คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 2nd Tale ~ Angel, Executioner or Soldier?
2nd Tale ~ Angel, Executioner or Soldier?
ผมยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องทำงานของยูริ
รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมาแต่มันก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลย
“คุณมีธุระอะไร?” เสียงใครคนหนึ่งทักขึ้นมา แค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคงไม่พอใจเท่าไหร่นักกับการเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมหมุนตัวกลับไปประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างสูงที่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นช่างภาพในวันที่ผมมาถ่ายแบบที่นี่ครั้งแรก
“ผมมาหาคุณยูริครับ” ผมตอบกลับไปเรียบๆ
“คุณก็น่าจะรู้นี่ว่าไม่ควรมา” แม้สีหน้าท่าทางจะดูนิ่งๆ แต่ผมเห็นแววเกรี้ยวกราดในดวงตาคู่นั้น... ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย... ผมว่าผมเดาไม่ผิดแน่ๆ อย่างน้อยที่สุดยูริก็ไม่ควรจะอยู่ใกล้คนๆนี้
“อ้าว! มินโฮ พี่คุณ” เจ้าตัวเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะมองหน้าเราสองคน ผู้ชายที่ชื่อมินโฮยิ้มเล็กๆ ให้ยูริแล้วเดินจากไป
“พี่มาเรื่องข่าวน่ะครับ”
“อ๋อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ ฉันคงไม่รบกวนเรื่องคอลัมน์แล้ว--”
“ไม่ใช่ข่าวของเราสองคนครับ เป็นข่าวระหว่างคุณกับคุณฮีชอลต่างหาก” ผมโพล่งออกไป แล้วยูริก็ดูเหมือนจะหน้าแดงขึ้นมาทันที แหงล่ะ นี่เราอยู่กลางออฟฟิศเธอเลย แล้วทุกๆ คนก็หันมามองเราสองคนอยู่ด้วย
ผมคว้าข้อมือยูริ ลากเธอเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง
ใช่ครับ...สาเหตุที่ผมเต้นเร่าๆอยู่นี่ไม่ใช่เพราะภาพข่าวที่เราจูบกัน แต่เป็นภาพข่าวระหว่างเธอกับผู้ชายคนอื่น
“เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าไหมคะ?” ยิ่งเห็นท่าทางระวังตัวแบบนี้ของเธอแล้วผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ นี่ผมหมดโอกาสแล้วใช่ไหม? ผมทำได้แค่เฝ้ามองเธองั้นเหรอ?
“พี่อยากรู้ว่าการแก้ข่าวนั่นเป็นเรื่องโกหกหรือเป็นเรื่องจริง... สิ่งที่พี่ทำทั้งหมด พี่จริงจังนะครับ”
“แต่นี่มันเร็วเกินไปที่ฉันจะตัดสินใจนะคะ เราเพิ่งจะเจอกันไม่นาน--”
“เราเคยเจอกันมานานแล้วต่างหาก คุณยูริแค่จำพี่ไม่ได้...”
เธอจ้องมองผมอย่างไม่เข้าใจ ใช่... เธอไม่เคยรู้ ไม่เคยจำได้ว่าผมมีตัวตนอยู่บนโลก เพราะตอนนั้นผมไม่ได้เป็นนายแบบ แต่ผมเป็นแค่นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่บังเอิญลงวิชาผิดแล้วได้เจอกับเธอ ผมนั่งหลังห้อง มองเธอนั่งเรียนอย่างตั้งใจทุกๆวันแม้ว่าตอนนั้นจะแทบฟังภาษาเกาหลีไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม สำหรับเธอที่เป็นดาวเด่นตอนนั้น ผมเป็นแค่เด็กเรียนเงียบๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครคบ ไม่มีใครสนใจ...
“ยังไงก็ตาม พี่รู้สึกไม่แฟร์กับตัวเองที่จะปล่อยคุณไปง่ายๆ เพราะพี่เป็นคนแรกที่ได้พบคุณ”
“แล้วมันแฟร์กับฉันตรงไหนที่จะปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับแฟนตัวเอง?” เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมปล่อยมือจากยูริแล้วหันกลับไปมอง คิมฮีชอลยืนพิงประตูอยู่ตรงนั้น มองผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนที่ผมจะรู้ตัวเขาก็เดินเข้ามา โอบเอวยูริหลวมๆแล้วยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่เชือดเฉือนไปถึงหัวใจ บาดลึกไปถึงกระดูก...
“ช่วยเอาตัวเองออกไปไกลๆจากผู้หญิงของฉันซะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านิยายรักของนายมันเริ่มขึ้นตรงไหน... แต่ตอนนี้มันจบแล้ว”
“ขอโทษนะคะพี่คุณ...” ยูริพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปตามแรงลากของคิมฮีชอล คำขอโทษไม่กี่พยางค์ของเธอทำเอาผมเจ็บซะยิ่งกว่าคำพูดร้ายๆของคิมฮีชอลซะอีก เพราะมันเท่ากับยอมรับว่าระหว่างเธอกับผู้ชายคนนั้น... ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง
นี่ผมต้องทำใจใช่ไหม? ผมควรจะต้องทำใจว่าเธอไปแล้ว ผมพลาดอีกแล้ว...
ผมคงไม่มีวันได้เป็นพระเอกในนิยายของเธอ...
ผมยืนมองนิชคุณเดินออกมาจากห้องทำงานของพี่ยูริอย่างเงียบเชียบ สีหน้าสิ้นหวังแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก พี่ยูริทิ้งเขาไปแล้ว...ออกไปกับผู้ชายอีกคน...
เสร็จไปหนึ่ง... แต่กลับโผล่เข้ามาอีกหนึ่ง...
ผมมองร่างสูงๆ เจ้าของใบหน้าสวยจัดที่เหมือนเทพบุตรในคราบซาตานของคิมฮีชอล
อีกแค่คนเดียวที่ต้องกำจัดให้พ้นทาง...
“นี่คุณ! จะลากฉันไปไหนเนี่ย!” ฉันสะบัดแขนออกจากมือของคิมฮีชอลที่จู่ๆก็เข้ามาขัดจังหวะฉันกับพี่คุณ คนอะไร จู่ๆโผล่เข้ามาในออฟฟิศคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่อันที่จริงสี่ห้าวันมานี้เราก็ไปๆ มาๆกันแบบนี้แหละค่ะ สร้างกระแสข่าวไง ก็ในเมื่อหมอนี่เปิดเรื่องมาแล้ว ฉันก็ต้องเล่นตาม ช่วยไม่ได้นี่นะ
“ถ้าอยากให้ฉันยกเลิกคอลัมน์ก็กลับไปหาไอ้หล่อนั่นเลยไป ไม่ได้อยากแสดงตัวอะไรนักหรอกนะ แต่ถ้าเธอซวยขึ้นมาแล้วคยูฮยอนมันโทษว่าฉันผิด ฉันขี้เกียจต้องมานั่งหาช่างภาพใหม่” อ๋อ... สรุปคือแคร์แต่น้องตัวเองสินะ ฮึ!
“แล้วท่านคิมฮีชอล’เด็จมาถึงนี่ มีธุระอะไรกับควอนยูริไม่ทราบคะ?”
“อย่าลืมสิว่าฉันต้องออกแบบรองเท้าคู่ใหม่ไปลงหนังสือเธอ เพราะงั้นเธอนั่นแหละต้องมาช่วยคิดงาน” หมอนั่นพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่ฉันยกนิ้วขึ้นนับ... หนึ่ง สอง สาม สี่... เฮ้ย! อีกสี่วันถึงวันปิดต้นฉบับ! แถมสี่วันที่ฉันพูดเนี่ย รวมวันนี้ด้วย! มันจะเสร็จมั้ยเล่า!
พอเห็นหน้าเหวอๆ ของฉัน หมอนั่นก็กระแอมไอออกมานิดหน่อย “เรื่องนั้นไว้ก่อนน่า พรุ่งนี้ก็งานแต่งคยูฮยอนแล้ว ฉันยังไม่มีสูทใส่ไปงานเลย ไปเลือกให้หน่อยสิ”
“แล้วงานฉันเมื่อไหร่จะเสร็จ”
“ถ้าเธอไม่ไป งานแต่งเพื่อนเธอล่มอีกรอบแน่”
เออ! เพื่อเพื่อน! ควอนยูริยอมก็ได้!
ฉันเดินตามอีตาบ้าคิมฮีชอลขึ้นปอร์เช่ไปแบบเงียบๆ เขาขับรถพาฉันไปห้างหรูเลยแหละค่ะ แต่มาห้างก็ดีอย่างนะ มีทุกแบรนด์ให้เลือกสรรค์ ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายที่
“เธอว่าฉันใส่สีอะไรดี?” หมอนั่นหันมาถามขณะที่เราเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปด้วยกัน เอ... อันที่จริงเขาใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้นแหละ แต่ไม่อยากชมหรอก แค่นี้ก็หลงตัวเองจนเดินไม่ติดพื้นอยู่แล้ว
“ไปๆ เข้าไปลองดูดีกว่า” ฉันดันหลังเขาเดินเข้าไปในร้านเสื้อแล้วจัดการเดินวนตามแต่ละราว หยิบเอาทุกตัวที่คิดว่าน่าจะโอเคแล้วส่งให้หมอนั่นเข้าไปลอง
ชุดแรก สูทดำมีหาง... กับโบว์กระต่าย
“มาดามรับอะไรดีครับ?”
“บ๋อยมาก ไปเปลี่ยน”
ตัวที่สอง สูทขาวปกดำกับเนคไทสีแดงเข้ม...
“หล่อแข่งเจ้าบ่าวไปอ่ะ ไม่เอา”
ชุดที่สาม สูทแดงปักเลื่อมทรงลูกทุ่งสุดสวิงริงโก้ อันที่จริงๆนี่เลือกมาแกล้ง ไม่นึกว่าหมอนั่นจะบ้าจี้ลองจริง แต่อีตาคิมฮีชอลกลับเดินออกมาทำหน้าตาทะเล้นพร้อมเต้นท่าบ้านนอกไปด้วย
“~ชาลาง~ ชาลาง~ ชาลางเดแน~”
ฉันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งก่อนจะโบกมือไล่ให้หมอนั่นกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดที่สี่
“ถ้ามีชุดที่ห้าอีกฉันถลกหนังเธอไปเย็บเสื้อแน่!” เขาพูดขึ้นมาก่อนจะกระชากม่านเปิด แล้วลมหายใจฉันก็สะดุดกึกอย่างไม่อยากจะเชื่อ โอเคว่าคิมฮีชอลน่ะจัดอยู่ในประเภทหนุ่มสำอางหน้าสวยที่ชอบแต่งตัวพังค์จัด แต่ฉันคงต้อยอมรับว่าเขาหล่อราวเทพบุตรก็วันนี้เอง ไหล่กว้างถูกคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีเทาอ่อน เสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในถูกปลดกระดุมลงมาสองสามเม็ดโชว์ให้เห็นลำคอยาวระหงและไลน์ลูกกระเดือกที่ดูเซ็กซี่ ดวงตาคมกริบของเขาเป็นประกายพราวระยับและเริ่มทำให้ฉันรู้สึกเหมือนออกซิเจนในอากาศเหลือน้อยลงทุกที
“หล่อใช่มั้ยล่ะ?” รอยยิ้มเล็กๆของเขาส่งความร้อนวูบวาบแปลกขึ้นมากองที่สองข้างแก้ม
“ก็ไม่แย่นะ เอาตัวนี้แหละ” ฉันแกล้งทำเป็นเลือกเสื้อที่ราวข้างๆกลบเกลื่อน แล้วนี่ฉันจะเขินไปเพื่อ? ไม่เข้าใจแฮะ ผู้ชายคนนี้เดี๋ยวก็ทั้งเหวี่ยงทั้งปากจัดจนทำฉันปรี๊ดแตก เมื่อกี้ก็โปกฮาจนฉันขำซะเกือบตกเก้าอี้ บางทีก็รู้สึกว่าเขาช่างเอาใจใส่จนทำเอาหัวใจเต้นแรง ตกลงเขาเป็นมารร้ายหรือเป็นเทพบุตรกันแน่นะ?
“ทีนี้ก็เหลือ... เรื่องรองเท้า” ฉันสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ และด้วยความตกใจหรืออะไรไม่ทราบ จู่ๆขาฉันก็เกิดพันกันกะทันหันและควอนยูริคงล้มทับราวเสื้อไปแล้วถ้าไม่ใช่ว่าคิมฮีชอลคนนั้นทิ้งสูททุกตัวในมือแล้วรั้งฉันเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที จมูกเราแตะกันเบาๆ แล้วฉันก็เหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน เสี้ยวหน้าของเขาดูสวยซะจนเหมือนรูปปั้น ดวงตาคมคู่นั้นแสดงอะไรบางอย่างที่ฉันอ่านไม่ออก... แล้วฉันจะอยากรู้ไปทำไม ควอนยูล! เธอเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!!!
คิมฮีชอลยิ้มขึ้นมา แล้วเขาก็ปล่อยให้ฉันยืนเอง
“หลงสเน่ห์ฉันเข้าแล้วสิ?”
“พูดบ้าอะไรของคุณ!” ฉันเถียงกลับ แต่ทำไมหน้าถึงได้ร้อนผ่าวแบบนี้ล่ะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่ๆๆๆ!
“จะยังไงก็แล้วแต่ จ่ายค่าสูทให้ด้วย แล้วก็อย่าอึ้งกับความหล่อของฉันนานไปล่ะ หิว”
ฉันมองร่างสูงๆนั่นเดินเชิดออกไปจากร้าน แล้วได้แต่ยืนอ้าปากค้าง
เชื่อเค้าเลย คิมฮีชอล!!!
เสียงเพลงหวานๆ ดังก้องอยู่ทุกมุมในสตูอิโอแกลเลอรี่ของโจคยูฮยอนที่ตอนนี้ถูกเนคมิตให้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน พวกเราถามซันนี่เป็นล้านรอบว่าอยากให้ช่วยจองโรงแรมหรือจัดงานแบบหรูเริ่ดอลังการให้มั้ย แต่ยัยเตี้ยนี่ก็ตามใจเจ้าบ่าวเหลือเกิน ปล่อยให้พี่คยูฮยอนออกแบบงานเองหมด แต่อันที่จริงจัดแบบนี้ก็เก๋ไปอีกแบบ แถมยังไม่เปลืองค่าสถานที่อีกต่างหาก
โซนที่เป็นแกลเลอรี่ภาพถูกประดับด้วยรูปถ่ายของเจ้าสาวซึ่งแน่นอนว่าตากล้องไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนอกจากคุณเจ้าบ่าว ส่วนมากเป็นรูปแอบถ่ายตอนเผลอแต่ก็ออกมาน่ารักดูดีทุกรูป พี่คยูฮยอนเหมือนจะดึงเอามุมที่ดีที่สุดของซันนี่ออกมาได้อย่างน่าประหลาด พอเดินต่อเข้ามาด้านในก็เห็นฉากกั้นเป็นระแนงไม้ติดกรอบรูปคู่ของซันนี่กับพี่คยูฮยอนอยู่ตรงกลาง พอเดินอ้อมกลับมาอีกฝั่งก็เป็นรูปของพวกเราเก้าคนยืนกอดซันนี่ที่อยู่กลางรูป ทุกคนนอกเหนือจากเจ้าสาวใส่ชุดเดรสสีชมพูอ่อน เป็นภาพที่เห็นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ยูริ! มาเตรียมตัวได้แล้ว!” ฟานี่กวักมือเรียกฉันที่มัวแต่เดินดูรูปจนเกือบลืมเวลาให้เข้าไปในห้องแต่งตัวเจ้าสาว ซันนี่ในชุดกระโปรงพองฟูนั่งอยู่หน้ากระจกรายล้อมด้วยเพื่อนเจ้าสาวที่พ่วงตำแหน่งเป็นช่างแต่งหน้าและอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ไม่อยากจะบอกว่าเลยเพื่อนฉันวันนี้สวยน่ารักที่สุดในสามโลก รอยยิ้มเธอแทบจะทำให้โลกทั้งใบยิ้มตามได้ ดวงตาเป็นประกายกับเสียงหัวเราะใสๆ ทำให้พวกเราทุกคนพลอยมีความสุขโดยไม่รู้สาเหตุ เทียบกับงานแต่งรอบที่แล้วนี่เหมือนคนละคนเลยแฮะ
“หมุนตัวหน่อยซิเจ้าสาว” แทยอนพูดแล้วซันนี่ก็หมุนไปรอบๆ ด้วยท่าทางน่ารักเหมือนตุ๊กตา
“นี่ฉันดีใจจนจะร้องไห้แล้วนะ” สิก้ากระโดดกอดเจ้าสาวตัวเล็กของเราแล้วคนอื่นๆก็เข้ามารุมกอดซันนี่กันใหญ่
“ร้องทำไม ฉันต่างหากที่จะเป็นคนหมดอิสรภาพ พวกเธอยังมีเวลาชิลล์กันอีกนานนะยะ” ถ้าการหมดอิสรภาพมันทำให้ดูลั้ลลาได้ขนาดนี้ฉันก็ไม่อยากจะมีอิสระนักหรอก เหมือนซันนี่จะรู้ทันว่าฉันคิดอะไร ยัยนั่นหัวเราะเสียงใส แล้วมองพวกเราทีละคน
“ขอบคุณนะ... ถ้าไม่มีพวกเธอ วันนี้...ฉันคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวที่มีความสุขมากขนาดนี้”
“ไปดราม่ากับเจ้าบ่าวเธอโน่น” ซูยองเอานิ้วชี้จิ้มไหล่ซันนี่อย่างหมั่นไส้ แต่ดวงตาเธอเริ่มแดงรื้นขึ้นมานิดนึง
“ได้เวลาส่งตัวแล้วนะคะ” ซอฮยอนพูดขึ้นก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูควงแขนคุณพ่อเจ้าสาวเข้ามาในห้อง ซันนี่วิ่งเข้าไปกอดพ่อแรงๆทีนึงแล้วหันมาโบกมือบ๊ายบายกับพวกเรา ซอฮยอนกับซูจีที่เพิ่งเดินเข้ามารับหน้าที่เดิมคือคอยโปรยดอกไม้ตามหลังเจ้าสาว พวกเราที่เหลือเดินเข้าไปนั่งเป็นพยานในพิธียกเว้นแทยอนกับทิฟฟานี่ที่ขึ้นไปยืนเป็นตัวแทนเพื่อนเจ้าสาว ถ้าจะให้ไปยืนหมดนี่ก็ดูจะเยอะไปน่ะนะ...
ฉันมองไปบนเวทียกพื้นเล็กๆ ตรงสวนด้านหลังของสตูดิโอ เจ้าบ่าว--พี่คยูฮยอน ยืนแบบอยู่ไม่สุขเลย ข้างๆกันนั้นคือชิมชางมินและคิมฮีชอล ให้ตาย... ไม่อยากจะยอมรับเลย แต่ผู้ชายคนนี้หล่อจริงๆ ท่าทางที่เค้ายิ้มแล้วขยี้หัวเจ้าบ่าวอย่างเอ็นดูแบบนั้นฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่ามารร้ายจะกลายร่างเป็นพี่ชายแสนอบอุ่นได้แบบนี้
เสียงเอฟเฟคท์ระฆังดังขึ้นแล้วทุกสายตาก็หันไปมองที่ประตู ซันนี่ในชุดเจ้าสาวเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใส ทำเอาพี่คยูฮยอนตัวแข็งเป็นรูปปั้น ปลายหูกับพวงแก้มของคุณเจ้าบ่าวแดงแปร๊ด แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อย สายตาคุณเจ้าบ่าวทำยังกับว่าโลกทั้งใบมีแค่ซันนี่เหลืออยู่คนเดียว
แบบนี้สินะสายตาของคนมีความรัก... คิดแล้วก็อยากให้มีผู้ชายมามองฉันแบบนี้บ้างจัง...
ซันนี่กอดพ่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งมือให้พี่คยูฮยอนก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวที ทั้งคู่ยืนจับมือ สบตากันอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งบาทหลวงเริ่มอ่านคำปฏิญาณพร้อมกับถามคำถามเดิมที่เคยได้ยินมาแล้ว แต่ครั้งนี้แน่นอนว่าคำตอบต่างออกไป
“โจคยูฮยอน ท่านยินดีจะรับหญิงคนนี้เป็นคู่ชีวิต ดูแลกันและกันแม้ในยามทุกข์สุข ใช้ชีวิตร่วมกันไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายของท่านหรือไม่?”
“รับครับ” พี่คยูฮยอนตอบขึ้นมาทันที
“อีซุนคยู ท่านยินดีจะรับชายคนนี้เป็นคู่ชีวิต ดูแลกันและกันแม้ในยามทุกข์สุข ใช้ชีวิตร่วมกันไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายของท่านหรือไม่?”
“รับทั้งตัวและหัวใจเลยค่ะ” ซันนี่พูดออกมาง่ายๆ เล่นเอาทุกคนฮาครืนไม่เว้นแม้แต่ท่านบาทหลวง แรงกินขาดจนวันแต่งเลยวุ้ย เพื่อนฉัน
“ถ้าอย่างนั้นพ่อขอประกาศให้ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน นับแต่นี้เป็นต้นไป” พี่คยูฮยอนปล่อยมือซันนี่แล้วอ้าแขนออกกว้างๆ รอรับตัวเจ้าสาวที่โถมเข้าใส่ก่อนจะยกตัวเธอหมุนไปรอบๆ ณ ตอนนี้เสียงหัวเราะใสๆของซันนี่ยังฟังดูเพราะยิ่งกว่าเพลงไหนๆ ที่เคยฟัง แล้วทุกคนก็เริ่มตะโกนเชียร์ให้ทั้งคู่จูบกัน แน่นอนว่าเพื่อนฉันไม่เคยจะแคร์สื่ออยู่แล้ว ซันนี่เขย่งตัวขึ้นจูบเจ้าบ่าวที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ แต่แล้วสุดท้ายพี่คยูฮยอนก็ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายที่จูบมาราธอนแบบไม่ยอมเลิกซักทีจนอีตาคิมฮีชอลต้องมากระชากคอเสื้อหมอนั่นให้ถอยออกมา เพื่อนฉันนี่ถึงกับเซไปเลยทีเดียวค่ะ ส่วนมินโฮที่วันนี้มาทำหน้าที่ตากล้องก็รัวชัตเตอร์ถี่ยิ่งกว่าปืนกล ถี่ขนาดนี้พี่แนะนำให้ถ่ายวิดีโอนะคะ
“ไหนใครอยากได้ดอกไม้จากเจ้าสาวบ้าง?” ซันนี่พูดขึ้นมาแล้วก็โบกช่อดอกไม้ในมือไปด้วย เท่านั้นแหละบรรดาเพื่อนเจ้าสาวคือพวกเราเจ็ดคนรวมซูจี ก็รีบวิ่งกรูกันเข้ามาออข้างหน้าเวที ยกเว้นฟานี่ที่มีแฟนพร้อมแผนแต่งงานแล้ว กับซอฮยอนที่รักษาภาพพจน์ แต่ละคนนี่แบบว่าออกโหมดสงครามกันสุดๆ ฮึ่ย! เรื่องเนื้อคู่มันไม่เอาใครออกใครนี่นะ
“จะโยนล่ะนะ!” ซันนี่พูดเสียงใสก่อนจะหันหลังแล้วโยนดอกไม้ข้ามหัวลงมา ไม่รู้ว่าเพราะยัยเตี้ยนี่แรงเยอะหรือถึกกันแน่ ช่อดอกไม้ถึงได้ลอยข้ามหัวเราพวกเราไปตกปุลงบนตักของคนนั่งร่วมพิธีที่อยู่ข้างหลังแทน ฉันหันหลังกลับไปมองหาตัวผู้โชคดี แต่แล้วเจ้าของช่อดอกไม้ยืนขึ้น...
นิชคุณ!
เอาแล้วไง... งานเข้าแน่ๆ ยูริเอ๋ย...
เพื่อนเจ้าบ่าวหล่อขั้นเทพเดินออกมาข้างหน้า เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆหลายคนที่มาร่วมงาน
“คู่กรณีเธอแน่ะ” ซูยองกระซิบแล้วก็ผลักฉันออกไปข้างหน้า เฮ้ย! วันนี้เพื่อนไม่ต้องการจะเกิด ถามกันบ้างอะไรบ้างสิยะ!
“คุณอยากได้ดอกไม้ใช่ไหมครับ?” เขาถามขึ้นมา ทุกๆ ทีพ่อเทพบุตรคนนี้มักจะยิ้มตลอด แต่วันนี้เขากลับนิ่งแฮะ สงสัยจะเป็นเอฟเฟกต์จากเรื่องคราวก่อนที่คิมฮีชอลไปเหวี่ยงใส่เอาไว้ ก็นะ... มารร้ายปะทะเทพบุตร ฉันเองยังทำอะไรหมอนั่นไม่ได้เลย แล้วผู้ชายที่ใสซื่ออย่างพี่คุณน่ะเหรอจะกล้าไปต่อปากต่อคำอะไรกับหมอนั่น แต่ไว้เรื่องซาลงแล้วค่อยแก้ความเข้าใจผิดแล้วกันนะ...
“ผมให้คุณก็ได้” เขายื่นช่อดอกไม้ให้ฉันดื้อๆ เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบ สาวๆ ข้างหลังเริ่มส่งเสียงเชียร์บอกให้ฉันรับดอกไม้ไปซะ แต่ไม่รู้เพราะอะไร วินาทีนั้นฉันหันกลับไปมองบนเวที... มองหาเพื่อนเจ้าบ่าว...
เขาก็แค่กอดอก ยืนมองฉันเฉยๆ ไม่ได้แสดงท่าทางอะไร
หมอนี่เอายังไงกับฉันเนี่ย วันก่อนทำท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ตอนนี้ฉันโดนพี่คุณหยอดต่อหน้าแต่กลับทำไม่แยแส ไหนตัวเองบอกว่าจะเป็นไม้กันหมาให้ไม่ใช่รึไง? หรือแค่วันนี้ไม่มีอารมณ์แสดงละคร? ได้... งั้นฉันเล่นละครเองก็ได้
“ขอบคุณนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปรับดอกไม้ช่อนั้น จงใจจับมือพี่คุณด้วย ได้ยินเสียงสาวๆฮือฮากันใหญ่ ฉันลูบมือเขาช้าๆดึงดอกไม้เข้าหาตัว ตั้งใจจะหันกลับไปส่งยิ้มให้อีตาบ้านั่น แต่พี่คุณกลับจับมือฉันไว้แน่น
“แต่ผมมีของสมนาคุณให้ด้วยนะครับ” พี่คุณยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ฉันไม่เคยเห็น แล้วก่อนที่จะทันรู้ตัวเขาก็กระชากตัวฉันเข้ามาแล้วจูบฉัน!
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
อะไรกันคะเนี่ย!
ฉันพยายามจะขืนตัวไว้ แต่มือเค้าจับท้ายทอยไว้แน่น แถมคราวนี้ไม่ใช่จูบผิวเผินเหมือนครั้งแรกด้วย ริมฝีปากของเขาบดขยี้ลิปสติกของฉัน ลิ้นอุ่นๆแทรกเข้ามาทำให้สติฉันกระเจิดกระเจิงไปหมด แต่บางอย่างบอกฉันว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่สิ!
ในที่สุดนิชคุณก็ถอนริมฝีปากออก ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกๆคน เขาโน้มใบหน้ากลับลงมาใกล้ กระซิบลงที่ข้างหู
“ขอให้คุณเป็นคนต่อไปที่ได้โยนดอกไม้ ในฐานะ... เจ้าสาวของผมแล้วกันนะครับ”
ควอนยูริขโมยซีนงานแต่งผมไปได้สมบูรณ์แบบมาก
ฉากจูบดูดดื่มกลางงานแต่งชาวบ้านยังงั้นจะไม่ให้เด่นยังไงไหวล่ะครับ
“อย่าเพิ่งสนใจเพื่อนเจ้าสาวค่ะ คู่อื่นไว้แจกการ์ดทีหลัง ขอคู่เราให้จบก่อน” เจ้าสาวผมสติดีสุดๆ รีบยิงมุกกลบเกลื่อนสถานการณ์ แล้วทุกคนก็หันมาสนใจเราอีกครั้ง จริงๆตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้วล่ะครับนอกจากการส่งตัวคู่บ่าวสาว แล้วหลังจากนั้นก็... หึ หึ หึ...
“นี่ ยังไม่ทันส่งตัว อย่ามาทำหน้าหื่นนะ” ซันนี่บีบจมูกผมเบาๆ ด้วยท่าทางรู้ทัน ก็เจ้าสาวน่ารักขนาดนี้ผมไม่จับเธอฟัดกลางงานก็บุญเท่าไหร่แล้ว!
แต่ด้วยความเป็นเจ้าบ่าวที่ดี ผมเลยยื่นมือออกไป ซันนี่จับมือผมโดยไม่ลังเลเลย ผมชอบสายตาของเธอจัง แม้เธอจะไม่พูดคำว่ารักบ่อยๆ แต่ขอแค่ให้เธอมองผมทุกวันด้วยสายตาแบบนั้น เท่านี้ผมก็มีความสุขมากจนตายได้เลย เราสองคนเดินกึ่งวิ่งมุ่งหน้าไปทางรถสปอร์ตของผมที่จอดรออยู่--แน่นอนว่าแต่งมาเต็มยศ ทั้งดอกไม้ ลูกโป่ง เจ้าชางมินมันช่วยสเปรย์คำว่า Just married เอาไว้ที่ท้ายกระโปรงด้วย พร้อมกับติดกระป๋องเปล่าเอาไว้ส่งเสียงก๊องแก๊งประกาศชาวบ้านว่าภรรยาผมน่ารัก ฮ่าๆๆ
พ่อกับแม่และพี่อาราเดินเข้ามากอดเราสองคน ตามด้วยครอบครัวของซันนี่ จากนั้นก็เป็นเพื่อนๆ ของผม พี่ฮีชอล ชางมิน ซูจี มินโฮเดินเข้ามาถ่ายรูปอีกสองสามรูป คิวสุดท้ายเป็นของบรรดาเพื่อนเจ้าสาว แทยอนเหมือนจะซึ้งกับการที่เพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝาซะจนน้ำตาร่วง ยัยตัวเล็กไล่กอดสาวๆ ทีละคน จงใจเว้นยูริไว้เป็นคนสุดท้าย
“ขอโทษนะที่ขโมยซีน”
“ฉันไม่เคืองเรื่องนั้นหรอกน่า แต่ว่าจะเคืองอีกเรื่องมากกว่า” เจ้าสาวของผมตอบกลับไป
“เรื่องอะไร?” ยูริถามขึ้นมา แต่ผมคิดว่าผมรู้นะ
“ก็เรื่องที่พรุ่งนี้สามีฉันต้องไปถ่ายรูปให้เธอไง ทำตัวสวยไว้นะ แล้วนายน่ะ รีบทำงานแล้วรีบกลับบ้านล่ะ เข้าใจไหม? พรุ่งนี้นายต้องอยู่กับฉันทั้งวัน”
ผมยิ้มหวานส่งให้ภรรยาหมาดๆ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด พอหันไปเห็นยูริที่ยังดูจับต้นชนปลายไม่ถูกเราก็หัวเราะขึ้นมา
“ถ้ามีอะไรจะถามล่ะก็ ไปถามเพื่อนเจ้าบ่าวนะครับ ผมกับซันนี่ขอตัว อยากไปถึงเรือนหอจะแย่อยู่แล้ว” คุณเจ้าสาวที่ตีแขนผมแรงๆแก้เขิน แต่ผมเอาคืนด้วยการอุ้มตัวเธอจับเธอยัดใส่เบาะข้างคนขับอย่างรวดเร็วส่วนตัวเองก็วิ่งอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง เสียงตะโกนแสดงความยินดีของทุกคนดังตามหลังเรามา ซันนี่ยืนขึ้นโบกมือบ๊ายบายจนกระทั่งรถเริ่มห่างออกมาเรื่อยๆ ถึงได้กลับมานั่งเรียบร้อยแล้วเอื้อมมากุมมือผมไว้แน่น สายตาเธอยังคงมองกระจกหลัง ฉายแววเป็นห่วงขึ้นมาหน่อยๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมพูดกับเธอ เพราะเดาได้ว่าที่หนักใจคงไม่พ้นเรื่องยูริ “เชื่อสิว่านิทานเรื่องอื่นก็ต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้เหมือนเรื่องของเรา”
ซันนี่ยิ้ม... แล้วผมก็ยิ้ม...
หวังว่าไอ้ที่ผมพูดไปมันจะจริงแล้วกันนะ...
ผมคงต้องเอาจริงซะแล้ว...
สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่พี่ยูริ เธอกำลังโบกมือลารถของพี่คยูฮยอนกับพี่ซันนี่ที่ขับห่างออกไป ผู้ชายคนนั้น นิชคุณก็กำลังมองพี่ยูริอยู่เหมือนกัน จังหวะหนึ่งเขาหันมาเห็นผมและสบตาอย่างท้าทาย
ถ้าถอยไปดีๆ แต่แรกมันก็น่าจะจบ ผมก็จะเหลือแค่คิมฮีชอลให้จัดการแท้ๆ...
แต่ในเมื่อเขาอยากลงมาเล่นเกมนี้กับผมเองมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้...
คิมฮีชอล นิชคุณ... ฉันจะทำลายพวกนายด้วยมือของฉันเอง!
“นี่คุณกล้าดียังไงลากสามีเพื่อนฉันมาถ่ายรูปหลังจากวันแต่งงานเนี่ยหา?” ควอนยูริถามผมอย่างเอาเรื่อง เฮ้ๆ... ผมไม่ได้เค้นคอมันให้มานะครับ ก็เจ้าตัวมันดันรับงานเองนี่
“อย่าว่าพี่ฮีชอลเลย ถ้าวันนี้ผมไม่รับงานต้นฉบับคุณก็ปิดไม่ทันนะ” เจ้าเด็กนี่ก็เอาใจกระทั่งเพื่อนภรรยา มิน่าล่ะซันนี่ถึงได้รักหลงมันนัก
“มินโฮก็ว่างนี่คะ แบบนี้เพื่อนฉันก็อดไปฮันนีมูนน่ะสิ”
“ไอ้เด็กอ่อนหัดนั่นฝีมือเทียบคยูฮยอนไม่ได้หรอกน่า” ผมขัดขึ้นมาทันทีแล้วยูริก็อ้าปากทำเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่างเจ้าคยูฮยอนเลยรีบปรี่เข้ามาแยกเราสองคนออกจากกัน
“ผมกับซันนี่ไม่ได้ติดใจอะไรทั้งนั้นแหละ พอดียัยตัวเล็กต้องอยู่เคลียร์งานที่บริษัทด้วย เราเลยแพลนว่าจะไปฮันนีมูนกันเดือนหน้า เพราะงั้นคุณภรรยาเลยขอให้ผมมาช่วยงานเพื่อนไปพลางๆก่อน โอเคมั้ยครับ?”
ควอนยูริสะบัดบ๊อบใส่ผม เฮอะ! ผู้หญิงอะไรดื้อด้านชะมัด...
“ผมขอไปเช็คอุปกรณ์ก่อนนะ” คยูฮยอนตบบ่าผมเบาๆก่อนจะเดินจากไป อันที่จริงโลเคชั่นถ่ายรูปก็ไม่ใช่ที่ไหนหรอกนอกจากคอนโดของผมเอง เพราะภาพที่ผมคิดไว้มันค่อนข้างจะลำบากสักหน่อยถ้าไปถ่ายที่อื่น อีกอย่างคอนโดผมก็แต่งเป็นสไตล์โกธิคแบบชิคๆ ที่เข้ากับคอนเซปต์รองเท้าอยู่แล้วเลยไม่อยากจะลำบากหาที่อื่นให้เปลือง ผมเดินไปช่วยคยูฮยอนที่กำลังจัดฉากกับไฟอยู่ในห้อง ผ้ากำมะหยี่สีดำผืนใหญ่ใช้ปูเป็นแบ๊คกราวน์ มีเก้าอี้โลหะสไตล์โกธิคตั้งอยู่ข้างหน้าต่างไม้โอ๊คดำทรงยุโรปที่ผมเลือกไว้ให้เป็นฉากการถ่ายแบบในครั้งนี้
“ผมว่าน่าจะโอเคแล้วนะ” คยูฮยอนง่วนอยู่กับอุปกรณ์แฟลชต่างๆ แล้วก็ถ่ายกะแสงดูสองสามรูป ต้องยอมรับในฝีมือหมอนี่จริงๆที่ทำรูปในจินตนาการผมให้ออกมาเป็นภาพถ่ายจริงๆได้ เก้าอี้สีดำหันพนักให้กับกล้อง แสงไฟธรรมชาติที่สาดสะท้อนเข้ามาจากทางหน้าต่างทำให้องค์ประกอบของมันดูลึกลึบ ม่านสีแดงเข้มโรยตัวลงมาเป็นกรอบตัดกับพื้นผ้ากำมะหยี่ที่ปูไว้ยุ่งๆให้เห็นเลเยอร์เนื้อชัดเจน จะขาดก็แค่นางแบบ...
“พร้อมแล้ว” เสียงของเธอดังขึ้น แล้วร่างสูงเพรียวของเธอก็ปรากฏเต็มสายตา เนื้อผ้าสีแดงเข้มพลิ้วไสวยามที่เธอเดิน ดวงตาที่คมขึ้นกว่าเดิมเพราะอายไลเนอร์ทำให้เธอดูเข้ากับคอนเซปต์มาก อันที่จริงคือทีมงานสำหรับการถ่ายแบบครั้งนี้มีแค่ผม ยูริ และคยูฮยอน และทีมเมคอัพกับคอสตูมที่ผมไม่อนุญาตให้เข้ามาวุ่นวายในฉาก และก็ดีที่ทีมนี้ทำงานกับผมมานานเลยค่อนข้างรู้ใจ ไม่เดินตามนางแบบจำเป็นเข้ามาในห้องนี้ด้วย
“ไหนล่ะรองเท้า?” ควอนยูริเอ่ยปากทวง ผมเลยหันไปหยิบตัวเอกของงานออกมา... รองเท้าที่มีเพียงคู่เดียวบนโลก รองเท้าที่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ใส่...
ผมคว้าแขนแล้วจูงเธอให้ไปนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อสวมรองเท้าให้เธอทีละข้าง รองเท้าหนังแก้วสีแดงเหมือนเลือด ร้อยเชือกประดับลูกไม้ทำให้ดูทั้งชิคและทั้งโกธิคในเวลาเดียวกัน... ผมจ้องตาเธอขณะที่กำลังสวมรองเท้าคู่นั้น--ผมเห็นได้ในเววตาว่าควอนยูริหลงใหลมันมากแค่ไหน
“สวยใช่มั้ยล่ะ?” ผมกระซิบแล้วโน้มใบหน้าลงจุมพิตเรียวขาเธอเบาๆ แน่นอนว่าเธอไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ถึงแม้ว่าใจเธอจะอยากปฏิเสธแค่ไหน ดวงตาของผมก็สะกดเธอเอาไว้ได้เหมือนร่ายมนตร์
ผมลูบมือขึ้นไปช้าๆ จากข้อเท้าขึ้นไปถึงขาอ่อนสีน้ำผึ้งแล้วลากมือกลับลงมา เธอเริ่มหายใจแรงขึ้นเพราะสัมผัสของผม... มันยังไม่ใช่แค่นี้หรอกนะ ผมยืนขึ้นแล้วดึงผมนุ่มสลวยนั่นเบาๆบังคับให้เธอแหงนหน้าก่อนจะบดจูบร้อนแรงลงไปบนริมฝีปากเย้ายวนนั้น เสียงหอบหายใจของเธอยิ่งทำให้ผมอยากทำรุนแรงมากขึ้นไปอีก อยากจะฉีกทึ้งเรือนร่างนี่ออกเป็นพันๆชิ้น มือบางเอื้อมขึ้นเกาะไหล่ผมเอาไว้ แล้วผมก็ดึงตัวเธอขึ้นจากเก้าอี้ทั้งๆที่ยังคงจูบเธออยู่ ผมนั่งลงแล้วจับเธอนั่งตักคร่อมตัวผมไว้ จับเรียวขาของเธอโอบรอบตัวผมแล้วเอื้อมมือไปรูดซิปที่กลางหลังของเธอลงช้าๆ
“เดี๋ยว... อย่าสิ...” เธอเริ่มส่งเสียงประท้วงทันทีที่ผมถอนริมฝีปากออก แต่มันก็เงียบหายไปทันทีที่ผมสอดมือเข้าไปใต้ชุดของเธอแล้วเริ่มต้นสัมผัสหนักๆพร้อมกับจูบเนินอกสีน้ำผึ้งที่ตัดกับผ้าสีแดง
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเป็นจังหวะโดยที่ผมไม่ต้องบอก... แน่นอนอยู่แล้ว โจคยูฮยอนเป็นช่างภาพที่รู้งานและรู้ใจผมมากที่สุด ผมนาบมือลงบนแผ่นหลังของยูริ ทำให้เธออยู่ใกล้กับผมมากขึ้น เสียงครางของเธอบอกชัดว่ายัยนี่ไม่รู้ตัวเลยว่าสามีเพื่อนรักกำลังเก็บภาพทุกช็อต นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมตั้งใจ
“ชอบใช่มั้ยล่ะ? อยากให้ฉันทำอะไรมากกว่านี้รึเปล่า?” ผมกระซิบถามเธอแล้วจับสะโพกสวยๆของเธอขยับขึ้นลง จงใจให้ซิปกางเกงกดแนบกับตัวเธอ ทรมานเธอด้วยความสุข ยูริทำได้แค่อ้าปากหอบหายใจ แล้วผมก็ฝังริมปากบนลำคอสวยๆ เรียกเสียงครางแผ่วให้ดังขึ้นมาอีก
“เอ่อ... ผมว่าผมได้รูปที่ดีที่สุดแล้วนะ” เสียงคยูฮยอนขัดขึ้นมาและนั่นทำเอาควอนยูริตื่นขึ้นจากภวังค์ มือสั่นเทาของเธอพยายามจะดันผมออกอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ผมกลับโอบเธอแน่น ดึงเอาผ้าที่วางกองอยู่กับพื้นมาพันปิดตัวเธอ แล้วปล่อยให้เธอลงไปนอนอ่อนปวกเปียกอยู่กับพื้น
“พี่... งั้นผมกลับบ้านก่อน เดี๋ยวจะเมล์รูปมาให้แล้วกัน” ผมหันไปมองคยูฮยอนที่กระวีกระวาดเก็บของใหญ่ หมอนั่นหูแดงแปร๊ด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะรีบกลับไปจัดเต็มกับซันนี่
เสียงประตูปิดตามหลังคยูฮยอนไป ผมยังคงยืนมองยูริที่นั่งกองอยู่บนพื้นห้อง หน้าเธอแดงพอๆกับรองเท้าที่สวม ผมนั่งยองๆแล้วส่งยิ้มเย็นชาให้เธอ
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะว่าฉันจะทำอะไรไปมากกว่านี้... ข้อตกลงระหว่างเราสิ้นสุดไปแล้ว ต่อไปนี้เธอไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก เพราะฉันไม่ชอบใช้ของสาธารณะ”
ยูริมองหน้าผม เดาว่าเธอคงโกรธจนเต้นเร่าๆ แล้วหยิบข้าวของทุกอย่างมาขว้างปา แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับเป็นความเจ็บปวดและน้ำตา
ผมยืนขึ้น หันหลังให้เธอ แต่ยังคงรับรู้ได้ทุกสิ่ง เธอเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปเงียบๆ ไม่มีคำพูดซักคำ
ตอนนี้ผมคงกลายเป็นปีศาจ เป็นมารร้าย เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสาปแช่ง... แต่ผมหมายความอย่างนั้นทุกคำที่เธอพูด ถ้าเธอไม่ได้เป็นของผมคนเดียวผมก็ไม่อยากได้เธอไว้ แล้วผมก็ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง
ไม่มีวันซะหรอกที่ซาตานจะกลายไปเป็นเทพบุตรอย่างที่เธอต้องการ...
ฉันเดินเฉิดฉายควงสิก้ากับซูยองเข้าไปในผับเดอะไนน์เหมือนเคย ที่โต๊ะประจำของพวกเรามียุนอา แทยอนกับยูรินั่งรออยู่แล้ว
“ว่าไง? คุณนางแบบ” ซูยองแขวะยูริที่นั่งทำหน้าเซ็งอยู่บนโต๊ะ
“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นได้มั้ย มันจบไปแล้วน่า” ยูริพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแก้วคอกเทลขึ้นดื่มรวดเดียว เล่นเอาฉันกับสิก้ามองหน้ากัน... นี่มันอาการของคนอกหักชัดๆ
“ว่าไงสาวๆ!” เสียงทักที่คุ้นเคยดังขึ้น ฉันหันหลังกลับไปแล้วก็เห็นหน้าคุณเจ้าสาวหมาดๆที่พลาดการประชุมกลุ่มของเรามานานมากกกก แถมวันนี้ไม่มาคนเดียว ควงคุณสามีมาให้เพื่อนอิจฉาเล่นอีกต่างหาก
“นี่ วันนี้โผล่มาได้เนี่ยไม่มีดินเนอร์กับแฟนเหรอยะฟานี่” แหม... พอมาก็แขวะกันเชียว
“อย่ามาพูดดีเลยน่า ฉันน่าจะถามเธอมากกว่าว่าวันนี้ลมอะไรแงะเธอออกมาจากเตียงได้”
“ลมที่ชื่อคิมฮีชอลน่ะครับ” พี่คยูฮยอนชะโงกหน้าเข้ามาตอบแทนแล้วแทบจะในทันที ยูริก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงฟลอร์ไปแบบไม่พูดอะไรสักคำ เล่นเอาพวกเราที่เหลือไปต่อไม่ถูกกันเลยค่ะ
“ควอนยูลเป็นอะไรของเค้าน่ะ?” ซันนี่ขมวดคิ้วมองหน้าพวกเราทีละคนแบบขอคำอธิบาย
“เป็นยังงี้ตั้งแต่มาแล้วล่ะค่ะพี่” น้องรองยุนอาตอบขึ้นมาแล้วหันมามองคยูฮยอนพร้อมสายตาเป็นประกาย “ตากล้องมาเนี่ยหมายความว่าต้องมีรูปมาให้ดูใช่มั้ย?”
“อ่ะ เดาถูกเผงเลย” ซันนี่ไฮไฟว์กับยุนอาแล้วพี่คยูฮยอนก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบดราฟ์รูปที่อัดเอาไว้มาแผ่เต็มโต๊ะ เล่นเอาสาวๆเราแทบจะกรี๊ด รูปควอนยูลนี่แรงมากกกกก แรงสุดๆไปเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปที่ออกมาดูมีสเน่ห์ มากในรูปนั่นมองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของคิมฮีชอลกับเสี้ยวหน้าของยูริที่นั่งคร่อมอยู่บนตักเขา ขาเรียวๆของเธอตวัดอ้อมมาทางด้านหลังทำให้รองเท้าสีแดงตัดกับเสื้อสูทสีดำของพี่ฮีชอลชัดเจน สรุปคือรองเท้าเด่นกว่าหน้า แต่ว่าสวยมากจริงๆนะ พี่คยูฮยอนนี่สุดยอดเลย
“แต่มีแรร์ไอเทมมากกว่านั้นอีกนะ” พี่คยูฮยอนส่ายนิ้วไปมาทำท่าเหมือนจะหยิบรูปที่เด็ดกว่านี้มาให้ดู อ๊าย อย่าบอกนะว่าเป็นฉาก NC ยิ่งกว่านี้ อยากเห็นควอนยูลโป๊อ่ะ!
“ไม่ได้นะ รูปนั้นต้องเก็บไว้ให้เจ้าตัวเค้าดูก่อน คนอื่นห้าม” ซันนี่รีบขัดขึ้นมาเชียว ขี้โกงนี่นา ก็ตัวเองได้เห็นไปแล้วนี่!
“บอกฉันมาดีๆนะยัยเตี้ย ต้องเป็นฉากเรทแน่ๆใช่ไหม?” แทยอนเริ่มคาดคั้น แต่คุณสองสามีภรรยากลับส่ายหน้าขึ้นมาพร้อมกัน พี่คยูฮยอนทำท่าอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับทำตาโตพูดไม่ออกไปซะดื้อๆ
“คุณคยูฮยอนนี่ฝีมือไม่ตกเลยนะครับ” ฉันหันหลังกลับไปแล้วก็ต้องช็อคเพราะเจอคู่กรณีของยูริเข้าเต็มๆ นิชคุณชะโงกหน้าเข้ามามองรูปที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ แต่สาวๆที่เหลือนี่หน้ามึนกันไปเป็นแถบ
“เอ่อ...” ซูยองดูเหมือนจะพูดได้แค่นั้น เพราะนิชคุณเอี้ยวตัวกลับไปมองยูริที่ยังคงแดนซ์กระจายอยู่บนฟลอร์ งานเข้า... งานเข้าแน่ๆ
“ไว้ผมขอใช้บริการถ่ายรูปงานแต่งของผมกับยูริบ้างนะครับ” เขาหันมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่มือกลับเอื้อมหยิบรูปของยูริกับพี่ฮีชอลไปบีบแน่น รอยยิ้มเทพบุตรของเขายิ่งทำให้พวกเราขนลุก... นี่เขาเป็นซาตานในคราบเทพบุตรใช่ไหม? ทำไมถึงได้ขยำรูปทิ้งได้หน้าตาเฉยขนาดนั้นล่ะ!
แล้วร่างสูงๆก็เดินลงไปบนฟลอร์ พวกเราได้แต่มองหน้าสบตากันไปมาด้วยความเป็นห่วง...
สงสัยว่าคำสาปของรองเท้าแดงนี่จะแรงเกินไปหน่อยแล้วล่ะ...
“ยูริ เธอกลับคนเดียวไม่ได้หรอก ให้ฉันไปส่งเถอะ” ซันนี่ยังตามตื๊อฉันไม่เลิก แถมตอนนี้พ่วงพี่คยูฮยอนมาอีกคนด้วย ฮึ้ย! ก็คนไม่อยากไปอยู่เป็นก้าง กขค. ข้าวใหม่ปลามันนี่นา ตอนนี้สาวๆคนอื่นๆก็ไม่อยู่แล้วด้วย พวกนี้ติดงานพรุ่งนี้เช้ากันหมดเลยรีบกลับก่อน แต่ดูท่าทางแต่ละคนฉันห่วงฉันเกิดเหตุ แถมยังกำชับให้ฉันกลับกับซันนี่ให้ได้ อะไรกันนักนะ -*-
“พวกเธอจะห่วงฉันอะไรกันนักกันหนา ปกติก็แยกกันกลับได้นี่”
“แต่วันนี้คุณดื่มเยอะนะครับ ขับรถกลับคงไม่ได้ ให้ผมกับซันนี่ไปส่งน่ะดีแล้ว” พี่คยูฮยอนก็เป็นไปกับเค้าด้วย ร้อยวันพันปีอยากอยู่กับซันนี่สองต่อสองจะตาย วันนี้เกิดจะห่วงอะไรเพื่อนสะใภ้นักหนา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับกับพี่คุณก็ได้” พูดจบฉันก็หันไปควงแขนหนุ่มหล่อข้างตัวที่ยิ้มหวานกลับมา แต่นั่นยิ่งทำให้ซันนี่และพี่คยูฮยอนทำสีหน้าแปลกๆ
“เดี๋ยวฉันไปโทรตามยุนอากลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอดีกว่า” ซันนี่ลุกออกไปหาที่คุยโทรศัพท์ พี่คยูฮยอนมองตาม แต่กลับไม่ยอมลุกไปด้วยเหมือนทุกที นี่ฉันกลายเป็นนักโทษไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? นอกจากจะโดนเพื่อนคุมแล้วยังโดนแฟนเพื่อนนั่งเฝ้าแบบนี้อีก ไม่ชอบเลยแฮะ
“ไม่ตามซันนี่ไปเหรอครับ ถ้าเกิดโดนลวนลามขึ้นมาจะว่ายังไง?”
“ยัยนั่นเสียงดังครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมไปช่วยตอนนั้นก็ทัน” พี่คยูฮยอนตอบพลางจ้องพี่คุณไม่วางตาคล้ายจะจับผิดอะไรบางอย่าง แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเขาคงเป็นห่วงซันนี่อยู่เหมือนกัน ก็แหม... เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นน่ะซันนี่หุ่นสะบึมอย่าบอกใคร เวลามาเที่ยวด้วยกันเนี่ยมักจะตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกของพวกลุงหัวล้านหื่นกามเสมอแหละค่ะ
“พี่ไปตามเถอะค่ะ ฉันจะกลับแล้ว” ฉันพูดออกไปแล้วเขาก็ยิ้มอย่างโล่งอกก่อนจะลุกไปตามซันนี่...
นี่แหละโอกาสทอง!
“ฝากถ่วงเวลาให้หน่อยนะคะ จะบอกว่าไปห้องน้ำหรืออะไรยังไงก็ได้ เดี๋ยวฉันโทรไปเคลียร์ทีหลัง” ฉันฝากฝังหน้าที่สำคัญสุดๆไว้ให้พี่คุณ แต่ว่าเจ้าตัวกลับจับข้อมือฉันเอาไว้แน่น
“แทนที่จะทิ้งผมไว้แก้ต่าง ผมว่าผมไปช่วยคุณหาทางหนีทีไล่ดีกว่า” เขายิ้มขึ้นมา แล้วก็เป็นฝ่ายลากฉันออกเดินไปทางหลังร้านซะงั้น คืออันที่จริงฉันก็ไม่ได้ต้องการเพื่อนเที่ยวนะคะ แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็มีคนช่วยหารค่าแท็กซี่เพราะฉันดื่มเยอะพอสมควร เลยตัดสินใจว่าจะทิ้งรถไว้ที่เดอะไนน์แล้ว แต่ไอ้ครั้นจะไปโบกรถหน้าร้านเลยก็น่ากลัวโดนคุณหมาป่าและแม่หนูน้อยหมวกแดงตามมาเจอ เพราะงั้นเราสองคนเลยเดินไปเรื่อยๆ กะว่าให้ไกลจากผับไปซักนิดแล้วค่อยหาที่โบกรถ แต่ทำไมการเดินมากับพี่คุณถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ผมพลาดไปใช่มั้ยครับ?” อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาเล่นเอาฉันสะดุ้ง
“พลาดอะไรคะ?”
“พลาดที่กุมหัวใจคุณไว้ไม่ได้ ไม่เหมือนคุณฮีชอล” ฉันนิ่งอึ้งไป พูดอะไรต่อไม่ออก แม้แต่ขาก็ดูจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ พี่คุณยิ้มขึ้นมาแล้วก้มลงมองที่เท้าฉัน
“คุณก็ยังใส่รองเท้าที่เขาออกแบบให้อยู่”
ฉันก้มลงไปมองแล้วก็รู้ตัวว่าเขาพูดถูก... ใช่ ฉันสวมรองเท้าของคิมฮีชอลอยู่จริงๆ รองเท้าคู่ที่ฉันสวมในวันถ่ายรูปนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฉันอยากรีบๆไปให้พ้นหน้าเขา เลยเผลอใส่ติดมาด้วย แน่นอนว่าฉันก็ยังไม่กล้าจะเอามันไปคืน แต่รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าของรองเท้าคู่นี้เกลียดฉันยังกับอะไรดี แล้วเขาก็คงไม่อยากทำให้รองเท้าตัวเองมีริ้วรอยจากการใช้งาน แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้หยิบมันออกมาใส่ไม่ได้
ถ้าไม่เอาไปคืนจะเป็นไรมั้ยนะ?
“ยูริ!” จู่ๆเสียงของพี่คุณก็เข้มขึ้นพร้อมกับแรงบีบที่ต้นแขน แว่บแรกฉันเกือบจะสะบัดมือเขาทิ้งแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต แต่พอเห็นแววตาจริงจังที่ดูเป็นกังวลของเขาแล้วฉันก็รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ บางอย่าง
มีคนเดินตามเรามา...
ไม่ใช่คนเดียวซะด้วยสิ
“เดินไปเรื่อยๆ เร็วเข้า ไม่ต้องหันกลับไปมองนะ” เขาผลักให้ฉันออกเดินต่อทันที มืออุ่นๆเอื้อมมาโอบเอวฉัน ในเวลาแบบนี้ฉันก็มีที่พึ่งแค่เขาคนเดียวนี่ล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะสบายใจได้หรอกนะเพราะคนกลุ่มนั้นยังเดินตามเราไม่เลิก แถมเหมือนจะเร่งฝีเท้าขึ้นด้วย
“วิ่ง! วิ่งเลย!” พี่คุณคว้ามือฉันออกวิ่งทันที พร้อมกับที่กลุ่มคนข้างหลังเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย แล้วเสียงฝีเท้าเร็วๆก็ดังขึ้น
โอ๊ย! ตายแล้ว นี่ทำไมฉันถึงได้ซวยยังงี้นะ! นี่ฉันจะโดนพวกแก๊งรีดไถดักฉุดรึเปล่าเนี่ย รู้งี้ไม่หนีซันนี่ออกมาก็ดีหรอก
ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มข้างหลังวิ่งมาจนทันแล้วก็กระชากผมฉันไว้ พี่คุณรีบหันหลังกลับมาแล้วชกหมอนั่นล้มคว่ำไปทันที อยากจะชมว่าพระเอกมาก แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้แม้แต่จะกรี๊ดฉันยังกรี๊ดไม่ออกเลย! แถมตอนนี้เราตกอยู่ในวงล้อมของพวกนั้นแล้วด้วย!
“ผมจะถ่วงเวลาไว้แล้วคุณรีบหนีไป เข้าใจนะ?”
“แต่ว่า--”
“หนีไปสิ!” พี่คุณตะโกนก้องแล้วเขาก็เอาตัวกระแทกผู้ชายสองสามคนลงไปนอนกองกับพื้นเป็นการเปิดทางให้ฉัน ถึงจะรู้สึกผิดที่ต้องปล่อยให้เขาเนกระสอบทราย แต่วินาทีนี้สิ่งที่ฉันควรทำที่สุดคือหนีไปให้พ้นแล้วโทรแจ้งให้ตำรวจรีบมาช่วยเขาน่าจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่า
“หยุดนะ!” เสียงตะโกนดังไล่ตามมาแต่ใครจะหยุดให้โง่ล่ะ ฉันวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่รองเท้าส้นสูงจะเอื้ออำนวย—เลี้ยวออกไปข้างหน้าก็เป็นถนนใหญ่แล้วพอไปถึงที่นั่น ทุกอย่างก็จะ--
“พี่ยูริ!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นแล้วมือคู่หนึ่งก็คว้าตัวฉันเข้ามาหลบในตรอกเล็กๆ เขากอดฉันไว้แนบอกรอให้ผู้ชายที่วิ่งตามมาเลยผ่านไป
“มินโฮ มินโฮ! ช่วยพี่ด้วย ช่วยพี่คุณด้วย!” ฉันขยุ้มเสื้อเขาไว้แน่น จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งสนิท คิดว่าอีกเดี๋ยวเขาคงจะรีบวิ่งออกไปช่วยพี่คุณหรือไม่ก็โทรแจ้งตำรวจ แต่เขากลับยิ้ม...
รอยยิ้มเยือกเย็นชวนขนลุกที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่าพลาดไปซะแล้ว...
แล้วมือหนาหนักของเขาก็เอื้อมเอาผ้าเช็ดหน้าครอบปิดทั้งปากและจมูกของฉันไว้ อ้อมแขนแข็งแกร่งรัดตัวฉันไม่ให้มีโอกาสขัดขืนได้เลย
สิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นคือแววตาคลุ้มคลั่งเหมือนเพฌชฆาตบนใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่ชื่อชเวมินโฮ...
ฉันลืมตาขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าเจ็บไปทั้งตัว สิ่งแรกที่ฉันรับรู้คือฉันโดนมัดอยู่ แล้วก็กำลังนอนกองอยู่บนพื้นพรมของห้องคอนโดสุดหรู ฉันมองซ้ายมองขวาแล้วก็เจอสิ่งที่สะดุดตา
มือถือ!
ไอโฟนลูกรักของแม่! ไม่เคยรู้สึกดีใจที่เห็นโทรศัพท์มากขนาดนี้มาก่อนเลย ฉันพยายามกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ๆ โดนมัดขาแถมมัดมือไพล่หลังแบบนี้ไม่ใช่จะง่ายเลยนะ แต่ในที่สุดฉันก็ทำจนได้แหละ ในขณะที่ฉันอยู่ห่างจากโทรศัพท์แค่ไม่กี่นิ้ง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วหยิบมันไปง่ายๆ
“ตื่นเร็วจังนะครับ ยังไม่ได้เวลางานเริ่มเลย” เสียงของมินโฮดังขึ้น ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันจะรู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้ได้มากเท่านี้มาก่อน ฉันพลิกตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอยหนีเค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มินโฮกลับก้าวยาวๆเข้ามาแล้วยกมือขึ้นบีบคางฉันไว้ให้หันมาสบตาเขาตรงๆ หมอนี่บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆน่ะ!
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่างานอะไร?”
“ไม่! ฉันไม่อยากรู้”
“ถึงไม่อยากรู้ผมก็จะบอก... งานแต่งงานของเราสองคน และงานศพของนิชคุณและ...คิมฮีชอล” ฉันตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น มินโฮที่เหมือนจะอ่านสีหน้าฉันออกสัมผัสนิ้วลงบนโทรศัพท์อย่างใจเย็นก่อนจะกดปุ่มโชว์ข้อความที่เพิ่งส่งออกไปเมื่อตะกี้
มาเจอฉันที่ห้อง 904 พลสม่าคอนโด จะคืนรองเท้าสีแดงให้ – ยูริ
ไม่จริงใช่ไหม? คิมฮีชอลเกลียดฉัน เขาไม่มีทางมาหรอก หมอนั่นไม่ได้โง่นี่นา ไม่มีทาง... ไม่มีทาง…
“นี่! ควอนยูริ เรียกฉันมากลางดึกแบบนี้ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ฉันอัดเธอเละแน่” เสียงตะโกนพร้อมเคาะประตูแรงๆดังขึ้น ฉันกำลังจะกรีดร้องออกไปแต่มินโฮหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามามัดปิดปากฉันไว้ได้อย่างรวดเร็วก่อนจะผลักฉันล้มลงไปกองกับพื้น วินาทีนั้นเองที่ฉันเห็นอะไรอีกอย่าง... ร่างของนิชคุณนอนไม่ได้สติอยู่ด้านหน้าหลังโซฟา ใบหน้ายับเยิน และหมดสติ ความกลัวพุ่งขึ้นมาจุกคอทันทีที่ฉันเห็นว่ามินโฮทำอะไรลงไปบ้าง
แล้วเขาจะทำอะไรกับคิมฮีชอลบ้างล่ะ!
มินโฮเดินไปเปิดประตู แล้วใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏในสายตาฉัน เขาดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเอามากๆที่เห็นฉันโดนมัดกองอยู่กับพื้น แถมตอนนี้ตัวเองยังโดนเอปืนจ่อใต้คางแบบไม่ทันตั้งตัว ฉันทำได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนพื้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย
“เข้ามาแล้วปิดประตูซะ” มินโฮออกคำสั่งและฮีชอลก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนเดินเข้ามาจนหยุดอยู่กลางห้อง มินโฮถอยออกมาแต่ยังคงเล็งปืนไปทางเขาอยู่ ตอนนี้สีหน้าของคิมฮีชอลเรียบสนิทจนฉันคาดเดาไม่ถูกเลยว่าเขาคิดจะทำอะไร รวมทั้งมินโฮเองก็ด้วย
“นายลากฉันมาที่นี่มีธุระอะไร รีบๆบอกมาซะ ฉันไม่มีเวลาเล่นเกมสกปรกกับนายนานนักหรอกนะ” ดวงตาคมของฮีชอลไม่ได้มีวี่แววของความกลัวเลยสักนิด นั่นทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆ มินโฮก็โยนมีดเล่มนึงลงไปบนพื้นตรงหน้าหมอนั่น
“แทงนิชคุณ เอาให้ตาย ไม่งั้นฉันจะยิงนายแทน”
“แล้วไง? ถ้าฉันทำแล้วนายจะปล่อยฉันเดินหลั่นล้ากลับบ้านงั้นสิ?” ไม่อยากจะด่าหรอกนะ แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้กรุณาอย่าพูดจากวนตีนได้ไหมคะ! ถ้าเกิดมินโฮทำปืนลั่นขึ้นมานี่มีถึงตายได้เลยนะ
“จะทำดีๆหรือว่า...” มินโฮทิ้งประโยคไว้แค่นั้นก่อนจะหันปืนมาทางฉัน เขาแสยะยิ้มแล้วก็ก้มลง ลากข้อเท้าของฉันเดินลึกเข้าไปในห้องแล้วคว้าเอามีดสปาร์ต้าเล่มยาวขึ้นมาจากบนโต๊ะ ถึงฉันจะพยายามดิ้นเท่าไหร่ แต่เพราะเชือกที่มัดไว้นี่ก็เลยทำอะไรไม่ได้เลย มินโฮตัดเชือกที่ขาฉันให้ขาดออกแล้วคว้าข้อเท้าข้างซ้ายจับขึ้นพาดบนเก้าอี้ก่อนจะกดใบมีดลงมา
“ทำบ้าอะไรของแกวะ!” คิมฮีชอลตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาจากจุดที่ใบมีดแนบกับผิวเนื้อ ชเวมินโฮเอาจริงแน่นอน ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว!
“ก็เหมือนในนิทานไง รองเท้าแดงที่เต้นรำไม่หยุด มีวิธีเดียวคือต้องตัดมันทิ้ง ฉันจะคืนให้นายไง... รองเท้าคู่นี้ เอาข้างไหนก่อนดี? ซ้ายหรือขวา?” เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้นในขณะที่ฉันกลัวจนแทบจะหมดสติ ถ้าไม่มีผ้าผูกปากเอาไว้รับรองได้เลยว่าฉันคงกรี๊ดเหมือนคนบ้าแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มองไปที่คิมฮีชอลอย่างมีความหวัง ฉันไม่อยากให้เขาเป็นฆาตกรเพียงเพื่อจะช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่เข้าใจเอาซะเลย เขาก้มลงค่อยๆหยิบมีดขึ้นมา ฉันรีบส่ายหน้าพยายามจะดิ้นรนแต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่คมมีดก็ยิ่งบาดข้อเท้าเป็นแผลลึกมากขึ้นเท่านั้น
“ทำไม? เสียดายใครล่ะ? เสียดายที่นิชคุณจะตายหรือเสียดายที่คิมฮีชอลกำลังจะเป็นฆาตกร? พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงพี่ก็ยังเหลือผมอยู่”
“เร็วไปที่จะพูดคำนั้นนะไอ้หนู” คิมฮีชอลพูดขึ้นแล้วในจังหวะที่เขายืดตัว หมอนั่นก็ชักปืนที่ซ่อนไว้ในเสื้อสูทออกมา มินโฮคงละสายตาไปเพราะฉัน แต่นั่นก็เปิดช่องว่างมากพอ ฮีชอลเล็ง—มินโฮเงื้อมีดในมือขึ้นจังหวะเดียวกับที่เขาเหนี่ยวไก ฉันหลับตาปี๋ ได้ยินเสียงปืนนัดแรก ตามด้วยเสียงเคร้ง แล้วก็เหมือนจะมีใครถีบประตูเปิดออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปืนนัดที่สอง แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ...
“ยูริ! ยูริ!” เสียงที่คุ้นเคยของซั่นนี่ทำให้ฉันค่อยๆลืมตา แต่ใบหน้าที่ฉันเห็นคนแรกกลับเป็นคิมฮีชอล เขาประคองฉันลุกขึ้นนั่ง แก้มัดและดึงผ้าผูกปากของฉันออกไป เขาถอดเสื้อสูทออกแล้วห่มมันลงบนไหล่ฉันอย่างเบามือก่อนจะเดินมานั่งยองๆลงตรงหน้า
“เพิ่งรู้ว่าเสื้อสูทนี่มีประโยชน์ดีนะ ซ่อนปืนก็ได้ ใช้แทนผ้าห่มก็ได้ เธอว่ามั้ย?” รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาตอนนี้เหมือนทำให้หัวใจของฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แล้วมันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกหวาดกลัว และในขณะเดียวกันมันก็ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างขณะที่ฉันเอื้อมกอดเขาแน่นแล้วเริ่มต้นร้องไห้เหมือนเด็ก
ฉันว่าฉันรักผู้ชายคนนี้เข้าซะแล้ว...
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีที่โรงพยาบาลท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหลายทั้งแหล่
อิมยุนอา—ผู้กองอิม หนึ่งในฮีโร่ที่บุกเข้ามาช่วยฉัน กำลังยืนหน้าตีหน้าเครียดคุยกับทีมตำรวจอยู่ ไม่ไกลกันนั้น ซันนี่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย มือเล็กๆของเธอยู่ในมือพี่คยูฮยอนที่ไม่ได้สนใจจะมองฉันเลย ไม่บอกก็รู้ว่าซันนี่คงกำลังโดนสาวๆซักไซ้ไล่เลียงอยู่แน่ๆ แต่แล้วเธอก็หันมาเห็นฉันก่อน
“เป็นไงบ้าง เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” น้ำเสียงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลของซันนี่ดึงยุนอาให้วิ่งปรี่เข้ามาอยู่ข้างเตียงทันที
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม? ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ฉันบอกทุกคนไปแล้วว่าพี่ยังไม่พร้อมจะสอบปากคำ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก... พี่คุณกับมินโฮล่ะ” ฉันเอ่ยถามถึงคนสองคนที่อาการน่าเป็นห่วงที่สุด พี่คุณโดนซ้อมหนักหมดสติไปก่อนที่เรื่องจะเกิดซะอีก ส่วนมินโฮ... จำได้ว่าโดนยิง ฝีมือคิมฮีชอล?
“นิชคุณไม่เป็นไรครับ รู้สึกตัวได้สักพักแล้ว ก็คงจะเสียโฉมรับงานไม่ได้ไปซักพักเหมือนกันเพราะหน้ายับขนาดนั้น แต่บาดแผลไม่มีอะไรหนัก... ส่วนมินโฮน่ะ...” พี่คยูฮยอนทิ้งค้างไว้แล้วมองข้ามฝั่งไปทางยุนอาที่ยืนคอตกยกมือยอมแพ้
“ฝีมือฉันเองค่ะ พอพังประตูเข้าไปได้ เห็นหมอนั่นเงื้อมีดอยู่ ฉันกลัวว่าเขาจะทำร้ายพี่เลยเลือดขึ้นหน้ายิงทะลุปอดไปเลย ดีว่าส่งโรงพยาบาลทัน ตอนนี้อยู่ไอซียูรอฟื้น แต่ฉันน่ะเตรียมหมายไว้หลายคดีเลยแหละ รับรองไม่มีทางมาก่อเรื่องได้อีกแน่ๆ” ยุนอาพูดด้วยน้ำเสียงสุดจะมั่นใจ... มันก็อุ่นใจดีอ่ะนะที่มีเพื่อนเป็นตำรวจ แต่ไอ้นิสัยเอะอะยิงไม่เลี้ยงของยุนอาเนี่ย บางทีมันก็ทำเอาเสียวสันหลังวาบๆได้เหมือนกันแฮะ = =
“โอ๊ะ! เจสสิก้ากำลังมา เดี๋ยวฉันไปรับก่อนนะ” ซันนี่พูดขึ้น ส่วนยุนอาก็ดูท่าทางต้องไปเคลียร์กับทีมตำรวจต่อ สองคนนั้นเดินออกไป ทิ้งให้คุณสามีของเพื่อนเฝ้าฉัน... อืม... ว่าแต่ ฉันยังไม่เห็นฮีโร่อีกคนเลย...
“เขาไม่อยู่ พอเห็นคุณไม่เป็นอะไรก็กลับไปแล้วล่ะ” พี่คยูฮยอนพูดขึ้นมาเหมือนจะเดาทางฉันออก นี่อยู่กับซันนี่มากไปแล้วแหงๆถึงได้รู้ทันฉันหมดแบบนี้ แต่ถึงยังไงฉันก็ทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ดี แหม! ใครจะยอมเสียฟอร์มกันล่ะ
“พี่หมายถึงใคร ฉันยังไม่ได้ถามอะไรสักหน่อย”
“ไม่ได้ถาม แต่สายตามันฟ้องว่ามองหาพี่ฮีชอลอยู่” พี่เค้าตอกกลับ เล่นเอาซะฉันแทบจุก โห... แรงแฮะดอกนี้ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
พี่คยูฮยอนคงเห็นหน้าเจื่อนๆของฉันเขาถึงได้หัวเราะออกมาแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงก่อนจะรื้อหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าตัวเอง
“ยังไม่ได้รูปที่จะลงในหนังสือใช่ไหม?”
เหมือนจะถาม แต่เจ้าตัวก็ไม่รอคำตอบ พี่คยูฮยอนหยิบเอาปึ๊งกระดาษที่ปรินท์รูปออกมา ปกติฉันเป็นคนอ่านทุกตัวอักษร ดูทุกรูปทุกหน้า มีแค่คอลัมน์ของคิมฮีชอลคอลัมน์เดียวที่ฉันไม่แม้แต่จะชายตาแลจนกระทั่งตอนนี้ที่ต้องดูเพราะโดนบังคับ รูปฉันที่เป็นนางแบบถูกถ่ายออกมาได้อย่างเพอร์เฟคต์ แต่ในบรรดารูปทั้งหมดรูปหนึ่งสะดุดตาฉันมากที่สุด และเป็นช็อตที่ฉันไม่คิดว่าจะมีตากล้องที่ไหนจับภาพไว้ได้ทัน
มันเป็นรูปที่คิมฮีชอลกำลังสวมรองเท้าสีแดงให้ฉัน สายตาของฉันมัวแต่จับจ้องอยู่ที่รองเท้า ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นมองฉัน...
มองฉันเหมือนฉันเป็นงานออกแบบที่สวยที่สุดที่เขาเคยสร้างมา...
“ถึงมันจะเป็นพรสวรรค์ของช่างภาพก็จริง...” พี่คยูฮยอนพูด “แต่รูปบางรูปต่อให้ถ่ายออกมาดีแค่ไหน ถ้าคนมองไม่ใช้หัวใจเราก็สัมผัสความรู้สึกไม่ได้หรอก... ว่างั้นมั้ย? คุณ บก.”
ฉันตลบผ้าห่มแล้วลุกขึ้นจากเตียง ไม่สนใจขาที่เจ็บ
“พาฉันออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย”
ผมหมุนรองเท้าแก้วในมือไปมา...
มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นรองเท้าแก้วใสๆที่ทำจากพลาสติก เทียบรองเท้าส้นสูงสีแดงที่ตัดเย็บและออกแบบอย่างหรูหราไม่ได้เลยสักนิด
แต่ยัยบ้านั่จะรู้ไหมนะว่ารองเท้าคู่นี้มีคู่เดียวในโลก และถึงมันจะเรียบง่ายขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็เป็นรองเท้าที่ทำขึ้นเพื่อเธอ ที่พื้นรองเท้ามีชื่อเจ้าของตีตราไว้แล้ว
เมื่อไหร่จะรู้ตัวซักทีนะยัยเด็กโง่...
...ว่าผมกำลังรอเธออยู่ รอให้เด็กสาวในรองเท้าสีแดงหยุดเต้นรำ แล้วสวมเท้าเปลือยเปล่าของเธอลงในรองเท้าแก้วคู่นี้ จากนั้นก็เริ่มต้นเดินไปพร้อมๆกับผม ตราบใดที่เธอยังคงเต้นรำอยู่อย่างนั้น ผมคงวิ่งตามเธอไม่ไหว ผมไม่ใช่คนเต้นเก่ง ไม่ใช่คนหลงระเริงในแสงไฟ เพราะงั้น... ผมจะไม่บอกให้เธอถอดรองเท้าสีแดงคู่นั้น แต่จะรอจนถึงวันที่เธอถอดมันด้วยตัวเอง
คิมฮีชอลก็เป็นคนแบบนี้แหละ
แต่ตราวนี้ผมคงต้องโยนรองเท้าทิ้งซะล่ะมั้ง เพราะซินเดอเรลล่าท่าทางจะไม่มา... หรือเพราะผมอาจจะไม่ใช่เจ้าชาย...
เสียงเบรกดังเอี๊ยดมาแต่ไกลดังขึ้นข้างนอก ผมเดินไปแหวกม่านออกดูเล็กน้อย รถสปอร์ตสีดำสนิทแบบนี้เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากโจคยูฮยอน แต่มันจะมาเอาอะไรดึกดื่น เมื่อกี้ก็เพิ่งเจอกัน? แถมยังรีบร้อนบึ่งมาแบบต้องเบรกซะจนตัวโก่ง... หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับควอนยูริ?
ปฏิกิริยาผมมันไว้ซะยิ่งกว่าที่สมองสั่งอีก ผมบีบรองเท้าแก้วในมือแน่นก่อนจะวิ่งพรวดลงไปชั้นล่าง ถ้าเหาะไปได้ผมคงทำแล้ว แต่พอเปิดประตูหน้าบ้านออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมในสภาพที่ดูไม่ได้แบบสุดๆ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้ามอมแมม ที่สำคัญเธอไม่ได้ใส่รองเท้า แต่มีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดพันปิดรอยแผลไว้อยู่ แม้จะเริ่มมีเลือดซึมออกมาก็ตามแต่ควอนยูริดูจะไม่สนใจเลย
“คิมฮีชอล อธิบายมานะ” น้ำเสียงที่พูดก็ยังวางอำนาจไม่เปลี่ยน ผมหัวเราะขึ้นมานิดหนึ่งแล้วถามเธอกลับ
“อธิบายอะไร? มีอะไรต้องพูดกันอีก?”
“ก็ที่อยู่ในรูปนี่ไง สิ่งที่ต้องอธิบาย” ยูริชูรูปในมือขึ้น... รูปถ่ายฝีมือคยูฮยอน จังหวะที่ผมกำลังสวมรองเท้าให้แล้วมองเธออยู่
“อธิบายมานะ ว่านายมองฉันแบบนั้นเพราะอะไร? นายรู้สึกยังไงกันแน่ บอกมาเดี๋ยวนี้”
ยัยเด็กคนนี้ชักจะกร่างเกินไปแล้ว -*- เห็นผมเป็นอะไรถึงได้มาสั่งๆให้พูดโน่นพูดนี่ อะไรเป็นอะไรก็เห็นกันอยู่แล้ว จะต้องให้พูดอีกทำไม
“ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ”
“แต่ฉันมี... มีเยอะมากด้วย” ยูริค่อยๆเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาหาผม ถึงใจอยากจะบอกเธอให้อยุด อยากจะเอื้อมมือไปพยุงไว้แต่ร่างกายก็ไม่ขยับเลย ผมเป็นคนแบบนี้ ผมแสดงออกไม่เก่ง ไม่ใช่ผู้ชายเอาใจใส่ ไม่ใช่คนที่จะยอมลดอีโก้ตัวเองลงไปหาใคร
“งั้นก็พูดมาสิ... ฉันจะฟัง”
“นายเป็นผู้ชายที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลก เพี้ยน ประหลาด ขวางโลก ติสต์แตกที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเคยเจอ แต่ฉันก็ชอบรองเท้าที่นายออกแบบที่สุด”
ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเธอต่อ “แค่นี้เหรอ?”
“ก็...ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ชอบเวลานายมาเหวี่ยงอยู่ใกล้ๆน่ะ”
“ตกลงชอบอะไร?”
“เออ! ก็ได้... จะบอกว่าฉันชอบนายนั่นแหละ” ยูริหน้าแดงขึ้นมาแล้วก็แกล้งทำท่าหงุดหงิดกลบเกลื่อน แต่ผมกลับยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้ ผมดูนาฬิกาข้อมือ... จวนจะเที่ยงคืนแล้ว...
“พร้อมจะเป็นซินเดอเรลล่ารึยัง?” ผมถาม แล้วยูริก็หันมามองอย่างงงๆ แต่ผมไม่รอให้เธอยิงคำถามอะไรออกมาทั้งนั้น ผมคุกเข่าลงกับพื้นวางรองเท้าแก้วในมือลงแล้วค่อยๆสวมมันเข้าที่เท้าของเธอก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาซินเดอเรลล่าที่คราวนี้ไม่ได้จ้องมองรองเท้า แต่กลับมองผมด้วยสายตาเหมือนกันกับที่ผมเคยมองเธอ
“ฉันพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ จำเอาไว้ให้ดีล่ะ... ฉันรักเธอ”
ผมได้รอยยิ้มกลับมาเป็นคำตอบก่อนที่ยัยนั่นจะโถมตัวเข้ามากอดผมเต็มๆ
เอ... จำไม่ได้แล้วแฮะว่าเรื่องรองเท้าแดงมันจบลงตรงไหน…
เอาเป็นว่ามาเริ่มเรื่องใหม่กันที่รองเท้าแก้วน่าจะเข้าท่ากว่ากันเยอะ
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น