FIC [SNSD] The Mediator - นิยาย FIC [SNSD] The Mediator : Dek-D.com - Writer
×

    FIC [SNSD] The Mediator

    [SNSD] เมื่อฉันต้องย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่หลังเก่า ....

    ผู้เข้าชมรวม

    2,314

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    2.31K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  18 ส.ค. 57 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    เรื่องนี้แต่งมาจากวรรณกรรมเรื่อง the mediator ของ meg cabot ค่ะ
    เนื้อหาเปลี่ยงแปลงไปจากเดิมบ้างค่ะ


    1

    เคียงจู เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์

    เดิมเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรชิลลา

    ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานของเกาหลี

    ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์

     

    ฉันอ่านข้อมูลของเมืองนี้คร่าวๆ จากข้อความที่ฮาร่า

    เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน

    ส่งมาให้ทางโปรแกรมสนทนาทางโทรศัพท์มือถือ

    กดเปิดดูรูปไประหว่างที่แม่ขับรถแล้วเล่าอะไรที่ฉันไม่ค่อยได้สนใจฟังสักเท่าไหร่

    เคียงจู.......ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา และโบราณสถานมากมาย

     

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ภูเขาที่ล้อมรอบ

    มันดูไม่ต่างจากรูปในอินเตอร์เน็ตมาเท่าไหร่

     

    อาจจะดีกว่าแคลิฟอร์เนียก็ได้นะ……….

    .

    .

     

    หลังจากที่พ่อตายไป 5 ปี

    ฉันและแม่ยังอาศัยอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย

    2 ปีหลังจากนั้นแม่ก็ต้องไปๆมาๆระหว่างแคลิฟอร์เนียและโซล

    แม่จะฝากฉันให้ปู่กับย่าช่วยดูแลช่วงที่แม่เดินทางไปทำงานที่โซล

    ฉันและแม่อยู่ห่างกันครึ่งซีกโลก แต่มันก็ไม่เป็นปัญหากับฉัน

    แต่แล้วจู่ๆก่อนหน้านี้ประมาณ  8 เดือน แม่ก็มาบอกกันว่า

     

    "แม่จะแต่งงาน"

     

    โอเค..... ฉันอึ้งไปนิดหน่อย เด็กสาววัย17 ปี ที่พ่อผู้ให้กำเนิดตายตอนอายุ 12

    และแม่ที่ทำงานอย่างหนักเพราะต้องเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพัง กำลังจะแต่งงานอีกครั้ง

     

     

    ฉันรู้ว่าแม่คุยกับดีแลนมาสักพักหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ที่ไปทำงานที่โซล

    แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นแต่งงาน เพราะดีแลนก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกัน

    ฉัยเคยเจอดีแลนและลูกสาวของเขา อยู่ 2-3 ครั้ง เราไปกินข้าว เดินเล่น

    พูดคุยกันนิดหน่อย......เราทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดี

     

    เพราะความเป็นคนดีของดีแลนนั่นแหละ

    เขาดีกับฉันและแม่มากๆ

    ทำให้ฉันไม่เป็นห่วงแม่สักเท่าไร

    เขาน่ารัก อารมณ์ดี รอยยิ้มและดวงตาของเขา มันทำให้แม่ฉันมีความสุข

    ฉันจึงยอมรับดีแลนอย่างไม่ข้องขัดอะไร...

    เพราะแม่ดูจะมีความสุขมากๆ เวลาที่อยู่กับเขา

     

    หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันต้องย้ายจากแคลิฟอร์เนียมาอยู่ที่เคียงจู

    กับครอบครัวใหม่ที่มี แม่ ดีแลน พี่สาว และ ฉัน

    .

    .

    แม่ขับรถมารับฉันที่สนามบินและตรงมาที่บ้านหลังใหม่ของเราทันที

    "ไง... เจสซี่ เดินทางเหนื่อยมากใช่ไหม.........ว้าว เธอเอาต้นปาล์มใส่กระเป๋ามาจากแคลิฟอร์เนียด้วยแน่ๆ"

    ดีแลนพ่อเลี้ยงของฉัน เอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าใบโตจากมือของฉันไปและอีกมือหนึ่งก็รับกระเป๋าอีกใบจากแม่

     

    "ฉันยัดมันใส่รถแม่มาไม่ได้ค่ะ เลยทิ้งไว้ที่สนามบิน

    ดีแลนชอบทำตัวเหมือนเด็กๆแบบนี้แหละ ฉันจะยัดต้นปาล์มใส่กระเป๋าได้ยังไงกัน

     

    "ไฮ...เจสซี่ หน้าเธอดูเหมือนจะอ้วกนะ" เธอตะโกนพร้อม โบกมือลงมาจากระเบียงชั้นบนสุดของบ้าน

    "หน้าฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ คงเป็นเพราะเจ็ทแล็กซ์น่ะ"

    ทิฟฟานี่พี่สาวคนใหม่ของฉัน เธอมักจะพูดอะไรตรงไปตรงมาและเสียงดังเสมอ

    จริงๆแล้วเธอแก่กว่าฉันแค่ 8 เดือน แต่เกิดคนละปี นั่นมันทำให้ฉันต้องกลายเป็นน้อง

    ทั้งที่จริงๆแล้วเราก็เรียนอยู่ปีเดียวกัน 

    ทิฟฟานี่อัธยาศัยดี คุยเก่ง เพื่อนเยอะ

    ซึ่งมันตรงกันข้ามกับฉัน 

    หน้าตาของเธอสวยทีเดียว ใบหน้าคม ขาว

    ดวงตาและรอยยิ้มมีเสน่ห์ของเธอ ไม่ต้องบอกว่าได้มาจากใคร

    เพราะมันเหมือนกับดีแลนไม่มีผิด มันคือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มาชัดๆ

    .
    .
    .

    บ้านสามชั้นหลังเก่าตั้งอยู่บนเนินเขา บริเวณนี้มีบ้านไม่กี่หลังที่มีคนอาศัยอยู่

    ในระยะที่ห่างออกไปโดยรอบประมาณ 400 เมตร

    ดีแลนเป็นพวกชอบของเก่า เขาถึงทำงานให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเคียงจู

    และก็ชอบทำนู่นทำนี่ด้วยตัวเอง อย่างเช่นชิงช้าไม้หลังนั้นที่ตั้งอยู่ในสวนหลังบ้าน

     

    ดีแลนและทิฟฟานี่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ก่อนหน้าฉันกับแม่แค่ 2 วัน

    ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์ถูกย้ายเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่ถูกจัดวางให้เป็นระเบียบ

    ชั้น 2 เป็นห้องของแม่กับดีแลน อีกห้องคงจะเป็นห้องทำงานของแม่

    ที่ดีแลนออกแบบตกแต่งมันไว้อย่างดี ส่วนชั้น 3 เป็นห้องนอนของทิฟฟานี่และฉัน

     

    ฉันวางกระเป๋าลงเดินเข้ามาในห้องที่ดีแลนบอกว่ามันเป็นของฉัน 

    "อยู่ได้ไหมลูก.... วิวตรงนี้มองออกไปเป็นทะเลสาปและก็ภูเขา"

    แม่เดินไปเปิดม่านสีขาวที่ปิดคลุมหน้าต่างไม้บานใหญ่ออก

     

    "ฉันทำหน้าต่างบานนี้เป็นพิเศษให้เธอเลยนะเจสซี่

    เธอจะมานั่งดูดาวตอนกลางคืน หรือนั่งอ่านหนังสือที่เธอชอบก็ได้"

    ทั้งสองคนดูจะเอาอกเอาใจฉันมากไปหน่อยไหม แม่ดูอึดอัด

    ไม่มั่นใจว่าฉันจะชอบที่นี่ หรือชอบสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้่

     

    ฉันเคยพูดคุยกับแม่ถึงเรื่องความสัมพันธ์แล้วว่าฉันโอเคทุกอย่าง

    แต่แม่ก็ดูไม่มั่นใจ เพราะเห็นว่าฉันเป็นวัยรุ่น กลัวจะคิดอะไรไม่เข้าท่า พาลให้ใจแตกเสียคน

    ตลอดการเดินทางมาที่นี่คอยแต่จะถามกันว่าฉันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

     

    เปล่า.... ไม่มีเลย  ฉันไม่มีปัญหาอะไรเลย..... จนเมื่อไม่นานมานี้

    ฉันก็พบว่า.... "ฉันมองเห็นมันอีกแล้ว"



    ---------------------

     

    ฉันเดินสำรวจภายในห้องที่ดีแลนตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีขาว

    เตียงไม้สีขาว ตัดกับผ้าปูที่นอนสีชมพูอ่อน มีม่านสีขาวบางๆ อย่างกับเตียงเจ้าหญิง

    โต๊ะเครื่องแป้ง ชั้นวางหนังสือ ตู้เสื้อผ้า

    เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่สไตล์วิทเทจสีขาว เบาะและพนักพิงบุด้วยผ้าสีชมพูอ่อน

    ถูกจัดวางไว้ข้างๆหน้าต่างไม้บานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสวนหลังบ้าน ทะเลสาปและทิวเขาไกลสุดหูลูกตา

     

    มันดีซะจนฉันคิดว่า...แล้วห้องของทิฟฟานี่ล่ะ ฉันไม่ได้เอาเปรียบเธออยู่ใช่ไหม

     

    "ขอบคุณนะคะ ดีแลน ฉันชอบมากเลยค่ะ ห้องนี้วิวสวยมาก ฉันคิดว่า ทิฟฟานี่..."

    "ฮ่าๆๆๆ...รายนั้นหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อยู่ห้องไหนก็ได้ ขอแค่มีสีชมพู

    ฟานี่แทบจะไม่ต้องการอะไรอีก" ดีแลนพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน เพราะจับอาการเกรงใจของฉันได้

    และเมื่อฉันเดินผ่านห้องของทิฟฟานี่ ก็หมดความสงสัยทันที

    ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยสีชมพูเข้ม สดใส

    ถ้าฉันอยู่ในนั้นสักวันสองวัน ตัวฉันมันคงกลายเป็นสีชมพูไปด้วยแน่ๆ

    .

    .

     

    ห้องนั่งเล่นตอนนี้เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และข้าวของวางระเกะระกะ

    ฉันช่วยยแม่จัดวางของตกแต่ง เช็ดถูนั่นนี่นิดๆหน่อยๆ

    ว่าไปแล้วทิฟฟานี่ ก็ออกจากบ้านไปตอนไหนไม่รู้

    เห็นดีแลนเอ่ยปากบ่นว่าแทนที่จะช่วยกัน แต่มาขอตัวออกไปข้างนอกกับเพื่อนซะอย่างนั้น

    ......ทิฟฟานี่ก็เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เสมอ

     

    บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่พื้นที่กว้างขวาง วิวสวย มีทะเลสาป ภูเขา

    อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี และสภาพก็รกร้าง ขายไม่ออกมานาน

    จึงทำให้ราคานั้นถูกมาก แต่นั่นก็ โดนใจดีแลนเข้าเต็มๆ เขาเลยตัดสินใจซื้อทันที

    เขาปรับปรุงและต่อเติม ทาสีมันใหม่ราวกับว่าเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานมานี้

     

    อายุของบ้านหลังนี้มันทำให้ฉันเป็นกังวลใจอยู่นิดหน่อย

    เพราะเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันอายุ 6 ขวบ

    ครั้งแรกที่เราย้ายไปอยู่อพาร์ทเมนท์แถบชานเมืองแคลิฟอร์เนีย

    ก่อนหน้าเรามีคนหัวใจวายตายอาศัยอยู่ และนั่นทำให้ฉันได้เห็นวิญญาณ………

     

    แต่ฉันไม่ได้เห็นผีทุกตัวบนโลกใบนี้หรอกนะ แค่บางตัวเท่านั้น

    เคสที่ติดอยู่ในโลกนี้แบบไปไหนไม่ได้ เพราะยังมีเรื่องค้างคาอยู่

    ฉันมักจะเห็นแค่วิญญาณพวกนี้เท่านั้นแหละ

     

    ย่าบอกกับฉันว่า ฉันคือผู้สื่อวิญญาณ เป็นสื่อกลางส่งสารระหว่างวิญญาณกับมนุษย์

    ตอนเด็กๆฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันรู้แต่ว่าฉันกลัวมันมากในครั้งแรกๆ เอาแต่ร้องไห้

    เพราะสภาพวิญญาณบางตัว สภาพมันแทบจะดูไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็เริ่มชิน

     

    ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างอาศัยอยู่

    เช่นที่ร้าง ที่เก่าๆ โรงพยาบาล แต่ฉันก็ไม่ได้ช่วยทุกคนหรอก

    บางคนฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือวิญญาณ และนั่นมันนานมาก

    ฉันแทบจะลืมไปเลยว่าฉันมีความสามารถนี้

     

    จนเมื่อไม่นานมานี้ที่ฉันไปเที่ยวกับฮาร่า ฉันก็เห็นมันอีก....

    แต่จะดีมากถ้าที่นี่จะไม่มีวิญญาณอยู่ และฉันจะภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น

     

    มื้อค่ำกับครอบครัวใหม่จบลงที่ฉันและทิฟฟานี่ช่วยกันล้างจ้าง

    ฉันยืนเช็ดจานอยู่ ทิฟฟานี่ก็ขอตัวขึ้นห้องไปก่อน เพราะว่าเพื่อนโทรศัพท์เข้ามา

     

    ฉันเดินขึ้นบันไดผ่านชั้นสอง แม่เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานและเดินเข้ามาหากัน

    เราสองคนเดินคุยกันขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงห้องของฉัน

    แม่เป็นคนเปิดประตู เดินเข้าไปยืนริมหน้าต่าง สายตามองออกไปยังทะเลสาปด้านหลัง

    ฉันหยุดยืนที่หน้าประตูมองไปยังที่ๆแม่ยืนอยู่ ก็ต้องเก็บอาการทันที

     

    "ลูกชอบใช่ไหมจ๊ะ...แม่ขอโทษที่ทำอะไรให้มันยุ่งยาก ลูกต้องปรับตัวใหม่

    แต่เชื่อแม่นะ ว่าอะไรต่อจากนี้มันจะดีขึ้น ดีแลนน่ะกังวลว่าลูกจะไม่ชอบมัน"

    "ขอบคุณค่ะแม่ หนูชอบมันมากค่ะ"

    "เจสซี่.....ถ้าลูกมีอะไรอยู่ในใจ ลูกคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องนะจ๊ะ ลูกรู้ใช่มั้ย ลูกคือคนที่แม่รักมากที่สุด"

    แม่เดินมาหาฉันที่ยืนอยู่กลางห้อง แม่กอดฉันและลูบหัวเบาๆ

    "ค่ะแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หนูก็รักแม่ค่ะ"

    เราสองคนผละออกจากกัน แม่จูบหน้าผากฉันแล้วเอ่ยราตรีสวัสดิ์ เดินออกไปจากห้อง

    ฉันเดินตามส่งยิ้มให้แม่แล้วรีบปิดประตูทันที ฟังเสียงให้แน่ใจว่าแม่เดินลงไปแล้ว

    จึงหันหน้ากลับมามองไปยังหน้าต่างบานนั้น

    "คุณเป็นใคร...."

    --------------------

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น