ลาก่อน เปียกปูน - ลาก่อน เปียกปูน นิยาย ลาก่อน เปียกปูน : Dek-D.com - Writer

    ลาก่อน เปียกปูน

    แด่เพื่อน 4 ขา ที่จากไป~

    ผู้เข้าชมรวม

    345

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    345

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ส.ค. 54 / 19:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
                            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ครอบครัวของผู้เขียนมีให้กับสุนัขตัวหนึ่งที่ ชื่อ เปียกปูน ที่จากไป เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554

                                                                            ด้วยรักและผูกผัน
                                                                                     ฉันจะไม่ลืม!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย ความเศร้าก็กลับมาอีกครั้ง มีเพียงข้าวตูเท่านั้นที่วิ่งออกมารับ ปราศจากร่องรอยของหมาไทยสีน้ำตาลที่ชื่อว่า เปียกปูน อีกแล้ว ไม่มีอีกแล้วดวงตาที่ออดอ้อนเกินหมาของมัน ไม่มีอีกตลอดไป...
      เข้าบ้านครั้งนี้ง่ายกว่าปกติ เพราไม่ต้องกลัวเจ้าหมาเปียกปูนวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วต้องวิ่งไล่จับเข้าบ้านจนเหนื่อยหอบ แต่ว่า...หัวใจของฉันก็รู้สึกแปลกๆ น้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลอย่างห้ามไม่อยู่ เข้ามาในบ้านก็พบกับกรงหมาคู่ กรงเหล็กที่ขึ้นสนิมเล็กน้อยเปิดอ้าอยู่ ในกรงมีกะละมังสักผ้าสีดำ ที่โดยปกติแล้วจะมีหมาตัวหนึ่งนอนอ้วนเอาคางเกยขอบกะละมังอยู่  ชามสแตนเลสที่ปกติจะมีอาหารที่ตั้งใจทำจากอาม่าใส่ไว้ก็ไม่มีแล้ว ภาพตอนเปียกปูนกำลังกินข้าวแวบเข้ามาจนต้องเบื้อนหน้าหนี
      ฉันตั้งใจจะเขียนบันทึกความทรงจำที่เคยได้เลี้ยงเพื่อน 4 ขาตัวนี้เอาไว้ ด้วยความสามารถของนัก(พยายาม)เขียน ที่มีอันน้อยนิดของฉัน เล่าเรื่องราวทั้งหมดของมันไว้ เพราะฉันกลัวว่าฉันจะลืมมันไป มีหนังเรื่องหนึ่งเคยพูดว่า “ไม่ลืมไม่มี มีแต่ลืมช้ากับลืมเร็ว” บางทีการเขียนบันทึกเรื่องนี้ ก็อาจจะช่วยยืดระยะเวลาที่ฉันจะลืมเปียกปูนให้ห่างออกไป ห่างออกไป ถ้าเป็นไปได้ฉันต้องการที่จะไม่ลืมมันเลยตลอดชีวิต!
      ฉันได้เปียกปูนมาเลี้ยงเมื่อราวๆสามปีก่อน ตั้งแต่ยังไม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านใหม่ที่ในตอนนั้นกำลังก่อสร้างอยู่กลางดงที่ค่อนข้างเปลียว แม่และอาม่าจึงตัดสินใจว่าควรจะเลี้ยงหมาสักตัวเอาไว้เฝ้าบ้าน ฉันรู้สึกดีใจเกินบรรยาย ด้วยความที่เป็นคนชอบสัตว์โดยเฉพาะหมาและอยากเลี้ยงมาตลอด แต่พื้นที่ที่บ้านไม่อำนวย (เพราะบ้านเก่าของฉันเป็นทาวน์เฮ้าส์ที่ค่อนข้างเล็ก) เลยทำให้ฉันไม่ได้เลี้ยงมัน ฉันมีโอกาสเพียงไปขอบ้านข้างๆที่เข้าเลี้ยงหมาอุ้มเล่นเท่านั้น ซึ่งทุกครั้งที่ฉันกับมาบ้านหลังจากเล่นกับหมาเสร็จแม่จะต้องดุทุกครั้ง ตอนนั้นฉํนไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมแม่ถึงรู้ อุตส่าห์ระวังอย่างดีแล้วเชียว แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า กลิ่นหมามันแรงมากจริงๆ หลังจากที่ตกลงปลงใจที่จะเลี้ยงหมาแล้วอาม่าก็ไปขอหมาที่ร้านอาหารหมาแห่งหนึ่งซึ่งเขาให้หมาสำหรับผู้ที่อยากเลี้ยงจริงๆ เขาวัดจาความมีเมตตาและรักหมาจริงๆ อาม่าพอรู้จักกับเจ้าของร้านบ้างเพราะ ต้องซื้ออาหารให้กระต่าย เจ้าต๊อกแตก ที่ร้านนี้เป็นประจำ ไม่กี่วันเราก็ได้เจ้าลูกหมาตัวผู้ อายุราวๆ 2 เดือนกว่าๆ เป็นหมาพันธุ์ไทยหลังอานผสมกับลอตไวเลอร์ อาม่าให้ฉันเป็นคนอุ้มมันมาที่บ้าน โดยความเชื่อที่ว่าใครอุ้มนิสัยหมาก็จะเหมือนคนนั้น พวกเราหวั่นๆกันอยู่ว่า เจ้าลอตไวเลอร์ลูกผสมเนี่ยมันจะดุเกินกำลังของพวกเรารึเปล่านะ เพราะหน้าของมันตอนนั้นเป็ฯลอตไวเลอร์ชัดเจนมากจนแอบกลัว แม่ให้ฉันตั้งชื่อ เจ้าหมาตัวน้อยนี้ ด้วยความที่สีขนส่วนใหญ่เป็นสีดำของมัน แม้จะมีน้ำตาลบางตรงริเวณหน้า กับตัว และมีสีขาวแค่ตรงปลายห่างเหมือนใครแอบเอาหางมันไปจุ่มสีขาว ฉันเลยตั้งชื่อมันว่า เปียกปูน ดำสมชื่อเชียว พอเอามันกลับมาที่บ้านก็เรียกได้ว่าเราเชิญความวุ่นวายเข้ามาด้วย เพราะเจ้า “หมาเด็ก” ที่อาม่าเรียกนี้ มันซนได้เรื่องที่เดียว รื้อนู่นขุยนี้เป็นว่าเล่น แถมพอตกดึกหน่อยก็ร้องโยเย อาจเป็นเพราะมันคิดถึงแม่กับพี่ๆน้องๆของมันก็ได้ ที่นอนของมันคือห้องครัวซึ่งเป็นทางผ่านไปห้องน้ำ เวลาฉันเข้าห้องน้ำเมื่อไร มันจะต้องแหกปากทุกครั้ง หรือบางทีไม่เข้าก็ไม่ร้อง แต่ถ้ามันร้องปุบ เราก็ต้องคอยนั่งกล่อมจนมันหยุดร้องและหลับไปถึงจะได้ไปนอนบ้าง เพราะเกรงใจเพื่อนบ้านที่อาจจะแอบด่าอยู่ในใจ นอกจากนี้มันยังปีนเก่งอีกด้วย มันเคยปีนถุงที่ใส่ขวดน้ำอยู่ ขึ้นมาดูพวกเราที่หน้าต่าง แล้วส่งเสียงโวยวาย แล้วก็เอียงหัวน้อยๆของมัน ท่าทางสงสัย มันน่ารักมาก น่ารักมากจริงๆ แต่ด้วยความที่มันวุ่นวายมากจริงๆ แถมหน้าตามันก็ดูน่ากลัว ด้วยความเป็นลอตไวเลอร์ของมัน แม่กับอาม่าก็พูดว่าจะเอาไปคืน ฉันเลยบอกแม่ว่า จะเอามันไปคืนทำไมเลี้ยงมันมาขนาดนี้แล้ว แต่ไอ้เราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อ แต่ผลสุดท้ายไม่ได้เอาไปคืนหรอก เพราะคนพูดคนเลี้ยงไม่ยอมเอาไปคืนเอง
      ไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้นเราก็ย้ายมาอยู๋บ้านใหม่ซึ่งเป็นบ้านเดียวและมีที่ให้มันวิ่งเล่นมากขึ้น มีศาลา มีชิงช้า ซึ่งตั้งใจซื้อไว้ให้คนนั่งแต่สุดท้ายหมานั่งแทน แถมกวนคนเวลานั่งด้วย ไม่นานเปียกปูนก็มีอายุครบเวลาทำหมัน แม่และอาม่าตัดสินใจเอามันไปทำหมัน เพราะกลัวตอนมันเป็นสัดจะติดหญิงจนหนีไปแล้วโดนเขาเอาไม้ตีเจ็บตัวอีก ถึงแม้จะแอบค้านอยู่ในใจบ้างแต่เราก็กลัวว่าเปียกปูนจะเป็นอย่างที่คิดก็เลยต้องยอมให้อาม่าและแม่พาไป ซึ่งวันที่พาไปมันเราได้ไปด้วย เพราะรู้ตัวว่าคงทนดูไม่ไหว พอกลับมาจากทำหมัน ตอนที่กำลังฟื้นจากยาสลบนั้น มันน่าสงสารเอามากๆ ฉันทำใจไม่ได้อีกแล้ว ดูเหมือนคนขี้แงไงไม่รู้ แต่ไม่นานเปียกก็หายเป็นปกติ ทุกอย่างเรียบร้อยไม่เป็นปัญหา
      เรื่องเจ็บตัวของเปียกปูนมีอีกมาก ครั้งหนึ่ง มันเคยโดนงูกัดตรงใกล้ๆปาก เพราะว่าไม่รู้จักงูแล้วเอาจมูกไปดมงูเข้า งูเลยทักทายด้วยการฉกปากหนึ่งที! ตอนนั้นพวกเราตกใจกันใหญ่ ปากของเปียกปูนบวมตุ้ย บวมจนน่าสงสาร ฉันรีบโทรไปหาหมอทันที หมอบอกว่าถ้าเป็นงูปกติไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นงูเห่าต้องมารับวัคซีน แต่โชคดีที่ เป็นงูเขียวหางไหม้ ไม่ใช่งูเห่า ปากตุ้ยอยู่ราวๆ อาทิตย์ก็หาย แล้วล่าสุดก็มียางอะไรสักอย่างเข้าตา เกือบเลี้ยงหมาตาบอดแล้วเชียว
      เปียกปูนเป็นหมาขี้อ้อนมาก จากที่เมื่อก่อนคิดว่าจะดุ แต่ก็ไม่เท่าไรยิ่งโตจากเค้าโครงที่หน้าเหมือนลอตไวเลอร์ นานไปๆ ยิ่งเป็นหมาวัด(หมาไทย) ขึ้นทุกที แต่ต่างตรงที่ว่าร่างใหญ่กว่าเท่านั้น เวลาที่มีคนมาที่บ้านจะกลัวเปียกปูนมาก เขาบอกกันว่าเปียกปูนตัวใหญ่ ซึ่งในความคิดของเจ้าของก็เฉยๆนะ ไม่ใหญ่เท่าไร แต่ด้วยความหวงของของมัน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือแม้กระทั่งคนในบ้านเอง ทำให้มันยิ่งดูดุ มันจะเห่าเสียงดังและทำหน้าตาอาฆาตมาก ซึ่งมันดูน่ากลัวมากโดยเฉพาะสำหรับคนอื่น แต่ใครจะรู้ว่าไอ้เจ้าหมาตัวเนี่ยมันขี้อ้อนจะตายไป คนนั่งตรงไหนนั่งตรงนั้น ประจบก็ที่หนึ่ง คนนั่งชิงช้า เจ้านี้ก็นั่งด้วยนั่งอย่างเดียวไม่พอเลียเก่งเสียด้วย เลียจนแขนเปียกคิดเอาเถอะ บางทีถ้าเผลอๆก็เลียหน้าเลียปาก ตรงกับสำนวนเล่นกับหมาหมาเลียปากจริงๆ บางครั้งฉันก็รำคาญมาก จนบางทีก็ดุมัน ผลักหน้ามันบ้าง ลุกหนีมันบ้าง แต่มันก็ไม่เคยโกรธมันก็ยังวิ่งตามฉันอยู่ดี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ถ้าเลือกได้ฉันยอมให้มันกับมาเลียฉันเลียจนเป็นขี้กลากฉํนก็ยอม ถ้าสามารถนำเอามันกลับมาได้ แต่เป็นไปไม่ได้แล้ว บางทีมันก็จะสะกิดฉันบ้าง แล้วก็ชอบให้ลูบหัว พอลูบปุบสายตาของเปียกปูนก็จะขี้อ้อนมาก ตาจะใส่วิ๊งๆ บางทีก็จะวิ่งคาบลูกบอลมาให้เล่นด้วยบ้าง ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนจะมีเปียกปูนเดินไปเป็นเพื่อนตลอดทุกที
      นอกจากขี้อ้อนแล้วเปียกปูนรักสะอาดมาก เวลาที่ดินเปียก เปียกปูนจะไม่ลงไปย้ำเด็ดขาด แล้วเปียกปูนจะไม่อึไม่ฉี่เรียราด จะเป็นที่เป็นทาง หรือบางครั้งจะไปแอบๆตามมุมตามหลืบที่ไม่ค่อยมีคนเห็น แต่เสียอย่างเดียว ไม่ยอมอาบน้ำ การอาบน้ำเป็นสิ่งที่เปียกปูนไม่ชอบที่สุดในสามโลก ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ มันจะควรครางและไม่เป็นสุขทุกครั้งที่อาบน้ำ ซึ่งฉันรู้ดี แต่ทำอย่างไรได้ ถ้าไม่อาบมันก็จะเน่าแล้วก็สกปรก เชื้อโรคก็เยอะขึ้น แต่หลังๆมากนี้ก็ไม่ได้อาบให้เลย เพราะสงสารมันและหมดปัญญาด้วย 
      ปกติที่บ้านจะไม่ให้หมาเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นอะไรที่ขัดใจเปียกปูนมาก เปียกปูนจะหาโอกาสเข้าบ้านทุกครั้งที่ทำได้ โดยเฉพาะเวลาขนน้ำ ขนน้ำคือการเอาน้ำจากตุ่มขึ้นเข้าบ้านซึ่งจำเป็นจะต้องเปิดประตูข้างไว้ เปียกปูนก็จะเสนอหน้าก้าวเข้ามาในบ้านอย่างน้อยสองสามก้าวก็ยังดี เป็นความสุขแล้วสำหรับเปียกปูนที่ได้เข้าบ้านแม้สองก้าวก็ตาม
      นอกจากนี้เปียกปูนก็ชอบนอนกะละมัง ชอบนอนมาก เวลาที่อาม่าจะซักผ้าแล้วเอากะละมังมาวางที่พื้นเปียกปูนจะลงไปนอนทันที “แล้วอาม่าก็จะบอกว่าไม่ใช่กะละมังของหนูลูกเปียกปูน” ฉันยังจำได้ว่าเมื่อสองวันที่แล้วอาม่ายังพูดแบบนี้กลับเปียกปูนอยู่เลย แต่มันคงมีแค่ในความทรงจำแล้วสินะ
      เรื่องอาหารการกิน เปียกปูนกินได้ทุกอย่าง แต่เวลากินเปียกปูนจะไม่กินแบบตะกละตะกาม เปียกปูนจะค่อยๆดมก่อนแล้วค่อยเลียแล้วค่อยกิน ผิดกับข้าวตูที่ตะกละตะกลามกว่ามาก ฉํนชอบกินมะกอกฝรั่งจิ้มพริกเกลือมาก เปียกปูนก็นั่งมองเหมือนอยากกิน ฉันเลยให้มัน แต่มันไม่ยอมกินที่แรกมันมองเหมือนประมาณว่ายังไม่ได้จิ้มพริกเกลือให้เลย แล้วก็ส่ายหาง ฉันเลยบอกว่าจิ้มไม่ได้เผ็ดมันถึงจะกิน นอกจจากนี้เปียกยังชอบกินมะม่วงด้วง มะม่วงมันเช่นเขียวเสวยกินใหญ่เลย
      อย่างที่บอกว่า มันอยู่กับฉันทุกทีเมื่อฉันอยู่นอกบ้าน ไม่ว่าฉันจะอ่านหนังสือ ฟังเพลง วาดรูป หรือแม้แต่เล่นกีตาร์และร้องเพลงที่ห่วยที่สุดในโลก มันก็ยังนั่งฟังอย่างตั้งใจ บางทีที่ฉันร้องไห้ก็มีเปียกปูนนี้แหละที่เคียงข้างและได้เห็นน้ำตาของฉํนชัดกว่าใครในบ้าน แล้วต่อจากนี้ล่ะ ฉันจะร้องไห้ให้ใครฟัง ใครจะฟังเพลงห่วย การเล่นกีตาร์ห่วยๆของฉัน 
      ฉันไม่รู้ว่ามันตายเพราะอะไร ฉันโทรถามหมอ ตอนนั้น้ำลายมันไหลไม่หยุดแล้วมันก็หายใจแรงมาก ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไร หมอบอกว่าอาจจะโดนพิษคางคกหรือสารเคมี ฉํนคิดว่าน่าจะเป็นพิษคางคก หมอบอกว่างั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย เปียกปูนก็ยังพอเดินได้ จนถึงต้องสิบเอ็ดโมง ฉันลงไปหามัน มันยังมานอนหนุนตักฉันอยู่เลย ใครจะรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะมานอนหนุนตักฉัน ใครรู้ว่ามันสั่งลาฉัน ฉันก็ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมไปเรียนตามปกติ อาม่าเองก็ทำงานบ้านต่อ พอตอนใกล้บ่าย ฉันจะไปมหาวิทยาลัย อาม่าลงไปดูมัน จู่ๆอาม่าก็ตะโกนเสียงดังว่า “เปียกปูนตายแล้ว! เปียกปูนตายแล้ว” ตอนนั้นคิดว่าอาม่าพูดเล่น เลยตะโกนลงไปว่า “พูดเล่นรึเปล่า?” แต่น้ำเสียงของอาม่าไม่ใช่การพูดเลน ฉํนรีบวิ่งลงไปดูทันที ก็พบกับร่างของมันที่นอนแข็งถื่อ ตามันไม่มีแววแล้ว ตอนนั้นฉันก็ยังโง่ถามว่า “มันไม่หายใจแล้วหรอ?” อาม่าเลยตอบย้ำมาว่า “มันตัวเย็นไปแล้ว” เหมือนมันยังชาๆอยู่ ฉันปลอบอาม่าทั้งที่น้ำตาไหลว่า “ไม่เป็นไรเปียกปูนไปเกิดเป็นคนแล้ว” ก่อนจะออกไปมหาวิทยาลัย ฉันก็ปามันเป็นครั้งสุดท้าย ขอบคุณทุกสิ่ง และขอโทษทุกอย่างที่ได้ทำกับมัน แล้วก็ขอให้มันไปดี แล้วฉันก็ขี่รถออกไป เหมือนรู้สึกช้า ขับรถออกมาน้ำตาไหลพราก ยิ่งนึกถึงตอนมันหนุนตักยิ่งเศร้า ทำ/มถึงโง่ขนาดนี้นะ หมาจะตายยังไม่รู้เลย อาม่าเล่าว่าตอนเช้ามันเดินมาหาอาม่าแล้วทำตาเหมือนจะร้องไห้ แล้วก็นอนลงไป อาม่าตกใจมาก แล้วตอนอาม่าสักผ้ามันก็เดินไปนอนข้างอาม่าซึ่งปกติแล้วเปียกปูนไม่ชอบที่เฉอะแฉะ ทั้งๆที่เปียกปูนพยายามจะบอกลาแล้ว ทำไมถึงไม่รู้นะ! 
      อย่างไรก็ตาม เปียกปูนไปสบายแล้ว พวกเรายังเศร้าอยู่มาก แม่เองพอรู้ว่าเปียกปูนตายก็ช็อกเหมือนกัน แล้วแม่ก็ร้องไห้ เมื่อก่อนแม่ไม่ชอบหมาเลย แต่พอเลี้ยงเปียกปูนแม่รักหมามาก แม่ร้องไห้ให้เปียกปูนซึ่งแม่ไม่ใช่คนร้องไห้บ่อยๆ และที่เศร้าที่สุดคงเป็นอาม่าซึ่งเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือ ให้ข้าวให้น้ำ ดูแลมาตลอด ไอ้ข้าวตูเองก็คงจะเสียใจด้วยที่อยู่พี่ชาย เพื่อนเล่นของมันก็หายไป เหลือแค่มันตัวเดียว
      ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้วว่ามันอายุไม่ยืน แต่ว่า 3 ปี อายุมันสั้นไปรึเปล่า? มันเร็วเกินไป แล้วตายเพราะอะไรก็ไม่รู้ แล้วเป็นตอนเช้าตายตอนบ่าย มันไม่เร็วเกินไปหรอ? ถ้าบอกว่าไม่เสียใจก็คงโกหกแน่ๆ 
      เปียกปูน พี่เขียนบทความนี้ให้แก่โดยเฉพาะเลยนะ ไปสู่สุขคติ พี่เขียนให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กันเหมือนครอบครัว เหมือนเพื่อนสนิท ถึงแม้จะต่างชาติพันธุ์ก็ตาม เรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่าหมามาเป็นเพื่อนพี่น้องกับคนได้ หรืออาจจะมองว่าไอ้คนเขียนมันบ้าก็ได้ 
      ภาพหน้าจ่อยังเป็นรูปแกอยู่หมาน้อย ชิงช้าก็ยังอยู่ ศาลาก็อยู่ที่เดิม แทงก์น้ำที่แกชอบไปนอนใต้นั้นก็ยังอยู่ กรงก็ยังอยู่ กะละมังก็ก็อยู่ ทุกอย่างยังอยู่ครบ มีเพียงแกเท่านั้นที่ไม่อยู่แล้ว…ไม่อยู่แล้วตลอดไป บาง 
      หมาตัวแรกของฉัน พวกเราจะอาลัยและคิดถึงแกตลอดไป.....เปียกปูน   

         

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×