คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ศตวรรษที่ 19
ท่ามกลางความมืดมิดของรติกาล ที่มีแสงสว่างจากดวงจันทร์ลอดผ่านแมกไม้เข้ามา ร่างบางของนาราผุดขึ้นเหนือผืนน้ำของแม่น้ำไนล์หลังมหาวิหารคาร์นัก
ร่างของเธอถูกกระแสน้ำพัดพามาติดอยู่กลางดงต้นปาปิรุส หญิงสาวนอนสลบไสลอยู่นานหลายชั่วโมงกว่าที่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“หนาว
.หนาวจริง”นาราครางเสียงแผ่วเมื่อตอนนี้เธออยู่ในสภาพเปียกปอน ทำให้ร่างบางถึงกับสั่นสะท้านยามเมื่อสายลมเย็นๆของทะเลทรายพัดเข้ามาปะทะร่าง
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าร่างกายของเธอยามนี้ทั่วทั้งร่างมันปวดระบมไปหมด
สายตาที่พล่าเรือนของเธอค่อยๆรับภาพได้แจ่มชัดขึ้น นารากวาดสายตาไปรอบด้านพยายามใช้ความคิดอย่างหนักว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
แต่เธอก็ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อยู่นั่นเอง หญิงสาวพยายามคิดอยู่นานจนกระทั่งสายตาของเธอมองฝ่าความมืดออกไปยังตึกสูงใหญ่เบื้องหน้าที่ดูใหญ่โต ลึกลับ ทำให้เกิดความรู้สึกคร้ามกลัวอย่างประหลาด
หญิงสาวเดินโซซัดโซเซออกไปท่ามกลางความมืดมิดและอากาศที่หนาวจัด เสียงลมดังหวีดหวิวชวนให้เกิดความรู้สึกวังเวงใจ
ที่นี่ที่ไหนกัน! เธอจำได้ว่าเธอกำลังจะไปมหาวิหารคาร์นักกับภาคภูมิ แล้วจากนั้น
.
ใช่แล้ว
.เธอตกน้ำ
แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าเธอตายไปแล้ว แต่
.ถ้าหากเธอตายไปแล้วจริงๆทำไมร่างกายถึงยังมีความรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกถึงอากาศหนาวจัดแบบนี้ล่ะ
มีคนเคยบอกว่าคนตายจะไม่รู้สึกอะไรเลยไม่ใช่หรือ?
นารามองเพ่งฝ่าความมืดออกไปยังตึกใหญ่เบื้องหน้าก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นงุนงง เมื่อยิ่งเดินใกล้เข้าไปกลับยิ่งพบว่ามันคุ้นตาอย่างประหลาด หญิงสาวหลับตาลงใหม่ ในใจกำลังพยายามนึกว่าเคยเห็นตึกหลังนี้ที่ไหนมาก่อน
พลัน! ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตึกใหญ่ตรงหน้าเธอก็คือ มหาวิหารคาร์นักที่เธอกำลังจะเดินทางไปเที่ยวชมกับภาคภูมินั่นเอง
ผิดกันแต่ว่า มหาวิหารคาร์นักที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอเวลานี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์สวยงามราวกับว่าพึ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆด้วยฝีมือวิศวกรชั้นยอด ไม่ใช่ซากปรักหักพังดังที่เธอเคยเห็นมันในภาพจากในหนังสือ
นี่มันอะไรกัน! เธอจะมาอยู่ต่อหน้ามหาวิหารคาร์นักในสมัยศตวรรษที่ 19 ได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้
จากความมืดที่มีทำให้รู้สึกราวกับมีกลุ่มควันบางๆปกคลุมอยู่ทั่วไป เมื่อเท้าเดินมาหยุดอยู่บนสะพานเล็กๆที่ทอดผ่านจากริมแม่น้ำไนล์ไปจนถึงมหาวิหารคาร์นัก
หมอกควันนั้นดูเหมือนจะค่อยๆจางหายไป สะพานเล็กๆนั้นก่อสร้างด้วยหินลักษณะคล้ายหินแกรนิตทอดจากริมน้ำไปจรดทางเดินเล็กๆขนาบด้วยต้นพืชตระกูลปาล์มหลายต้น
และเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง นาราเดินก้าวเท้าเข้าไปเรื่อยๆจนมาถึงตัวมหาวิหาร ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นด้านหลัง
หญิงสาวเดินเลียบกับตัวตึกไปเรื่อยๆจนเผลอเดินลึกเข้ามาถึงด้านใน เมื่อมาถึงเธอดินต่อเข้าไปภายใน มีบันไดที่ทอดขึ้นสู่ตัวมหาวิหารที่ค่อนข้างชัน เชิงบันไดก่อด้วยอิฐแดง เบื้องหน้าเป็นซุ่มประตูขนาดใหญ่สลักลวดลายแปลกตา
ภายในมหาวิหารนั้นสว่างไสวไปด้วยคบเพลิงที่ถูกจุดเอาไว้ทั่วทางเดินยาวไปจนถึงด้านในสุด และภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏแก่สายตาเธอคือผู้คนมากมายแต่งกายคล้ายทหารอียิปต์โบราณซึ่งแต่ละคนนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
โดยมีชายในชุดหนังเสือดาวพาดบ่าคลุมทับด้วยผ้าลินินสีขาวคลุมไปจนถึงข้อมือมีเข็มกลัดแสดงอำนาจติดอยู่บนอกเสื้อ
บริเวณเอวรัดด้วยเข็มขัดรูปงู ศีรษะถูกโกนจนไม่มีผมเลยสักเส้นสวมทับด้วยหมวกปักขนนกสองเส้นแสดงถึงตำแหน่งว่าเป็นนักบวชชั้นสูง ชายผู้นั้นกำลังสวดพึมพำไปมาคล้ายกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง
เบื้องหน้าของเขาคือแท่นบูชาขนาดกลางแกะสลักลวดลายวิจิตรงดงาม ด้านข้างมีรูปปั้นของเทพเจ้าโฮรัสซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งชีวิตมีร่างเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นเหยี่ยว บนพระศอ ห้อยด้วยลูกประคำสีดำสนิทยาวไปจนถึงพระอุระ
ทางด้านซ้ายของรูปปั้นมีแท่นวางเครื่องบูชาซึ่งประกอบด้วยดอกบัว ผลมะเดื่อและผลองุ่นวางบนถาดจัดไว้อย่างสวยงามและมีน้ำมันใส่หม้อดินไว้สำหรับจุดเทียนบูชาและมีหีบบรรจุเพชรนิลจิลดาวางเอาไว้ใกล้ๆ ส่วนด้านซ้ายมีถาดบรรจุเนื้อสัตว์ ถ้วยเคลือบใส่เลือดสัตว์สดๆและคนโทใส่เหล้าเพื่อใช้สำหรับอาบร่างของผู้ที่ถูกนำมาบูชายัญ
บนแท่นบูชา มีร่างบางของหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งอายุน่าจะยังไม่ถึง 17 ปีถูกมัดตรึงติดแน่นกับแท่นบูชานั้น สีหน้าของหญิงผู้นั้นอยู่ในอาการหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ ดวงตาเรียวยาวนั้นเหลือกลาน พยายามดิ้นรนไปมาพร้อมกับกรีดร้อง
ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเมื่อบุคคลผู้หนึ่งก้าวขึ้นมาจากหน้ามหาวิหารจนมาถึงแท่นพิธีที่อยู่ด้านบนสุด โดยมีบันไดประมาณ 3-4 ขั้นทอดยาวขึ้นไป
ชายผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ สวมเครื่องทรงประหลาดคล้ายคนชั้นสูงในสมัยอียิปต์โบราณ ชายผู้นั้นหันหน้ามาทางสายตาของเธอที่กำลังจ้องมองเขาอยู่พอดี
หญิงสาวตัวชาวาบ
เพราะว่าชายคนนั้นช่างเหมือนกับรูปสลักบนโลงทองของฟาโรห์เมเนสราไม่ผิดเพี้ยน
หรือ
.หรือว่าแท้จริงแล้วเขาคือฟาโรห์เมเนสรา จะเป็นไปได้ยังไงกัน!
นี่
.เธอย้อนเวลามาเกือบ 3,000 ปี จนมาหยุดอยู่หน้ามหาวิหารคาร์นักที่ผุพังไปแล้วและนี่คือฟาโรห์เมเนสราที่สิ้นพระชนม์มานานนับพันปีแล้วอย่างนั้นหรือ
..
โอ
..พระเจ้า! บอกลูกทีเถิดว่ามันไม่จริง
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองในใจอย่างตื่นตระหนก เมื่อเธอเห็นชายผู้นั้นก้าวเดินขึ้นไปยังแท่นบูชา ด้วยสีหน้าเยือกเย็นจนแม้แต่เธอเองยังนึกหวาดหวั่น แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นที่นอนรออยู่บนแท่นพิธี
เขากำลังจะทำอะไรเชลยนะ
..ผู้หญิงคนนั้นทำผิดอะไรถึงได้ถูกลงโทษรุนแรงขนาดนั้น
หรือว่า
..นี่จะไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นการทำพิธีบูชายัญ! เพียงแค่คิด เธอก็รู้สึกสยดสยองไปทั่วทั้งร่าง
นี่
.เธอกำลังจะเห็นพิธีบูชายัญที่ใช้คนเป็นๆในการเซ่นสังเวยเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่นะ! เธอจะยอมให้เรื่องป่าเถื่อนแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้
หญิงสาวยืนมองการกระทำนั้นอยู่ด้วยท่าทีละล้าละลัง ไม่รู้ว่าจะหาทางเข้าไปขัดขวางพิธีกรรมอันโหดร้ายแบบนี้ยังไงดี
จากนั้นเธอก็เห็นชายหลายคนเดินต่อแถวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหญิงผู้นั้นจนมาถึงชายคนสุดท้ายซึ่งคือคนที่มีหน้าตาเหมือนฟาโรห์เมเนสราราวกับคนเดียวกัน ใบหน้านั้นค่อนข้างคล้ำคล้ายกับต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดแรงๆมานาน
ใบหน้านั้นไม่ได้มีรอยยิ้ม ริมฝีปากสีแดงสดนั้นเม้มสนิท คิ้วเข้มขมวดบึ้งตึง เขาพยักหน้าเพียงแค่เล็กน้อยเมื่อเดินมาจนชิดขอบเตียง ทหารสองคนที่เดินตามหลังเข้ามาก้มลงกระชากให้หญิงเชลยนอนหงายและมัดมือมัดเท้าเฉลยให้ตรึงติดกับเตียงนั้นอย่างแน่นหนาทำให้หญิงสาวเชลยคนนั้นร้องโวยวายขึ้นอย่างตกใจแกมตื่นตระหนก
แต่ก็มิได้ทำให้สีหน้าอันบึ้งตึงของผู้ที่ยืนเด่นสง่าอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย หลังจากเสร็จหน้าที่แล้วทหารทั้งสองนายนั้นก็โค้งคำนับลงต่ำให้กับชายคนนั้นก่อนจะขยับขึ้นไปยืนคอยอยู่อีกด้านหนึ่งแล้วไม่นานคนที่เป็นนักบวชก็เดินขึ้นบันไดเข้ามาพร้อมกับก้มตัวลงไปเหนือศีรษะของหญิงสาวผู้นั้นพร้อมกับบีบปากเธอคนนั้นพลางเทน้ำสีดำคล้ำกรอกลงไป
กลิ่นน้ำมันฉุนๆนั้นลอยคละคลุ้ง นาราถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ใจหนึ่งอยากเข้าไปช่วยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี นาราในเวลานี้จึงหน้าซีดจนคล้ายจะเป็นลม
หญิงเชลยคนนั้นดิ้นพรวดพราดแต่ทหารอีกสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆรีบมาจับตัวเชลยเอาไว้แน่น และชายคนที่แต่งกายคล้ายกษัตริย์โบราณยังคงยืนมองการกระทำนั้นอย่างใจเย็น สีหน้าและแววตาไร้ซึ่งความรู้สึก
จวบจนกระทั่งชายผู้ที่แต่งกายคล้ายกษัตริย์นั้น หยิบมีดที่มีลักษณะคล้ายกริชจากมือของนักบวชที่คุกเข่านำมายื่นให้ ชายผู้นั้นเงื้อมมือขึ้นสูงทำท่าจะจ้วงแทงไปยังตำแหน่งหัวใจของเหยื่อผู้โชคร้ายนั้นอยู่หลายครั้ง จึงสุดที่นาราจะทนยืนเฉยอยู่ได้
“หยุดนะ! นี่พวกท่านจะบ้าไปแล้วหรือไง จะฆ่าคนทั้งเป็นได้ยังไงกัน บ้าไปแล้ว”นาราที่ยืนแอบอยู่อีกมุมหนึ่งตะโกนห้ามเสียงหลง
เสียงของเธอดังสะท้านกลับไปกลับมาภายในมหาวิหารนั้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนในที่นั้นที่จู่ๆก็มีหญิงสาวแปลกหน้าแต่งกายแปลกประหลาดยืนจังก้าตะโกนขัดขวางพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ที่มีองค์ฟาโรห์เมเนสราเป็นประธานในพิธี
หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอเมื่อเห็นสายตาดุดันของทุกคนจ้องมองตรงมายังเธอเป็นจุดเดียวกัน
โดยเฉพาะสายตาของชายที่เป็นประธานในพิธีที่หันมามองเธอด้วยสายตากราดเกรี้ยว ดุดัน จนขนในกายของเธอลุกชัน
“บังอาจ! เจ้าเป็นใครกัน บังอาจเข้ามาขัดขวางพิธีกรรมของข้า โอ
.เทพเจ้ากรุณายกโทษให้ลูกด้วยเถิด ลูกมิรู้ว่านางผู้นี้เป็นใคร ขอจงอภัยด้วยเถิดอย่าให้เรดามุนน้องสาวอันเป็นที่รักของข้าต้องได้รับอันตรายเลย”
ฟาโรห์เมเนสราตรัสพลางคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้าพร้อมกับอ้อนวอนขอพรให้ทรงคุ้มครององค์หญิงเรดามุน พระขนิษฐาของพระองค์ที่ประชวรด้วยโรคประหลาด
จนพระองค์ต้องทำพิธีบูชายัญแก่เทพเจ้าด้วยดวงใจของสาวพรหมจารี เพื่อหวังให้นางหายจากโรคร้ายนี้ แต่นังหญิงประหลาดผู้นี้กลับเข้ามาทำลายพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้จนย่อยยับ
“เจ้าช่างบังอาจนัก ข้าจะสับเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ออกไปทิ้งให้แร้งกากิน!”ฟาโรห์เมเนสราตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงดัง พระพักตร์บูดบึ้ง
ก่อนจะก้าวพระบาทฉับ ๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่ถูกเหล่าทหารคุมตัวเอาไว้ทั้งสองด้านด้วยหอกยาวแหลมคม หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งตัวสั่นด้วยความกลัวที่สุดในชีวิต
“ยะ...อย่านะ ได้โปรดเถอะ ฉันแค่...ไม่อยากเห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาเท่านั้นเอง ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฮือ....ฉันคิดถึงบ้าน พ่อขา แม่ขา พี่ภาค ช่วยนาด้วย” หญิงสาวทรุดตัวลงร้องไห้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
น่าแปลกที่เธอคิดว่าเธอพูดภาษาไทยและฟังภาษาอียิปต์ไม่ออกเลยสักนิด แต่ทว่ากลับสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างน่าแปลกใจ เธอฟังออกว่าฟาโรห์พระองค์นี้จะสับเธอออกเป็นชิ้นๆ
โอ........ช่างโหดร้ายเกินมนุษย์จริงๆ เสียแรงที่เธอชื่นชมเขาจนเผลอร้องไห้เมื่อได้รู้จากเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ว่าเขาอายุสั้น ที่แท้เขามันก็แค่ฟาโรห์ผู้โหดร้ายและป่าเถื่อนเท่านั้นเอง
ส่วนฟาโรห์นั้นรีบเสด็จกลับไปยังตำหนักใน เพื่อเยี่ยมอาการขององค์หญิงเรดามุนที่พระอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ อย่างห่วงใย
ร่างบางผอมซีดเซียวขององค์หญิงเรดามุนบรรทมหลับสนิทบนแท่นบรรทมท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่คอยถวายงานอยู่ใกล้ ๆ ฟาโรห์ตรงเข้ามาหยุดอยู่ข้างพระแท่นพร้อมกับทรุดองค์ลงนั่งข้างๆ
ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปคว้าพระหัตถ์เย็นซีดขององค์หญิงขึ้นมาแนบพระอุระ องค์หญิงเรดามุนลืมพระเนตรขึ้นช้า ๆ แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ท่านพี่.....” สุรเสียงขององค์หญิงแผ่วเบาคล้ายคนหมดแรง จนฟาโรห์ต้องกล้ำกลืนพระอัสสุชลที่เกือบจะหลั่งออกมาเอาไว้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเรดามุน วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่” สุรเสียงอ่อนโยนนั้นตรัสถามดูราวกับคนละคนกับตอนที่อยู่ในพิธีบูชายัญเมื่อครู่
องค์หญิงแย้มสรวลเล็กน้อยก่อนตรัสปลอบพระทัยผู้เป็นเชษฐาทั้งที่ภายในร่างกายของพระนางเองไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะเปล่งพระสุรเสียงออกมาไม่ไหว
“หม่อมฉันดีขึ้นมากเลยเพคะ หมอหลวงให้ทานยาอะไรก็ไม่รู้ขมที่สุด แต่ทานแล้วรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมากเลยเพคะ”คำตรัสขององค์หญิงมิได้สอดคล้องกับพระอาการเลยแม้แต่น้อย ทำให้ฟาโรห์ทรงขบพระทนต์แน่นเมื่อนึกไปถึงหญิงแปลกหน้าที่เข้ามาขัดขวางพิธีบูชาเทพเจ้าของพระองค์
ไม่อย่างนั้นอาการของพระขนิษฐาของพระองค์ก็คงจะไม่ทรุดหนักลงแบบนี้ คิดได้ดังนั้นแล้วจึงได้ทรงผลุนผลันประทับยืนขึ้น
“ท่านพี่! จะรีบเสด็จไปที่ใดกัน วันนี้มิทรงอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันก่อนหรือ”องค์หญิงตรัสถามอย่างแปลกพระทัย เพราะทุกเพลาเย็นแบบนี้ ฟาโรห์จะต้องทรงอยู่เป็นเพื่อนจนพระนางหลับจึงจะเสด็จกลับไปยังตำหนักฟาโรห์
“พี่มีนักโทษต้องสะสาง พี่ไปไม่นานดอกจักรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ฟาโรห์ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน พร้อมกับห่มผ้าคลุมร่างองค์หญิงเอาไว้ จุมพิตเบา ๆ บนพระปรางขององค์หญิง ก่อนจะดำเนินออกไป พระพักตร์อ่อนโยนเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดันเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันทีพร้อมกับเสด็จกลับไปยังคุกหลวง
ภายในคุกหลวง นารากับหญิงเชลยถูกจับให้มาขังรวมกันภายในคุกหลวงพร้อมกับโซ่ตรวนที่รัดมือเอาไว้อย่างแน่นหนา
นาราหันมามองหน้าหญิงสาวที่เป็นเชลยรอดตายอย่างหวุดหวิดเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอคงต้องตายแทนในไม่ช้านี้ ร่างนั้นสั่นระริกอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ไม่ยอมพูดอะไรเพราะมัวแต่ร้องไห้ ใบหน้านั้นซีดเผือดไร้สีเลือด คราบน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้า
จนนาราที่กลัวจนหายกลัวไปแล้วชักจะทนไม่ไหว กระเถิบตัวเข้าไปชิดร่างนั้นพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบเบาๆ
“เธอ
...เธอน่ะชื่ออะไร ทำไมถึงได้ถูกเขาจับตัวมาเป็นเชลยแบบนี้” เธอกระซิบถามหากแต่ฝ่ายนั้นยังคงเอาแต่ร้องไห้ท่าเดียวไม่ยอมตอบคำถาม
“นี่............มัวแต่ร้องไห้แบบนี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลยนะ รีบมาช่วยกันหาทางหนีเอาตัวรอดจะไม่ดีกว่าเหรอ”อีกครั้งที่นาราพยายามพูดกับหญิงผู้นั้น
“ฮือ...........แม้แต่แมลงวันสักตัวยังหลุดรอดออกไปจากคุกหลวงที่มีทหารเฝ้ามากมายแบบนี้ไม่ได้ แล้วเราสองคนจะออกไปได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเราสองคนจะหายตัวไปถึงจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้”หญิงเชลยยอมเปิดปากพูดพร้อมกับมองหน้านาราด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เพราะการแต่งตัวของนาราที่ดูแปลกนักในความรู้สึกของเธอ
“ท่านเป็นใครกัน แต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกประหลาด ข้ามิเคยเห็นมาก่อน แต่ยังไงก็ขอบใจท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องตายอยู่ดีในอีกไม่กี่วันก็ตาม”หญิงผู้นั้นหันมาบอกเธออย่างสิ้นหวัง คราบน้ำตายังเลอะเต็มใบหน้า
“นี่...........ทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองจะต้องตายล่ะ เธอทำผิดร้ายแรงมากอย่างนั้นหรือ” นาราหันมาถามอย่างสงสัยที่ผู้หญิงรูปร่างบอบบางอายุเพิ่งจะแรกสาวคนนี้ทำผิดอะไรถึงขนาดถูกจับไปฆ่าด้วยด้วยวิธีการทารุณแบบนั้น
“ฮือ.........ข้าชื่อมาเรียนอา ถูกหัวหน้าหมู่บ้านจับตัวเข้ามาในวังเพื่อมาทำพิธีบูชายัญสังเวยแด่เทพเจ้า”มาเรียนอาบอกพลางร้องไห้โฮอีกรอบ
“บูชายัญ? อะไรกัน ป่าเถื่อนที่สุด แล้วทำไมเขาถึงจับเธอมาคนเดียว แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”นาราเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“เพราะข้าเป็นหญิงพรหมจารีเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่เหลืออยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างแต่งงานไปกันจนหมดแล้ว”คำบอกเล่าของมาเรียนอา ทำให้หญิงสาวถึงกับตาเบิกกว้าง มือไม้เย็นเฉียบขนในกายลุกชันขึ้นไปทั่วทั้งร่าง
“ป่าเถื่อน! ช่างเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายที่สุด”นาราครางอย่างผิดหวังในตัวฟาโรห์หนุ่มที่เธอเคยชื่นชมมาก่อนหน้านี้
“เป็นเพราะองค์หญิงเรดามุนทรงประชวรด้วยโรคประหลาด ทำให้นักบวชทั้งหลายต้องเอาตัวหญิงพรหมจารีไปสังเวยแก่เทพเจ้าเพื่อขอพร”
“โรคประหลาดงั้นหรือ? อาการเป็นยังไง”เธอหันมาถามด้วยสีหน้างุนงง
“ข้าเองก็มิรู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหมอหลวงจนปัญญาที่จะรักษาพระนางให้หายจากโรคนี้ได้ ฟาโรห์ทรงรักน้องสาวคนนี้มาก จนถึงขนาดยอมเชื่อเจ้าพวกนักบวชชั่วร้ายให้จับหญิงพรหมจารีไปบูชายัญ”พอพูดมาถึงตรงนี้ดูเหมือนก้อนสะอื้นจะมาจุกอยู่ที่คอจนมาเรียนอาต้องหยุดพูดกระทันหันเพื่อหันมาร้องไห้ต่อด้วยความหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้ย............อย่าเอาแต่ร้องไห้แบบนี้สิ มันพลอยทำให้ฉันหมดอาลัยตายอยากไปด้วยนะ”เธอบอกมาเรียนอาอย่างเซ็งจัดก่อนจะพิงหลังกับผนังห้องขังอย่างอ่อนแรง
บ้าทีสุดเลย! เธอกำลังมาฮันนีมูนกับภาคภูมิอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็เกิดพลัดหลงเข้ามาในยุคโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนแบบนี้
นี่
เธอฝันไปหรือมันความจริงกันแน่นะ เธอคิดในใจก่อนจะใช้เล็บจิกเข้าไปที่เนื้อของตัวเองเต็มแรง
“โอ้ย
เจ็บ!”เจ้าตัวครางเบาๆด้วยความเจ็บ มาเรียนอามองการกระทำของหญิงแปลกหน้าแต่งกายประหลาดที่ช่วยชีวิตของเธอด้วยความแปลกใจ
“ท่านทำอะไรน่ะ จู่ ๆ มาหยิกตัวเองทำไมกันหรือว่าจะฆ่าตัวตาย”คำถามซื่อ ๆ ของมาเรียนอาประกอบกับสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั้น ทำเอานาราอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“บ้าสิ! ใครเขาฆ่าตัวตายด้วยการหยิกตัวเองกันเล่า ถ้าฉันทำอย่างนั้นฉันคงเป็นหมอที่โง่ที่สุดจนต้องถูกริบใบประกอบวิชาชีพแหง ๆ”คำพูดเรื่อย ๆ ของนารา มาเรียนอาฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก หากแต่คำ ๆ หนึ่งที่ผ่านแวบเข้ามาในสมองก็คือ
ผู้หญิงคนนี้เป็นหมอ!
“ท่าน............ท่านเป็นหมองั้นหรือคะ?”มาเรียนอามองหน้านาราอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก เนื่องจากในเมืองอียิปต์นี้จะหาหมอที่เป็นอิสตรียากนัก
“ทำไมมองฉันอย่างนั้นเล่า ไม่เชื่อฉันรึไง ฉันเป็นหมอจริงๆ นะ ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วย ฉันรักษาคนได้จริง ๆ”เจ้าตัวยืนยันเสียงแข็งก่อนจะชะงักพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หมอ! จริงสิ ฉันเป็นหมอนี่นาเรามีทางรอดแล้ว มาเรียนอาฉันจะขอรักษาองค์หญิงเรดามุนเอง” นาราบอกย่างยินดีคว้าข้อมือขาวซีดของมาเรียนอาเขย่าไปมา ทำให้มาเรียนอาเปิดรอยยิ้มขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวันนี้ได้
“ท่าน
..ท่านรักษาโรคนี้ได้จริงๆหรือ โอ
....ขอบคุณเทวีไอสิสที่ช่วยลูก ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยเชื่อนางนักก็ตามที”มาเรียนอาพึมพำเบาๆด้วยท่าทีซื่อๆ นาราหน้าตึงเมื่อได้ยินคำสบประมาทความสามารถของเธอแบบนั้น
“นี่..............เธอกล้าว่าฉันแบบนี้เหรอ คอยดูก็แล้วกันฉันจะรักษาองค์หญิงให้หายให้ได้”นาราเชิดหน้าขึ้นอย่างเชื่อมั่น ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกของทหารยามหลายนาย พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างเข้มแข็งดังขึ้น
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ทหารทุกคนในที่นั้นคุกเข่าลงถวายความเคารพให้กับผู้มาเยือน ฟาโรห์เมเนสราสาวพระบาทตรงมายังที่คุมขังของนาราและเชลยด้วยสีพระพักตร์บึ้งตึงในพระหัตถ์กุมแส้หางม้าเอาไว้มั่น
จ้องพระเนตรดุดันไปมองนาราเขม็ง ทำให้ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างมั่นใจของนาราเริ่มตกลง ดวงตาตื่นตระหนกอย่างตกใจ เพราะใบหน้าทะมึงรกครึ้มไปด้วยหนวดเคราที่ดูน่ากลัวนักในความรู้สึกของเธอ
ส่วนมาเรียนอานั้นไม่ต้องพูดถึงเจ้าหล่อนกระเถิบตัวไปนั่งตัวสั่นอยู่ริมสุด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์
“จงบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ว่าเจ้าเป็นใครกันถึงได้บังอาจเข้ามาขัดขวางพิธีบูชายัญของข้า”สุรเสียงตะโกนกึกก้องไปทั่วคุกหลวงจนนาราตัวสั่น
“ฉะ
.ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ จู่ ๆฉันก็มาโผล่อยู่หลังมหาวิหารนี่มาเห็นคุณกำลังจะฆ่าคนอยู่พอดี คุณคิดว่าฉันจะทนได้รึไงที่จะมองดูการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมทารุณแบบนี้”
เธอตอบเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ฟาโรห์หนุ่มขมวดขนงอย่างรุนแรงกับคำพูดประหลาด ๆ ขององค์หญิงแปลกหน้าผู้นี้
“ฆาตกรรมคืออะไร”
“ฆาตกรรม! ฆาตกรรมก็คือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นะสิ การฆ่าคนตายก็คือฆาตกรรม”เธอหันมาตอบคำถามด้วยสีหน้าที่คลายความหวาดกลัวลงไปเล็กน้อย
อะไรกันแค่คำว่าฆาตกรรมยังไม่รู้จักอีกหรือนี่
“แต่นางผู้นี้ควรจักภาคภูมิใจที่จะได้ไปรับใช้เทพเบื้องบนและยังมีส่วนช่วยชีวิตเรดามุนซึ่งเป็นบุตรของเทพเจ้า ข้ามิได้โหดร้ายต่อนางเลยสักนิด”
“เห็นแก่ตัวที่สุด คุณกลัวน้องสาวตัวเองจะตายแล้วไม่คิดรึว่าคนที่คุณจับมาเขาก็มีพ่อมีแม่มีพี่ชายเหมือนกันกับคุณ ถ้าเขาจับเจ้าหญิงไปทำพิธีบูชายัญบ้างแล้วคุณจะภาคภูมิใจไหมล่ะ”นาราหันมาเถียงกลับเสียงดัง
ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่หญิงแปลกหน้าผู้นี้กล้าขึ้นเสียงกับฟาโรห์โดยไม่มีความกลัวเกรง ทั้งที่ฟาโรห์เมเนสราขึ้นชื่อว่าทรงดุดันและเฉียบขาดเป็นที่สุด
และหลายคนก็คาดเดากันว่าเธอคงจะหัวหลุดจากบ่าแน่ ๆ ในทันทีที่พูดจบ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนเธอจะแอบเห็นแววตาสลดลงเล็กน้อยของฟาโรห์หนุ่ม หากเป็นแค่แวบเดียวก่อนที่สายตานั้นจะกลับไปดุดันเช่นเดิม
“บังอาจ! ข้ามิใช่เพื่อนเล่นของเจ้า ที่จะมายอกย้อนข้าแบบนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้เทพเจ้าไม่พอใจ จนตอนนี้อาการของเรดามุนทรุดหนัก”สุรเสียงที่แม้นจะดุดัน แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงหาและขมขื่นในสายพระเนตร จนนาราเองอดจะสะเทือนใจขึ้นมาไม่ได้
“ฉันขอโทษค่ะ แต่การที่จับคนไปบูชายัญแบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะคะ ทางที่ดีให้พระนางได้รักษากับหมอจะดีกว่ามาทำพิธีกรรมอะไรแบบนี้”เธอความคิดเห็นออกไป ฟาโรห์หนุ่มขบพระทนต์แน่นเมื่อได้ยินดังนั้น
“หมองั้นหรือ ทั้งเมืองเมมฟิธนี้ไม่มีผู้ใดรักษาน้องข้าได้”ฟาโรห์ตรัสสุรเสียงแผ่วเบา
“ขอฉันลองดูได้ไหมค่ะ ฉันเป็นหมอนะ”นาราเสนอตัวขึ้น ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต
แต่เป็นเพราะเธอต้องการช่วยองค์หญิงน้อยพระองค์นั้นต่างหาก ฟาโรห์พระพักตร์งันไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ก่อนจะปรายพระเนตรมองเธออย่างดูแคลน
“เจ้าน่ะรึ...........เป็นหมอ เจ้ากลัวตายจนกล้ากุเรื่องขึ้นมาเชียวหรือ รู้หรือไม่ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ารังแต่จะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น”สุรเสียงเย้ยหยันของฟาโรห์ ทำให้นาราถึงกับกำหมัดแน่นอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะโพล่งออกไปเสียงดัง
“แทนที่คุณจะมาดูถูกฉันแบบนี้ ทำไมคุณไม่ให้ฉันลองดูล่ะ ฉันขอเวลาแค่ 3 วันถ้าทำให้อาการของเจ้าหญิงดีขึ้นไม่ได้ ฉันจะขอเป็นคนที่ถูกบูชายัญเอง”เธอบอกขึ้นเสียงดัง
ทั้งที่ไม่แน่ใจเลยว่า เธอจะสามารถรักษาองค์หญิงเรดามุนได้ เพราะเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระอาการเป็นอย่างไร
อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ไม่มีซักอย่าง หากแต่ความที่เป็นลูกสาวนายกรัฐมนตรีที่มีแต่คนเอาใจ ไม่มีเลยสักครั้งที่จะโดนดูถูกแบบนี้ทำให้เธอทนไม่ไหว จนเกิดอาการท้าทายขึ้นมา
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรักษาน้องข้าได้”ฟาโรห์ทอดพระเนตรมองเธออย่างไม่แน่พระทัย แต่คงไม่มีความหวังอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
บางที...............หญิงประหลาดผู้นี้อาจจะรักษาเรดามุนให้หายก็ได้
“ฉันไม่มั่นใจ 100% แต่จะพยายามเต็มที่ค่ะ แต่ฉันขอให้ปล่อยมาเรียนอาก่อนได้ไหมค่ะ เธอบอบช้ำมากเลย”นาราบอกพร้อมกับถลาตัวมาเกราะกรงห้องขังไว้
เงยหน้าขึ้นมองฟาโรห์ด้วยสายตาอ้อนวอน มาเรียนอาเหลือบตามองนาราอย่างนึกไม่ถึง ก้มลงคำนับแทบเท้านารา เมื่อฟาโรห์อนุญาตให้ปล่อยเธอไป
“ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณจริง ๆ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลยตลอดชีวิต ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท แต่หม่อมฉันขอเป็นผู้ช่วยนางในการรักษาองค์หญิงเพคะ”มาเรียนอาหันมาทูลฟาโรห์
พร้อมกับมองไปทางนาราอย่างซึ้งใจ เธอจะกล้าทิ้งผู้หญิงผู้มีบุญคุณให้เผชิญชะตากรรมตามลำพังได้อย่างไรกันหากนางรักษาองค์หญิงไม่สำเร็จ เธอก็พร้อมจะตายไปกับนาง !
นารามองมาเรียนอาด้วยความงุนงง ไม่คิดว่าหญิงสาวท่าทางขลาดกลัวตลอดเวลาอย่างมาเรียนอาพอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกลับกล้าหาญมากกว่าที่เธอคิด
“ได้! ข้าอนุญาตตามที่พวกเจ้าขอ ทหาร! ปล่อยตัวนักโทษสองคนนี้อออกมาพานางไปที่ตำหนักนางกำนัล พรุ่งนี้เมื่อเจ้าพร้อมแล้วก็ให้ทหารพาไปยังตำหนักของเรดามุน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น อย่าลืมว่าเจ้ามีเวลาแค่ 3 วันในการพิสูจน์ตัวเอง”
ตรัสเสร็จฟาโรห์ก็ดำเนินจากไป นารากับมาเรียนอาถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับเดินตามหลังทหารหน้าตาบูดบึ้งออกไป ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
ทหารนายนั้นพาเธอไปยังตำหนักนางกำนัล ที่หลายคนเหลียวมองมาทางพวกเธออย่างตกใจระคนแปลกใจ
“ใครกันรึท่านคาซัค”ซีลีอา หัวหน้านางกำนัล หันมาถามทหารผู้นั้นอย่างแปลกใจ พลางมองหน้ามาเรียนอาเขม็งเพราะรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก
“เอ๊ะ...........นี่มันเชลยนี่นา ท่านเอาตัวนางมาที่นี่ทำไมกัน”
“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท นางผู้นี้จะเป็นคนที่รักษาองค์หญิง พวกเจ้าจัดห้องให้พวกนางด้วยให้พวกนางชำระร่างกายให้สะอาดซะวันรุ่งให้พานางไปที่ตำหนักองค์หญิง”ทหารผู้นั้นกล่าวพร้อมกับเดินจากไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม
“เจ้านะรึ
...จะมารักษาองค์หญิง”ซีลีอาปรายตามองสภาพขะมุกขะมอมของนาราอย่างไม่แน่ใจ พร้อม ๆกับที่นางกำนัลหลายคนหัวเราะกันคิกคัก
“หึ
..เจ้านี่รนหาที่ตายดีแท้ ๆ”ทูย่า นางกำนัลอีกคนหนึ่งมองนาราอย่างดูแคลน พลางมองการแต่งกายของเธออย่างแปลกใจ
“หยุดเถอะทูย่า
..เอ้า...........เจ้าสองคนตามข้ามา”ซีลีอาตัดบท พร้อมกับเดินนำไปยังห้องหนึ่งขนาดกว้างพอควร ภายในมีเตียงไม้ขนาดใหญ่เท่าสองคนนอน ปูทับด้วยผ้าลินินสีขาวสะอาด
ด้านข้างมีโต๊ะที่ทำจากไม้สลักลวดลายวิจิตร กึ่งกลางโต๊ะตัวนั้นคลุมด้วยผ้าลินินเรื้อดีสีทอง ปักลวดลายเป็นรูปต้นปาปิรุสสีเขียวอ่อน บนโต๊ะมีคนโทน้ำตั้งวางอยู่พร้อมจอกน้ำ 4 ใบคว่ำอยู่บนถาด ถัดมาเป็นตู้เล็ก ๆ สำหรับเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว หญิงสาวคุกเข่าลงลูบไล้ไปบนโต๊ะไม้สลักตัวนั้นอย่างแผ่วเบา
“เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้นั่นมีไว้สำหรับนางกำนัล พวกเจ้าเลือกดูก็แล้วกันว่าจะใส่ตัวไหน ด้านซ้ายมือนั่นเป็นธารน้ำสำหรับอาบน้ำชำระร่างกาย ส่วนด้านขวามือจะเป็นที่ทานอาหารของนางกำนัล ข้าจะให้คนจัดเอาไว้ให้” ซีลีอาบอกขึ้น
นารากับมาเรียนอากล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะคว้าเครื่องอาบน้ำที่อยู่ในห้องออกไปยังธารอาบน้ำ เพราะทั้งสองรู้สึกเหนียวตัวเต็มที สภาพของนาราตอนนี้เสื้อผ้าที่สวมอยู่เปื้อนทั้งฝุ่นทั้งโคลนจนสภาพขะมุกขะมอม
“ท่าน
..ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะรักษาองค์หญิงได้”มาเรียนอากระตุกชายเสื้อนาราพร้อมเอ่ยถามขึ้น แววตากังกลฉายชัด
ขณะเดินไปอาบน้ำยังห้องอาบน้ำที่ถูกสร้างขึ้นภายในตำหนักทุกตำหนักในพระราชวัง โดยทำเป็นทางยาวให้น้ำจากแม่น้ำไนล์ไหลเข้าไปถึงจนกลายเป็นเสมือนสระน้ำขนาดใหญ่กลางตำหนัก นารายิ้มแหยๆส่งไปให้มาเรียนอา เมื่อได้ยินคำถามนั้นพร้อมกับส่ายหน้า
“ฉันไม่แน่ใจหรอกมาเรียนอา บอกตามตรงว่าฉันเองก็กลัวเหลือเกิน อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือแล้วก็ยารักษาโรค ของอื่นๆ อีกล่ะ ที่นี่จะมีรึเปล่า แล้วถ้า
....ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัด ต้องให้อ็อกซิเจนหรือต้องปั๊มหัวใจฉันจะทำยังไงดี
...”
คำตอบยาวเหยียดของนาราแทนที่จะสร้างความเข้าใจให้กับคนถาม แต่มาเรียนอากลับทำท่าหนักใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
เพราะเธอฟังนาราไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว รู้แต่ว่านาราไม่มั่นใจในการรักษาองค์หญิงเรดามุนเอาเสียเลย
โธ่.................แล้วแบบนี้เธอสองคนจะมีชีวิตรอดได้ยังไงกัน!
ดูเหมือนนาราจะนึกอะไรได้ รีบหันมาหามาเรียนอาที่ทำหน้างงอยู่
“ขอโทษที
..มาเรียนอาฉันลืมไปว่านี่มันปี 1700 ปีก่อนคริสตกาล เฮ้อ
..กลุ้มจริง พวกเธอคงไม่รู้จักอ็อกซิเจนหรือการปั๊มหัวใจซินะ”นาราถอนหายใจยาว ก่อนจะจรดปลายเท้าลงบนแง่งหินหยาบๆ ก้อนหนึ่งพร้อมกับถอดเสื้อผ้าออกเหลือเพียงชุดชั้นในราคาหลายพันบาทตัวจิ๋ว
ที่ช่วยขับทรวงอกอวบอิ่มนั้นให้นูนเด่นยิ่งขึ้นก่อนจะก้าวลงน้ำไปด้วยความสดชื่น สายน้ำที่เย็นเฉียบช่วยให้อารมณ์วิตกกังวลของเธอผ่อนคลายลง
ผิวของเธอขาวผ่อง ผมยาวที่ถูกรวบเอาไว้ก่อนหน้านี้ถูกม้วนขึ้นไปพันรอบศีรษะ ขมวดเป็นก้นหอยไว้กึ่งกลาง ใบหน้าขาวนวลนั้นดูสดใสกว่าปกติ ท่าที่แหวกว่ายไปมาบนสายน้ำอย่างร่าเริงทำให้ละม้ายคล้ายรูปจำแรงมากกว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจจริงๆ
ผิวพรรณของเธอเกลี้ยงเกลาสวยงามไม่เหมือนคนที่นี่ที่ผิวค่อนข้างคล้ำ ทรวดทรงของเธอสูงเพรียวแต่ระหงละมุนละไมตามแบบของสตรีตะวันออก
ความงามของใบหน้าดูเหมือนจะถูกถ่ายทอดแต่สิ่งที่ดีเลิศส่งผลให้ใบหน้างามนั้นงามซึ้งมีเสน่ห์ล้ำลึกประหลาดล้ำ ผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอแผ่สยายเต็มกลางหลังอีกครั้งมันดูยาวเป็นลอนคลื่นดูน่าพิศวง
“เอ๊ะ
...มาเรียนอา ทำไมไม่ลงมาล่ะ มัวยืนอยู่นั่นแหละ มาเถอะตอนนี้เราสองคนยังมีชีวิตอยู่อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากเลย”เธอหันมาหามาเรียนอา ที่ยังยืนมองเธออยู่พร้อมกับวักน้ำใส่มาเรียนอาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
มาเรียนอาหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรกก่อนจะค่อย ๆ เปลื้องผ้าออกเหลือเพียงชุดซับในผืนบางพันกายเอาไว้ ก่อนจะก้าวลงไปเคียงคู่นาราในผืนน้ำ
“ชุดอะไรของท่านนะ
.สวยจังข้ามิเคยเห็น”มาเรียนอายื่นมือออกไปแตะขอบบราเซียผ้าลูกไม้ตัวจิ๋วของเธอแผ่วเบา นาราหัวเราะร่วนก่อนจะหันมาตอบ
“เขาเรียกว่าชุดชั้นในสวยมั้ยล่ะ ตั้งหลายพันเชียวนะ เนี่ย
.
เสียดายไม่มีบิกินี่ ของฉันสวยมากๆเลย คุณแม่ซื้อมาให้จากปารีสแหนะ”เธอตอบพร้อมกับเล่นน้ำไปมาอย่างสนุกสนาน ก่อนจะว่ายไปยังขอบสระพร้อมกับเกยศีรษะเข้ากับพื้นหิน หลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
“ฉันลืมไป ฉันชื่อนาราต่อไปเรียกฉันว่านารานะ เรียกแต่ท่าน ท่านมันกระดากยังไงก็ไม่รู้”เธอบอกแก่มาเรียนอาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ มาเรียนอารับคำทั้งที่ไม่เข้าใจเท่าใดนัก
ผู้หญิงคนนี้ช่างแปลกนัก จู่ ๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แปลก ภาษาก็แปลก...
..
เสียงน้ำแตกกระจาย ขณะที่ร่างของนาราดำผุดดำว่ายไปมา ผมยาวลีบติดศีรษะ ใบหน้างามขาวซีด ริมฝีปากสั่นน้อยๆเพราะความหนาว เนื่องจากกระแสน้ำที่เย็นเฉียบแต่ตัวยังคงเล่นน้ำอยู่ต่อไปอย่างสดชื่นผ่อนคลาย
ร่างบางของเธอค่อยๆมุดลงไปใต้ผืนน้ำคราวนี้ค่อยๆโผล่ไปด้านหลังของมาเรียนอาเงียบๆ ใบหน้าขาวซีดค่อยๆโผล่พ้นน้ำขึ้นมาแล้วเอื้อมมือไปจี้เอวอีกฝ่ายเบาๆ
“ว๊าย”เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมๆกับที่เจ้าตัวสะดุ้งโหยง สะบัดตัวเร่าๆอย่างตกใจทำให้ฝ่ายที่แกล้งหัวเราะคิกคัก
“บ้าจี้ก็ไม่บอกนะมาเรียนอา”
“โอ้ย
.ท่านนาราล่ะก็ข้าตกใจแทบแย่ น้ำเย็นมากข้าหนาวจะแย่แล้ว”
“ฮื้อ
พอลงมาอยู่ในน้ำนานๆมันก็ไม่หนาวแล้ว”
“ไม่หนาวแล้วทำไมปากซีดอย่างนั้นละคะ”
“เอ้า
.ก็ปากมันซีดแบบนี้ตั้งนานแล้วนี่นา”นารายังคงเถียงไปมาพร้อมกับผลุบหายลงไปในน้ำอีกครั้ง
เสียงน้ำแตกกระจายไปมาอยู่ชัวครู่กว่าที่ร่างเล็กๆนั้นจะยอมขึ้นจากน้ำ ซึ่งมาเรียนอายืนรออยู่ก่อนแล้ว นารายืนห่อปากเบาๆร่างงามไหวสะท้าน
“ไหนว่าไม่หนาวอย่างไรล่ะคะ”มาเรียนอาว่าด้วยท่าทีประชดประชันแต่ยังลุกไปหยิบผ้าคลุมมาให้ห่มเอาไว้
“เสื้อผ้าอยู่ไหนเหรอ”
“ข้าพาดเอาไว้ตรงกิ่งไม้นั่นแหละค่ะ”นาราพยักหน้าพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ตัวยังคงสั่นสะท้านจนมาเรียนอาต้องรวบผมยาวสลวยนั้นมาเช็ดให้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว เธอจึงชวนมาเรียนอาขึ้นจากสระ นำผ้าคลุมผืนบางมาปิดร่างกายเอาไว้โดยไม่ลืมหอบเอาเสื้อผ้าชุดเดิมกลับมาด้วย
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เป็นสมบัติติดตัวเธอมาจากยุคปัจจุบัน เพื่อยืนยันว่าเธอมาจากปี ค.ศ 2008 จริงๆ ไม่ได้ฝันไปและสิ่งหนึ่งที่ติดอยู่กับตัวเธอตลอดเวลา
แหวน
...แหวนวงที่เธอเก็บได้หน้าพิพิธภัณฑ์ !
นาราคิดในใจก่อนจะก้มลงมองนิ้วนางของตัวเองที่ปกติแหวนวงนั้นจะติดมือเธอตลอด เพราะพยายามแกะออกหลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมออก จนต้องปล่อยเลยตามเลย
แต่บัดนี้มือเรียวยาวของเธอว่างเปล่า ปราศจากแหวนวงนั้นโดยสิ้นเชิง
“เอ๊ะ
...มาเรียนอา เธอเห็นแหวนของฉันไหม แหวนวงใหญ่ ๆ ที่เป็นรูปงูคู่กันน่ะ” นาราหันมาถามพลางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
เพราะขนาดทั้งเธอ ทั้งภาคภูมิช่วยกันดึงยังไม่ออกแล้วจู่ ๆ มันหลุดออกไปจากมือได้อย่างไรกัน
....หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเองก็ไม่รู้ตัว
“ไม่เห็นเลยค่ะ ข้าไม่เห็นท่านถอดของมีค่าอะไรไว้นี่ค่ะ นอกจากเสื้อผ้า”มาเรียนอาบอกพร้อมกับก้มลงมองหา
“ช่างเถอะ มาเรียนอามันคงจะหลุดตกตอนเล่นน้ำ มันไม่มีค่าอะไรหรอ ฉันเคยเก็บได้น่ะ เลยเอามาใส่เล่น”นารารีบบอกก่อนจะชวนกันกลับที่พักยังตำหนักนางกำนัล พบว่าอาหารวางรอไว้ให้พวกเธออยู่แล้ว พร้อมด้วยเหล้าองุ่นชั้นดีบรรจุในคนโทใบสวย
“ว้าว
...เยี่ยมไปเลย ฉันหิวจะแย่แล้วมีเหล้าองุ่นด้วยแฮะ แบบนี้ค่อยรู้สึกว่าเหมือนอยู่กรุงเทพฯหน่อย”นาราถลาเข้ามายังถาดอาหารอย่างหิวโหยพร้อมกับกวักมือเรียกมาเรียนอาที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ให้เข้ามา
“มาสิมาเรียนอา”เธอเรียกอีกครั้ง
มาเรียนอาจึงยอมทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างพร้อมกับหยิบน่องไก่ขึ้นมากินด้วยความหิวเพราะเกือบสองวันมาแล้วยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเธอเลย
ความคิดเห็น