ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #4 : 2nd Tale ~ Just A Pair of Dancing Red Shoes

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      3
      21 ธ.ค. 57


      

     

     2nd Tale : Just A Pair of Dancing Red Shoes

     

    พวกเราเก้าคนเดินเข้ามาในผับเดอะไนน์เหมือนที่เคยมาประจำ...

    ต่างกันก็ตรงที่วันนี้เป็นวันพิเศษที่เราเหมาเอาไว้ทั้งร้านเพื่อจัดปาร์ตี้สละโสด--แน่นอนว่าไม่ใช่งานของใครที่ไหนหรอก งานของซันนี่กับพี่คยูฮยอนนี่แหละ

    “นี่! ควอนยูล! ชุดดำ รองเท้าแดง แรงไปนะยะ คนที่เกิดที่สุดในงานต้องเป็นฉันสิ!” ซันนี่ท้วงขึ้นมาขำๆ

    “ไม่ต้องหรอกเธอน่ะ ไหนๆก็มีเจ้าบ่าวเป็นตัวเป็นตนแล้ว ฉันสิโสดสนิททุกรูขุมขนเชียวนะยะ! มันต้องมีเพื่อนเจ้าบ่าวซักคนล่ะน่าที่สะดุดตาสะดุดใจในความแรงของฉัน”

    “เชิญตามสบายนะยูริ ฉันไม่เล่นด้วย” ทิฟฟานี่โบกมือบ๊ายบาย ใช่สิ! เธอก็มีแฟนแล้วเหมือนกันนี่!

    “ซันนี่!” เสียงคุ้นหูตะโกนขึ้นมา นั่นไง... เจ้าบ่าวของซันนี่มาแล้ว ว่าที่เจ้าสาวเพื่อนฉันวิ่งไปหาพระเอกของตัวเองทันที ทิ้งให้สาวโสดมองตามตาละห้อย ดูแต่ละช็อตสิ... ดูที่สองคนนั้นจับมือกัน สายตาของพี่คยูฮยอนมองซันนี่เหมือนกับเธอเป็นเจ้าหญิง ส่วนเพื่อนฉันก็ดูมีความสุข เปล่งประกายซะจนไม่ต้องแต่งตัวแต่งหน้าอะไรเธอก็ยังสวย

    แอบอิจฉาเพื่อนจะผิดมั้ยเนี่ย T^T

    “สาวๆ ไปร๊อคเวทีกันดีกว่า” ฮโยยอนนำทีมพวกเราเดินขึ้นไปบนเวที อ๋อ...ใช่ วันนี้เรามีเซอร์ไพรส์มาให้ซันนี่ค่ะ คือเราซ้อมท่าเต้นเปิดฟลอร์มากัน เอาแบบเปรี้ยว เซ็กซี่สะบัดไปเลย และด้วยความเป็นเซ็กซี่ตัวแม่ ฉันได้ยืนอยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงได้ใส่รองเท้าสีแดงมาไงล่ะ โฮะๆ

    แสงไฟสาดส่องลงมาเมื่อพวกเราขึ้นไปบนเวที เสียงปรบมือ เสียงเชียร์ดังลั่น ซันนี่กับพี่คยูฮยอนดูประหลาดใจสุดๆ

    Girls… let’s bring the boys out...” เสียงของทิฟฟานี่สะกดเอาทุกคนตกอยู่ในภวังค์แล้วฉันก็ก้าวออกไป...

    ทันทีที่รองเท้าสีแดงเหยียบลงบนพื้นฟลอร์ บางสิ่งบางอย่างก็เริ่มต้นขึ้น...

    บางสิ่งที่ฉันไม่อาจจะคาดเดาได้เลย...

     

     

    เสียงเพลงดังกระหน่ำพร้อมแสงไฟวูบไหวไปตามท่วงทำนองเรียกสายตาทุกคนให้จับจ้องไปบนเวที... แน่นอนว่าผมเองก็เหมือนกัน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือเรียวขาเย้ายวนกับรองเท้าสีแดง เสี้ยวหน้าของเธอที่ซ่อนในความมืดยิ่งทำให้ผู้หญิงคนนี้เซ็กซี่ ลึกลับ น่าค้นหา... อาจจะในสายตาคนอื่น แต่สำหรับผม... ผมมองแค่รองเท้าสีแดง

    ก็สีแดงเป็นสีโปรดของผมนี่นา

    “มองอะไรน่ะพี่?” ว่าที่เจ้าบ่าวพระเอกของงานเดินเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ

    “ก็แค่สนใจรองเท้าสีแดงน่ะ...” ผมตอบแล้วยิ้มขึ้นที่มุมปาก

    “สนรองเท้าหรือคนใส่?” คยูฮยอนแซวผม

    “ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมาะกับรองเท้าคู่นี้เลยสักนิด” ผมตอบก่อนจะหันหลังให้การแสดงแล้วเดินจากไป

     

     

    เจอแล้ว... ผู้หญิงที่ผมตามหา...

    ผมแหงนหน้ามองเธอ หลงใหลในทุกท่วงท่าที่เธอขยับตัว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอทำให้ผมเสพติดไม่อาจละสายตาไปได้ โดยเฉพาะเรียวขาสีน้ำผึ้งในรองเท้าสีแดงที่แสนเย้ายวน ควอนยูริ... ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไป สวยขึ้น เซ็กซี่ขึ้น จากวันแรกที่เราเจอกันผมก็ใจสั่นแล้ว ยิ่งมาวันนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าผมจะไม่มีทางปล่อยเธอไปไหนได้อีก

    ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว

    “ขอบคุณนะครับที่มา” โจคยูฮยอน ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะสละโสดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าเดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม เพราะเขาเป็นช่างภาพมือหนึ่งที่ใครๆ ก็อยากเรียกใช้ ส่วนผมเป็นนายแบบอิมพอร์ตที่กำลังมาแรง เราถึงได้มีโอกาสร่วมงานกันบ่อยๆ จนสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนร่วมงานทั่วไป

    “เพื่อนเจ้าสาวสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ สนใจหิ้วไปซักคนสองคนมั้ย?” เขาแหย่ผมอย่างเป็นกันเอง

    “สนสิครับ ผมหมายตาไว้แล้วล่ะ สาวรองเท้าแดงคนนั้น”

    คยูฮยอนมองผมตาปริบๆ ก่อนจะขำขึ้นมา

    “ถ้างั้นต้องรีบหน่อยนะครับ ระวังจะมีคู่แข่ง”

     

     

    รองเท้าคู่นั้นยิ่งส่องแสงเป็นประกายเมื่อต้องแสงไฟแฟลชวูบวาบจากกล้องผม วันนี้พี่ยูริโดดเด่นที่สุด... อันที่จริงไม่ว่าวันไหนสำหรับผม พี่ยูริก็เป็นที่หนึ่ง

    “ไง มินโฮ” พี่คยูฮยอน รุ่นพี่ที่เรียนจบสาขาโฟโต้จากมหาวิทยาลัยเดียวกันเดินเข้ามาโอบไหล่ “โลกกลมดีเนอะ ฉันเพิ่งรู้ว่านายได้ทำงานกับยูริ”

    “ครับ กลมจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้านายผมจะกลายมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวในงานแต่งพี่”

    “นายก็ได้เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าวนะ ไม่น้อยหน้ากันหรอก ว่าแต่... ถ่ายอะไรไว้น่ะ” พี่คยูฮยอนดึงกล้องในมือผมไปกดดูรูปเก่าๆ--มีแต่ภาพของพี่ยูริทั้งนั้น แล้วพี่เค้าก็ผิวปากทำเสียงหัวเราะเหมือนคนที่รู้อะไรมากกว่า

    “รองเท้าแดงของยูรินี่แรงจริง ทำเอาหนุ่มๆ สามคนหลงหัวปักหัวปำซะแล้ว”

    ผมหันกลับไปมองที่พี่ยูริ... ความจริงข้อนั้นไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจสักเท่าไหร่ แต่เทียบกันแล้วผมอยู่ใกล้เป้าหมายมากที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ตาม ควอนยูริจะต้องเป็นของผมคนเดียว

    ผมจะทำทุกทางเพื่อทำให้พี่ยูริกลายเป็นของผม...

     

     

    ว่าที่เจ้าบ่าวของฉันเดินอารมณ์ดีกลับมาที่โต๊ะ สาวๆคนอื่นลงไปแดนซ์กันหมดไม่เว้นแม้แต่ซอฮยอน ใครไม่เคยเห็นมักเน่ทำตัวเกเรโปรดดูไว้ซะ

    “ขำอะไรคะ คุณว่าที่เจ้าบ่าว?”

    “ก็ขำเพื่อนคุณว่าที่เจ้าสาวนั่นแหละ” เขาเดินเข้ามาบีบจมูกฉันเบาๆแล้วโอบเอวเข้าไปกอดหลวมๆ

    “คนไหน?”

    “คนที่แรงที่สุดในวันนี้ ชุดดำรองเท้าแดง ทำให้เพื่อนเจ้าบ่าวหลงได้ตั้งสามคน” หมอนั่นพูดแล้วก็มองไปทางยูริที่คงยังไม่รู้ตัว

    “งั้นฉันน่าจะทำตัวแรงๆบ้างเนอะ ผู้ชายบางคนแถวนี้จะได้หันมาสนใจ” ฉันเท้าคางมองหมอนั่นที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

    “ไม่ต้องแรงผมก็สนคุณเต็มที่อยู่แล้วที่รัก ไปเร็ว! ลงไปมันส์กันดีกว่า!” แล้วเค้าก็จูงมือฉันลากลงไปกลางฟลอร์ที่สาวๆเต้นรำกันอยู่ รองเท้าสีแดงของยูริเด่นจริงๆนั่นแหละ

    สงสัยนิทานเรื่องใหม่คงจะได้เริ่มแล้วล่ะมั้ง?

     

     

    “บอส! บอสสสสสสสส บอสขาบอส!!!” เสียงแหลมปรี๊ดของ เลขาหน้าห้องฉันดังขึ้นผ่ากลางสมองที่กำลังอึนสุดๆด้วยอาการแฮงค์

    “บอสคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!

    “อึนบี ขอกาแฟเข้มๆแก้วนึง”

    “บอสเราจะทำยังไงดีคะเนี่ย! ฉันมึนไปหมดแล้วนะคะ!” ...อืม...ฉันควรจะหาเลขาใหม่ดีมั้ยนะ?

    “อึนบี กาแฟ เดี๋ยวนี้” ฉันสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พร้อมจิกสายตาพิฆาต ยัยเลขาจอมจุ้นถึงค่อยหายสติแตกแล้วเดินม้วนกลับออกไปชงกาแฟมาให้

    “เอะอะอะไรกันแต่เช้าเลยครับพี่?” มินโฮ ช่างภาพหน้าใหม่ประจำนิตยสารของฉันโผล่หน้าเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง อ๊ายยยย น่ารักอ่ะ ถ้าฉันอายุเท่าซอฮยอนรับรองฉันอ่อยเด็กคนนี้ไปแล้ว

    “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้มีถ่ายตั้งแต่เช้าใช่ไหม?”

    “ครับพี่ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ผมเลยขึ้นมาบอก เผื่อพี่อยากจะลงไปเช็คความเรียบร้อย”

    “อื้อ ไปสิ” ฉันผลักกองต้นฉบับออกก่อนจะเดินตามมินโฮออกไปนอกห้อง สตูดิโอถ่ายภาพของเราอยู่ที่ชั้นล่างนี่เองค่ะ พอดีว่าฉันเป็นคนเป๊ะน่ะนะ เลยต้องเข้าไปดูในทุกๆกระบวนการเพื่อให้งานออกมาเนี้ยบเหมือนความสวยของฉัน

    “ว่าแต่เธอไม่เห็นต้องเดินขึ้นมาตามพี่เองเลย ให้เด็กๆขึ้นมาก็ได้” ฉันพูดกับมินโฮที่กำลังง่วนอยู่กับการตั้งค่ากล้อง เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันแล้วก็ยิ้มแบบที่ทำให้สาวๆหัวใจละลายได้ง่ายๆ

    “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเจอหน้าพี่”

    เฮ้ยยยยย! โดนเด็กหยอด คนมันสวยก็ยังงี้แหละนะ

    “พี่ไปยืนเป็นแบบให้หน่อยสิครับ พอดีผมจะวัดแสงดู” มินโฮพูดขึ้นมา ฉันพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปตรงหน้าฉาก ทีมงานคนอื่นๆหันมาส่งเสียงแซวฉันใหญ่... เดี๋ยวแม่ก็ไล่ออกยกเซ็ทซะเลยนี่

    “โพสท์ท่าสวยๆสิครับ” ตากล้องรูปหล่อพูดขำๆแล้วฉันก็นึกถึงเวลาที่ซูยองมาถ่ายแบบ... เอ ยัยนั่นทำท่าอะไรบ้างนะ... ฉันยืนนึกสักพักแล้วก็ลองโพสต์ท่า ทำตาจิกกล้องเหมือนที่เห็นเพื่อนซี้ชอบทำบ่อยๆ ให้แอ๊คเริ่ดเนี่ยของถนัดค่ะ ไม่อยากจะพูด

    “สวยแบบนี้เป็นนางแบบมืออาชีพได้เลยนะครับพี่” มินโฮมองฉันอย่างทึ่งๆ แหม ความสวยกับความเก่งมันเป็นของคู่กันนะน้อง รู้ไว้ซะ

    “นายแบบตัวจริงมาแล้วค่ะ” เสียงทีมงานดังขึ้นแล้วร่างสูงๆของนายแบบตัวจริงก็ปรากฏ ออร่าชะวิ้งชะวับนั่นเล่นเอาฉันแสบตาทีเดียว

    “สวัสดีครับ ขอโทษนะครับที่มาช้า” นิชคุณนายแบบสุดฮอตที่ได้ฉายาว่าเจ้าชายไทยปรากฏตัวขึ้น ทีมงานสาวๆหลายคนถึงขั้นเอามือปิดปาก ไม่ก็กัดผ้าเช็ดหน้ากลั้นเสียงกรี๊ดกันเลยทีเดียว แต่ยกเว้นฉันไว้สักคนแล้วกัน คือไม่ใช่ไม่หวั่นไหวกับความหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่นี่มันเรื่องงาน ฉันก็ต้องมีคีปลุคบ้างอะไรบ้าง

    “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ ” ฉันเดินเข้าไปหาเขา แต่นิชคุณกลับดึงช่อดอกไม้เล็กๆที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมาแล้วยื่นมันให้ฉัน... ยื่นให้ฉัน เฮ้ยยยย!! นายแบบสุดฮอตระดับประเทศซื้อดอกไม้ให้ฉัน!!!!

    “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันอีกนะครับคุณยูริ ถ้ายังไงขอผมสมัครตำแหน่งนายแบบประจำไว้เลยได้มั้ยครับ จะได้เจอหน้าคุณทุกวัน?”

    “ข...ขอบคุณนะคะ” ไปต่อไม่ถูกเลยเว้ยเฮ้ยฉัน คนยิ่งเมาค้างอยู่ด้วย ทำไมวันนี้ฉันเนื้อหอมจริงนะ?

    “เริ่มถ่ายกันได้รึยังครับ? เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทัน” มินโฮพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที นิชคุณยิ้มให้ฉันอีกครั้งแล้วก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันหมุนช่อดอกไม้ในมือไปมา นึกให้คะแนนพ่อนายแบบอิมพอร์ตนี่อยู่ในใจ... อืม 8 เต็ม 10 วิธีจีบเบสิก คะแนนเนี่ยได้จากความหล่อล้วนๆ เชื่อสุดใจเลยจริงๆว่าเรื่องบางเรื่อง ถ้าหน้าตาไม่ดีมีหวังโดนรังเกียจเหยียดหยาม

    “บอส! บอสคะ อยู่นี่เอง!” เสียงแหลมๆชวนจิตเสียของเลขาฉันดังมาอีกแล้ว ฉันหมุนตัวกลับไปแล้วยัยนั่นก็วิ่งตรงเข้ามาหา อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็โดนช่อดอกไม้ดึงดูดความสนใจไปซะก่อน

    “อุ๊ย! ใครให้ดอกไม้มาคะบอส แหม เดี๋ยวนี้สเน่ห์แรงนะคะ”

    “เข้าเรื่อง อึนบี”

    “ขอโทษค่ะ... คือ... ก่อนหน้านี้ที่เราขอสัมภาษณ์ดีไซน์เนอร์ของแบรนด์ชูส์โฮลิคไปน่ะค่ะ” ชูส์โฮลิคเป็นแบรนด์รองเท้าชื่อดังในเกาหลีที่ทำยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดในทุกฤดูกาล คู่สีแดงพิชิตใจที่ฉันใส่เมื่อวานก็มาจากแบรนด์นี้แหละค่ะ อันที่จริงเราก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาตลอดนะ รองเท้าคู่ใหม่ของชูส์โฮลิคจะได้เปิดตัวในนิตยสารฉันก่อนเป็นที่แรกเสมอๆ แล้วเดือนนี้เราก็ตกลงกันว่าจะมีคอลัมน์พิเศษสัมภาษณ์เจาะลึกดีไซเนอร์มือหนึ่งแบบเจาะลึกซะด้วย

    “คือ...คอลัมน์พิเศษที่เราตกลงไว้กับเค้าน่ะค่ะ... ชูส์โฮลิคขอยกเลิก”

    ขอยกเลิก แค่นี้เอง…………………..เฮ้ยยยยยยยย!!!! ยกเลิก!

    “แล้วทำไมเธอเพิ่งมาบอกฉัน!

    “ก็บอสให้ชงกาแฟ...” ให้ตายเถอะ! เคลียร์เรื่องนี้เสร็จเมื่อไหร่ฉันจะเปลี่ยนเลขาใหม่ คอยดู!

    “ฉันจะไปสตูดิโอของชูส์โฮลิค เดี๋ยวนี้”

     

    --ยี่สิบนาทีต่อมา--

     

    ฉันปิดประตูรถสปอร์ตของตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าสตูดิโอของชูส์โฮลิคไป พนักงานทุกคนที่นี่รู้จักฉันดีอยู่แล้วเพราะฉันมาบ่อยมากกกก ก็นอกจากจะด้วยเรื่องงานแล้วฉันก็เป็นลูกค้าประจำอีกคนของที่นี่น่ะนะ

    ฉันก้าวยาวๆตรงไปทางห้องผู้บริหารทันที ไม่สนใจแม้แต่จะเคาะประตูด้วยซ้ำ

    “นี่คุณคิดจะทำอะไรของคุณคะ? คุณคิมฮีจิน--” ฉันพูดได้แค่นั้นแล้วก็แทบช็อก เพราะคนที่อยู่ข้างในไม่ใช่พี่คิมฮีจิน แต่กลับเป็นผู้ชาย! เขายืนหันหลังให้ฉัน มองออกไปนอกหน้าต่าง จังหวะที่เขาหันกลับมา ดวงตาคู่นั้นคมกริบจนใจสั่นไหว เขายิ้มขึ้นนิดๆที่มุมปาก ไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า--ก่อนจะหยุดอยู่ที่รองเท้าสีแดง

    “ควอนยูริสินะ?” เขาถาม คำพูดห้วนๆ แบบนั้นมันใช้เอาไว้พูดกับคนที่เจอกันครั้งแรกเหรอ? เฮอะ!

     “คุณเป็นใคร? คุณคิมฮีจินล่ะ”

    “พี่สาวฉันวางมือจากการเป็น CEO ของชูส์โฮลิคแล้ว เธอควรจะรู้จักฉันเอาไว้ในฐานะ เจ้าของคนใหม่ของแบรนด์นี้... และรวมถึงในฐานะดีไซน์เนอร์รองเท้าคู่ที่เธอสวมอยู่ด้วย” พอเจอคำพูดหยิ่งๆเหมือนตัวเองเป็นเทวดาจากปากพี่แกแล้ว ฉันแทบจะอยากถอดส้นสูงคู่นี้เขวี้ยงใส่หน้าเขาแล้วโบกมือบ๊ายบายรองเท้าทุกคู่จากที่นี่ไปตลอดชีวิตถ้าเป็นแบรนด์โนเนม ควอนยูริทำไปแล้ว แต่นี่คือชูส์โฮลิคเชียวนะ!

    “คุณคิมฮีชอล คุณมีเหตุผลอะไรในการยกเลิกคอลัมน์ของคุณในหนังสือเราคะ?”

    “เพราะฉันไม่อยากทำ” เฮ้ย! คำตอบนี้มันง่ายไปนะ เหตุผลอยู่ตรงไหนคะ ช่วยชี้แจงก่อนคนสวยจะปรี๊ดจนปรอทแตก บอกไว้ตรงนี้เลยว่าควอนยูริไม่มีทางยอม

    “เราประกาศไปแล้วว่าฉบับหน้าจะมีเอ็กซ์คลูซีฟคอลัมน์ของชูส์โฮลิค ยังไงคุณก็ต้องทำตามที่ตกลงไว้”

    “ก็ฉันไม่มีอารมณ์ ดีไซน์เนอร์ที่เธอจะสัมภาษณ์ก็คือฉัน ในเมื่อฉันไม่ทำ มันก็เป็นไปไม่ได้ เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจรึไง?”

    ว้อยยยยยยยยยยย!!! ก็ไม่เข้าใจน่ะสิเฟ้ย!!!

    “อย่ามางี่เง่าหน่อยเลยตาบ้า! นายนี่มันเส็งเคร็งชะมัด! คิดว่าถ้าฉันไม่ลงคอลัมน์ให้นายแล้วฉันจะตายรึไง? ฝันไปเถอะย่ะ! ฉันเอาเรื่องคนอื่นมาเขียนแทนก็ได้!

    ฉันหมุนตัวกลับแล้วกระแทกประตูปิดตามหลัง ไม่สนใจว่ามันจะพังหรือไม่พัง ช่างปะไร ไม่ใช่ออฟฟิศฉันสักหน่อยนี่!

    ฮึ้ย! คนบ้าๆพรรค์นี้! จ้างให้ฉันก็ไม่อยากร่วมงานด้วยหรอก!

     

     

    “แล้วสรุปว่าเธอก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาลงหนังสือให้ได้ห้าหน้าสินะ” เจสสิก้าพูดขึ้นมาแข่งกับเสียงเอะอะโวยวายในผับเดอะไนน์ตามปกติ

    “ใช่! โดยไม่ง้อคิมฮีชอลด้วย!” สาวๆเจ็ดคนมองฉันทำหน้าแบบไม่เชื่อ เฮ้ๆ หมายความว่ายังไงน่ะ...

    “แล้วตกลงวันนี้ซันนี่ไม่มาเหรอ?” ฉันถามต่อ คิดอยู่ว่าจะขอลงสกู๊ปงานแต่งของซันนี่ดีมั้ยนะ? แต่ไม่สิ กว่าจะถึงวันงาน กว่าจะถ่ายรูป จัดหน้า เขียนคอลัมน์อีก ฉันต้องปิดต้นฉบับภายในสิบวันนี้นะ ไม่ทันแหงๆ

    “ยัยนั่นงดดื่ม งดเที่ยว เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่ดี แต่ฉันว่าพี่คยูฮยอนไม่ยอมปล่อยให้มามากกว่า เดี๋ยวนี้ฉันเข้าห้องซันนี่ทีไรต้องเคาะประตูก่อนทุกทีเลย” แทยอนแอบมีบ่นเล็กๆ เออ...คือตามมารยาทแล้วมันก็สมควรจะเคาะแต่แรกแล้วน่ะนะ

    “ฉันว่าเธอไปง้อคุณฮีชอลน่าจะง่ายกว่ามั้ย?” ฟานี่เอื้อมมือมาหยิบเชอรี่ในแก้วค็อกเทลฉันเข้าปากเฉยเลย

    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีทางน่ะ”

    “แล้วถ้าเป็นรายนั้นล่ะ?” ฮโยยอนบุ้ยใบ้ไปทางหน้าประตูผับ ฉันหันกลับไปมองแล้วก็พบกับคนคุ้นตาที่ไม่คิดว่าจะเจอเค้าอีกเป็นครั้งที่สองของวัน... นิชคุณ!

    “เขามองมาทางเราด้วยแน่ะ ท่าทางจะไม่ได้บังเอิญมาร้านนี้ซะแล้วมั้ง?” ซูยองเริ่มแซว แต่ฉันกลับคิดอย่างรวดเร็ว ถึงจะไม่ใช่คอลัมน์เปิดตัวดีไซเนอร์รองเท้าสุดฮอตแต่เปลี่ยนเป็นเจ้าชายนายแบบรูปหล่ออิมพอร์ตจากเมืองไทยมันก็ฟังดูไม่เลวแฮะ... โอเค ดำเนินการตามแผน ใช้ความสวยเป็นเครื่องมือหากินซะควอนยูริ

    “ขอตัวไปหว่านสเน่ห์ก่อน เดี๋ยวมา” ฉันลุกขึ้นยืน สะบัดผมด้วยท่าทางเซ็กซี่เล่นเอาสาวๆที่เหลือทำหน้าเบ้แบบรับไม่ได้กันเป็นแถบ ก่อนจะเดินตรงไปทางเป้าหมายที่รู้ชัดๆว่าเห็นฉันแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอยู่

    คือถ้าไม่หล่อนะ มุกเห่ยๆอย่างนี้จีบหญิงไม่ติดหรอก รับรอง

    “แหม โลกกลมจังเลยนะคะ เราบังเอิญเจอกันอีกแล้ว”

    “เมื่อเช้าไม่บังเอิญหรอกครับ ส่วนรอบนี้ก็... คงไม่เชิง” เอ๊ะ คราวนี้ไม่ทำเนียนแฮะ... ผิดคาดอ่ะ เพิ่มให้อีก 1 คะแนนละกัน

    “ถ้าไม่รังเกียจฉันเลี้ยงค็อกเทลสักแก้วได้มั้ยคะ? ถือว่าฉลองที่เราได้ร่วมงานกันวันนี้” ฉันงัดไม้แรกขึ้นมาใช้

    “อืม... ให้ผมเลี้ยงดีกว่ามั้ยครับ คราวหน้าผมจะได้มีโอกาสทวงว่าคุณติดหนี้ผมอยู่” ฉันหัวเราะขึ้นมา ชักจะสนุกแล้วแฮะ

    “เตือนไว้ก่อนว่าถ้าคิดจะมอมเหล้ากันล่ะก็ คุณคงต้องจ่ายหนักหน่อยนะคะ บังเอิญว่าฉันคอแข็ง”

    “ผมกลัวแค่ว่าคุณจะไม่เมาน่ะสิครับ” เขาพูดก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาแตะกับแก้วของฉันเบาๆแล้วยกขึ้นดื่ม เห็นชัดมากว่าตาไม่ได้อยู่ที่ไวน์ เห็นใครๆก็ว่าผู้ชายคนนี้เป็นเทพบุตร พอเจอโหมดนี้แล้วก็ร้อนแรงไม่เบาเหมือนกันแฮะ

    แหม... วางแผนเกินเรื่องงานไปหน่อยดีไหมนะเรา?

    “เรียกผมว่าพี่คุณเฉยๆก็ได้นะครับ ไม่ต้องเป็นทางการอะไรนักหรอก ว่าแต่... คุณยูริมีเรื่องอะไรอยากคุยกับพี่ไหมครับ?” จู่ๆคุณนายแบบรูปหล่อก็ยิงซะตรงประเด็นจนฉันแทบสำลักไวน์ ตายๆ นี่สกิลการเล่นละครของฉันมันดรอปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

    “เอ่อ... พูดตรงๆเลยนะคะ ฉันขาดเรื่องลงคอลัมน์อยู่ห้าหน้า อยากรู้ว่าคุณ--เอ้อ--พี่คุณจะสนใจให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟรึเปล่าน่ะค่ะ”

    “ทำไมถึงคิดว่าคอลัมน์ของพี่จะมีคนอ่านล่ะครับ?”

    “สาวๆ คนไหนก็อยากรู้เรื่องของพี่ทั้งนั้นแหละค่ะ เล่นเป็นหนุ่มฮอตซะขนาดนี้” ฉันส่งยิ้มให้เขาเอาแบบยั่วยวนที่สุดในชีวิตเลย

    “แต่มีผู้หญิงคนเดียวบนโลกเท่านั้นนะครับที่ พี่อยากเล่าให้ฟังทุกเรื่อง... คนๆ นั้นก็คือคุณ” ตาโตๆของพี่คุณกับรอยยิ้มเล็กๆแบบนั้นทำเอาฉันรู้สึกว่าตัวเองเลวไปถนัดใจ เฮ้ๆ... เขาคงไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับฉันหรอกใช่มั้ย?

    ฉันว่าเรื่องมันชักจะเริ่มซับซ้อนซะแล้วแฮะ...

     

     

    ผมเฝ้ามองพี่ยูริมาสักพักหนึ่งแล้ว เพื่อนๆในกลุ่มของพี่ยูริสองสามคนทยอยกลับไปก่อน อีกหลายคนทำท่าเหมือนนั่งชิลล์รอกลับพร้อมกับพี่ยูริที่ตอนนี้กำลังอยู่บนฟลอร์กับนิชคุณ ท่าทางเธอเริ่มจะเมาได้ที่แล้วด้วย

    แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีเอะอะโวยวาย แต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง แต่ทุกรอยยิ้ม ทุกๆสัมผัสระหว่างผู้ชายคนนั้นกับพี่ยูริ ทำเอาผมอยากเดินเข้าไปแล้วชกหมอนั่นลงไปกองกับพื้น พี่ยูริเป็นของผม ผมจะไม่ปล่อยเธอไปให้ใครทั้งนั้น

    ...แต่ผมไม่ได้โง่ ผมมีวิธีที่ฉลาดกว่านั้นที่จะทำให้ได้ตัวพี่ยูริมา

    มือผมล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบเอากล้องถ่ายรูปตัวเดียวกับที่ถ่ายเธอเมือคืนวันก่อนขึ้นมา บรรจงปรับโฟกัสให้เห็นหน้าทั้งคู่ชัดเจน เสียงชัตเตอร์ลั่นเบาๆในหู พี่ยูริยกแขนโอบรอบคอของนิชคุณ เขาเองก็กอดเองเธอไว้หลวมๆ ภาพนั้นดูไม่ต่างจากคู่รัก แล้วเขาก็ก้มลง...จูบเธอ ผมมือสั่นแต่ไม่พลาดที่จะเก็บภาพทุกอย่างเอาไว้ มันไม่ได้เป็นการจูบที่เนิ่นนาน เขาแค่ใช้โอกาสเล็กๆที่พี่ยูริเสียหลักจูบเธอ ผมหันกลับไปมองโต๊ะกลุ่มเพื่อนของพี่ยูริ สาวๆกำลังนั่งคุยกัน ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลิฟซีนเมื่อครู่ด้วยซ้ำ

    ผมตัดใจไม่หันกลับไปมองสองคนนั้นอีก แล้วก้มลงกดโทรศัพท์

    “ฮัลโหล” เสียงคุ้นหูดังกลับมาตามสาย

    “พี่ครับ ผมมีข่าวเด็ดให้พี่ลงวันพรุ่งนี้แล้ว”

    “ข่าวอะไรล่ะ?”

    “พาดหัวได้เลย บก.สาวไฮโซ หว่านสเน่ห์ใส่นายแบบหนุ่มกลางผับ”

    น้ำเสียงปลายสายดูตื่นเต้นขึ้นมาทันทีขณะขอให้ผมเล่าที่มาที่ไปแล้วส่งรูปภาพพร้อมลงสกู๊ปมาให้ ผมแค่บอกเขาว่าจะส่งอีเมล์ทุกอย่างไปให้ภายในคืนนี้ ก่อนจะกดตัดสายแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว...

    ผมมองพี่ยูริผ่านแก้วเบียร์ที่ว่างเปล่า เธอเดินกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะแล้ว ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปยิ่งเป็นการทำร้ายเธอ... แต่ผมจะทำทุกทาง...

    ผมจะทำทุกทางให้มั่นใจไดว่าควอนยูริจะเป็นผู้หญิงของผมแค่เพียงคนเดียว

     

     

    วันนี้ไม่ต้องรอให้เสียงอึนบีกรี๊ดขึ้นมาดังแสบแก้วหู ฉันก็รู้ตัวดีว่ามีหายนะมาเยือนในชีวิต...

    ม๊อบนักข่าวและแอนตี้แฟนยืนรอรับฉันอยู่หน้าออฟฟิศเต็มไปหมด ยังไม่ทันจะได้ลงจากรถ ทุกคนก็เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจนฉันต้องขับฝ่าเข้าไป แล้วกำชับยามอย่างแน่นหนาว่าอย่าปล่อยให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด แล้วพอเข้ามาในออฟฟิศ ทุกสายตาก็มองฉันแปลกๆ

    “พี่ครับ? พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? พี่ต้องระวังตัวให้มากๆนะครับ” มินโฮคือคนแรกที่เดินเข้ามาทักฉัน สีหน้าเขาดูเป็นกังวลจนฉันแปลกใจ

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น มินโฮ?”

    “เอ่อ... พี่ยังไม่เห็นข่าวเหรอครับ?”

    ฉันมองซ้ายมองขวา เห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะพนักงานใกล้ๆ เลยคว้ามาเปิดทันที... เอ พาดหัวก็ไม่มีอะไรนี่นา...

    “พี่เปิดหน้าบันเทิงสิครับ” ฉันทำตามคำพูดมินโฮ แล้วสิ่งแรกที่เห็นตำตาเลยคือรูปฉันกับนิชคุณในผับเมื่อคืน เฮ้ยยยย! ปาปารัสซี่ตาไวยิ่งกว่าซุปเปอร์แมนอีก! ให้ตายเถอะ! แล้วรูปนี่ก็ซูมใกล้ ชัดซะจนเห็นรูขุมขนบนใบหน้าได้เลย... ที่สำคัญ มันมีช็อตตอนเขาจูบฉันด้วย!

    ไม่ใช่เมื่อคืนฉันไม่ตกใจนะ แต่เพราะมันเป็นแค่จูบเบาๆ ฉันรู้ว่าเขาเหมือนจะหมายตาฉันไว้อยู่หน่อยๆ แต่โดยรวมแล้วมันไม่ได้มีอะไรเกินเลย ใช่ว่าฉันจะชอบให้ผู้ชายถึงเนื้อถึงตัว แต่เพราะต้องรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้วยเรื่องงานฉันถึงไม่อยากชักใบให้เรือเสีย แต่ข่าวที่ลงมานี่เขียนทำนองว่าฉันไปอ่อยนิชคุณเพียงเพราะอยากได้เขามาลงหนังสือใจจะขาดเนื่องจากมีปัญหาภายในกับชูส์โฮลิค... ทำไมแหล่งข่าวถึงได้รู้เรื่องนี้ทั้งที่เป็นเรื่องภายใน?

    หรือคนปล่อยข่าวนี้จะเป็นอีตาคิมฮีชอล?

    ไม่น่า... เค้าไม่น่ารู้ว่าฉันจะเจอกับพี่คุณเมื่อคืนหรอกมั้ง?

    “แล้วนี่พี่จะทำยังไงครับ?”

    “ก็ไม่ทำยังไง ถ้าข่าวออกไปแล้วก็รอดูพี่คุณนั่นแหละว่าเขาจะเอาจริงกับพี่รึเปล่า ไม่แน่พี่อาจจะเล่นด้วยก็ได้ พอเป็นกระแสจะได้เพิ่มยอดขายไปในตัว”

    “พี่ไม่เห็นต้องเอาตัวเข้าแลกถึงขนาดนั้นนี่ครับ เห็นไหมว่าแฟนคลับพี่คุณน่ะน่ากลัวขนาดไหน?” มินโฮชี้ออกไปนอกหน้าต่าง เออแฮะ พวกแอนตี้บางคนถึงขนาดชูป้ายเขียนข้อความไล่ฉันไปตายเลยทีเดียว อืม... ท่าทางจะมีอุปสรรค

    “ผมว่าเราอยู่ห่างๆจากนิชคุณไว้ก่อนดีมั้ยครับ? เดี๋ยวเรื่องมันคงจะซาไปเอง”

    “งั้นพี่จะเอาใครมาลงคอลัมน์ล่ะ? ห้าหน้าเชียวนะ”

    “ลองไปคุยกับทางชูส์โฮลิคอีกรอบเถอะครับ พี่คยูฮยอนรุ่นพี่ผมสนิทกับคุณคิมฮีชอล เขาน่าจะช่วยพูดให้พี่ได้” เออแฮะ! ทำไมฉันไม่คิดถึงพี่คยูฮยอนก่อนนะ! เพื่อนมีแฟนดีก็มีประโยชน์ยังงี้แหละ

    “ขอบใจมากนะมินโฮ”

    “พี่ก็รู้ว่าผมห่วงพี่...” เขาพูดขึ้นมา แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราอยู่ใกล้กันมากขนาดไหน ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ... ตอนนี้เราอยู่ในห้องทำงานของฉันแบบสองต่อสอง ฉันชักจะเริ่มได้กลิ่นอันตรายแปลกๆซะแล้วแฮะ สายตาของมินโฮตอนนี้ดูไม่เหมือนทุกทีเลย ฉันถอยหลังไปจนติดชั้นหนังสือ แต่เขากลับยิ่งก้าวเข้ามาใกล้ จนตอนนี้ฉันหมดทางหนีแล้ว เขาเท้าแขนกับชั้นหนังสือ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเราแทบจะแตะกัน

    เฮ้ยยยยย! นี่ฉันจะเสียจูบให้ผู้ชายถึงสองคนภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงเหรอ! T^T

    “พี่ไม่ต้องทำตัวแข็งขนาดนั้นก็ได้ครับ” มินโฮหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วถอยออกไป พ่อแก้วแม่แก้ว ควอนยูริแทบจะหัวใจวายตาย

    “ง...งั้นพี่ไปชูส์โฮลิคก่อนนะ” ฉันเดินผ่านมินโฮออกไปพยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไปกลับเข้ามาในสมอง

    “พี่ครับ พี่ลืมของ...”

    “อะไรเหรอ?” ฉันหันกลับไป แล้วก่อนที่จะรู้ตัว มือของมินโฮก็ดึงฉันเข้าไปหา ริมฝีปากร้อนแรงของเขาขโมยจูบฉันไปแบบที่ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ช็อกสิคะ! เฮ้ย! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้!

    “...แค่จะบอกว่าลืมจูบลาน่ะครับ”

     

     

    “ยูริ ดูเอ๋อๆ นะเธอน่ะ ไหวรึเปล่า?” ฉันทักแม่ตัวปัญหาที่อยู่ดีๆ ก็โทรตามจิกฉันกับคยูฮยอนออกมาจากคอนโด...เอ่อ อันที่จริงคือจากเตียง... ตอนนี้พวกเราอยู่ในรถที่ว่าที่เจ้าบ่าวฉันเป็นคนขับมารับยูริจากออฟฟิศเธอ มุ่งหน้าไปยังสตูดิโอของชูส์โฮลิค

    “พักนี้รู้สึกฉันจะมีปัญหากับผู้ชายรอบๆตัวนิดหน่อยน่ะ” เพื่อนฉันตอบ แต่ดูจากสีหน้านี่ไม่นิดเท่าไหร่นะ คยูฮยอนสบตากับฉันเป็นเชิงเหมือนรู้ข้อมูลลับอะไรบางอย่าง

    “ไม่ดีเหรอ ไหนคุณบอกว่าอิจฉาที่ผมกับซันนี่จะแต่งงานกัน?”

    “ตอนแรกก็ใช่ แต่พักนี้รู้สึกค่อนข้างหวงความโสดขึ้นมากะทันหันน่ะค่ะ” ยูริตอบก่อนจะมองออกไปนอกรถอย่างเซ็งๆ สงสัยฉันต้องไปอัพเดทกับสาวๆในกลุ่มบ้างซะแล้ว... ถ้าอีตาหมาป่าข้างๆนี่ยอมให้ไปน่ะนะ...

    “ถึงแล้วล่ะ” คยูฮยอนจอดรถที่ประตูหลังของชูส์โฮลิคอย่างเงียบเชียบ สถานการณ์ที่นี่ดูสงบดีต่างจากที่บริษัทของยูริลิบลับ พวกเราลงจากรถแล้วคยูฮยอนก็เดินนำเข้าไป รู้สึกว่าคุณหมาป่าของฉันจะไปสนิทกับพี่ฮีชอลได้เพราะก่อนหน้านี้พี่ฮีชอลถูกใจฝีมือถ่ายรูปของเขาเลยชวนให้มาถ่ายรูปดีไซน์รองเท้าให้ แล้วหมอนี่ก็อวดชะมัดเลย ถึงขนาดพูดว่าเขาเป็นแค่คนเดียวที่สามารถถ่ายทอดงานศิลปะบนรองเท้าของพี่ฮีชอลออกมาอยู่บนเฟรมถ่ายรูปได้ อยากจะหมั่นไส้นะ แต่แฟนฉันน่ารักอ่ะ... ให้อภัยได้ในทุกกรณี

    “พี่ครับ ผมคยูฮยอนนะ” หมอนั่นเคาะประตูห้องที่มีป้ายแปะตัวเบ้อเริ่มว่า ‘CEO’ ก่อนจะทำท่าจะเปิดเข้าไป เฮ้ย! เค้ายังไม่ได้อนุญาต ได้ข่าว คยูฮยอนคงเห็นสายตาฉัน เขาเลยยิ้มขึ้นมาแล้วตอบ

    “พี่ฮีชอลเป็นงี้แหละ ถ้าเงียบน่ะแปลว่าโอเค แต่ถ้าไม่คงจะมีเสียงอะไรโครมครามดังออกมา”

    ฉันมองหน้ายูริที่คงเหวอไม่แพ้ฉัน ผู้ชายอะไร เหวี่ยงชะมัดยาดเลย... ว่าแล้วคุณหมาป่าก็เปิดเข้าไป

    “พี่ ตายรึยัง?”

    “สบายดีอยู่แถวๆ สวรรค์น่ะ” คิมฮีชอลตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดสเก็ตช์ เอ่อ... นี่เค้าทักกันยังงี้เหรอ

    “ได้ชุดเพื่อนเจ้าบ่าวแล้วป่ะ?”

    “ถ้าหาไม่ได้ฉันจะใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวไปงานแต่งแก” เอิ่ม... ในฐานะเจ้าสาวขอใช้สิทธิ์ปลดหมอนี่ได้ไหมอ่ะ

    ฉันเอาศอกกระทุ้งคุณว่าที่สามีให้รู้ตัวว่าที่มาเนี่ย ไม่ได้มาคุยสารทุกข์สุกดิบ แต่มาเพราะเรื่องควอนยูริที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆฉันนี่ต่างหาก

    “เอ่อ... พี่ฮีชอล ผมมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยน่ะ”

    “ถ้าเรื่องควอนยูริล่ะก็ ปล่อยให้เจ้าตัวพูดเองดีกว่ามั้ง?” ดวงตาคมๆคู่นั้นเงยขึ้นมองยูริเป็นครั้งแรกของวันนี้ แค่สายตาก็เชือดเฉือนซะจนฉันรู้สึกตัวเองหดเล็กลีบลงไปเหลือสองนิ้ว แต่ยูริกลับเชิดหน้าแล้วมองกลับด้วยสายตาหยิ่งๆไม่ต่างกัน

    “ฉันก็แค่คิดว่ามันจะดีกับเราทั้งสองฝ่าย ถ้าหากนายยอมเขียนคอลัมน์ให้ฉัน ข่าวเรื่องเรามีปัญหากันก็จะเงียบลง วินวินทั้งคู่”

    “มันวินกับเธอฝ่ายเดียวน่ะสิไม่ว่า ข่าวเรื่องที่เราไม่ถูกกันไม่ได้กระทบยอดขายฉัน แต่มันกระทบยอดขายเธอ” เอิ่ม อันนี้ตรงประเด็นแฮะ

    “โธ่ พี่... ถือว่าช่วยๆกันน่า ยูริน่ะ เป็นเพื่อนสนิทว่าที่ภรรยาผมเลยนะ” แหม ดูคุณหมาป่าเค้าใช้คำพูดเข้าสิ ยูริคงได้กระโดดเตะก้านคอฉันแล้วถ้านี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของธุรกิจยัยนั่น

    “ไม่ต้องมาเนียน ไอ้หมาป่า เพื่อนของแฟนแกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน”

    “เกี่ยวดิ ถ้าพี่ไม่ช่วย ผมจะไม่ถ่ายรูปให้พี่อีกแล้วนะ” คุณว่าที่เจ้าบ่าวเริ่มเล่นไม้แข็งแล้วแฮะ พี่ฮีชอลตวัดสายตามามองเขาทีนึงก่อนจะถอนหายใจแบบไม่สบอารมณ์

    “ฮึ่ย... แกนี่มัน... เอ้า! ฉันต้องทำอะไรก่อนล่ะ ว่ามาสิ”

    “ก่อนอื่นเราต้องหาทางแก้ข่าวเรื่องนี้ก่อน” ยูริพูดขึ้นมา ดูเพื่อนฉันจะค่อยโล่งอกหน่อยที่พี่ฮีชอลยอมช่วย ฝีมือที่รักของฉันล้วนๆเลยนะเนี่ย

    “ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็...” พี่ฮีชอลลุกขึ้นมาแล้วก็เดินพรวดๆเข้ามาคว้าข้อมือยูริเดินออกจากห้องไปเฉยเลย ฉันกับคยูฮยอนมองหน้ากันแล้วก็รีบวิ่งตามลงไป พี่ฮีชอลกำลังดึงยูริออกไปทางหน้าสตูดิโอ หวา~ ทำไมมีนักข่าวรอกันเต็มอย่างนี้ล่ะ ใครเป็นคนปากสว่างนะ มันน่าจับเชือดจริงๆ เราสองคนรีบเดินตามออกไปแล้วฝูงคลื่นนักข่าวก็กรูกันเข้ามาจนคยูฮยอนต้องโอบฉันไว้แน่น ตรงกลางวงล้อมนั่นคือพี่ฮีชอลที่ยังดูนิ่งจนน่าแปลกใจในขณะที่ยูริช็อคสนิทไปแล้ว

    “ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นนี่แหละครับ” สิ้นเสียงประกาศพี่ฮีชอลก็ดึงยูริเข้ามาแล้วก็จูบ...

    จูบ... เฮ้ย! จูบ! ดีพคิสด้วย!

    ฉันอึ้งไปแล้ว แต่คงไม่เท่ายูริที่เหมือนวิญญาณออกจากร่าง แล้วก็คงทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นถ้าพี่ฮีชอลไม่ได้โอบตัวเธอเอาไว้ เสียงชัตเตอร์วูบวาบ พร้อมกับเสียงฮือฮาดังขึ้น พี่ฮีชอลค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนสักนิดแม้กระทั่งตอนที่ลากยูริกลับเข้าไปในสตูดิโอแล้วปิดประตูตามหลัง ไม่สนใจคำถามร้อยแปดพันเก้าจากกองทัพนักข่าว

    ฉันก็ยังได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆอยู่อย่างนั้นจนคนข้างตัวพูดขึ้นมา

    “น่าสนใจนะเนี่ย...”

    “น่าสนใจอะไร เพื่อนฉันเพิ่งโดนขโมยจูบไปนะ!

    “หืม... ขโมยจูบงั้นเหรอ?” คยูฮยอนหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “ตอนที่ผมจูบคุณครั้งแรก คุณก็ทำสีหน้าประมาณนั้นแหละ”

    แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหนเนี่ย!

     

     

    นี่ฉันพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

    โอเค... ตั้งแต่ที่ฉันยอมให้พ่อนายแบบนั่นจูบใช่มั้ย?

    “เธอจะต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง ไปรับไปส่ง พาฉันไปกินข้าว อ้อ... แล้วก็อย่าเที่ยวไปอ่อยผู้ชายคนอื่นล่ะ ฉันเบื่อจะตามแก้ข่าวให้” ไอ้วิธีแก้ข่าวของคิมฮีชอลคือการจูบต่อหน้ากล้องและสื่อมวลชนเหรอ โอ๊ย!!! คนสวยอยากจะลงไปดิ้น แล้วไอ้คำสั่งที่ทำเหมือนฉันเป็นทาสนั่นมันอะไรกัน ฉันสั่งให้นายเขียนคอลัมน์แค่ห้าหน้าเองนะยะ! เดี๋ยวแม่ก็นั่งเทียนเขียนเองซะนี่!

    ...ทั้งหมดนั่นก็ได้แค่บ่นในใจ เพราะสายตาเชือดเฉือนของหมอนี่ทำเอาฉันกลัวว่าเกิดเขาบ้าเลือดแล้วบีบคอฉันตายต่อหน้านักข่าวนี่คงสนุกดีพิลึกล่ะ พลาดจริงๆนะ... ควอนยูริ

    แถมตอนนี้ทีมแบ็กอัพของฉันอันได้แก่ซันนี่และพี่คยูฮยอนก็สลายโต๋กลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้ว จะทำยังไงดีเนี่ย ฉันจะต้องอยู่ในเงื้อมมือซาตานคิมฮีชอลต่อไปจนหว่าจะถึงวันปิดต้นฉบับใช่ไหม?

    “เอ้า! นั่งบื้ออยู่นั่นแหละ! มาด้วยกันสิ” หมอนั่นเดินออกไปจากห้อง นี่คือไม่คิดจะขยายความใช่ไหมว่าจะไปไหน? แล้วฉันมาติดแหง็กอยู่กับเขาด้วยเหตุผลบ้าบออะไรเนี่ย

    โอเค! ไปก็ไปวะ!

    ฉันลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาไปทางด้านหลังของชูส์โฮลิค โห... หมอนี่ขับปอร์เช่อ่ะ ทำแค่ขายรองเท้านี่รวยขนาดนี้เชียวเหรอ

    “เปิดให้มันระวังๆนะ อย่าให้รถเป็นรอยเชียว” เขากำชับอีกรอบ ฮึ่ย...น่าหมั่นไส้จริงตานี่

    “นี่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?” ฉันหันไปถาม แล้วก็ทันทีเลย หมอนั่นหันมาจิกตาใส่ เชอะ! พูดดีๆก็ได้ “คุณฮีชอลจะพาฉันไปไหนเหรอคะ?”

    “จะรู้ไปทำไม?” เดี๋ยวแม่ก็ฆ่าหมกป่าข้างทางซะเลยนี่!

    คิมฮีชอลยังคงขับรถต่อไปพลางเปิดเพลงวิช่วลร็อคชวนแก้วหูแตกไปด้วย รสนิยมหมอนี่นี่สุดๆจริงๆ ปอร์เช่สีแดง เจร็อค สูทอาร์มานี่ถ้าเห็นเขาหิ้วกระเป๋ามาร์คเจค็อบส์นี่ฉันคงไม่แปลกใจเลย

    “ลง” ฮีชอลสั่งสั้นๆทันทีที่เลี้ยวรถเข้าจอดในสวนสาธารณะแห่งนึง อะไรเนี่ย? พาฉันมาที่สวนเพื่อ? แต่ก็นะ ถึงจะไม่รู้อะไรฉันก็ต้องลง เพราะหมอนั่นลงจากรถไปก่อนหน้าฉันแล้ว เขาเปิดกระโปรงรถทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่าง แล้วก็หยิบเอาถุงใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว พอฉันหันไปถาม หมอนั่นก็ส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้เงียบ

    “อยากเดินไปไหนก็เดิน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องถาม แล้วก็ไม่ต้องหยุด”

    เฮ้ย... นี่มันอะไรกัน? คือเอาแต่สั่งมาเป็นชุด นี่ไม่คิดจะมีคำอธิบายขยายความอะไรเลยเหรอ? ฉันหันไปมองหมอนั่นพลางเลิกคิ้ว แต่กลับได้คำตอบห้วนเหมือนเจ้าตัวหงุดหงิดที่อะไรก็ไม่ได้อย่างใจ

    “เดินไปสิ!

    ฉันเบ้ปากก่อนจะย่ำกระแทกส้นเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย ได้! อยากให้เดินใช่มั้ย? เดี๋ยวควอนยูริจัดให้ ไอ้รองเท้าที่ใส่อยู่ก็ฝีมือออกแบบของหมอนี่ด้วยสินะ แม่จะย่ำให้ส้นพังไปเลย! คิดแล้วก็ยิ่งกระแทกส้นเท้าลงกับพื้นปูน เป็นครั้งแรกที่นึกอยากแช่งให้ส้นหักส้นพังมันซะตรงนี้ แต่แทนที่เจ้าของผลงานจะเป็นเดือดเป็นร้อน หมอนั่นกลับทำแค่เดินตามมาห่างๆ ท่าทางอารมณ์ดีสุดๆ ทิ้งให้ฉันฮึดฮัดเป็นบ้าเป็นบอได้อยู่คนเดียว ฮึ!

    สุดท้ายพอรู้ว่าทำยังไงก็ไม่มีทางจะยั่งหมอนี่ขึ้นได้ง่ายๆ ฉันเลยเริ่มปลง ผ่อนจังหวะการเดินสบายๆพลางหยิบไอโฟนขึ้นมาฟังเพลงไปด้วยซะเลย จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ออกมาเดินเล่นแบบนี้ อากาศก็เย็นสบายกำลังดี แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าได้มาเดินในรองเท้าผ้าใบ ไม่ใช่ส้นสูงแหลมปรี๊ดเฉียดสี่นิ้ว ยิ่งช่วงที่พื้นขรุขระเนี่ยต้องอาศัยสกิลทรงตัวกันสุดฤทธิ์ เกิดเป็นผู้หญิงมันก็ลำบากยังงี้แหละค่ะ อยากสวยก็ต้องยอมลำบาก

    อีตาบ้าคิมฮีชอลยังคงปล่อยฉันเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่เขาทำแค่เดินตามฉันมาเงียบๆ ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้วนะแล้วรองเท้านี่ก็กัดฉันไปหมดแล้วด้วย เมื่อไหร่ฉันถึงจะหยุดเดินได้ล่ะ

    “พอได้แล้ว” เสียงของเขาพูดขึ้นมา แถมยังอยู่ใกล้ซะจนฉันตกใจ เขาพาฉันเขาไปนั่งที่ม้านั่งข้างๆ เพิ่งสังเกตว่ามือเขาถือสมุดสเกตซ์อยู่ด้วยแฮะ นี่หมอนี่เดินไปสเกตช์รูปไปหรือไง? แต่เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้เท้าฉันเจ็บไปหมดแล้ว ก็หมอนี่เล่นให้ฉันเดินเป็นชั่วโมงๆ ฉันเลยโดนรองเท้ากัดซะยับเยินเลย ฮึ้ย! ออกแบบยังไงให้รองเท้ากัดคนใส่นะ ฉันถอดรองเท้าสีแดงสูงปรี๊ดออกแล้วก้มลงไปนวดเท้าตัวเอง ปวดชะมัดยาดเลย

    “ใส่เสื้อคอลึกแล้วยังก้มลงไปยังงั้นอีก คนเขาเห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว” หมอนั่นทักเล่นเอาฉันรีบยืดตัวตรงขึ้นมาทันที

    “ก็ฉันปวดเท้านี่นา คุณนั่นแหละ ให้เดินตั้งเป็นชั่วโมง...”

    “งั้นนั่งเฉยๆก็พอแล้ว” หมอนั่นพูดขึ้น แล้วสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงสุดๆก็เกิดขึ้น เพราะคิมฮีชอลคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วค่อยๆถอดรองเท้าให้ฉัน

    คิมฮีชอล จอมเหวี่ยงคนนั้นเนี่ยนะ!

    มือของเขาบีบเบาๆบนฝ่าเท้า สัมผัสที่ฉันได้รับมันนุ่มนวลเกินกว่าที่จะเชื่อได้ว่ามาจากผู้ชายติสท์แตกที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง แต่เค้ากำลังนวดเท้าให้ฉันอยู่จริงๆ แถมยังแปะพลาสเตอร์ลงบนรอยแผลที่โดนกัดอย่างเบามือ

    “ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ? เอาคู่นี้ไปใส่แทนแล้วกัน” เขาหยิบของในถุงออกมา มันคือรองเท้าพลาสติกส้นเตี้ยคู่หนึ่ง แบบของมันเรียบๆ ไม่หวือหวา ไม่มีอะไรเลย เขาสวมมันเข้าที่เท้าของฉัน... สัมผัสนุ่มลื่นแม้จะไม่คุ้นชิน แต่ก็ยอมรับว่ามันสบายกว่าใส่รองเท้าส้นสูงเยอะเลย

    “ไป... กลับกันเถอะ ฉันไปส่ง” เขายิ้มขึ้นมาแล้วจูงมือฉันให้ลุกขึ้น เท้าฉันเหมือนจะหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรองเท้าพลาสติกคู่นี้ หรือเพราะสัมผัสอุ่นๆจากมือของผู้ชายที่ชื่อคิมฮีชอลกันแน่...

     



     

     

     

     

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×