ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rose of the Underworld

    ลำดับตอนที่ #1 : Dream in Dreams

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 479
      0
      23 ก.ค. 50

    Chapter 1: Dream in Dream













                   กลางป่าดงดิบที่รกชัฏและถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกหนาตลอดทั้งปี มีแม่น้ำสายหนึ่งทอดยาวราวกับเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในป่าแห่งนั้น ...ป่าอาถรรพ์



                   ในความฝันนั้นช่างเหมือนจริง…



    หูของวิรันดาสำเหนียกเสียงสวดมนต์หมู่ที่ดังก้องราวกับอยู่ในวิหาร เสียงนั้นฟังดูเย็นเยือกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งที่ถูกกดทับลงมาในศีรษะ สายตาที่พร่าเลือนกวาดตาไปดูบรรยากาศรอบด้านเห็นแต่เพียงแสงสีแดงฉานส่องผ่านม่านหมอกหนาตา บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งทำให้รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก กลิ่นเครื่องหอมเอียน ๆ โชยมาตามลม วิรันดาอยากหนีให้พ้นจากสภาพนี้เหลือเกิน เธอสาวเท้าไปข้างหน้าราวกับจะหาทางออกให้พ้นจากบรรยากาศอันน่าอึดอัด ณ ที่แห่งนี้ แต่...ยิ่งวิ่งหมอกก็ยิ่งหนาขึ้น เธอวิ่งไปข้างหน้าแม้จะมองไม่เห็นทาง วิรันดาเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ความเหนื่อยก็เทียบไม่ได้เลยกับความกลัวที่เธอรู้สึกอยู่ในตอนนี้ เธอวิ่งต่อไปอย่างไม่หยุดในขณะที่หมอกเริ่มจางลง



    เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเธอกำลังยืนอยู่ในห้องตัวเองที่ปลายเตียงเมื่อเธอเดินไปที่ข้างเตียงก็เห็นร่างของตนกำลังหลับอยู่ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนถูกดูดด้วยแรงมหาศาลที่มองไม่เห็น เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง หญิงสาวก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง มันแปลกมาก หญิงสาวคิดกับตัวเอง เหมือนกับว่าเมื่อครู่เธอได้ออกจากร่างไปอย่างนั้นแหละ เธอรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่



    วันรุ่งขึ้น วิรันดาไปมหาวิทยาลัยตามปกติ เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนักเรื่องความฝัน เพื่อนสองสามคนทักว่าเธอท่าทางไม่ค่อยดี แต่หญิงสาวปฏิเสธไปว่าเธอไม่เป็นอะไร แม้หนักใจหญิงสาวก็ไม่คิดจะเล่าเรื่องความฝันของตนให้ใครฟัง เมื่อเรียนคาบสุดท้ายเสร็จแล้วก็เป็นเวลาเย็น ต่างก็เตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน ขณะที่วิรันดากำลังเก็บข้าวของ เพื่อนคนหนึ่งก็เรียกเธอ



                  “วิ วิ”



                  “อะไรเหรอ” วิรันดาขานรับพร้อมกับหันไปหาเพื่อน ชั่วแวบหนึ่งนั้นเธอเห็นเพื่อนหน้าซีด แต่แล้วครู่หนึ่งก็กลับเป็นปกติ



                  “มีอะไรหรือจ๊ะ” วิรันดาถามเพื่อน



                  เพื่อนของเธอมีท่าทางอึกอักและลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ



                  “วิ เธออย่าว่าฉันเลยนะถ้าฉันจะบอกอะไรเธอ”



                  “อะไรเหรอ ทำไมฉันจะต้องว่าเธอด้วยล่ะ”



                  “เมื่อกี๊ตอนเธอหันมาหาฉัน ที่ฉันเห็นไม่ใช่หน้าเธอ แต่เป็นใครไม่รู้ เป็นผู้หญิง สวยนะ สวยมาก ๆ เลย แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นก็หายไป ฉันก็เห็นเป็นหน้าเธอเหมือนเดิม” เพื่อนของเธอพูดทำท่าขนลุก



                  “เหรอ” วิรันดาหน้าเสียไปบ้างเพราะเธอก็เป็นคนกลัวผีเหมือนกัน แต่ก็พูดปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร ทั้งยังติงเพื่อนว่าตาฝาดไปไม่ก็เรียนจนเบลอ เพื่อนของเธอก็รับคำ



                  “คงจะจริงอย่างเธอว่า ฉันคงเบลอจริง ๆ แหละ”



                  แต่เมื่อวิรันดาแยกทางกับเพื่อนที่ประตูแล้ว เพื่อนของเธอก็หันไปคุยกันเพื่อนอีกคนหนึ่ง



                  “เมื่อกี๊ฉันเห็นจริง ๆ นะแก แต่ไม่อยากพูดให้ได้วิมันตกใจ ใครก็ไม่รู้ซ๊วย สวย คงไม่ใช่ผีหรอกเนอะ” ว่าแล้วก็พากันขึ้นแพข้ามฟากไป



            ……………………………………………………….



    วิรันดาขึ้นรถเมล์กลับบ้านคนเดียวด้วยความรู้สึกหวาด ๆ เมื่อคืนเธอยิ่งฝันไม่ค่อยดีเมื่อเพื่อนมาทักเช่นนี้จึงทำให้คิดมาก เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงสาวไขประตูเข้าไปในบ้าน ยังไม่มีใครกลับมา วิรันดาหันไปปิดประตูบ้านพลันก็หางตาก็เหลือบไปเห็นเหมือนมีคนยืนอยู่ด้านหลัง หญิงสาวยืนตัวแข็งด้วยความกลัวก่อนที่จะทำใจดีสู้เสือหันขวับกลับไปดูอย่างรวดเร็ว ปรากฏบ้านทั้งบ้านว่างเปล่า! วิรันดาปิดประตูแล้ววิ่งขึ้นบนบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง



    หลังจากเข้าห้องส่วนตัวแล้ววิรันดาก็จัดแจงอาบน้ำก่อนที่จะทำอย่างอื่น เมื่อเธออาบน้ำเสร็จแล้วก็ก้าวออกมาที่โต๊ะทำงานข้างหน้าต่างอย่างสดชื่น ไม่ทันที่จะเริ่มอ่านหนังสือ ก็ชะเง้อมองออกไปที่นอกหน้าต่างด้วยความกังวลว่าทำไมยังไม่มีใครกลับบ้าน ที่หน้าประตูบ้าน เธอเห็นเงาคนยืนอยู่ ครั้นพยายามเพ่งมอง ก็เห็นแต่เพียงโครงร่างว่าเป็นผู้หญิง ตัดผมซอยสั้น เห็นหน้าไม่ชัดเจน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นที่หัวเตียง วิรันดาลุกไปรับโทรศัพท์ ปรากฏว่าผู้ที่โทรมาคือบิดาของเธอ



                   “ว่ายังไงลูก ทานข้าวกันหรือยัง” ผู้เป็นบิดาถาม



                   “ยังเลยค่ะ ยังไม่มีใครกลับมาเลย” หญิงสาวตอบ



                   “อ้าวเหรอ ยายจุ๊บก็ยังไม่กลับเหรอ” เสียงผู้เป็นบิดาแปลกใจก่อนเอ่ยต่อ

                  

                   “วันนี้พ่อกับแม่ติดธุระนิดหน่อย อาจจะกลับดึก ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าจุ๊บกลับมาเมื่อไรโทรบอกพ่อด้วยนะ”

                  

                   “ค่ะ” หญิงสาวรับคำ



                   “ดูแลบ้านดี ๆ นะลูก” ผู้เป็นบิดาทิ้งท้ายก่อนวางสาย



    เมื่อวางสายจากบิดาแล้ว หญิงสาวกลับมานั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปดูก็ไม่พบใครยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านเลยสักคนเดียว

    เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดมาและเสียงประตูห้องข้าง ๆ ที่ดังเปิดปิดนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้เป็นน้องสาวกลับมาแล้ว วิรันดามองดูนาฬิกาก่อนปิดปากหาว คืนนี้เธอรู้สึกง่วงนอนเร็วเสียจริง หญิงสาวพับหนังสือเก็บก่อนเดินไปที่เตียงและดับโคมไฟหัวเตียง



    ชั่วแวบที่ไปกำลังหรี่จะดับ วิรันดาเหลือบไปเห็นเงาผู้หญิงที่ปลายเตียง เธอตกใจสุดขีดแทบจะหลุดเสียงร้องออกไป หากแต่ว่ายั้งไว้ทัน หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดไฟด้วยมือที่สั่นเทา เมื่อดวงไฟส่องสว่างขึ้น ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องเลยนอกจากเธอแต่ผู้เดียว



    หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอย่างไม่สบายใจนัก เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติไป หญิงสาวหลับไปในเวลาไม่นานนัก ก่อนที่ภาพนิมิตจะปรากฏขึ้น



    รอบตัวกลับเป็นเพียงผืนดินแห้งผากที่สาดแดงสีแดงดูร้อนระอุ ไม่มีแม้ต้นไม้สักต้น แผ่นดินกว้างใหญ่ไม่มีจุดสิ้นสุด วิรันดาหันหลังกลับและพบว่า ที่ซึ่งเมื่อสักครู่ยังว่างเปล่า กลับมีวิหารขนาดใหญ่สร้างด้วยศิลาแลง สูงตระหง่าน ยอดแหลม ดูน่าเกรงขามปรากฏขึ้นมาเมื่อใดไม่รู้! วิรันดาตัดสินใจก้าวเข้าไปในวิหารแห่งนั้น ชั่วที่เท้าของเธอเหยียบย่างเข้าไป เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยคล้ายกับจะระลึกได้ถึงหน้าที่บางอย่างของตน วิรันดาเดินเข้าไปยังด้านในวิหารที่ตั้งแท่นราวกับกำลังประกอบพิธี ที่นั่นคทาที่ประดับยอดด้วยผลึกแก้วส่องแสงเป็นประกายแวววาวอย่างสวยงาม ขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบนั้น หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นประกายของปลายดาบที่วาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ เธอก็สะดุ้งสุดตัวและตื่นขึ้นมา



                    “น่ากลัวอะไรอย่างนี้ ทำไมหมู่นี้เราจึงฝันอย่างนี้ทุกคืนเลยนะ” วิรันดาคิดขณะนอนลืมตาโพลงในความมืด



    …………………………………………………………..



                     “วิฝันร้ายเหมือน ๆ กันมาตั้งหลายคืนแล้วล่ะ น่ากลัวมากเลย” วิรันดาเริ่มเล่าให้มารดาฟังขณะรับประทานอาหารเช้า



                     “เหรอ ฝันว่าไงล่ะ” จุ๊บ น้องสาวคนรองซัก



                     ก่อนที่วิรันดาจะได้ทันเล่าต่อ มารดาก็ขัดขึ้น  



                     “อะไรกันนี่ ลูก ๆ แม่บอกแล้วไงว่าอย่าเล่าความฝันตอนที่กำลังกินข้าว คนโบราณเขาถือ”



        เมื่อมารดากล่าวตักเตือนเช่นนี้ วิรันดาจึงไม่ได้เล่าความฝันของเธอให้ใครฟัง



        เย็นวันนั้น วิรันดารู้สึกเหมือนถูกจับตามอง แต่เมื่อลองสังเกตรอบตัวก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ หญิงสาวทำงานบ้านไปเรื่อย ๆ ขณะที่มารดากลับมาถึงบ้าน หญิงสาวเห็นเป็นโอกาสดีจึงวางมือจากการทำงาน เพื่อปรึกษากับผู้เป็นมารดาถึงเรื่องที่ไม่สบายใจ



        เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผู้เป็นมารดากลับคิดว่า สาเหตุของความไม่สบายใจ เกิดจากการสอบที่กระชั้นเข้ามา จึงทำให้เก็บไปคิดมาก จนเกิดเป็นฝันร้ายติดต่อกัน จึงแนะนำให้บุตรสาว ทำใจให้สบายและผ่อนคลายเสียบ้าง วิรันดาพยายามอธิบายว่า เธอไม่ได้กังวลเรื่องสอบ แต่ก็ดูเหมือนมารดาจะไม่เข้าใจ



        แต่จะด้วยอะไรก็ตาม ในเย็นวันนั้น ผู้เป็นมารดากลับรู้สึกห่วงหาอาลัยบุตรสาวเป็นพิเศษ จึงใช้เวลาคุยอยู่ด้วยกันนานเป็นพิเศษ แม้ว่าจะปรึกษากันเสร็จไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม



        “เอ… ปีนี้หนูอายุเท่าไรแล้วนะลูก”



        “อะไรกัน แค่นี้ก็จำไม่ได้”



        “ก็แม่งานยุ่งจะตาย ลูก ๆ น่ะแป๊บ ๆ ก็โตกันหมดแล้ว



        “ปีนี้หนูอายุ 21 แล้วค่ะ”



        “อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว พ่อแม่จะได้สบายเสียที” ผู้เป็นมารดาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจและเต็มไปด้วยความหวัง



        “ค่ะ ถ้าจบแล้วนะ หนูจะทำงานไม่ปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบาก”



        “โถ..ลูกแม่ แค่มีหนูอยู่ด้วยแม่ก็มีความสุขแล้วล่ะลูก”



        ว่าแล้วแม่ลูกทั้งคู่ก็กอดกันอย่างรักใคร่





        วิรันดามีความรู้สึกหวาด ๆ เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง หญิงสาวยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนก่อน ๆ และความฝันประหลาด ๆ นั้นได้ดี ดังนั้นเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ววิรันดาก็รีบกระโจนขึ้นเตียงและคลุมโปงหลับไปทันที ไม่รู้ตัวเลยว่าทันทีที่หลับไป ลมหายใจของเธอก็ค่อย ๆ แผ่วลงด้วย



                                         …………………………………………………………………….

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×