ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rose of the Underworld

    ลำดับตอนที่ #45 : War Announcement

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 37
      0
      25 ก.พ. 58

     

    อิคารัสไม่สามารถหาตัวชายาของอาเคเดียนได้พบทันเวลาที่อาเคเดียนกำหนดไว้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น เลมอสซึ่งได้รับมอบหมายจากอาเคเดียนให้ประกาศสงครามต่อเมืองพาราไดซ์ จึงมีความชอบธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ท่ามกลางชุมนุมเหล่าเทพที่อิคารัสนัดมาประชุม ได้กลายเป็นเวทีให้เมืองเฮปตากอนประกาศศึกกับเมืองพาราไดซ์อันเป็นการประกาศความอัปยศของผู้ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ์อาณาจักรเทพ ตราประจำตัวของอิคารัสที่อาเคเดียนยึดไว้เป็นหลักฐานมัดตัวชั้นดี เลมอสชูตราประจำตัวของอิคารัสขึ้นให้เหล่าเทพในที่ประชุมได้เห็นกันทั่ว

    “นี่คือหลักฐานว่าเมื่อคืน อิคารัสได้บุกไปยังตำหนักรับรองของเจ้าชายข้า ฉวยจังหวะตอนที่พระองค์ไม่อยู่ ลักพาพระชายาไปเสีย และจนบัดนี้ อิคารัสยังไม่สามารถนำตัวพระชายากลับมาคืนนี้ได้ เหตุนี้เมืองเฮปตากอนจึงขอประกาศสงครามกับเมืองพาราไดซ์”

    การตัดสินใจเช่นนี้ ทำให้เหล่าเจ้าเมืองอาณาจักรเทพพากันฮือฮา แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนก่อนหน้า ที่เหล่าปีศาจมาปรากฏตัวในงานทำให้เจ้าเมืองอาณาจักรเทพหลายคนไม่พอใจ เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าอิคารัสสมคบกับเหล่าปีศาจ ทั้งๆที่เป้าหมายของการมาประชุมครั้งนี้เพื่อร่วมมือกันทำสงครามกับเมืองปีศาจ

    อีกทั้งการที่อิคารัสมีส่วนรู้เห็นในการหายตัวไปของชายาแห่งเจ้าชายเมืองเฮปตากอนเป็นส่วนสำคัญที่สะเทือนความรู้สึกของเหล่าเทพ นั่นหมายถึงอิคารัสได้ละเมิดกฎร้ายแรงของการเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการมุ่งร้ายต่อผู้มาเยือน

    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ทำให้เจ้าเมืองจำนวนหนึ่งตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับเมืองเฮปตากอนและประกาศเข้าร่วมสงครามเคียงข้างอาเคเดียนซึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรมของจักรพรรดิองค์ก่อน

     “อิคารัส การกระทำของเจ้าช่างไร้คุณธรรมยิ่งนัก ข้าคงไม่อาจร่วมมือกับเจ้าได้อีกต่อไป” เจ้าเมืองคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าว พาให้เกิดเสียงอึงอลในที่ประชุม ตามด้วยเจ้าเมืองอื่นๆที่ลุกตาม

    “พวกท่านอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวไปของชายาอาเคเดียนเลย” อิคารัสรีบกล่าวแก้ตัว

    “แล้วตราประจำตัวของเจ้าไปปรากฏอยู่ที่ตำหนักอาเคเดียนได้อย่างไร”

    “แล้วการที่เจ้าไปเข้ากับพวกปีศาจล่ะ”

    “เจ้าคิดจะหลอกใช้พวกเราใช่มั้ย”

    เสียงประท้วงดังมาจากที่ประชุม ล้วนเป็นคำถามที่อิคารัสไม่สามารถตอบได้

    “หากพวกท่านไม่เชื่อใจข้า ข้าก็จนใจจะอธิบาย เพียงแต่วันใดพวกท่านกลับใจคิดได้ ข้าก็ยินดีรับท่านกลับมาเป็นฝ่ายเดียวกันเสมอ ข้าขอตัวก่อน”

    อิคารัสจำต้องตัดบทและรีบปิดการประชุมก่อนที่จะโดนรุมด้วยคำถามมากไปกว่านั้น

    ครั้นกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวก็ได้แต่กำหมัดทุบกับโต๊ะอย่างไม่ยั้งมือ อิคารัสในตอนแรกตั้งใจจะอาศัยความเกลียดชังเหล่าปีศาจของเหล่าเทพเพื่อยืมมือเจ้าเมืองต่างๆเจ้าโจมตีเมืองฮาดีสอันเป็นฐานที่มั่นของอาณาจักรปีศาจ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเหล่าปีศาจจะมาปรากฏตัวในงานทำให้เขาเสียแนวร่วมไปมากมาย แต่ไม่เป็นไร เขายังมีพันธมิตรอีกมากและหนึ่งในนั้นก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย

    แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้กลายเป็นว่าแทนที่จะตีเมืองฮาดีสได้โดยง่าย เขากลับต้องรับศึกสองด้าน ด้านหนึ่งจากเมืองเฮปตากอน และอีกด้านหนึ่งจากเมืองฮาดีสซึ่งตอนนี้ชิงคทากลับไปได้สำเร็จ

    อิคารัสหัวเสียที่เหตุการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ ทั้งๆที่สถานการณ์ในตอนแรก อิคารัสเป็นฝ่ายได้เปรียบ มีทั้งคทามหาเวทย์และตัวองค์หญิงอเมเลียอยู่ในมือ การจะบุกยึดเมืองฮาดีสย่อมไม่ยากเลย อาศัยเพียงหลอกใช้เจ้าเมืองเผ่าเทพเพียงลำพังก็น่าจะหักหาญเอาได้ แต่เมื่อการณ์ล่วงมาเป็นเช่นนี้ เขาจำใจต้องยืมมือคนที่เขาไม่อยากยุ่งด้วยเท่าไรนักเพราะเขารู้ตัวดีว่าหากทำสำเร็จเขาจะต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงไม่ใช่น้อย

    .....

    แม้อิคารัสจะติดต่อไปทางพันธมิตรโลกปีศาจให้ช่วยกำจัดอเมเลียเสีย ทว่าเวลาล่วงไปสองอาทิตย์ พันธมิตรของเขาส่งข่าวกลับมาแจ้งว่า การลอบสังหารอเมเลียล้มเหลว วิหคเพลิงที่ถูกส่งออกไปทำได้เพียงทำลายเรือที่โดยสารไปเท่านั้น ส่วนอเมเลียหลบหนีไปได้ และจนบัดนี้ยังไร้ร่องรอย อิคารัสคำรามอย่างสิ้นหวัง มือทุบโต๊ะจนรู้สึกชา เหตุใดสถานการณ์จึงดูจะบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ ภายในหนึ่งเดือน ทัพของเฮปตากอนก็จะยกมา เขาไม่อยากจะคิดว่าหากทัพปีศาจยกมาสมทบพร้อมกัน เมืองพาราไดซ์จะเป็นอย่างไร

    “ข้าจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น อาเคเดียน เจ้าไม่มีวันชนะข้าได้ ในเมื่อข้าสังหารบิดาเจ้าได้ ข้าก็ย่อมต้องสังหารเจ้าได้เช่นกัน” รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นบนใบหน้าชั่วร้าย

    ................

    ในป่าอาถรรพ์อันมืดครึ้มตลอดวัน อาเคเดียนใช้พลังเวทย์สร้างลูกไฟเพื่อเป็นแสงสว่างนำทาง แนจลูกเหยี่ยวตัวน้อยเกาะบ่าอเมเลียมาตลอดทาง หากไม่สังเกตดีๆอาจนึกว่าเป็นก้อนสำลีกลมก้อนหนึ่ง อากาศเย็นลงเรื่อยๆตามปริมาณของแสงแดดที่น้อยลงตามลำดับ แม้อากาศจะเย็นแต่ความความชื้นสูงนัก ยิ่งเดินน้ำค้างก็จับตามเสื้อผ้าจนเปียกชื้น อเมเลียรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกบอกว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับอาเคเดียนเท่านั้น หญิงสาวเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตาที่มองไม่เห็น ครั้นหันไปมองอาเคเดียนก็ไม่เห็นเขามีท่าทีผิดปกติแต่อย่างใด หรือเธอจะคิดมากไปเอง

    ครั้นจะเอ่ยถามเสียงดังก็กลัวจะเป็นการกระโตกตากให้ศัตรูรู้ตัวถ้าหากศัตรูซุ่มตัวอยู่ อเมเลียจึงเอ่ยเรียกอาเคเดียนด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

    “อาเคเดียน”

    ร่างสูงที่เดินนำหน้าหยุด ก่อนหันกลับมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย ประหลาดใจกับน้ำเสียงกระซิบกระซาบของหญิงสาว

    “มีอะไรหรือ ทำไมต้องทำเสียงมีลับลมคมในอย่างนั้น”

    หญิงสาวไม่ตอบ กวักมือเป็นสัญญาณให้ร่างสูงโน้มตัวลงมาใกล้ หญิงสาวยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกับหู

    “ข้ารู้สึกว่ามีคนจับตาดูเราอยู่ ท่านไม่รู้สึกหรือ”

    ร่างสูงทำหน้าเคร่ง

    “จริงด้วยสิ พอเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็รู้สึกได้เช่นกัน ท่าทางมันจะมีจำนวนมากเสียด้วย” ชายหนุ่มเออออตาม

    “ท่านว่าพวกนี้เป็นใครกัน หรือจะเป็นสัตว์ประหลาดในป่านี้” น้ำเสียงอเมเลียเริ่มสั่นอย่างไม่มั่นใจ

    “มันอยู่กันเป็นฝูงเลยล่ะ บนต้นไม้นี้ก็มีซ่อนตัวอยู่” กล่าวจบชายหนุ่มก็ชี้นิ้วขึ้นไปยังกิ่งก้านหนารกเหนือบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ “เจ้าเห็นประกายตานั้นไหมล่ะ” ว่าแล้วบังคับดวงไฟให้ลอยสูงขึ้นเล็กน้อย

    อเมเลียมองตามขึ้นไป แสงสว่างจากดวงไฟเวทย์ที่อาเคเดียนจุดขึ้นกระทบดวงตาวาวสีเขียวนับสิบคู่ที่ซ่อนอยู่ในกิ่งก้านหนา แต่กิ่งก้านที่รกทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสัตว์ประหลาดบนนั้นเป็นตัวอะไร อเมเลียขนลุกตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า หันมามองหน้าอาเคเดียนด้วยสีหน้าสยองใจ

    “ม..มันคือตัวอะไรกัน” หญิงสาวถามพลางกลืนน้ำลายลงคอ

    อาเคเดียนเห็นใบหน้าไร้สีเลือดของหญิงสาวแล้วอดไม่ได้ต้องหัวเราะออก

     “มันคือบ่างค้างคาว ไม่มีอันตรายหรอก พวกนี้อยู่กันเป็นฝูง ออกหากินเวลากลางคืน หากเจ้าไม่ได้มีของกินล่อตาล่อใจพวกมัน มันก็ไม่ทำอันตรายเราหรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้ในสัมภาระเรามีอาหารมากมาย รีบเดินไปให้พ้นบริเวณนี้เร็วๆเถอะ”

    แทบไม่ต้องเตือนซ้ำ หญิงสาวก้าวเท้าเร็วกว่าเดิม ไม่อยากจะคิดว่า แม้ชายหนุ่มบอกว่าไม่มีอันตราย แต่หากบ่างฝูงนี้จำนวนเป็นร้อยเป็นพันบุกโจมตีเข้ามาพร้อมกันแล้วล่ะก็ แม้มีร้อยชีวิตก็เห็นจะไม่พอ

    อาเคเดียนเห็นอเมเลียสีหน้าไม่ดีก็ปลอบใจ

    “ธรรมชาติของสัตว์ป่าพวกนี้มันไม่ค่อยสนใจมนุษย์หรอก มันจะจู่โจมก็ต่อเมื่อมันหิว แย่งตัวเมียกัน ปกป้องอาณาเขต หรือเวลามันตกใจที่เผชิญหน้าในระยะใกล้แล้วหลบไม่ทัน ปกติมันมักจะหลีกเลี่ยงให้พ้นเส้นทางเรา”

    “แล้วจำนวนมันเยอะขนาดนี้ เกิดมีอะไรมาทำให้มันตกใจจนคลุ้มคลั่ง ป่าแถวนี้ไม่ปั่นป่วนไปหมดหรอ” อเมเลียถาม

    “กรณีนั้นก็อันตรายเหมือนกัน แต่ไม่เฉพาะกับบ่างค้างคาวนะ สัตว์ทั่วๆไปที่อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ หากมีอะไรทำให้มันตกใจขึ้นมาละก็ อย่าได้ไปขวางทางมันเชียว เพราะอาจจะโดนเหยียบตายได้”

    อเมเลียเหลือบตามองไปรอบบริเวณ ต้นไม้หนาแน่นอย่างนี้ ไม่รู้จะวิ่งหนีไปทางไหนได้

    “เมื่อครู่ท่านว่ามันเป็นบ่างค้างคาวหรือ หน้าตามันเป็นยังไง” หญิงสาวซักต่อ

    “มันก็วิวัฒนาการมาจากบ่างนั่นแหละ เหมือนค้างคาวแต่ตัวใหญ่กว่า หน้าตาไม่เหมือนหนูมีปีก แต่จะดูเหมือนลิงมีปีกซะมากกว่า มันมีพละกำลังและความว่องไวเหมือนลิง แต่มีปีกบินได้ด้วย” อาเคเดียนตอบ

    “แล้วเคยมีปรากฏว่ามันโจมตีคนบ้างหรือปล่าว” อเมเลียถามน้ำเสียงหวาดหวั่น

    “อืม.. ไม่รู้สิ คนที่เคยโดนโจมตีน่าจะไม่เหลือชีวิตรอดมาเล่านะ” อาเคเดียนตอบแล้วแอบอมยิ้ม

    อเมเลียเร่งฝีเท้าขึ้น สังเกตไปตามโคนไม้ มิน่ามีกองคล้ายมูลสัตว์เต็มป่าบริเวณนี้ หากยังเห็นกองแบบนี้อยู่แสดงว่ายังไม่พ้นเขตที่อยู่อาศัยของพวกบ่างค้างคาว ฟังจากที่อาเคเดียนเล่าแล้ว หญิงสาวตัดสินใจว่าควรจะระวังไว้ก่อนดีกว่า อยู่ในภูมิประเทศปิดแบบนี้ มองไปข้างหน้าเห็นในระยะไม่เกินห้าเมตรเพราะมีต้นไม้ใหญ่บังไว้ ทางหนีน่าจะจำกัด

    อเมเลียเดินเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อาเคเดียนคิดในใจ หากรู้ว่าเรื่องเล่าประเภทสยองขวัญสั่นประสาทจะสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินป่าได้ เขาคงจะเล่าไปนานแล้ว



     

    ในไม่ช้า ทั้งคู่ก็เดินพ้นจากบริเวณที่อยู่อาศัยของบ่างค้างคาว อเมเลียดูตามพื้น ไม่มีกองมูลดังเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเดินไปพบต้นไม้ใหญ่ที่ล้มอยู่ อาเคเดียนก็ปลดสัมภาระแล้วนั่งลง หยิบอาหารออกมา

    “ตอนนี้ไกลจากพวกนั้นแล้ว เราพักกินอาหารกันก่อนเถอะ ในช่วงบ่ายถึงเย็นเราจะเดินยาวจนกว่าจะหาที่พักได้”

    อเมเลียพยักหน้า เมื่อครู่เดินแบบจัดเต็มสปีด รู้สึกแข้งขาสั่นไปหมด เอื้อมมือไปรับอาหารที่เขาส่งให้ก่อนนั่งลงกินบนขอนไม้

    “นี่เราเดินมาได้ไกลแล้วใช่ไหม” หญิงสาวถาม

    “เรายังเดินมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสามของระยะทางเลย”

    คนถามสีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที

    “เจ้ากินเข้าไปเยอะๆ เราต้องเดินอีกยาวเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถหาที่พักข้างหน้าได้เมื่อไร คราวนี้เราคงลำบากกว่าคราวที่แล้วมาก เพราะเราเดินตัดมาใจกลางป่า เส้นทางเดินลำบากแต่ย่นระยะทางไปมาก”

    หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างหมดแรง เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว การเดินเท้าอันยาวนานในช่วงบ่ายก็ดำเนินต่อไปทันที

    .......

    “ข..ข้าว่าเรานอนข้างล่างกันเถอะ” อเมเลียเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาเคเดียนใช้แผ่นไม้กระดานปีนขึ้นไปขัดบนกิ่งไม้

    “ไม่ได้หรอก อันตราย เกิดเสือมาคาบไปกินจะทำยังไง” ว่าพลางใช้เชือกและตะปูยึดแผ่นไม้ที่แบกมาไว้กับกิ่งที่ดูแข็งแรง

    “เราก็ก่อกองไฟไว้ไม่ได้หรอ สัตว์พวกนี้มันน่าจะกลัวไฟนะ” หญิงสาวเสนอทางออก ให้นอนบนกิ่งไม้อย่างนั้นหรือ เธอคงตกลงมาคอหักตาย

    “ป่าบริเวณนี้ชื้นมาก จุดไปก็ไม่ติดหรอก เจ้าลองมองไปรอบๆสิ มีอะไรที่แห้งพอจะเป็นเชื้อเพลิงได้บ้าง” อาเคเดียนตอบ

    อเมเลียมองไปรอบๆบริเวณ ลองหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมา แต่ก็จริงดังอาเคเดียนว่า ทุกอย่างเปียกชื้นไปหมด

    “เอ้า ขึ้นมาได้แล้ว ตอนนี้มืดแล้ว สัตว์คงเริ่มออกหากินแล้วล่ะ”

    เมื่ออาเคเดียนไม่มีท่าทีว่าจะลงมา หญิงสาวจึงจำต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ อาศัยจับเถาวัลย์ที่เขาโรยลงมาให้ เท้าเหยียบลำต้นดึงตัวขึ้นไป ออกจากไปได้เธอสมควรได้รับประกาศนียบัตรการดำรงชีพในป่า หญิงสาวคิด

    อาเคเดียนเอื้อมมือมารับหญิงสาวขึ้นไปนั่งบนแผ่นไม้ที่ขัดไว้แน่นหนา ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ราวสิบคนโอบ กิ่งแต่ละกิ่งใหญ่ราวกับลำต้นไม้ อาเคเดียนหยิบผ้าห่มออกมาส่งให้ อเมเลียรับมาถือไว้ ยังงงๆไม่รู้ว่าจะเอนกายนอนอย่างไร อาเคเดียนซึ่งกำลังจะกระโดดไปนอนยังอีกกิ่งหนึ่งเห็นเช่นนั้นก็มีท่าทางลังเล

    “เจ้าพอจะนอนได้ไหม”

    “ข้ากลัวว่าตอนหลับจะเผลอกลิ้งตกลงไปน่ะสิ” หญิงสาวบอกตามตรง

    “จะให้ข้ามัดเจ้าไว้กับต้นไม้ไว้ไหม จะได้ไม่ตก” อาเคเดียนถามจริงจัง “แต่เจ้าอาจจะเมื่อยและไม่สบายตัวสักหน่อย”

    แวบหนึ่งอเมเลียมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาตกระกำลำบาก นั่งหลับนกบนต้นไม้เช่นนี้ หลับนกว่าแย่แล้ว ยังจะต้องเป็นนกที่โดนมัดไว้อีกหรือ

    “ไม่เป็นไร ข้าจะนอนอย่างระมัดระวัง”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาเคเดียนก็คลายใจ กระโดดไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆกัน เขานอนเหยียดขาพาดยาวไปกับกิ่งขรุขระ เอนหลังพิงลำต้นอย่างสบายใจ

    “อดทนหน่อยนะ ช่วงที่ยังอยู่ในป่านี้เจ้าอาจจะต้องลำบากหน่อย” อาเคเดียนเอ่ยอย่างสงสาร เขารู้ดีว่าหญิงสาวไม่เคยต้องตรากตรำเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่าเงียบ ไม่มีเสียงตอบ

    ครั้นหันไปมองคนที่นอนอยู่กิ่งข้างๆ อเมเลียเอนหลังพิงลำต้นท่าเดียวกับเขา หญิงสาวหลับไปแล้ว วันนี้ทั้งสองเดินป่าอย่างสมบุกสมบัน หญิงสาวคงจะเพลียมาก

    อาเคเดียนหลับตาลงอีกครั้ง แต่หูกลับได้ยินเสียงดังครืด ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นใหม่

    ร่างที่พิงลำต้นเมื่อครู่เริ่มเอียงมาทางด้านขวาอย่างน่าหวาดเสียว อเมเลียดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด ทั้งๆที่หากเธอโน้มกายลงมาอีกเพียงนิดเดียว เห็นทีจะได้ลงไปนอนเล่นอยู่ใต้ต้นไม้แน่ อาเคเดียนขยับลุกทันทีอย่างตัดสินใจได้ หากไม่ทำเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ตื่นมาคงไม่ได้เห็นหน้าเธอในสภาพปกติแน่

     ..................

    อเมเลียขยับกายอย่างเกียจคร้าน การนอนบนต้นไม้ก็ไม่ได้เลวร้ายนักแม้ว่าเมื่อคืนเปลือกไม้แข็งๆจะทิ่มหลังบ้างก็ตาม แต่พอนอนไปก็ชินไม่เจ็บหลังอีก แถมยังรู้สึกนุ่มและอุ่นด้วย

    เสียงลมหายใจและอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยแต่ไม่ทันคิดว่าอกใคร ด้วยความลืมตัวนึกว่านอนอยู่บนเตียง อเมเลียก็พลิกตัวแต่ทว่ากลับมีมือหนึ่งจับเอวไว้ พลิกให้กลับมานอนท่าเดิม ปลุกให้สติสัมปชัญญะค่อยๆกลับมา

    ดวงตาคู่งามค่อยๆหรี่ปรือขึ้น นี่เช้าแล้วหรือ มองขึ้นไปด้านบนเห็นแสงขาวลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ลงมาเป็นจุดขาวเล็กๆ มากมาย เมื่อแหงนมองสูงขึ้นไปอีกกลับเห็นปลายคางของใครคนหนึ่ง

    “อาเคเดียน!” หญิงสาวร้องพลางผุดตัวลุกขึ้นทันที ส่งผลให้หน้าผากมนไปเสยกับปลายคางของคนที่ยอมอุทิศร่างเป็นที่นอนให้

    “โอ้ย” หญิงสาวร้องพลางยกมือคลำหน้าผากป้อย ใบหน้าแดงจัด ไม่ทันเห็นแววตาขบขันของคนที่มองอยู่

    “ทำไมท่านมานอนที่ตรงนี้ได้ล่ะ” เมื่อตั้งสติได้จึงถามขึ้น

    “ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะทำอัตวิบาตกรรมน่ะสิ เจ้าตื่นก็ดีแล้ว ขยับไปนั่งตรงปลายกิ่งหน่อยเถิด” อาเคเดียนเอ่ยน้ำเสียงธรรมดา ทำราวกับไม่มีอะไรแปลก พร้อมกับปล่อยวงแขนที่กระชับร่างเล็กออก

    อเมเลียก้มหน้า จับผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ อากาศยามเช้ายังเย็นจัด หญิงสาวค่อยๆเลื่อนกายอย่างระมัดระวังไปทางปลายเท้าของอาเคเดียนก่อนจะนั่งลงห้อยขา โชคดีที่ต้นไม้ชนิดนี้แผ่กิ่งก้านดกหนา จึงทำให้ไม่น่ากลัวนัก

    อาเคเดียนขยับตัวนั่งตรง ยังไม่สามารถขยับขาได้เพราะเป็นเหน็บชา เขาต้องยอมอุทิศร่างเป็นฟูกนิรภัยให้หญิงสาวเมื่อคืนแต่ก็นับว่าคุ้มได้พินิจดวงหน้างดงามบริสุทธิ์ทั้งในยามหลับและยามงัวเงียตื่นนอน เส้นผมยาวสลวยพันกันยุ่งเหยิง ใบหน้าขาวนวลแม้บัดนี้ก็ยังเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่ หญิงสาวใช้ปลายนิ้วสางผมอย่างลวกๆ ดวงตาทอดไปยังแนวป่าเบื้องหน้า

    “หิวหรือยัง หาอะไรในห่อสัมภาระกินก่อนสิ” อาเคเดียนว่าพลางพยักเพยิดไปทางห่อผ้าที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้เล็กๆที่แตกจากสาขาใหญ่ที่ทั้งสองนอนอยู่

    อเมเลียโน้มตัวลงไปหยิบขนมปังและผลไม้ขึ้นมาสองลูก ส่งให้อาเคเดียนส่วนหนึ่งแล้วลงมือกินอย่างสบายใจ

    “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าวันสองวันนี้เราจะได้เจอกับพรรคพวกที่พลัดหลงกันไปล่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น

    “ทำไมล่ะ”

    “เพราะเมื่อคืนข้าฝัน”

    อาเคเดียนหัวเราะ

    “นี่เจ้าคิดจะผันตัวไปเป็นแม่หมอตั้งแต่เมื่อไรกันรึ หากเจ้าพยากรณ์ได้ถูก เห็นทีข้าคงต้องขอยืมตัวเจ้าไปเป็นโหรประจำราชสำนักแล้วกระมัง”

    ร่างบางหันไปค้อนให้เขาหนึ่งวง ก่อนจะหันมาจัดการกับอาหารในมือต่อ เมื่อทั้งสองอิ่มแล้ว อาเคเดียนทดลองขยับแข้งขายืดเส้นยืดสาย หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง

    “เมื่อคืนท่านคงเมื่อยมาก ข้านอนหลับสบายอยู่คนเดียว”

    “ก็ไม่มากหรอก แค่เหมือนกับมีหินสักหนึ่งตันมาทับไว้”

    ชายหนุ่มเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อเมเลียแหงนหน้าขึ้นจ้องเขาตาเป็นประกาย

    “ฮึ ท่านก็พูดเกินไป คนอุตส่าห์พูดด้วยดีๆ ข้าไม่พูดด้วยแล้ว” คำขอบคุณที่ตั้งใจจะเอ่ยไปเป็นอันล้มเลิก

    ร่างสูงไม่ตอบ ก้าวข้ามคนที่นั่งห้อยขาไปคว้าห่อสัมภาระที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้มาสะพาย ยื่นมือไปให้คนตัวเล็กจับเพื่อพยุงให้ลุกขึ้น แต่อเมเลียทำเมิน ยันกายลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง อาเคเดียนยกมุมปากขึ้น เวลาเขินอายสตรีมักจะทำเป็นแสนงอนเช่นนี้รึ หากแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×