[fic sherlock holmes] The secret of Watson's diary.
ผู้เข้าชมรวม
1,824
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Title : The secret of Watson’s diary. Warning Yaoi!!
Author : ++YuHankunG ++ (gloomygirl_loveless@hotmail.com)
Fandom : Shrelock Holmes
Pairing : watson x hlomes
Rate : PG-15
Category : Drama
.มีคนเคยว่าเอาไว้ ความจริงย่อมต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ และความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่สำหรับตัวผมแล้ว นั่นมันขึ้นอยู่กับว่า....เป็นความจริงของใครต่างหาก...
หลายปีมานี้ผมได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข อย่างที่ครั้งหนึ่งผมเคยฝันไว้ให้เป็นเช่นนั้น ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ไม่มีคดีที่ต้องเสี่ยงชีวิต ไม่มีการเข้าไปพัวพันกับองค์กรก่อการร้ายระดับชาติ ไม่มีแม้แต่ความตื่นเต้น ช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายแสนจะธรรมดาเสียจนน่าเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ
ตัวผมในตอนนี้มีกิจการที่เจริญรุ่งเรือง ฐานะทางสังคมที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น ภรรยาที่อ่อนหวานเรียบร้อย ลูกที่น่ารัก มีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงจะมี แต่ตัวผมเองกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า ความสุขเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในครั้งอดีตที่เคยได้สูญเสียไปนั้นไม่มีวันที่จะหาสิ่งใดมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้อีก
และนี่ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด....
มันเป็นคือหนึ่งในช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิของปี 18xx ในวันนั้นมีอาคันตุกะที่ทำให้ผมต้องประหลาดใจมาเยือนผมถึงคลินิก เขาไม่ใช่ใครอื่นเลย คู่หูเพียงหนึ่งเดียวของวัตสัน....เชอร์ล็อก โฮล์มส์
โดยปกติแล้วหลังจากที่ผมแต่งงานและออกมาเปิดคลินิกนั้น เขามักจะสะสางคดีโดยลำพังตัวคนเดียว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะมารบกวนชีวิตสมรสของผม แต่ส่วนใหญ่แล้วผมคิดว่าน่าจะมาจากความไม่พอใจต่อการแต่งงานของผมเสียมากกว่า แต่ถึงกระนั้นในบางโอกาสยามที่เขาต้องการเพื่อนร่วมทางไปในการสืบสวน เขาก็มักจะมาหาผมเสมอ เพียงแต่โอกาสที่ว่านั้นเริ่มน้อยลงทุกทีในระยะหลังมานี้
การห่างกันไปของเราทั้งสองคนผมไม่ขอปฏิเสธว่าย่อมก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเราทั้งคู่ แต่ในด้านความรู้สึกแล้ว อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่สำหรับผม เขาคือคนสำคัญเสมอ และผมก็คิดว่าเขาคงจะคิดเช่นเดียวกันกับผมด้วย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจในครั้งนี้ไม่ใช่การมาเยี่ยมเยียนในยามค่ำคืน แต่เป็นเพราะสภาพร่างกายของเขาต่างหาก เขาดูผอมบางและซีดเซียวมากเสียยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับซูบซีด ดวงตาคมกริบที่ผมหลงใหลยังคงงดงามและแฝงไปด้วยความฉลาดลึกล้ำเพียงแต่ในครั้งนี้ความเหนื่อยล้าและอิดโรยดูจะเปิดเผยให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
“ใช่ ผมอาจจะทำงานหนักไปหน่อย หมู่นี้ผมออกจะเครียดอยู่ซักหน่อย” เขาตอบออกมาเมื่อเห็นแววตาที่ประหลาดใจระคนตกใจของผม “คุณจะว่าอะไรไหมหากผมจะขอปิดหน้าต่าง” โฮล์มส์ไม่ใช่คนที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นผมพยักหน้าตอบตกลงในทันทีแล้วนั่งเงียบๆรอฟังเรื่องสำคัญที่เขากำลังจะบอกต่อไป
แสงไฟจากตะเกียงที่ถูกจุดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่างกับห้องนี้ โฮล์มส์จัดการล็อคทั้งหน้าต่างและประตูอย่างแน่นหนา ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทำให้ผมอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“กลัวอะไรหรือ” ผมถามออกไป
“ใช่ ผม กลัว”
“กลัวอะไร?”
“ปืนทางอากาศ”
“ให้ตายเถอะ นี่คุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่น่ะ!!” ผมโพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“คุณก็รู้จักผมดีนี่ ผมดูเหมือนคนประสาทอ่อนงั้นหรือวัตสัน ในขณะเดียวกันผมว่ามันจะเป็นการโง่มากที่จะปฏิเสธอันตรายที่อยู่ใกล้ตัวและกำลังจะมาถึงในไม่ช้าว่ามันไม่มีอยู่จริง”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่??!!!” ผมได้แต่หวังว่าบางทีเรื่องนี้จะเป็นตลกร้าย ซึ่งก็เป็นความหวังริบหรี่เสียเหลือเกินเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา
“ผมต้องขอโทษคุณด้วยที่มาเยือนในยามค่ำคืน แล้วผมก็หวังว่าคุณจะอนุญาตให้ผมออกจากที่นี่ด้วยการปีนกำแพงออกทางข้างหลังด้วย”
“ผมตกลง แต่มีข้อแม้ โฮล์มส์ เรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่!!” เขายิ้มพลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมา แสงจากตะเกียงทำให้ผมเห็นได้ว่ามือคู่นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลและมีบางส่วนที่เลือดยังไม่หยุดไหล
“ผมไม่ได้โกหก เห็นไหมวัตสัน ผมว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ออกนะสำหรับผู้ชายคนนึงที่ต้องถึงขั้นเลือดตกยางออกเนี่ย
แล้วนี่..คุณนายวัตสันอยู่ไหม”เขายิ้มอย่างขี้เล่นซึ่งดูแล้วไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เอาซะเลย
“ไม่อยู่ เธอไปเยี่ยมญาติน่ะ ตอนนี้คุณนั่งคอยอยู่ตรงนี้เงียบๆไปก่อนเถอะ อย่าคิดอะไรแผลงๆ ผมจะไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมา รอตรงนี้ก่อน” ผมรีบผลุนผลันออกจากห้องแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับเจ้าตัวยุ่งที่เหลืออยู่ในห้อง
“ยื่นมือออกมาสิ” เขายื่นมือทั้งสองออกมาให้แล้วยิ้มๆ
“นี่ ขอบคุณนะ วัตสัน” ผมก้มลงทำแผล หลังจากนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเราต่างใช้ช่วงเวลาที่แสนสงบอย่างเงียบๆ ที่จริงแล้วคำขอบคุณของโฮล์มส์ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะแต่เดิมเขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้
“นี่ วัตสันผมคงต้องไปยุโรปซักอาทิตย์ แล้วผมก็คงจะดีใจมากถ้าจะมีใครสักคนร่วมทางไปกับผมนะ” ประโยคนั้นทำให้ผมแอบอมยิ้มน้อย โฮล์มส์ยังคงเป็นโฮล์มส์เขาจะไม่มีวันทำเรื่องเสียหน้าอย่างการขอร้องอะไรทำนองนั้นเด็ดขาด เว้นเสียก็แต่ว่าในเวลาจำเป็น ซึ่งในที่สุดก็เขาจะสามารถถือไพ่ที่เหนือกว่าจากการกระทำนั้นได้เสมอ แล้วถ้าเขาต้องการแค่ใครสักคนในลอนดอนก็มีคนมากมายไม่จำเป็นที่จะต้องถ่อออกมาไกลขนาดเพื่อชวนแค่ใครสักคนตามที่เขาบอกสักนิด
“ไปไหนรึ?”
“ไปไหนก็ได้ ตอนนี้ที่ไหนๆก็เหมือนกันสำหรับผม
..อา..ฝีมือการทำแผลของคุณนี่ไม่เคยตกเลยนะ” ผมเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้ มันไม่ใช่วิสัยของเขาที่จะใช้วันหยุดพักผ่อนอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกว่าตอนนี้ประสาทของเขากำลังเครียดเขม็งเต็มที่
“คุณคงไม่เคยได้ยินชื่อของศาสตราจารย์ เมอริอาร์ตี้ใช่ไหม?”
“ไม่เคย”
“อา...นี่แหละ เป็นความหลักแหลมอันน่าทึ่งของเขาล่ะ....ชายคนนี้ทำให้ลอนดอนปั่นป่วนได้โดยที่ไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย..........” นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อนั้นจากปากของโฮล์มส์ ผมนั่งนิ่งฟังเรื่องราวของสุดยอดอาชญากรที่ที่เขาเล่าให้ฟังอย่างชื่นชม ถึงขั้นยกย่องให้เป็นคู่ปรับชั่วชีวิต บางอย่างในตัวผมกำลังประทุอย่างรุนแรง ผมไม่เคยรู้สึกไม่ถูกชะตากับใครขนาดนี้มาก่อนโดยเฉพาะยิ่งเป็นคนที่ยังไม่เคยเจอหน้าเสียด้วยซ้ำ
“วันนี้คุณค้างที่นี่นะโฮล์มส์” ผมเอ่ยขัดเมื่อเห็นเขากำลังจะกลับหลังจากที่เรื่องเล่าจบลง
“ไม่ได้หรอกวัตสัน คุณก็รู้ มันจะนำอันตรายมาสู่คุณและครอบครัว ถ้าหากผมยืนยันจะพักที่นี่ผมคงจะกลายเป็นแขกที่อันตรายที่สุดในอังกฤษเลยล่ะ” เขาเอ่ยตอบอย่างเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็รู้ แต่คุณจะให้ผมปฏิเสธเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานานได้อย่างไร
“ผมไม่สนโฮล์มส์ แมรี่กับลูกๆของผมอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว คุณไม่ต้องกังวล”
“แต่ผมสน!!! วัตสัน ผมสน ...ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจที่คุณหยิบยื่น แต่ตอนนี้ผมรับมันไม่ได้!!” คงเป็นเพราะความเครียดและเหนื่อยล้าที่สะสมทำให้เขาเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัวทำให้ผมและเขาต่างก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน ผมสาบานได้ว่าผมแอบเห็นความสับสนและไม่มั่นคงลึกๆที่เขาซ่อนเอาไว้
“ผมจะไปด้วยกันกับคุณ” อะไรบางอย่างในตัวผมกำลังร้องเตือนถึงอันตรายจนผมไม่อาจปล่อยเขาไปเพียงลำพัง
“ถ้าเช่นนั้น รถด่วนคอนติเน็นทั่ล เวลาเก้าโมง นั่นคือจุดนัดพบของเรา และก่อนหน้านั้นอยากจะให้คุณช่วยทำอะไรให้ผมสักสองสามอย่างด้วย...............”
เช้าวันรุ่งขึ้นผมทำตามคำสั่งของโฮล์มส์ทุกประการ ก่อนจะมานั่งรอเขาอยู่ในรถด่วนที่ติดป้ายจองไว้ ในตอนนี้ความกังวลเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้น คือยังไม่มีแม้แต่เงาของคู่หู ผมรู้สึกเย็นวาบด้วยความกลัวว่าเขาอาจจะมาไม่ถึงแล้วก็ได้ จนกระทั่งรถไฟเปิดหวูดแล้วประตูทั้งหมดถูกปิดลง ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างตัว
“วัตสันเพื่อนรัก นี่คุณไม่คิดจะหันมาทักทายผมบ้างเลยรึ”
“พระเจ้าช่วย!!!”ครั้งนี้ทำให้ผมประหลาดใจในความสามารถของเขาอีกครั้ง ที่แท้นักบวชชาวอิตตาลีที่ผมเห็นมาตลอดความจริงแล้วคือ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ที่ปลอมตัวมา
“การระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องจำเป็น” รถไฟเริ่มเคลื่อนในขณะที่เราเริ่มบทสนทนาที่ยาวนาน
มันเป็นการเดินทางที่แสนยานานในความรู้สึกเมื่อคุณต้องหนีการตามล่าของใครสักคน แต่โฮล์มส์เชื่อว่าในที่สุดเขาจะต้องชนะ และผมก็เชื่อเช่นนั้นด้วย รถไฟลงจอดที่แคนเทอเบอรี่ เราไปต่อที่เมืองเดี๊ยบ แล้วลัดเลาะเข้าสวิตเซอร์แลนด์สบายๆโยผ่านลักเซมเบิร์ก และบาเซิล ในเช้าวันที่สามเราเดินทางไปถึงสตาบูร์ก โฮล์มส์ส่งโทรเลขถึงตำรวจในลอนดอน และเราก็ได้รับการตอบกลับในเย็นวันนั้น
“ผมน่าจะรู้ดี” เขาคำราม “เขาหนีรอดไปได้”
“เมอริอาร์ตี้รึ??”
“ใช่ ตำรวจจับพรรคพวกของเขาได้หมด ยกเว้นตัวเขาเพียงคนเดียว ดังนั้นผมขอแนะนำให้คุณกลับไปอังกฤษดีกว่าวัตสัน” เราเถียงกันเรื่องนี้อยู่กว่าครึ่งคืนจนผมหมดความอดทนในที่สุด
“เราควรเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณ โฮล์มส์” ผมตะคอกอย่างเหลืออดที่เขาไม่ยอมฟังความเห็นของผมเลย
“นายทำไม่ได้หรอกวัตสัน” เขาพูดเรียบๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ถึงอย่างนั้นแต่ในที่สุดเราก็ยังคงร่วมทางกันต่อไป เราท่องเที่ยวอยู่ที่หุบเขาโรนอยู่อย่างประทับใจเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ ไม่มีใครพูดเรื่องของเมอริอาร์ตี้ขึ้นมาอีก แต่ผมก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่เขาจะลืมเงาร้ายที่กำลังครอบงำเขาอยู่เลย
วันที่ 3 พฤษภาคม เราไปถึงหมู่บ้านเล็กในเมริงเก้น และเข้าพักที่อิงลิชเช่อร์ฮอฟ และในคืนนั้นโฮล์มส์ก็ได้มาเยือนผมที่ห้องหลังจากที่เราไม่ได้สนทนาในยามนี้เป็นเวลานานจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยทำให้พวกเรามักจะใช้มันไปกับการพักผ่อนมากกว่าสนทนากัน
“อา...วัตสัน..คุณหลับรึยัง” เขาเอ่ยเปิดเมื่อเดินเข้ามาภายในห้อง
“ไม่หรอก มีธุระอะไรสำคัญงั้นหรือ” ผมเอ่ยตอบตามปกติในขณะที่กำลังล็อคประตูห้อง
“โฮล์มส์!!!” ผมอุทานเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากเบื้องหลัง
“ขอโทษนะ...แต่ขอผมอยู่แบบนี้สักพักได้ไหม” น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นดูสั่นเครือ แม้แต่อ้อมแขนที่กำลังโอบรัดอยู่นี้ผมก็คิดว่ามันช่างบอบบางเสียเหลือ เรายืนอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่เขาจะค่อยๆถอนตัวห่างออกไป
“คุณไม่สบายรึเปล่า” ผมเอ่ยถาม ชีพจรที่ผมรับรู้จากการโอบกอดเมื่อครู่เป็นจังหวะที่ดูไม่ปกติเอาเสียเลย มันเต้นแรงและเร็วจนน่ากลัว
“บางทีผมอาจจะเหนื่อยเกินไปก็ได้” เขาตอบเบาๆก่อนก่อนจะหันกายจากไป
ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นอยู่ในหัวมันบอกว่า ‘หยุดนะ อย่าไป อย่าปล่อยเขาไป’ รู้สึกตัวอีกทีผมก็กระชากเขาเข้ามาในอ้อมแขนแล้วประกบจูบอย่างดูดดื่ม ก่อนถอนริมฝีปากออกเมื่อเขากำลังจะหายใจไม่ทัน
“โฮล์มส์...ขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยระหว่างเราทั้งคู่อีกหลังจากที่ผมแต่งงานแล้ว
ไม่มีคำตอบสำหรับคำขอโทษของผม โฮล์มส์ยังคงทรุดอยู่บนพื้นพลางหอบหายใจ ราวหมดเรี่ยวแรงแม้แต่มือก็ยังสั่นระริก และนั่นทำให้ผมรู้อะไรบางอย่าง
“โฮล์มส์ .... นี่คุณเสพโคเคนอีกแล้วงั้นรึ.!!!”
“ไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย”
“แต่คุณเคยสัญญากับผมแล้วนะว่าจะไม่ไปยุ่งกับมันอีก คุณก็รู้ว่ามันจะเป็นอันตรายกับตัวคุณเอง”
“คุณเองก็ไม่รักษาสัญญาเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าอยากจะห้ามผมทำไมอยู่ห้ามผมเองล่ะ” เป็นครั้งที่สองที่เราเถียงกันอย่างรุนแรง หลังจากครั้งที่ผมบอกจะแต่งงานแล้วก็ย้ายออกไป
จะด้วยฤทธิ์ของยารึอาการเครียดสะสมหรืออะไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความรู้สึกจริงๆออกมาอย่างชัดเจน ทำให้บางอย่างในตัวผมขาดผึง ผมผลักเขาลงบนเตียงอย่างรุนแรงก่อนจะเริ่มบรรเลงบทรัก ตลอดเวลาที่เรามีอะไรกันโฮล์มส์ตัวสั่นระริกราวกับว่าเป็นครั้งแรก สีหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวด และร้องครางชื่อผมออกมาเมื่อเราถึงจุดสิ้นสุด
“อา...ผมขอโทษโฮล์มส์” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆพลางจูบซับน้ำตาของเขา โฮล์มส์พูดถูก ผมเป็นคนไม่รักษาสัญญา
“วัตสัน..กอดผมที” ผมค่อยๆกอดเขาอย่างทะนุถนอมก่อนจะผล็อยหลับไป ในความฝันผมรู้สึกเหมือนจะได้ยินโฮล์มพูดอะไรสักอย่างที่ได้ยินไม่ค่อยชัด
ในวันรุ่งขึ้นเราเริ่มออกเดินทางต่อกันในตอนบ่ายด้วยความตั้งใจที่จะค้างคืนที่โรเซนลา ในขณะที่เราเพิ่งจะเริ่มออกเดินทางมาได้ไม่นานเท่าใดนัก ก็มีเด็กหนุ่มชาวสวิสคนหนึ่งวิ่งถือจดหมายที่มีตราของที่พักซึ่งพวกเราเพิ่งออกมาเมื่อครู่ มันจ่าหน้าซองถึงข้าพเจ้าโดยเจ้าของโรงแรม ดูเหมือนว่าจะมีสุภาพสตรีคนหนึ่งกำลังป่วยหนัก และมันจะเป็นการปลอบประโลมใจที่สำคัญยิ่งที่จะได้พบแพทย์ชาวอังกฤษเช่นกัน ผมไม่อยากจะปฏิเสธคำขอสุดท้ายของเพื่อนร่วมชาติ แต่ก็ไม่อยากจะทิ้งโฮล์มส์ไว้ตามลำพังเช่นกัน อย่างไรก็ตามในที่สุดเราก็ตกลงกันได้ว่าเขาจะอยู่ชมน้ำตกสักเล็กน้อยก่อนจะไปที่โรเซนลาแล้วเราจะได้พบกันที่นั่นในเย็นวันนี้ โดยเด็กหนุ่มชาวสวิสคนนั้นจะเป็นเพื่อนร่วมทางไปกับเขา
ก่อนที่จะจากมาผมหันกลับไป เห็นเห็นโฮล์มยืนหลังพิงก้อนหิน เอามือกอดอกเพ่งมองลงไปที่กระแสน้ำด้วยสายาที่เด็ดเดี่ยว ในตอนนั้นผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่านั่นจะเป็นภาพสุดท้ายที่จะได้เห็นเขาบนโลกนี้ และเมื่อผมเดินไปจนถึงปลายเนินก็พบว่ามีชายชุดดำคนหนึ่งดินสวนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ไง”เอ่ยผมเอ่ยทัก “หวังว่าอาการของเธอคงจะยังไม่ทรุดหนักกว่าเดิมนะ”
แววตาแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเจ้าของที่พัก เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ และนั่นก็ทำให้หัวใจผมแทบจะกลายเป็นหินไปในทันที
“คุณไม่ได้เขียนจดหมายนี่รึ? ไม่มีผู้ป่วยซึ่งเป็นชาวอังกฤษอยู่หรอกรึ”
“ไม่มีนี่ครับ” เขาตอบ
“แต่มันมีเครื่องหมายของที่นี่ในจดหมายนะ”
“อ๋อ...คงจะเป็นผู้ชายอังกฤษตัวสูงๆที่มาถึงที่นี่หลังจากที่พวกคุณจากไป......” ไม่ทันรอให้เจ้าของโรงแรมอธิบายจนจบ ผมเร่งฝีเท้าสุดกำลังเพื่อกลับไป...มันเป็นกับดัก...ไม่มีทางที่โฮล์มส์จะไม่รู้แต่ที่เขาไม่บอกแสดงว่าต้องการจะกันผมออกไปซึ่งถ้าเขาทำเช่นนั้นชายคนนั้นต้องเป็นเมอริอาร์ตี้อย่างไม่ต้องสงสัย
กว่าที่ผมจะกลับมายังน้ำตกไรเซนบาคอีกครั้งก็ต้องใช้เวลาราวๆสองชั่วโมง ย่ามที่ใช้ใส่ข้าวของในการเดินทางของโฮล์มส์ยังคงวางพิงอยู่ แต่ไม่มีวี่แววของเขา ไม่ว่าจะตะโกนร้องเรียกอย่างไรก็ไร้ผล คำตอบเดียวที่ผมได้รับก็คือเสียงสะท้อนจากหน้าผารอบด้าน
ผมยืนรวบรวมสติสติอยู่สองสามนาที เพราะกำลังตกตะลึงด้วยความกลัวร้อยแปด พื้นดินอ่อนนุ่มจากละอองน้ำตกสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อมองออกไปเห็นรอยเท้าสองรอยเดินออกไปจากที่นี่ แต่ไม่มีร่องรอยของการกลับมา
แต่ในที่สุดแล้วชะตาก็ลิขิตให้ผมได้รับคำอำลาสุดท้ายเมื่อผมสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างส่องแสงแวววาวออกมาจากบริเวณก้อนหินที่ย่ามของเขาวางอยู่ มันเป็นกล่องบุหรี่ทำด้วยเงินที่เขาพกติดตัวอยู่เสมอ พอหยิบขึ้นมาดูก็พบกับกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆสามแผ่นที่ฉีกออกมาจากสมุดโน้ต มันเป็นลักษณะลายมือของคนที่มีสติครบถ้วน เขียนด้วยลายมือที่หนักแน่นชัดเจนราวกับอยู่ในห้องทำงาน
“ถึง วัตสันที่รัก
ผมเขียนข้อความสองสามบรรทัดนี้ด้วยความยินยอมพร้อมใจของคุณเมอริอาร์ตี้ ซึ่งคอยอยู่จนกว่าเราจะสะดวกที่จะถกกันเป็นครั้งสุดท้ายในเรื่องที่เป็นปัญหาระหว่างเรา เขาได้อธิบายวิธีการหลบเลี่ยงตำรวจและกาล่วงรู้ข่าวสารเกี่ยวกับตัวผมให้ฟัง ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างล้วนยืนความสามารถอันสูงส่งของเขา แต่ก็ทำให้ผมดีใจที่ได้รู้ว่าสามารถชวยสังคมให้เป็นอิสระได้จากผลการทำชั่วของเขาซึ่งจะยังมีผลต่อไปหากเขายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยราคาที่แสนแพง ซึ่งจะทำให้เพื่อนๆของผมต้องเจ็บปวด โดยเฉพาะคุณวัตสัน อย่างไรก็ตามผมได้อธิบายกับคุณแล้วว่าอาชีพของผมได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วในทุกกรณี และไม่มีข้อสรุปใดๆจะทำให้ผมพอใจไดมากกว่านี้ อีกอย่างผมขอสารภาพความจริงกับคุณว่าผมรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าจดหมายนั้นเป้นของปลอมและคิดว่าคุณก็คงรู้ว่าผมรู้อยู่แล้วเช่นกันหลังจากที่คุณกลับไปถึงที่พัก เพราะผมเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดตามมาแน่นอน ช่วยบอกสารวัตแพ็ตเตอร์สันด้วยว่าเอกสารที่เขาต้องการเพื่อมัดตัวแก๊งนี้ อยุ่ในช่องตัวเอ็มในซองสีน้ำเงิน ที่เขียนไว้ว่า ‘เมอริอาร์ตี้’ ผมได้เขียนมอบทรัพย์สินก่อนจะออกจากอังกฤษเอาไว้แล้วฝากเอาไว้กับไมครอฟต์พี่ชายผม ฝากความระลึกถึงคุณนายวัตสันด้วย
ด้วยรัก
เชอร์ล็อก โฮล์มส์”
หลังจากเหตุการณ์นั้นราวๆสองปีผมก็ได้นำส่วนหนึ่งของบันทึกนี้ออกเผยแพร่ มันก็เป็นเพราะเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ขาดวิจารณญาณทั้งหลายที่พยามปกป้องชื่อเสียงของคนเลวด้วยการกล่าวบุคคลที่ผมนับถือที่สุด มีฝีมือดีที่สุด เท่าที่ได้เคยพบมา คนที่เป็นทั้งเพื่อนรัก คู่กัด สหายร่วมรบ อาจารย์ และคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต
...และนี่ก็คือจุดจบของเรื่องราว...ดูเหมือนถ้อยคำที่ผมได้ยินไม่ชัดในวันนั้นจะก้องอยู่ในความทรงจำตลอดมาตั้งแต่วันที่เขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...ขอโทษนะวัตสัน...ที่ทำให้คุณรักษาสัญญาไม่ได้
แล้วก็ขอบคุณนะ...ที่รักผม
THE END or TBC
ผลงานอื่นๆ ของ yuhankung ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ yuhankung
ความคิดเห็น