ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rose of the Underworld

    ลำดับตอนที่ #2 : Death and Resurrection

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 58


    Chapter 2

    Death and Resurrection

     

     

     

     



                  “เดี๋ยวก็ฟื้นแล้วพะย่ะค่ะ”



                  “ดีใจจริง ๆ ขอบใจมากนะท่าน หากไม่ได้ท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร



                  วิรันดาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน รู้สึกรำคาญจึงขยับตัวหนี แต่ก็ได้ยินเสียงอื้ออึงขึ้นทันที



                 “ฟื้นแล้ว ๆ “ หลายเสียงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ทันใดนั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่ามีคนโผเข้ากอดแน่นพร้อมกับคร่ำครวญ



                 “โถ ลูกแม่ ฟื้นแล้วจริง ๆ ด้วย นี่แม่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”



                 วิรันดากระพริบตาถี่ ๆ ก่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หญิงสาวรู้สึกรำคาญที่มีคนมาก่อกวนการนอน แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องผุดลุกขึ้นมาโดยเร็ว



                “นี่ที่ไหนกัน” วิรันดาเอ่ยถามออกไปขณะกวาดสายตาไปรอบห้อง”



                “อ้าว ก็ที่วังน่ะสิลูก ถามอะไรแปลก ๆ โถ น่าสงสาร เพิ่งฟื้นขึ้นมาเลยสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ที่ผ่านมาเป็นความผิดของแม่เองนะลูก ต่อไปนี้แม่จะจัดเวรยามให้แน่นหนาขึ้นกว่าเดิม ไม่ให้ใครมาทำร้ายลูกของแม่ได้อีก” ผู้ที่อ้างว่าเป็นมารดาคร่ำครวญ



    วิรันดาสับสนและงุนงงจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่แล้วหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคนหนึ่ง ใบหน้าสวยคม ซอยผมสั้น ก็ก้าวเข้ามาข้างเตียงของเธอและเอ่ยขึ้นว่า



                “ข้าคิดว่าเจ้าหญิงกลับไปบรรทมต่อที่ห้องจะดีกว่ากระมัง”



    แม้วิรันดาจะยังงง ๆ อยู่แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าหากจะได้ใช้ความคิดอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มากกว่าที่จะมานั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูหล่อนอยู่นี้ วิรันดาพยักหน้า หญิงผู้นั้นจึงช่วยพยุงเธอลุกขึ้นและจูงเธอเดินไปตามทาง ระหว่างที่เดินไปยังห้องพัก หญิงสาวอดสังเกตรอบตัวไม่ได้ ในวังนี้ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ก็ให้บรรยากาศชวนหดหู่และขนลุก พรมที่ทางเดินนั้นเป็นสีแดงสดราวกับเลือด ฝาผนังประดับด้วยภาพวาดอสุรกายหรือสัตว์ประหลาดที่ดูโหดร้ายน่ากลัว บ้างก็กำลังกัดกินผู้คน บ้างก็ต่อสู้กันเองอย่างกระหายเลือด วิรันดาห่อไหล่น้อย ๆ เธอรู้สึกหนาวเยือกจากความวังเวงของสถานที่ที่แผ่ซ่านเข้ามา



    ทั้งคู่หยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ผู้นำทางของเธอเปิดประตูและผายมือเชื้อเชิญให้เธอเข้าห้องอย่างสุภาพ วิรันดาก้าวตามเข้าไปในห้อง ภายในห้องมืดมิดเนื่องจากยังไม่ได้จุดตะเกียง วิรันดาถูกจูงให้เดินไปนั่งที่หัวเตียง ก่อนที่เธอจะทันได้เห็นว่าคนที่พาเธอมาจุดไฟอย่างไรนั้น ไฟก็สว่างวาบไปทั่วห้องแล้ว



                 “เธอชื่ออะไรเหรอจ๊ะ” วิรันดาถามอีกฝ่าย



                 “ข้าชื่อ เฮเธล” เฮเธลตอบห้วน ๆ หากแต่สุภาพ



                 “ฉันชื่อ วิรันดา” หญิงสาวบอกอีกฝ่าย



                 เฮเธลยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ก่อนเอ่ยต่อ



                 “ท่านหาได้ชื่อนั้นไม่ ท่านคือ อเมเลีย ต่างหาก”



                “เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะจ๊ะ ฉันชื่อวิรันดา” หญิงสาวแย้ง



                “ท่านชื่ออเมเลียไม่ผิดแน่ ข้าเป็นคนพาท่านมาจากโลกมนุษย์เอง ตอนนี้ท่านอาจจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่อีกไม่นานความทรงจำของท่านก็จะกลับคืน” เฮเธลบอก “โปรดจำไว้ว่า ต่อไปนี้ท่านคืออเมเลีย ไม่ใช่วิรันดาอีกต่อไป”



    วิรันดานิ่งงันไป เธอคิดว่าไม่ตัวเธอก็อีกฝ่ายต้องมีใครผิดปกติแน่ ๆ ราวกับเฮเธอจะอ่านความคิดของเธอออกจึงอธิบายเสริมไปว่า “ท่านอย่าเพิ่งกังวลอะไรไปเลย หากท่านต้องการรู้เรื่องทั้งหมด ข้าจะเป็นผู้เล่าให้ท่านฟังเอง ว่าแต่ท่านพร้อมที่จะฟังหรือไม่”

    วิรันดาไม่ตอบ เฮเธลจึงเล่าสืบไปโดยไม่สนใจต่อท่าทีของอีกฝ่าย



                 “ท่านคือ อเมเลียเจ้าหญิงแห่งแคว้นฮาดีส ซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจของเครือจักรภพปีศาจ” เฮเธลเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ



                “เมื่อเดือนก่อน องค์จักรพรรดิผู้เป็นพระบิดาของท่านถูกลอบปลงพระชนม์ ก่อให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่วอาณาจักร เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ กระหายที่จะตั้งตนเป็นใหญ่ เพื่อระงับความวุ่นวาย คณะองคมนตรีแห่งจักรภพปีศาจจึงมีมติให้แต่งตั้งท่าน องค์หญิงอเมเลียขึ้นเป็นจักรพรรดินีแทนพระราชบิดา ทว่าก่อนที่ท่านจะได้รับมอบคทาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ท่านก็กลับถูกลอบสังหารในวิหารที่ประกอบพิธีนั่นเอง และคทาก็หายไปด้วย เราไม่อาจหาตัวคนร้ายได้ องค์ราชินีจึงมีรับสั่งให้ประหารองครักษ์ทั้งหมด แต่ข้าได้ขอผ่อนผันโดยสัญญาว่าจะหาทางชุบชีวิตองค์หญิงขึ้นมาให้ได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง” เฮเธลหยุดไปนิดหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของวิรันดาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่งฟังจึงกล่าวต่อไป



                 “ข้าได้ปรึกษากับจอมเวทย์เวทันว่ามีทางใดบ้างที่จะทำให้ท่านฟื้นจากความตายขึ้นมาได้ ข้าบังเอิญรู้มาว่าท่านเวทันเป็นจอมเวทย์เพียงท่านเดียวในโลกปีศาจที่สามารถชุบชีวิตได้ แม้อาจไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ข้าก็จำต้องยอมเสี่ยง โชคดีที่ท่านถูกสังหารด้วยคมดาบธรรมดามิใช่ด้วยเวทย์ดังพระบิดาของท่าน เราจึงสามารถใช้มนตร์ชุบชีวิตของท่านเวทันได้ แม้ว่าท่านจะสูญเสียความทรงจำไปก็ตาม”



                 “ถ้าใช้เวทย์สังหารแล้วไม่สามารถชุบชีวิตได้ ทำไมคนร้ายถึงไม่ใช้เวทย์ฆ่าฉันเสียล่ะ” วิรันดาถาม



                 “นั่นเป็นเพราะมันเสี่ยงเกินไป ในเขตวิหารประกอบพิธีที่มีบรรดาจอมขมังเวทย์เข้าร่วมนั้น การใช้เวทย์แม้เพียงนิด อาจทำให้จับกระแสพลังได้และเป็นที่ผิดสังเกต การสังหารท่านด้วยวิธีจู่โจมประชิดตัวด้วยอาวุธธรรมดาจึงปลอดภัยกว่า เพราะท่านต้องเข้าไปรับคทาในวิหารศักสิทธิ์แต่เพียงลำพัง” เฮเธลตอบ



                 “แล้วผู้ร้ายที่ฆ่าฉันก็ต้องรู้ว่าเสียเที่ยวเปล่าน่ะซี เพราะยังไง ๆ พวกท่านก็สามารถชุบชีวิตฉันได้” วิรันดายังคงถามต่อ



                 เฮเธลยิ้มเหยียดที่มุมปาก



                 “พวกมันไม่รู้หรอกว่าเรามีมนตร์ชุบชีวิต ในตอนแรกพวกมันคงจะนึกว่าฆ่าท่านได้สำเร็จแล้ว แต่เมื่อพวกเราประกาศออกไปว่าท่านเพียงแต่บาดเจ็บและได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว พวกมันคงผิดหวังน่าดู”



                 “แล้วฉันไปเกิดที่โลกมนุษย์ได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเธอสามารถชุบชีวิตฉันได้ภายใน 24 ชั่วโมง ฉันว่าเธอคงพามาผิดคนแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันอายุตั้ง 21 ปีแล้วนะ หากเจ้าหญิงของเธอไปเกิดใหม่จริง ก็ต้องเป็นเด็กแรกเกิดที่มีอายุไม่ถึง 24 ชั่วโมงสิ”



                “ท่านเป็นเจ้าหญิงตัวจริงแน่นอน ส่วนเรื่องอายุนั้น ท่านยังไม่เข้าใจระบบเวลาของที่นี่กับโลกมนุษย์ หนึ่งชั่วโมงของที่นี่เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ เมื่อท่านจุติไปยังโลกมนุษย์นั้นข้าก็ติดตามไปทันทีและหาท่านพบในชั่วโมงที่ 21 ท่านจึงเสียชีวิตเมื่อมีอายุ 21 ปีหากนับตามโลกมนุษย์” เฮเธลอธิบาย



                “หา ถ้าอย่างนั้นฉันก็ตายไปจริง ๆ แล้วสิ จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่นี่” วิรันดาแย้ง



                “แต่ท่านไม่ใช่วิรันดาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว วิรันดาตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว เหลือแต่เพียงองค์หญิงอเมเลียแห่งโลกปีศาจ ข้ารู้ว่ามันยาก แต่ท่านควรยอมรับความจริงข้อนี้เสีย”



                วิรันดาผงะไป



                “ไม่ ฉันไม่เชื่อ ก็ฉันยังมีชีวิตอยู่นี่ ยังพูดคุยกับเธอได้อยู่ เธอจะหาว่าฉันตายไปแล้วได้ไง”



                เฮเธลถอนใจเฮือกก่อนลุกไปยืนหน้ากระจก แล้วหันมาเรียกเธอ



                “ท่านจงมาพิสูจน์ที่หน้ากระจกนี่ด้วยตัวเองแล้วกัน ว่าท่านยังเป็นวิรันดาอยู่หรือไม่” เฮเธลเอ่ย



    วิรันดาถลันไปหน้ากระจกขนาดใหญ่เท่าตัวทันที ภาพที่เธอเห็นไม่ใช่วิรันดาคนเดิมจริง ๆ แต่เป็นใครที่ไหนไม่รู้ วิรันดากวาดตามองภาพของตนที่สะท้อนในกระจกอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง



    จริงอย่างที่เฮเธลว่า นั่นไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นหญิงสาวงดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา ไม่ว่าผมสีดำหยิกเป็นลอนยาวจรดเอว ดวงตาคมโตหวานหยาดเยิ้มนั่น หรือเรือนร่างสูงโปร่งอ้อนแอ้น ไม่มีส่วนไหนเป็นวิรันดาคนเดิมเลยสักนิด หญิงสาวอ้าปากค้างตาโตด้วยความตกใจ



                 “ไม่จริง” เสียงที่ลอดริมฝีปากออกมาแผ่วเบายิ่งกว่าลมหายใจ



                 “นั่นแหละคือท่าน เจ้าหญิงอเมเลียแห่งโลกปีศาจ ท่านจงยอมรับความจริงเถิด”



    หญิงสาวไม่ตอบว่ากระไร หากแต่ถลันไปที่เตียงและนอนคว่ำหน้าซุกอยู่กับหมอนโดยไม่สนใจว่าเฮเธลจะพูดอะไรอีก เธอสับสนและมึนงงไปหมด เมื่อไรจะตื่นสักที เธอเฝ้าบอกกับตนเองทั้ง ๆ ที่มีลางสังหรณ์ว่าเธอคงไม่มีวันตื่นจากฝันร้ายนี้แน่นอน คิดถึงแม่… ใช่ เธอคิดถึงแม่เป็นที่สุด อยากให้แม่มาอยู่ใกล้ ๆ เสียเหลือเกิน หยาดน้ำอุ่นไหลรินออกมาก่อนที่เธอจะหลับไป ความคิดสุดท้ายของเธอคือ อยากกลับบ้าน



    เฮเธลยังคงยืนมองเธออยู่อย่างเงียบ ๆ ก่อนจะถอนใจยาวและเดินออกจากห้องไป



    ………………………………………



                 “แม่ขา!”



                “วิลูกแม่ แม่คิดถึงหนูเหลือเกิน ไปอยู่ไหนมาลูก”



                “หนูไม่รู้ หนูกลัวค่ะแม่ หนูกลัวจังเลย แม่อยู่กับหนูนะคะ”



                “จ๊ะ แม่จะไม่ปล่อยให้ลูกจากไปอีกแล้ว”



    ทั้งสองกอดกันแน่น กระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง วิรันดาน้ำตาปริ่มด้วยความดีใจ ในที่สุดเธอก็ได้กลับสู่อ้อมอกของแม่อีกครั้ง หากแต่ความฝันอันแสนสุขก็ต้องเป็นอันสะดุด เมื่อเธอถูกปลุกให้ตื่นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ของเฮเธล



                “องค์หญิง ตื่นเถิด ได้เวลาฉลองพระองค์ไปงานเลี้ยงแล้ว”



    หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เธอพยายามเหลียวมองหามารดา ผู้ซึ่งปรากฏชัดอยู่ในความฝันของเธอเมื่อครู่ และเมื่อต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ความเศร้าก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจจนแทบจะทนรับไว้ไม่ได้ วิรันดาซุกหน้าลงกับหมอนและเริ่มร่ำไห้อีกครั้ง



               “ไม่มีประโยชน์ที่จะมาคร่ำครวญ ตอนนี้ท่านคือประมุขของโลกปีศาจ ท่านจำเป็นจะต้องเข้มแข็งและยอมรับสภาพของตนเองให้ได้ ท่านยังต้องรับผิดชอบต่อชีวิตอีกหลายชีวิตที่อยู่ใต้ปกครอง” เฮเธลกล่าวเตือน



    วิรันดายังคงนิ่งเงียบปล่อยให้น้ำตาไหลริน ชีวิตของคนที่นี่ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายสูญเสีย  เธอถูกพรากทั้งครอบครัวและชีวิต ใยเธอต้องมารับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนที่เป็นฝ่ายทำร้ายเธออีกเล่า หญิงสาวจึงไม่ไหวติงแม้เฮเธลจะบอกให้เธอเตรียมแต่งตัวลงไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ  



    …………………………………………………….



    ในขณะที่วิรันดาเศร้าโศกอยู่กับการต้องจากครอบครัวไปนั้น ครอบครัวของเธอก็ร่ำไห้กับการจากไปของเธอเช่นกัน



                 “วิ วิ ตื่นได้แล้วลูก วันนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ตื่นอีก” เสียงมารดาแว่วเข้ามาในห้องนอน



                 “วิ ตื่นได้แล้วลูก” ผู้เป็นมารดาเรียกพลางเปิดประตูเข้ามาดูภายในห้อง



                 ครั้นเห็นบุตรสาวมีใบหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ถลันไปดูที่เตียงอย่างตกใจ



                 “วิ เป็นอะไรไปลูก” เสียงของหญิงกลางคนเริ่มตระหนก



    เมื่อจับหญิงสาวเขย่าแล้วไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เธอจึงใช้นิ้วอังที่จมูก แต่ความจริงที่ปรากฏแทบทำให้เธอต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะร่างที่นอนออกปวกเปียกอยู่บนเตียงนั้นสิ้นลมหายใจแล้ว!



        และแล้วเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อวิรันดาซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ก็ยุติเพียงเท่านั้น!



                                     …………………………………………………………………………………..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×