ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rose of the Underworld

    ลำดับตอนที่ #44 : Back to the Wood

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 52
      0
      23 ก.พ. 58

    เจ้ายังต้องการอะไรอีกไหม” อาเคเดียนซึ่งหอบข้าวของเต็มอ้อมแขนแข็งแรงหันมาถามอเมเลียเมื่อทั้งสองก้าวออกร้านสุดท้าย

     

    หญิงสาวส่ายหน้า เพียงเท่านี้อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางน่าจะครบแล้วกระมัง อาเคเดียนเลือกซื้อเชือกม้วนหนึ่ง อาหารแห้ง ข้าวของจิปาถะ และอุปกรณ์อีกหลายอย่าง

     

    ชาวเมืองต่างก็มีไมตรีให้เพราะเข้าใจว่าทั้งสองคงออกมาจับจ่ายซื้อของเตรียมตัวลงหลักปักฐาน บ้างก็ชวนคุยแถมยังลดแลกแจกแถม ซึ่งก็เป็นไปตามที่อาเคเดียนต้องการ เมื่อเสร็จสิ้นจากการซื้อของก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ทั้งสองยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

    “เหนื่อยหรือยัง”

     อาเคเดียนหันมาถาม สายตาคมสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อผุดตามไรผมบนหน้าผากมน อเมเลียส่ายหน้า ทว่าอาเคเดียนก็ยังดึงห่อเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อเมื่อเช้าไปถือไว้เองทั้งๆที่ตอนนี้ของเต็มสองแขนจนแทบจะต้องใช้ปากคาบแล้ว

    “ไม่ต้องหรอก ข้าถือได้ เบาแค่นี้เอง” อเมเลียร้องบอก พยายามจะคว้าห่อผ้าคืน เขาแบกของหนักตั้งเยอะ จะให้เธอเดินตัวปลิวได้ยังไง

    “ไม่ต้องหรอก เจ้าเดินตามข้าให้ทันก็พอ” ว่าแล้วอาเคเดียนก็หันไปก้าวเท้าเร็วๆ จนอเมเลียต้องวิ่งตาม ไม่ได้สนใจรอยยิ้มของผู้คนรอบข้างที่มองมา แหม พวกข้าวใหม่ปลามันนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ

    บ้านของเอย่าอยู่ไกลจากตลาดพอสมควร ต้องใช้เวลาเดินครู่ใหญ่กว่าจะถึง อาเคเดียนเห็นร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่งจึงนำอเมเลียเข้าไปนั่ง สั่งอาหารเสร็จแล้วก็มีเสียงทักดังจากเบื้องหลัง

    “วันนี้มาซื้อของกันหรือท่าน”

    อาเคเดียนหันไป คู่ต่อสู้ที่เหลือคนสุดท้ายเมื่อวานนั่นเอง อาเคเดียนพยักหน้าให้นิดๆและยิ้มมุมปากเป็นการทักทาย ชายผู้นั้นมองกองข้าวของที่วางอยู่กับพื้นแล้วยิ้มๆ

    “ซื้อของมากันเยอะอย่างนี้ ให้ข้าไปส่งที่บ้านเอย่าไหม ข้าเอารถม้ามา” เขาเสนออย่างมีน้ำใจ

    “ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณมาก เราคงจะแวะกินอะไรกันก่อน เชิญท่านตามสบายเถิด” อาเคเดียนตอบ ชายผู้นั้นจึงยักไหล่แล้วเดินจากไป พร้อมๆกับที่อาหารมาเสิร์ฟ อเมเลียมองอาหารตรงหน้าอย่างหิวโหย ท้องร้องขึ้นมาทันที มือคว้าแป้งแผ่นขึ้นมาจุ่มกับสตูว์เนื้อเอาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย อาเคเดียนมองแล้วยิ้มก่อนจะลงมือรับประทานของตนเองบ้าง

    ........................................

    เหยี่ยวหิมะเริ่มมีขนปีกแซมขนอ่อน มันเริ่มกระพือปีกบินเตี้ยๆได้ อเมเลียนั่งเล่นอย่างรักใคร่ ปีกสีขาวกระพือเบาๆพาร่างที่ยังกลมอยู่มาเกาะบนหัวไหล่ ถูหัวที่ยังมีขนอ่อนฟูเข้ากับใบหน้าหญิงสาว อเมเลียหัวเราะคิกอย่างชอบใจและจักจี้ อาเคเดียนมองลูกนกอ้วนตาขวางพลางแสร้งบ่นอย่างไม่พอใจ

    “ท่าทางเจ้านี่จะชีกอแต่เด็กเลย”

    “คนอะไรหาเรื่องลูกนกก็ได้” อเมเลียว่า

    “มาช่วยกันคิดชื่อให้มันหน่อยสิ ตอนนี้เจ้านกนี่เริ่มโตแล้ว อีกหน่อยเรียกชื่อจะได้รู้เรื่อง”

    “หน้าตากวนประสาทอย่างนี้ต้องให้ชื่อ เจ้าแสบ” อาเคเดียนเอ่ย

    “ชื่ออะไรไม่เห็นน่ารักเลย” อเมเลียพ้อ “ข้าคิดเองก็ได้ ให้ชื่อแนจ ที่แปลว่าหิมะก็แล้วกัน”

    “หึ ชื่อแนจมันดีกว่าไอ้แสบตรงไหน ของข้าเรียกง่ายกว่าอีก” อาเคเดียนว่า แต่พอเหลือบไปมองเห็นสายตาขวางๆทั้งของคนและนกที่เกาะอยู่บนบ่าจำต้องเงียบ ช่างสมกับเป็นนายและบ่าวกันเสียจริง แม้แต่สีหน้า
    อารมณ์ยังเหมือนกันเลย


    “แนจก็แนจ ตามใจสิ มันเป็นนกของเจ้านี่” ว่าแล้วก็หันไปขุดหาอาหารให้นกน้อยต่อไป

     


    หลังจากนั้นราวหนึ่งสัปดาห์ อาเคเดียนเอ่ยกับอเมเลียเมื่อยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง

    “ วันพรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่กัน ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว”

    อเมเลียพยักหน้ารับ สีหน้าหมองลงเล็กน้อย ตอนนี้นางเริ่มปรับตัวได้ และผู้คนที่นี่ก็เป็นมิตรเสียด้วยซี อีกอย่างเธอคงคิดถึงเอย่ามาก

    “แล้ว...ท่านจะออกเดินทางตอนไหนล่ะ” หญิงสาวถาม

    “ไปสักสายๆหน่อยก็ได้ บอกเอย่าว่าพวกเราจะย้ายบ้านกัน จะได้ไม่มีใครสงสัย”

    ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งสองได้ไปติดต่อดูบ้านเช่าไว้ ชาวเมืองจึงไม่มีใครคิดสงสัยว่าผู้มาใหม่ทั้งสองกำลังวางแผนหนี

    “จะทำอะไรยังไม่นอนอีกรึ” อาเคเดียนเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างบางที่กำลังเตรียมตัวเข้านอนอยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาหาอะไรกุกกักในลิ้นชัก

    “ข้าจะเขียนจดหมายลาไว้ให้เอย่า หากอยู่ดีๆเราหายไปเฉยๆ นางอาจจะเป็นห่วง” หญิงสาวตอบพลางหยิบกระดาษและดินสอออกมา

    อาเคเดียนมิได้เอ่ยว่าอะไร เพียงแต่เดินมาชะโงกเหนือร่างที่กำลังนั่งเขียนอะไรขยุกขยิก

    “เจ้าเขียนอักษรอะไร ข้าอ่านไม่เข้าใจ นี่คืออักษรของอาณาจักรปีศาจรึ” ชายหนุ่มถาม

    อเมเลียชะงักไป นางสูญเสียความทรงจำนี่นา เช่นนี้ภาษาเขียนที่หลงเหลืออยู่น่าจะบอกอะไรเกี่ยวกับตัวนางได้ หญิงสาวจ้องมองไปยังตัวอักษร น่าแปลก สิ่งที่ถ่ายทอดจากสมองผ่านตัวหนังสือช่างไม่ตรงกับภาษาพูดที่นางใช้อยู่ตอนนี้เลย หญิงสาวค่อยๆเก็บกระดาษพับใส่กระเป๋า หันไปขอร้องอาเคเดียนแทน

    “เช่นนั้นท่านช่วยเขียนให้หน่อยเถิด ข้าเกรงว่าแม่เฒ่าจะอ่านไม่รู้เรื่อง ภาษาอะไรนั้นข้าก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน”

    “ไหนเอาที่เจ้าเขียนมาดูใหม่ซิ” อาเคเดียนเอ่ยพร้อมกับยื่นมือออกมา อเมเลียจำต้องควักจดหมายออกมาให้ ชายหนุ่มคว้าไปจ้องอย่างเพ่งพินิจ

    “อักษรเหล่านี้แปลกมาก มีหัวกลมๆในทุกอักขระ ดูไม่คุ้นตาเลย ไม่เหมือนทั้งอักษรเผ่าเทพและเผ่าปีศาจ นี่เจ้ามาจากไหนกัน” อาเคเดียนได้แต่รำพึงอย่างประหลาดใจ

    อเมเลียหน้าสลด ที่มาของนางก็ยังคงเป็นความลับดำมืดที่แม้พยายามจะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก หากหญิงสาวไม่สูญเสียความทรงจำเช่นนี้ ก็จะรู้ได้ว่าอักษรที่เขียนนั้นเป็นอักษรไทยยามที่ตนมีชีวิตในโลกมนุษย์และเป็นภาษาหลักที่หญิงสาวใช้ในการเล่าเรียนมากที่สุด ดังนั้นยามใดที่จะเขียน ภาษาที่ใช้บ่อยที่สุดในการเขียนก็จะผุดขึ้นาเป็นภาษาแรก

    อาเคเดียนเหลือบมองมา เห็นหญิงสาวนั่งหน้าเศร้าก็รีบเอ่ย

    “เอาเถอะ จะให้ข้าเขียนว่าอะไรบ้างก็บอกมาเถิด” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ อีกมุมหนึ่งของโต๊ะไม้เตี้ย มือแข็งแรงดึงดินสอจากมือเรียว

    หญิงสาวลืมจดหมายฉบับนั้นไปเสียสนิท ได้แต่บอกถ้อยคำที่ต้องการกล่าวลาต่อเอย่า ซึ่งชายหนุ่มเขียนตามด้วยลายมือที่เรียบร้อยเป็นระเบียบ ลายเส้นหนักแน่นมั่นคง น่าแปลก ดูเหมือนหญิงสาวจะเข้าใจภาษาเขียนนั้นด้วย

    “ทำไมข้าเหมือนจะอ่านที่ท่านเขียนออก” หญิงสาวถาม

    “ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะเข้าใจ ภาษาของสองเผ่ามีความคล้ายคลึงกัน แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียดปลีกย่อย” ชายหนุ่มตอบ

    หญิงสาวพยักหน้า แสดงว่านางจะต้องรู้มากกว่าหนึ่งภาษาแน่นอน เพียงแต่ยังบอกตัวเองไม่ได้ว่าภาษาที่นางเขียนไปในตอนแรกนั้นเป็นภาษาใด

    ......

    ยามสาย คู่หนุ่มสาวหอบสัมภาระออกจากบ้านเอย่า อมเลียแอบวางจดหมายลานั้นไว้บนโต๊ะในห้องนอน หวังว่าเอย่าจะไปพบมันหลังจากทั้งสองออกจากเมืองไปแล้ว อเมเลียหันไปมองแม่เฒ่าอย่างอาลัยแต่พยายามไม่ทำให้ผิดสังเกต


    เอย่าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

    “ย้ายออกไปแล้วแต่ว่างๆก็แวะมาเยี่ยมข้าบ้างนะ”

    “ค่ะ เอย่า” หญิงสาวรับคำอย่างแหบโหย รู้สึกไม่ดีที่ต้องปดผู้มีพระคุณ

    “เราไม่ลืมบุญคุณของท่านแน่นอนขอรับ ท่านช่วยเราไว้มากจริงๆ เราจะจดจำไว้ตลอดไป” อาเคเดียยนเอ่ยหนักแน่น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายจริงจัง

    เอย่ายิ้ม

    “อย่าได้คิดเป็นเรื่องบุญคุณอะไรเลย ข้าเองไม่ได้ลำบากอะไรด้วยซ้ำ เป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองอยู่แล้วที่จะต้องจัดการปัญหาให้กับลูกบ้าน เอ้า ไปกันเถิด อยู่กันดีๆนะ เจ้าทั้งสอง”

    อเมเลียโผเข้าไปกอดเอย่าก่อนจากมา ทำเอาหญิงสูงวัยถึงกับหัวเราะ

    “อะไรกันอเมเลีย นี่เจ้าแอบร้องไห้หรือเด็กน้อย ทำอย่างกับว่าจะไปไกลเสียอย่างนั้นแหละ ถ้าคิดถึงก็แวะมาหาข้าบ่อยๆสิ”

    อาเคเดียนเห็นเช่นนั้น เกรงจะเป็นที่สงสัยจึงเอ่ยเสริม

    “อเมเลียคงเห็นท่านแล้วคิดถึงแม่ของนางน่ะขอรับ ตั้งแต่หนีออกมาก็มิได้เจอกันอีกเลย”

    น่าแปลกเพียงคำว่าแม่กลับสะดุดใจยิ่งหนัก หญิงสาวร้องไห้หนักขึ้น จนตัวเองก็รู้สึกได้ว่าจะทำให้ผิดแผน จึงรีบเอ่ยพลางซับน้ำตา

    “ใช่ค่ะ ท่านเอย่าเหมือนแม่คนหนึ่งของข้า ข้าเองก็คิดถึงแม่เหลือเกิน เลยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่”

    เอย่าลูบศีรษะหญิงสาวอย่างเอ็นดู

    “ไม่เอาน่าคนดี อย่าร้องไห้ ประเดี๋ยวตาเจ้าจะบวมเสียหมด ไปเถิด อาเคเดียนแบกสัมภาระหนัก เขาคอยเจ้านานแล้ว” เอย่าเอ่ยไล่

    ทั้งสองโบกมือลาแม่เฒ่าผู้อารีย์ก่อนจะก้าวเดินไปสู่หนทางที่รออยู่เบื้องหน้า

    .............

    ทั้สองได้มาสำรวจเส้นทางที่จะออกไปยังโลกภายนอกไว้ก่อนแล้วโดยอาศัยข้ออ้างว่าหาทำเลที่อยู่อาศัย เมื่อเดินมาเรื่อยๆ เจอชาวเมืองทักก็ตอบไปว่ากำลังย้ายไปบ้านใหม่ ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดสงสัย เมื่อออกนอกเขตชุมชน อาเคเดียนก็เร่งฝีเท้า ภูเขาใหญ่ที่มีอุโมงค์เล็กๆข้างใต้คือทางผ่านที่จะพาทั้งสองออกไปยังโลกภายนอก บัดนี้ปากอุโมงค์อยู่ตรงหน้าแล้ว อาเคเดียนชะลอฝีเท้า มือแข็งแกร่งคว้ามือของอเมเลียมากุมไว้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม

    สายตาของอาเคเดียนจับจ้องอยู่ที่ปากถ้ำซึ่งอยู่ไกลออกไปราวยี่สิบเก้า ประกายตาสีน้ำเงินเย็นเยียบ ร่างสูงยืนนิ่งไม่ก้าวต่อ

    “มีอะไรหรือ”

    แทนคำตอบ ร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดของถ้ำ ชายผู้ประลองกับอาเคเดียนในคืนนั้น แชมป์เก่าของเมืองนี้

    “ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าพวกเจ้าต้องหนี” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น



    ************************************

     

    “ข้าเข้าใจท่านนะ ผู้มีฝีมืออย่างท่านคงไม่มาฝังตัวอยู่ในเมืองเล็กๆเงียบสงบเช่นนี้หรอก”

    เสียงของโจชัวเอ่ยขึ้นขณะเดินนำทางเข้าสู่ป่าอาถรรพ์ เขาไปดักรอทั้งสองที่ปากอุโมงค์เพราะต้องการอาสาพาทั้งคู่มาส่งยังบริเวณที่จะนำไปสู่รอยต่อของป่าอาถรรพ์และอาณาจักรเทพซึ่งต้องเดินตัดขึ้นทิศตะวันออก อันที่จริงเดินตามแม่น้ำเกรย์วอเตอร์ไปก็ได้แต่ระยะทางไกลกว่ากันมาก โจชัวชูคบเพลิงในมือขึ้น แม้จะเป็นยามกลางวันแต่ต้นไม้ที่รกชัฎทำให้ป่าแห่งนี้มืดครึ้มราวกับกลางคืน

    ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน บ้านเช่าที่ทั้งสองไปติดต่อไว้เป็นบ้านพี่สาวของเขาเอง บังเอิญเมื่อวานเขาแวะไปเยี่ยมหลานๆ พี่สาวก็พูดขึ้นมาว่าทั้งคู่จะย้ายเข้าวันนี้ ทำให้เขาเดาไว้ว่าทั้งคู่น่าจะเตรียมเล็ดลอดออกจากเมืองวันนี้ อันที่จริงเขารู้ได้ตั้งแต่วันที่เจอทั้งสองไปซื้อของแล้ว ของที่อาเคเดียนซื้อแต่ละอย่างราวกับเตรียมตัวไปเดินป่า ใช่ของใช้ในบ้านที่ไหนกัน

    โจชัวพูดต่อราวกับว่าไม่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินฝ่าหญ้ารกๆ เถาวัลย์และขอนไม้ระเกะระกะ ก็เขาเติบโตที่นี่มาตั้งแต่เด็ก การเดินในป่าอาถรรพ์เหมือนกับการเดินในสวนหลังบ้านของเขานี่เอง

    “ท่านคงคิดจะไปร่วมสงครามสินะ หากข้าเป็นท่านข้าก็มีความฝันที่อยากยิ่งใหญ่เช่นกัน สงครามนั้นเป็นเวทีให้คนหนุ่มได้แสดงความสามารถ ฝีมือระดับท่านคงก้าวหน้าไวไม่น้อย เสียดาย บ้านของข้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่อาจทอดทิ้งไปได้”

     

    อาเคเดียนไม่ตอบ

     

    โจชัวยังคงพูดต่อ “ท่านไม่สงสารอเมเลียหรือ คนหนุ่มจำนวนไม่น้อยต้องเอาชีวิตไปทิ้งในสงครามเพียงเพราะความทะเยอทะยาน อีกทั้งหากท่านร่วมรบกับฝ่ายเทพ นั่นหมายถึงท่านต้องสังหารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของนาง นางจะยอมรับได้หรือ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากท่านพานางกลับไปยังเผ่าเทพ นางจะได้รับการต้อนรับจากญาติพี่น้องของท่านและผู้คนที่นั่นได้อย่างไร”

     

    อาเคเดียนพูดเสียงเย็น

    “ข้ารู้สึกซาบซึ้งที่ท่านพาพวกเรามาส่ง แต่ท่านไม่จำเป็นต้องถามเรื่องส่วนตัวของข้า”

    “อาเคเดียน เจ้านี่ช่างทำตัวไร้มารยาทขึ้นไปทุกวันแล้วนะ” อเมเลียขัด “โจชัว ข้าขอโทษแทนเขาด้วยนะ อย่าไปสนใจเลย ชอบพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนอื่น ท่านอุตส่าห์ช่วยพวกเราแท้ๆ อย่าถือสาเลยนะ”

     

    โจชัวยิ้มกว้าง

    “ข้าไม่โกรธหรอก ข้าเองก็พูดมากไป ติดนิสัยสอดรู้ช่างถามของคนในเมืองซะแล้ว คนเมืองเล็กก็เป็นอย่างนี้แหละ คิดอะไรก็พูดออกมา”

     

    ราวสองชั่วโมงที่เดินโดยไม่หยุด ในไม่ช้าก็ถึงบริเวณป่าที่โปร่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย โจชัวหยุดเดินก่อนหันมาบอก

    “จากนี่ไป เดินไปทางทิศนี้ อีกราวสองวันก็น่าจะถึงรอยต่ออาณาจักรเทพแล้ว ข้าขอส่งพวกท่านตรงนี้ก็แล้วกันนะ”

     

    “ขอบคุณท่านมากโจชัว ที่อุตส่าห์มาส่งพวกเราถึงที่นี่” อเมเลียเอ่ยอย่างจริงใจ

    “ขอบคุณท่านมาก หากมีโอกาสเราคงได้พบกันอีก” อาเคเดียนเอ่ย

    โจชัวยิ้ม

     “หากวันใดพวกเจ้าเปลี่ยนใจก็กลับมานะ เมืองลึกลับแห่งนี้ยินดีต้อนรับเสมอ ข้าลาล่ะ” กล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป

    “ลาก่อน รักษาตัวด้วย” อเมเลียตะโกนไล่หลังไป

    อาเคเดียนปลดสัมภาระลงจากบ่าวางลงกับพื้น

    “เราไม่ไปต่อหรือ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

    “พักก่อนเถิด” กล่าวจบร่างสูงก็เอนกายพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ อเมเลียเห็นเช่นนั้นก็นั่งลงไม่ไกลนัก อากาศชื้นไม่มีลมสักนิด บรรยากาศดูวังเวงชอบกล

    เมื่อครู่โจชัวเร่งทำเวลา อเมเลียต้องก้าวยาวๆเพื่อตามทัน อาเคเดียนเดินปิดท้าย เห็นหญิงสาวแอบยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อบ่อยครั้งก็รู้ว่าร่างบางคงจะเหนื่อยแต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่น เขาหยิบกระติกน้ำขึ้นมาส่งให้ หญิงสาวรับไปดื่มอย่างกระหาย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปดึงกระติกไว้เมื่อหญิงสาวจิบไปได้อึกหนึ่ง


    “ดื่มแค่พอให้หายกระหายก่อน เรามีน้ำจำกัด ยังไม่รู้ว่าในอีกสองวันข้างหน้าจะเจอแหล่งน้ำหรือไม่”


    อเมเลียส่งกระติดคืน อาเคเดียนจึงเก็บเข้ากระเป๋า


    “ท่านไม่ดื่มหน่อยหรือ”


    “ข้ายังไม่กระหาย” ครั้นต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน อาเคเดียนก็กลับมาเงียบขรึมเช่นเดิม นั่งเงียบๆกันไปสักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืน



    “ไปกันต่อเถอะ”




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×