังไงดี ดวงตาสีเทาคู่สวยที่มองมาทำให้เธอนึกหาคำพูดไม่ออก แม้พยายามเอื้อนเอ่ยก็ตาม คนเป็นพี่หลุบตาลงต่ำแล้วเลื่อนมือไปกุมเซนบงซากุระทันที

     

    เมื่ออีกฝ่ายชักดาบ ลูเคียก็กระชากดาบออกมาอย่างไม่มีทางเลือก

     

    เคร้ง...

     

    เบียคุยะบิดวิถีดาบ ทำให้ลูเคียต้องล่าถอยไป ดาบกระเด็นไป แต่สำหรับยมทูตสาวรู้ทันทีว่าความผิดพลาดนั้นเพราะอะไร

     

    เพราะประมาทและไม่กล้าทำ เมื่อฮานะทาโร่จะเป็นรายต่อไปแต่พลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากหอสำนึกผิดได้ต้านทานไว้ พลังของเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ต้องคำสาป

     

              "คุจิกิ เบียคุยะ เขาคนนี้ไม่เกี่ยว"ยูกิอธิบาย แม้เธอจะไม่กลัว แต่รู้สึกเกร็งและผิดที่ต้องให้คนไม่รู้อิเหน่อิเหน่มาด้วย สายตาเย็นไม่แพ้กันหันมามอง แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

     

              "จะเล่นอะไรของเจ้าน่ะ เบียคุยะ"อุคิทาเกะ จูชิโร่หัวหน้าหน่วย13มาหยุดทันเวลาพอดี เบียคุยะเก็บดาบเข้าฝัก "แม้จะมีกฎใช้ดาบฟันวิญญาณได้ แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้อย่าชักดีกว่าน่า"

     

              "มีธุระอะไร"คนถูกเทศน์หันมายิงคำถามใส่ทันที เล่นเอาเซนทาโร่และคิโยเนะขนลุก แต่ก็ตื่นเต้นเมื่อเจอราชวงศ์อีกสองคน

     

              "ก็แค่เห็นการปะทะกันของพลังวิญญาณข้าเลยรีบมาดู และดูท่าจะมาทัน"หัวหน้าหน่วย13พูดช้าๆเนิบๆ ลูเคียที่ถูกตรึงไม่ให้ขยับก็พยายามดิ้นรนออกมา จากเขตพลังวิญญาณสูง โดยเฉพาะตอนนี้ ราชวงศ์ระดับสูงที่อยู่ในบริเวณนี้ มีถึงสามคน พลังวิญญาณย่อมตรึงได้สบายๆและยากที่จะหลุด

     

              "อย่าดิ้นเลยน่า ดูท่าทีไปก่อนสิ"มาซาฮิโระบอก แต่ว่า สายตายังคงระแวดระวังเต็มที่ไม่ให้เกิดการนองเลือด ส่วนเซนริได้แต่ยืนนิ่งๆ เพียงแต่เขาไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเท่านั้น

    ส่วนยูกิเองก็มองสถานการณ์อย่างใช้ความคิดพลางชำเลืองท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเล็กน้อยแล้วมาสนใจสถานการณ์ต่อ

     

    ปฏิกิริยา ที่ทำให้ลูเคียลอบมองอย่างฉงน มองฟ้าทางทิศตะวันออกงั้นหรอ รู้สึกถึงใคร แต่ลางสังหรณ์ของยมทูตสาวบ่งบอกชัดๆและโต้งๆว่า ต่อไปนี้เรื่องมันยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม

     

              "ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะยุ่ง"เบียคุยะบอกเสียงเรียบ ขณะที่อุคิทาเกะ เซนทาโร่และคิโยเนะ ก้มหัวให้อีกสามคนที่เป็นระดับราชวงศ์เล็กน้อย เพราะถึงจะอยู่นิ่งๆ แต่ก็ควรจะแสดงความเคารพ

     

              "แต่ข้า..."

     

    ครืน...

     

    แรงดันวิญญาณกดทับอีกครั้ง ฮานะทาโร่แทบจะบ้าเพราะสงสัยว่าใครมาอีก แต่เมื่อสัมผัสได้อีกชั่วครู่เสี้ยววินาทีก็รู้ว่าเป็นของใคร แรงดันวิญญาณของคุโรซากิ อิจิโกะ





    คุโรซากิ อิจิโกะร่อนลงบนพื้น หลังจากใช้ก้าวพริบตามา แล้วปราดมองแต่ละคนซึ่งนิ่งไปพักใหญ่ แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่าประมาณซักปีเดียวหรือสองปีเห็นจะได้ ผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีคล้ายๆสีพลอยแดง และผิวที่ค่อนข้างขาวจัดกว่าคนญี่ปุ่นอยู่ข้างๆเด็กหนุ่มที่เด็กกว่าเขาเกือบปี ดูๆแล้ว ก็คงจะเป็นราชวงศ์อีกคนล่ะมั้ง

     

    ถ้าจำไม่ผิด ชื่อมาซาฮิโระ แต่ดูผิดคาดกว่าที่คิดมาก ไม่คิดว่าจะเด็กกว่าตัวเอง แต่ดูตัวสูงกว่าเสียอีก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นคนเงียบๆและสุขุมพอๆกับอีกสองคน แต่ว่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยรวมๆแล้วเป็นเด็กที่ดูใจดีมากทีเดียว แล้วดูเป็นมิตรมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ดูต่างกับรุ่นพี่โดยสิ้นเชิงแต่ว่า ถ้าจะให้พูดอีกทีก็นิสัยดีกันทุกคน

     

              "คุณชื่อคุโรซากิ อิจิโกะรึเปล่า"มาซาฮิโระถามอย่างสุภาพ

     

              "อะเอ่อ"อิจิโกะถึงกับพูดไม่ค่อยออก ถึงจะดูง่ายๆ แต่พลังวิญญาณนั้น ช่างพิสุทธิ์ใสเช่นเดียวกับอีกสองคนและของอากิโกะยิ่งนัก แม้จะต่างกันในบางจุดแต่กลิ่นอายเหมือนกันทุกคน...

     

              "หัวหน้าหน่วยองครักษ์ฝั่งมิติราชันย์คนที่3 โคฮากุ มาซาฮิโระยินดีที่ได้รู้จัก"เด็กหนุ่มกล่าวต่อทักทาย และดูเขาไม่ค่อยจะยุ่งอะไรมากเท่าไหร่ "ทางที่ดีรีบๆเผ่นไปจากที่นี่ก่อนจะถูกฆ่านะ"

     

    มาซาฮิโระบุ้ยบ้ายไปทางแต่ละคน แต่เป็นครั้งแรกที่อิจิโกะ ลูเคีย และฮานะทาโร่ รวมถึงเซนทาโร่ และคิโยเนะ ที่สังเกตได้ว่า เครื่องแบบของหน่วยองครักษ์พิทักษ์ราชันย์ ออกแบบต่างจากของ13หน่วยผู้พิทักษ์และหน่วยอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ไม่ถึงกับมาก

     

    เป็นเครื่องแต่งตัวที่ออกแบบได้เหมาะกับวัยดี เพราะใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ยกเว้นวัยชรา วัยทองทั้งหลายแหล่ หรือเด็กที่อายุต่ำกว่าสิบสามปีไม่เกินสามสิบปี (แต่คนที่จะใส่ได้นั้น มีข้อแม้คือต้องเป็นคนตัวสูงเอาเรื่องทีเดียว) ดูจากส่งนสูงของมาซาฮิโระแล้ว แค่มองไกลๆ ก็รู้ว่าสูงกว่าอิจิโกะเล็กน้อย และดูสูงเกือบๆร้อยแปดสิบก็ว่าได้ จะว่าไป เซนริก็เป็นคนที่ต้องนับว่ารูปร่างสูงทีเดียว ไม่ได้สูงแบบร่างใหญ่อะไร แต่เป็นแบบสูงโปร่งมากกว่า (สูงโปร่งคือไม่อ้วน ไม่กล้ามใหญ่มาก และไม่ผอมเกิน) หาได้ยากทีเดียวแฮะ รูปร่างสูงโปร่ง (ของคุณคนแต่งที่ให้พวกแกเจอหน่อยเซ่)

     

    คาดคะเนจากสายตาทุกคน ก็สูงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบแน่ๆ สูงกว่าเบียคุยะอีก และดูไล่เลี่ยกับอุราฮาร่าทีเดียว

     

    ต่อให้ส่วนสูงจะเป็นเช่นไร แต่ว่า เรื่องที่น่าหนักใจคือพลังวิญญาณที่แผ่ออกมานั้น รู้สึกสะท้านอย่างไรชอบกล เด็กหนุ่มค่อยๆขยับลำคอที่แข็งเกร็งไปทางคนที่ต้องมาช่วย ซึ่งฮานะทาโร่หมดสติไปแล้ว ร่างระหงหันมาจ้องด้วยสายตายากบรรยาย แต่เป็นคนที่นิ่งไว้ก่อน เธอเป็นหญิงสาวที่ดูอายุไม่เกิน18ปี และมีใบหน้าที่งดงาม ผมที่ปล่อยยาวระพื้น

     

    ทางนี้อีกคน พลังวิญญาณไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

     

    ออกจะสูงมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

     

                "ฉันยังไม่ได้เอาคืนนายเลยซะด้วยซ้ำ"อิจิโกะหันมาบอก อย่างจำได้ หนอย ไอเข็มนาฬิกาบ้าทำเอาปวดและชาไปทั่ว อีกอย่าง ถ้าหยุดเซนริได้ การประหารก็ต้องจบ

     

    อีกฝ่ายยังคงนิ่ง ใบหน้ารูปสลักเริ่มมีแววที่รำคาญอยู่

     

                "และฉันจะไม่ยอมให้การประหารนี้เกิดขึ้น"บรรยากาศมาคุเริ่มกระจายไปทั่ว มาซาฮิโระเลื่อนมือไปกุมดาบทันที เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาคงจะห้ามไว้ก่อนเป็นแน่ ส่วนที่เหลือก็ถอยออกไปห่างๆ ร่างสูงประจันหน้ากัน แม้บรรยากาศมาคุมากๆ แต่คนๆหนึ่งกลับคิดไปอีกอย่าง ดวงตาสีไพลินคมมองคนทั้งคู่อย่างเคร่งเครียด ร่างสูงระหงที่ไม้แม้แต่จะขยับตัวไปไหน เพียงแต่มองคนทั้งคู่อย่างวิเคราะห์

     

    จริงอยู่ที่อิจิโกะเป็นตัวแทนยมทูตที่สามารถปลดปล่อยขั้นบันไคและมีดาบฟันวิญญาณเล่มโต รวมถึงมีพลังไวเซิร์ดมากมาย

     

    แต่ว่า นั่นมันไม่พอ เซนริ ยังไม่ฟื้นตัว พลังวิญญาณถูกกดจนเหลือน้อยมาก และยิ่งบาดเจ็บ แต่การทำให้ใครก็ตามบาดเจ็บ แค่ดีดนิ้ว ทุกอย่างที่อ่อนแอก็สลายได้ในทันที ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะฝีมือและพลังวิญญาณ พลังวิญญาณที่แม้แต่เครื่องวัดยังไม่อาจจะวัดได้ ความสมดุลทางด้านทักษะต่างๆ และ การที่เขาทำพันธะสัญญากับยูกิ ทำให้ได้พลังวิญญาณด้านอสูรมาบางส่วน และยูกิได้พลังของเพนักรบไปบางส่วน เป็นการแลกเปลี่ยน นั่นทำให้เขาน่ากลัวขึ้นมาได้

     

    เจ้าเด็กนั่น มันคิดอะไรของมัน...

     

    ยูกิคิดในใจ แล้วหันมาทางมาซาฮิโระที่เป็นรุ่นน้อง ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเป็นเชิงว่า เดี๋ยวจัดการให้ โชคดีที่มาซาฮิโระอยู่

     

    ไม่งั้น รับรองเจ้าหนูผมส้มมันกลายเป็นประจุวิญญาณแน่ๆ

     

    ดวงตาสีไพลินกวาดมองที่มือของเซนริ ถ้าไม่ใช้มันก็คงจะดีนะ แต่ถ้าใช้ เรื่องก็จะจบ รึเปล่า...

     

                "สงสัย รอบนั้น คงจะหยุดไม่พอ"เป็นครั้งแรกที่เขาคนนั้นพูดออกมา และในมือก็ปรากฏประจุวิญญาณที่มาบรรจบกัน เล่นเอาแต่ละคนหน้าซีด ยูกิแทบจะสะท้าน แต่ทว่าก็หยุดเพราะรู้ว่าใครจะมาต่อ พลังวิญญาณที่ค่อยๆปลดปล่อยกลับมีผ้าสีขาวพุ่งมาพันไว้ เซนริเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชาก่อนที่ร่างเขาจะหายไปแล้วปรากฏอีกที่ ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียว

     

    ร่างของสตรีคนหนึ่งผิวสีเข้มกระโดดลงมาจากบนฟ้า แล้วมองชายผ้าขาวที่คาดกระจุย

     

                ชิโฮอิน โยรุอิจิ ชักเท้าไปทางด้านหลังแล้วย่อตัวให้สามราชวงศ์

     

                "ไม่ได้พบกันนานนะเจ้าคะ ท่านเซนริ ท่านมาซาฮิโระ ท่านโทโอยะ"

     

    ดวงตาสามคู่หันมามองคนพูดเป็นตาเดียว สายตาเย็นชา นิ่งเฉย และอบอุ่นหันมา มอง

     

    บางที โยรุอิจิคนนี้อาจจะคิดผิดก็ได้ ที่ต้องมาลากตัวเด็กๆกลับไป เพราะแค่เห็นแบบใกล้ๆตอนนี้ก็แทบจะเข่าอ่อนอยู่แล้ว

     

     

     

     

    บรรยากาศที่กดดัน หนักอึ้ง น่ากลัว โดยเฉพาะสายตาของราชวงศ์ทั้งสาม ถึงอีกคนจะเป็นนักโทษแต่สายตายังน่ากลัวที่สุดไม่เปลี่ยนแปลง

     

    แม้แต่อุคิทาเกะยังตกใจกับการปรากฏตัวของอาคันตุกะคนสุดท้ายที่ไม่คิดว่าจะโผล่มาเหมือนกัน แต่จะตกใจก็คงจะแปลก เพราะการประชุมสี่ตระกูลใหญ่ก็พึ่งจบไปสังเกตจากเบียคุยะที่กลับมาแล้ว

     

                "ชิโฮอิน โยรุอิจิ หัวหน้าตระกูลชิโฮอิน เจ้าของฉายา เทพพริบตา"มาซาฮิโระพูดเนิบๆ ขณะที่มือขวายังกุมปลายดาบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น  ถึงแม้เด็กหนุ่มจะดูเด็กและอ่อนเยาว์ แต่ทว่า เป็นเด็กจิตใจดีมากทีเดียว ถึงจะมีท่าทางแฝงความเด็กๆ แต่การวางตัวก็ใช่จะไม่มี ร่างสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปราดตามองแต่ละคนอย่างใช้ความคิด

     

                "คุณโยรุอิจิ"อิจิโกะพูดช้าๆ คนถูกเรียกหันมาทันที ก่อนจะใช้คิโดและยากระแทกใส่บาดแผลให้เด็กหนุ่มสลบไป

     

                "ลูเคีย"

     

    ยมทูตสาวรับร่างของอิจิโกะได้อย่างทันท่วงที โยรุอิจิเดินไปจับเด็กสองคน

     

                "ข้าไม่มีเวลามาต่อกรกับพวกท่าน"เธอพูด ก่อนจะใช้ก้าวพริบตาไปที่ระเบียงสีแดงของหอสำนึกผิด ก้าวที่ทั้งรวดเร็วซึ่งแม้แต่คุจิกิ เบียคุยะยังตามไม่ทัน แต่ ราวกับหัตถ์เทวะฉุดกระชาก ทำให้สมาธิในการก้าวเสียไปทันที โยรุอิจิหันมามองพลังวิญญาณอย่างตกตะลึง แต่ก็ใจดีสู้เสือไว้ก่อน ร่างเล็กของเธอประจันหน้ากับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งวังราชันย์แห่งโซลโซไซตี้

     

                "แต่ว่า ข้าจะฝึกเจ้านี่ให้เก่งขึ้นจนสู้กับท่านได้ จะใช้เวลาจนถึงวันประหารจะมาถึง..."

     

    เซนริไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็คลายสภาพป้องกันการใช้วิชาก้าวพริบตาหรือชุนโปะไป ทำให้คนสามคนได้หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เรื่องหมดไป สภาพกดดันก็คลายทันที คิโยเนะและเซนทาโร่ถอนหายใจอย่างหมดปอด แล้วรีบขอหัวหน้าไปพักทันที อุคิทาเกะจะยังอยู่ต่อ เพราะจะดูท่าที แต่ท่าทางคงจะปลอดภัยแล้ว ฮานะทาโร่ นักสู้ลำดับที่เจ็ดเองก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

     

                "ตอนที่คลายความตึงเครียดลง ทุกอย่างก็โล่งไปหมดเลยสินะ"อุคิทาเกะพึมพำส่วนเบียคุยะหายตัวไปเรียบร้อย คาดว่าต้องไปเคลียร์เอกสารต่อ

     

    ใช่ บรรยากาศผ่อนคลายอย่างที่ต้องการที่สุด

     

    ตึง...

     

    ได้ยินเสียงบางอย่างล้ม เจ้าหญิงทายาทโซเคนโยล้มลงไปเพราะควบคุมพลังไม่ได้ แล้วเจอความตึงเครียดจึงทำร้ายตัวเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แขนขวามีของเหลวสีแดงข้นไหลซึม แต่ยังดีที่เหมือนคนที่เงียบมาตลอดจะรู้ทันเลยรับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด สิ่งที่ส่งผ่านฝ่ามือของเซนริมานั้น บ่งบอกได้ถึงคำว่าวินาทีเกือบวิกฤต ถ้าเขาไม่รีบคลายเขตแดนพร้อมคนอื่นๆ ดวงตาทวารบาลจะเปิดออกมาแล้วอสูรร้ายจะตื่นขึ้น

     

    ดวงตาสีฟ้าเข้มหลุบต่ำลง ไม่มีใครสังเกตุเลยว่า สิ่งที่เขาจำใจทำใส่ทุกคนนั้น มันทำให้คนที่เย็นชาตายด้านไร้จิตใจ เริ่มมีแววตาแห่งความเจ็บปวด ยามที่มองเพื่อนคนสำคัญ ที่ต้องถูกประหารโดยที่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เลย

     

    แต่ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้ สิ่งที่เขาได้สูญเสียมันไปแล้ว แต่สำหรับบางคนนั้นรู้คำตอบ

     

    สิ่งที่เขาทำผิด ไม่ใช่แค่ไม่ได้ลงมืออะไร แต่สิ่งที่สำคัญและควรจะแก้ไข คือ การที่ทรยศต่อหัวใจตัวเอง

     

    มาซาฮิโระที่สังเกตสถานการณ์เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกไป แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่ที่ไหน นอกจากที่ๆปิดตายมานานมากพอสมควรและสถานที่ที่ยมทูตทั่วๆไปมิบังอาจเข้าไปล่วงล้ำมันได้

     

    ร่างสูงโปร่งที่ก้าวยาวๆมาถึงหน้าอาคารสูง ที่เคยเก็บตราล้างโลกของพวกเผ่าพันธุ์อมตะ เบาท์ (อยู่ในบลีชภาคเบาท์ตอนคาริยะจะใช้ตราล้างโลก) ดวงตาที่ยังไม่คมเท่าไหร่เพราะยังไม่โตเต็มที่ เขากวาดมองรอบๆบริเวณนี้ด้วยสายตาพิจารณา เด็กหนุ่มกางมือออกหนังสือก็ค่อยๆลอยมาหาเขาด้วยพลังวิญญาณที่ดึงมาหา

     

    หนังสือบันทึกวิญญาณที่เปิดอัตโนมัติ สายตาที่เขามองมานั้นแสดงถึงความแน่ใจเต็มที่ และยิ่งอ่าน แววตายิ่งฉายชัดเสร็จ ก็เดินก้าวพริบตาไปที่สี่สิบหกห้องวังกลาง ดวงตาที่ฉายแววไม่ชอบใจอยู่

     

                "วังกลางสี่สิบหกห้อง พวกคุณคือใครกันแน่"

     

    ไม่มีเสียงตอบกลับมาอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ มาซาฮิโระชักดาบฟันวิญญาณออกมา แล้วกระแทกใส่ประตู พลังวิญญาณที่พุ่งออกมาแล้วกลายเป็นประจุดึงประตูให้เปิดออก แต่พอเข้าไปถึง สัมผัสบางอย่างก็ทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึง!

     

                "เก่งจริงนะ ท่านโคฮากุ มาซาฮิโระ"เสียงนั้น ไม่ผิดแน่ เขาคนนั้นคือ....!

     

    ......

     

    ปั่น เอิ้บ เหนื่อย เครียดการเรียนมากมาย ร.ร.เริ่มไร้เหตุผลทุกที กับบางกฎระเบียบ ก็เข้าใจอยู่นะว่าถ้าไม่รักษากฎจะไปอยู่โลกภายนอกได้ยังไง เรื่องแค่นี้ก็รู้ดี แต่ถ้ากฎมันมากเกินไปน่ะ ก็หัดเพลาๆลงซะบ้าง แต่ละคนมันเดินทางสายกลางเป็นมั้ยน่ะ ระวังเถอะ เด็กหลายคนจะเริ่มมองกฎที่เคร่งเกินไปในทางที่ไม่ดี

     

    ภาษาเรียนยาก เหนื่อย เครียด ไม่มีอะไรอยากพูด จะรีบปั่นให้จบ และคาดว่าจะไม่เกินเดือนกรกฎาคมนี้ หากเราสามารถทำได้หรืออาจเลทไม่กี่วันเท่านั้น

     

    ถ้าไม่มีปัญหาที่ร.ร.มาก (ไม่ใช่เด็กผิดระเบียบนะ) การอัพของคนแต่งเอง จะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ การอัพของเราทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความคิดของอาจารย์ที่จะสั่งการบ้านเด็กเยอะรึเปล่าแหล่ะ และเราจะเว้นช่วงไปหลังสอบกลางภาค แล้วมาต่อภาคสามใหม่ เป็นอันเข้าใจนะ

    ...................................................................

     

                ความเจ็บปวดและกระดูที่เคลื่อนดังลั่นกร๊อบๆ ทำให้เด็กหนุ่มผมส้มต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ โยรุอิจิยืนกอดอกจ้องเขม็ง ดวงตาสีเหลืองอำพันเรียวคมจ้องอย่างเย็นชาและเข้มงวดไปตามๆกัน

     

                "หาเรื่อง"นั่นคือคำแรกที่ถูกพูดตรงๆออกมาจากผู้นำตระกูลชิโฮอิน อิจิโกะถึงกับเบ้หน้า ก็หาเรื่องจริงๆนั่นแหล่ะ แต่คนมันหมดความอดทน หรือที่เรียกกันอีกนัยน์ว่าวัยรุ่นใจร้อน ร่างสันทัดของเด็กหนุ่มนั่งเท้าคาง

     

                "เจ้าน่ะ อยากจะเอาชนะเจ้าชายฮายาเตะ เซนริงั้นหรอ"

     

    โยรุอิจิถามตรงๆซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้ารับว่าใช่ ทำให้ผู้นำสาวถึงกับถอนหายใจเฮือก กับความเลือดร้อนของเด็กสมัยนี้ ในใจนึกอยากจะจับเจ้าอิจิโกะไปผวนเวลาซะจะได้ใจเย็นเสียหน่อย แต่ก็แอบสังเกตในใจอยู่ ว่าอิจิโกะ มันผู้ชายเตี้ย... (คนแต่งว่าอิจิโกะไม่ได้เตี้ยหรอกมั้ง แต่พวกราชวงศ์มันเปรตเสาไฟฟ้า)

     

                "เป็นวิธีที่ไม่สามารถเป็นไปได้เลย"หญิงสาวเอ่ยเรียบๆ "ยกเว้นแต่ว่า นายจะมีSOT[Spirit of Talent] ถึงจะเอาอยู่ แต่จะต้องมีเลเวลไม่ต่ำกว่า7"

     

    หะ หา... SOT Level7?????

     

    โยรุอิจินิ่งคิดไปสักครู่ ก็สั่งให้อีกฝ่ายนั่งลง ส่วนลูเคียเองก็กลับไปบ้านคุจิกิก่อน (อันเนื่องมาจาก ถูกใช้ให้ทำบางอย่าง) และคาดว่าเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้เสียด้วย หญิงสาวกอดอกยืนแล้วอธิบายคร่าวๆ

     

    Spirit of talent แปลตามตัวภาษาอังกฤษแล้ว ก็แปลว่าจิตวิญญาณแห่งความสามารถพิเศษ (เฮ้ๆ แปลให้แล้วเน้อ จะได้ไม่ถามว่าแปลว่าอะไรอีก)ไม่ใช่พลังจิตหรือพลังธาตุอะไรทั้งนั้น SOTนั้น เกิดจากการฝึกฝนทางด้านพลังวิญญาณมาก และมีพรสวรรค์ทางด้านใดด้านหนึ่งจากนั้นเอาพลังวิญญาณมาประยุกต์ และพลังวิญญาณต้องไม่ใช่พลังวิญญาณที่เคยแปดเปื้อนมาก่อน อาทิเช่น ฮอลโลว์ล้วงความทรงจำเป็นต้น ตอนที่ก่อตั้งระบบของโซลโซไซตี้ ถ้าจะควบคุมให้สมดุลจำเป็นจะต้องใช้ความสามารถพวกนี้ในการค้ำจุนและถ่วงสมดุลของโลกทุกโลก แล้วต่อมาจึงแต่งตั้งหน่วยองครักษ์ขึ้น

     

    หัวหน้าหน่วยทุกคนของหน่วยองครักษ์ถ้าจะเป็นหัวหน้าได้จำเป็นจะต้องเชี่ยวชาญด้านSOTเป็นอย่างมาก และแน่นอน SOTจะต้องแบ่งออกเป็นแปดระดับ

     

    Level1 can control basic of your power

    Level2 Practice and understand about your SOT in 25%

    Level3 Practice and understand about your SOT in 50%

    Level4 Practice and understand about your SOT in 75%

    Level5 Practice and understand about your SOT in 100% [Satoru; Minova]

    Level6 Can imagine how to use in every action when you fight [Keigo; Kain; Senna]

    Level7 Control power be like as part of your body [Mazahira; Akiko; 12 shinshou of 1 of 2 Protector squard]

    Level8 Control power be like as part of your body and can change into another SOT in short time. (10 minutes)[Shimizu; Mazako; Mijinaga; Seimei; Sayuri]

     

    Special caste

    Level between7-8[estimate I think 7.5] Control power be like as part of your body and can change into another SOT in short time. (5 minutes)[Senri; Tooya(Yuki); Zero; Lenya; Kianji; Zanada; Yuuto]

     

    Episode38 การฝึกในห้องใต้ดินอีกครั้ง

     

               

                "อะ เอ่อ"นักเรียนจำเป็นยกมือขึ้นทันที "ทำไมชื่อมันเป็นอังกฤษหมดน่ะ ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจนะ"

     

    โง่ เซ่อ เบื๊อก บ๊อง....สารพัดคำว่าของโยรุอิจิถูกถ่ายเทออกมาในใจและทางสายตา คำง่ายๆมันยังไม่พอใจอีก คิดแล้วกลุ้มแฮะ

     

                "เอาเป็นว่า สนใจแค่ระดับเจ็ดขึ้นไปพอ พวกนี้สามารถใช้พลังวิญญาณหลอมกับความสามารถพิเศษจนทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายได้ ผิดกับอาวุธ แต่โชคดีที่อาวุธของท่านเซนริไม่ใช่เหล็กที่ตีแบบเดียวกับของคุนะยูกิ ไม่งั้นไม่มีทางชนะไปใหญ่ ส่วนวิถีมารเจ้าใช้ไม่เป็นอีก ก็คงต้องฝุกอัดพลังวิญญาณแล้วฟันให้ได้ภายในห้าวินาทีแรก"โยรุอิจิแจกแจง แต่ทำให้อิจิโกะถึงกับอึ้ง เก็ทสึงะเท็นโช จำเป็นต้องใช้เวลาในการรวมพลัง แค่สิบวินาทียังทำไม่ได้ แล้วห้าวินาทีจะทำได้ไง

     

    ดูเหมือนหญิงสาวจะอ่านสายตาออก

     

                "ห้าวินาทีคือขั้นแรก ขั้นต่อไปจะต้องสามวินาที"

     

                "หา"

     

                "ไม่ต้องมาหา เหอ อะไรเลย นี่โหมดจริงจัง แต่ถ้าคิดว่าเร็วไป เจ้าต้องฝึกก้าวพริบตาให้เร็วได้กว่านี้อีกเท่าตัว จะทำให้หลบการโจมตีได้ระดับหนึ่งได้ ข้าจะให้เจ้าเรียนทฤษฎี แล้ววันถรุ่งนี้จะเริ่มภาคปฏิบัติ เข้าใจมั้ย"น้ำเสียงเฉียบขาด แต่ทว่าเข้มงวดถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว อิจิโกะพยักหน้ารับทันที

     

                "เข้าใจแล้ว"

     

    โยรุอิจิใช้ความคิดอย่างหนักในการจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างเต็มที่ โดยมีอิจิโกะนั่งจดโน้ตเป็นระยะ ขณะที่พลิกหนังสืออ่านซึ่งผู้นำตระกูลชิโฮอินบอกว่า ลูเคียฝากมาให้ เป็นข้อมูลพื้นๆเรื่องความสามารถของราชวงศ์

     

                ถ้าจะแปลตรงตัวและเรียบเรียงประโยคใหม่ของระดับเจ็ด ก็คงจะเป็นการสามารถทำให้SOTสามารถควบคุมได้ตามใจนึกและทำงานอัตโนมัติล่ะมั้ง และคงจะแปลงเป็นพลังสายอื่นได้ด้วย

     

    เด็กหนุ่มคิดในใจ

     

                "การที่จะฝ่าด่านในลานประหารก็ค่อนข้างยากอยู่ แต่ว่า ทางหัวหน้าหน่วยบางคนก็แจ้งมาแล้ว

     

    ซุยฟงจะรับมือกับสถานการณ์รอบด้าน

    หัวหน้าฮิตซึกายะ แห่งหน่วยสิบจะช่วยอีกแรง ที่เหลือจะหยุดโซเคียคุถ้าทำได้ ดังนั้นก็จะเหลืออีกคน คือท่านเซนริ และเขา ต้องลงมือแน่นอน ถ้าไม่ติดที่ว่า โทษกักบริเวณล่ะนะ"หญิงสาวมีสีหน้าใช้ความคิด

     

    โทษกักบริเวณถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การกักสถานที่และห้ามทำใจตัวเอง เหมือนกับการกักขังดีๆ แต่จะไปโทษขุนนางมันก็คงจะไม่ได้ ในเมื่อปกติราชวงศ์ระดับรัชทายาท เสนาธิการ จะไม่ค่อยให้อิสระเท่า ส่วนคุนะยูกิหรือโซเคนโย จะเป็นการปล่อยยถากรรมอีก (ปล่อยตามเวรตามกรรม ไปตายที่ไหนก็ไป) แต่การที่ได้ไปนู่นมานี่ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ว่า... ทำไมต้องกัก

     

    นั่นเป็นปัญหาที่ยังค้างคาใจอยู่เสมอ

     

    หรือถ้ามองในอีกแง่ ความสัมพันธ์ของราชวงศ์คุนะยูกิ ที่เป็นถึงอันดับหนึ่งและปัจจุบันเหลือไม่ถึงสิบคน และราชวงศ์ฮายาเตะ ที่ค่อนข้างไม่ค่อยยุ่งกับใครมากมายนัก...

     

    อันดับหนึ่งที่อันตรายและไม่ค่อยยุ่งกับใคร จุดเด่นของสองราชวงศ์ แต่ที่น่าแปลกคือมันเข้ากันมาได้ หรือจะเป็นเพราะเซนริและยูกิเป็นเพื่อนสนิทกันก็ใช่อยู่ แต่ถึงคนในจะมองอย่างเอ็นดู หรือใครก็ตามที่รู้จักก็ตาม ไม่ว่ายังไงก็ต้องดูออก แต่สำหรับคนนอก อย่างพวกขุนนาง จะว่าไป ก็ตะหงิดๆ สองคนนี้ สนิทกันมาก ปกติเพื่อนมันเป็นได้ไม่เกินสิบปีเท่าไหร่ น้อยนักที่จะมี และทำงานด้วยกันแบบนี้

     

    อีกคนก็หล่ออย่างกับเทพบุตร ถึงจะไม่ค่อยยุ่งกับเพื่อน แต่เซนริ จัดว่าเป็นคนหน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง ไม่สิ หล่อผิดมนุษย์ โดยเฉพาะใบหน้ารูปสลักนั่น แค่เห็นก็ละลายหัวใจสาวๆได้มากโข อาจยกเว้นยูกิและอากิโกะที่เห็นมาจนเบื่อ (ความจริงยูกิเบื่อคนเดียว)

     

    อีกคน สวยงดงาม และดูสูงศักดิ์ แค่มองก็เห็นถึงความไม่ธรรมดาแล้ว ความคิดอ่านที่ก้าวไกล แต่ดูเผินๆก็เป็นสาวน้อยหน้าตาสวยงดงามวัยรุ่นวัยแรกแย้มอยู่ดี

     

    พอเอามารวมกัน โยรุอิจิพยักหน้ากับตนเอง ก็ชวนเข้าใจผิดได้เหมือนกันแฮะ เพราะเดินไปด้วยกัน ยังเหมือนกับไปออกเดท (สำหรับคนคิดไกล) ทั้งๆที่ ไปทำงาน

     

    ต่างฝ่ายต่างมองคนออก แล้วแบบนี้ จะไปคิดได้ไง ในเมื่อสองคนนี้ เซนริและยูกิไม่ได้เหมือนพระเอกนางเอกในนิยายวรรณกรรมอะไรที่มักจะเซ่อเรื่องพวกนี้ซักหน่อย แต่แค่ไม่ได้สนใจ เพียงแต่ดูออกเท่านั้นเอง

     

                แบบนี้มันจะคิดแค่เพื่อนรึเปล่า แต่ท่าจากภายนอก สี่สิบหกวังกลางคงจะเข้าใจผิด แต่ว่า

     

    โยรุอิจิส่ายหัวไปมา ขอเลิกคิดดีกว่า ปวดหัวกับไอเด็กราชวงศ์ ห้วย...

     

     

     

     

     

                "เจ้านี่อึดใช้ได้"เสียงเล็กๆของคนๆหนึ่งดังขึ้น ขณะที่อิชิดะซึ่งกำลังเหม่อหลังจากตื่นจากการนอนไปรวมกันสามชั่วโมง ตอนนี้เขาอยู่ในหน่วยสิบเอ็ดตามเคย ก่อนจะหันมาทางเสียงคนพูด เด็กสาววัยแรกรุ่น ผมยาวพลิ้วไหว ดวงตาสีกรมท่า และฮากามะที่บ่งบอกถึงความเป็น... ยมทูต...

     

    ดวงตาสีน้ำเงินของควินซี่หนุ่มกวาดมองไปรอบๆตัว ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ คาดว่าคงจะไปรับประทานอาหารร่วมกับพวกเคมปาจิเรียบร้อย และเด็กคนนี้ หน่วยสิบเอ็ดงั้นหรือ แต่ที่น่าแปลกคือ รูปร่างเล็กๆที่ไม่เหมาะซักนิดกับการมาอยู่หน่วยที่เรียกได้ว่า... ป่าเถื่อน... และมีแต่คน... โรคจิต

     

    แต่สายตาสีกรมท่ามันคุ้นๆเหมือนกับสายตาของหัวหน้าห้องที่ส่งให้เปรี้ยงๆๆๆๆ บ่อยๆ

     

                "ฟุยุโซระ นิกโกะ แห่งหน่วยที่หก"เธอคนนั้นเอ่ยตอบ เธอคือน้องสาวของคาโฮโกะนั่นเอง เด็กหญิงกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ไม้ แล้วหมุนเก้าอี้ไปมาอย่างสนุกสนาน ดูๆแล้ว คงจะอายุประมาณ13-14ปี ไล่เลี่ยกับมาซาฮิโระและอากิโกะ เพียงแต่สองคนนั้นสูงกว่ามาก อิชิดะประเมินนิกโกะในใจ หน่วยหก จะเรียกได้ว่ามีคนทุกประเภทหรือเปล่า...

     

    หัวหน้าหน่วยเย็นชา

     

    รองหัวหน้าหน่วยติ๊งต๊อง (โดนเร็นจังกระทืบ)

     

    เจ้าชายรัชทายาท

     

    เจ้าหญิงผู้หายสาบสูญไปนาน

     

    ท่านหญิงความทรงจำศักดิ์สิทธิ์ (Memory Rosary)

     

    หัวหน้าห้อง

     

    นักสู้ลำดับที่ห้าที่นิสัยเรื่อยๆไม่มีอะไร

     

    และ

     

    เด็กคนนี้...

     

    เย็นชา ติ๊งต๊อง สุขุม ฉลาดเป็นกรด เรียบร้อย สาวเปรี้ยว คนซื่อ เรื่อยๆ...

     

    =,,,,= หน่วยที่พิลึกที่สุดในโซลโซไซตี้แล้วมั้ง ไม่สิ ยังมีเจ้าหน่วยบ้าบอคอแตกอย่างหน่วยองครักษ์อีก

     

    เหล่าเทพนักรบ...

     

    เทพนักรบที่สงสัยมากๆว่าเป็นเทพจริงหรือเปล่า ดูเป็นมิตรดี ผิดกับที่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง

     

    แต่บางที ภายนอกอาจดูน่ากลัว แต่ภายในนั้น ตรงกันข้าม

     

                "ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่"เด็กหนุ่มตัดสินใจจะถาม

     

                "ก็แค่ แจ้งข่าว"นิกโกะยักไหล่อย่างไม่สบอารมณ์ "คุโรซากิ อิจิโกะตัวแทนยมทูต ประกาศท้าสู้กับท่านเจ้าแห่งสายลมและกาลเวลา ฮายาเตะ เซนริ ส่วนสถานที่ยังไม่สามารถรู้ได้ชัด"

     

    เด็กหญิงพูดรวบรัดทันที แต่ทำเอาคนรับข่าวสารถึงกับเบิกตากว้าง

     

                "ในอีกสามวัน เท่าที่ชิโฮอิน โยรุอิจิ หัวหน้าตระกูลชิโฮอิน หนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางใหญ่ขอต่อเวลา แต่คาดว่า วังกลางคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ทำการประหารของพวกเขาต้องเลื่อนออกไป ข่าวนี้ ไปขอตรวจสอบจากท่านพี่ลูเคียแห่งตระกูคุจิกิ ดังนั้น คงรู้เรื่องชัดๆแล้วสินะ"

     

                "แล้วเธอมาแจ้งฉันทำไมล่ะ"

     

                "ก็ถ้าเพื่อนตัวเองต้องเสี่ยงตาย จะต้องแจ้งข่าวไว้ไม่ใช่หรือไง ดูเหมือนว่า เพราะความรับข่าวไม่ค่อยทันทำให้ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหัวหน้าห้องตัวเองรึไง"

     

    ถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ทำให้อิชิดะนิ่งคิด ไม่เหมือนหัวหน้าห้องเลย ถ้าคาดๆจากนามสกุลและหน้าตาก็คงจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นพี่น้องที่...

     

    ต่างกันมากทีเดียว...

     

    ใช่ หัวหน้าห้องเขา ฟุยุโซระ คาโฮโกะ กดพลังวิญญาณไว้จนเขาดูไม่ออก เลยคิดว่าเป็นคนธรรมดา เขาน่าจะเอะใจ ที่ก่อนคุณคุจิกิยังไม่มาที่เมืองคาราคุระ และคุโรซากิที่ไม่ได้เป็นยมทูตในตอนนั้น และเขาที่ไม่ได้ปราบฮอลโลว์ หรือแม้แต่พวกคุณอุราฮาร่าก็ไม่ได้เคลื่อนไหว

     

    เขาน่าจะเอะใจว่าทั้งๆที่ไม่มีใครเคลื่อนไหวเท่าที่จับพลังวิญญาณได้ แต่กลับไม่มีฮอลโลว์เลย คำตอบจะต้องเป็นหัวหน้าห้องเขาแน่ๆ ที่เป็นคนลงมือ และสังเกตได้ว่า เจ้าตัว อยู่มาตั้งแต่เปิดเทอมเลย

     

                "พอเข้าใจหรือยังล่ะ แล้วก็เจ้ายังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะดูสภาพแล้ว พักอีกอาทิตย์ และตอนนั้นการประหารคงเสร็จสิ้น แล้วพวกเจ้าจะมีเวลาพักอาทิตย์หนึ่งหรือน้อยกว่านั้นแต่ไม่เกินสองวันก่อนจะเปิดเทอมใหม่ ข้าได้แวะไปที่โรงเรียนคาราคุระแล้ว และขอเอกสารจากท่านพี่มาดู อาจารย์ใหญ่เจ้าได้เขียนไว้ว่า จะไม่มีการเรียนการสอนที่โรงเรียนคาราคุระตั้งแต่ภาคการศึกษาปีนี้เป็นต้นไป แต่จะย้ายที่ไปที่จังหวัดอื่น ส่วนตั๋วชิงคังเซนก็แนบมาให้เจ้าเรียบร้อย หลังจากที่ท่านพี่ไปขอมาจากพวกกลุ่มอาซาโน่ เคย์โงะ"

     

    เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ถ้าไม่ฟังดีๆก็คงไม่รู้ตัว...

     

    แต่ ไม่มีการเรียนการสอนที่ร.ร.คาราคุระตั้งแต่ภาคการศึกษานี้ แสดงว่า จะต้องเรียนที่อื่นไปจนจบปี1 และถ้าแนบตั๋วชิงคังเซนJR Rail Pass มาด้วย แสดงว่าไปต่างจังหวัด และที่รู้กันถึงขนาดนี้จากภายในเซย์เรย์เทย์ ก็คงจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาต้องมาแน่ ความลับมากมายตั้งแต่เขามาโซลโซไซตี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกล้วงความลับทุกอย่างออกมาหมด รวมถึงแผนการ

     

    ตอนนี้เจ้าหญิงโทโอยะถูกขังอยู่ หรือจะเป็นคนบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะคนแบบนั้นที่เก็บงำทุกอย่างได้แต่เป็นคนดีน่าคบนั้น ย่อมดูพวกเขาออก แต่ถ้าถูกขัง ก็คงจะมีเปอร์เซ็นน้อยที่เขาจะทำงานภายในได้

     

                "ฟุยุโซระ นิกโกะ"อิชิดะตัดสินใจที่จะถาม ขณะที่พยายามคาดเดา คนถูกเรียกพยักหน้าเป็นเชิงให้พูด

     

                "นอกจากเจ้าหญิงโซเคนโย โทโอยะ แล้ว ยังมีใครที่สามารถคิดแผนการได้เหมือนกันอีกมั้ย"

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×