ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Girlfriend [สไปรท์xของขวัญ] Hormones (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #13 : Hormones' Part : 01

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.27K
      21
      20 ส.ค. 56




     





     

    15:20

     

     

     

     

    โอ๊ะ นั่นไผ่นิ

     

    สาวหน้าสวยมองตามแผ่นหลังของคนตัวสูงที่เดินนำอยู่ไม่ไกล ดูท่าแล้วจะกลับบ้านนั่นแหละ หวั่นแปลกๆในคดีร่วมกับไอ่คุณวินในห้องน้ำที่น้องคนสนิทของแฟนเธอดันแจ๊กพอตเจอเต็มๆ เลยเดินตามไปเห็นไผ่หยุดอยู่หน้าป้าขายกาแฟเลยทำเนียนไปยืนข้าง ยื่นเงินตัดหน้าจ่ายค่ากาแฟให้ เอ่อ..เรียกว่าค่าปิดปากได้ไหมนะ ถูกไปไหมเนี่ย ไผ่ดูงงอยู่นะเลยยื่นเงินคืนให้แต่เธอไม่รับ

    “ไม่ต้องหรอก ทำไมเธอไม่บอกพี่เป๊กหล่ะ เรื่องที่เธอเห็นตอนเปิดเรียน”

     

    “ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเรานิ”

    ประโยคสั้นๆด้วยเสียงสุดห้วนที่เขาหมายความแบบนั้นจริงๆแปลกดีที่เขาไม่ขี้ฟ้องเหมือนคนอื่น
    หรือยังไงเธอก็ไม่รู้หรอก รู้แค่ว่ามันรู้สึกแปลกๆ โล่งใจหรอ คงจะเป็นแบบนั้น

    “โอเค...เราเข้าใจแล้ว ยังไงก็

     

    ขอบคุณนะ

    หางตาเหลือบมองคนข้างตัวเห็นเขาขมวดคิ้วข้างหนึ่งมองมาอย่างงงๆก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
    ยืนรอป้าชงกาแฟที่ไม่รู้ทำไมเธอถึงนึกให้ทำหกซักทีเผื่อว่าจะยืดเวลาแบบนี้ไปได้อีกซักนิด

     

     

    เฮ้ยมึง!!!!

    ผลั่ก!

    กว่าจะรู้ตัวไผ่ก้มล้มหงายจนเธอร้องอย่างตกใจ
    ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งมองร้องขอความช่วยเหลือเมื่อไผ่โดนไอ่กลุ่มที่มันเคยขอไลน์เธอรุมกระทืบไม่ยั้ง  


     

    ปี๊ด! ปี๊ด!


     

    พี่ยามวิ่งชี้หน้าพวกเด็กเหลือขอที่มันวิ่งแตกกระเจิงกลับถิ่น
    ปล่อยให้ไผ่ร้องโอดโอย หน้ายับที่เธอทำได้แค่พยุงอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก

     

    ***


     

     

    “โห ไอ่เชี่ยมันทำน้องกู! จะเอาพวกแม่งให้เละเลย!!

    “ผมก็เอาด้วยพี่”

     

    ตามด้วยเสนอตัวร่วมแก้แค้นกับยกทีม 
    สไปรท์ตัวเซเข้าซบไหล่หนาเมื่อพี่เป๊กโอบไหล่เธอ พี่เค้าถามอีกว่าเธอเป็นอะไรรึเปล่า ด้วยความเป็นห่วงอืม....เธอคิดว่าเป็นแบบนั้นนะ
    ส่ายหน้านิดๆ

     

    “แค่ตกใจนิดหน่อยหน่ะ”

     

    แค่นั้นที่ตอบแต่สายตาจับจ้องหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลของคนที่ยกเหล้าขึ้นจิบ อีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้

    มันเหมือนกับตอนที่ยังมีของขวัญเลย

     

    นานแค่ไหนเธอขี้เกียจดูเวลา แต่มันก็นานพอที่จะทำให้ทุกคนหมาหลับมันหมด ทิ้งให้เธอนอนหนุนแขนพี่เป๊กทั้งที่ตายังลืมในความมืด อากาศในห้องมันเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่ลมที่พัดผ่านเข้าจากบานเลื่อนระเบียงที่แง้มไว้มันเรียกความสนใจได้ถึงขนาดที่เธอเลือกที่จะขยับออกจากผ้าห่มผืนเดียวกันที่ใช้ร่วมกับพี่เป๊ก เดินอย่างระวังข้ามผ่านพวกที่นอนเกลื่อนอยู่ไปเปิดบานเลื่อนให้กว้างขึ้นเพื่อแทรกตัวออกไปยืนเคียงข้างคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง

     

    ไผ่หันมามองแต่ก็หันกลับเหมือนไม่ได้สนใจ

    “ทำไมไม่นอนพักหล่ะ”

    เขาเหลือบมาเพียงนิด

    “ก็ไม่ได้ป่วย”

    ...

     

     

    แล้วเราก็เงียบจนเธอเริ่มรู้สึกเบื่อ เห็นไอ่ของเซ็งกะบ๊วยที่เห็นพี่เป๊กกับพวกชอบที่จะดูดมันนักหนาจึงดึงมาจากมือเขา  สูบไปฝืดใหญ่แล้วต้องไอ่ค่อกแค่กสำลักควัน ยื่นส่งคืนไผ่ที่มองมาเหมือนจะงงกับพฤติกรรมแปลกๆของเธอ “ช่วยหรอ?”  เขารับคืนมองมันพลางเพยิดหน้านิดๆ “อืม...มั้ง”

     

    ....

     

     

    อีกแล้ว บางทีไผ่อาจจะเป็นคนพูดน้อยหรือมนุษย์สัมพันธ์ติดลบ แต่จะไปว่าแบบนั้นก็ไม่ได้ นี่เธอยังงงตัวเองอยู่เลยว่าดันเกินนึกคึกอะไรถึงได้ชวนเขาคุยแถมยังอยู่กันสองต่อสองทั้งที่ไอ่พี่เป็กนอนตายอยู่ในห้อง อีกครั้งที่เธอชวนคุยแต่เขาก็ตอบแค่เพียงอืม ไม่ก็ประโยคห้วนๆทำเอาชักจะนึกไม่ออก คิดหาคำถามที่มันสานประโยค หรืออารมณ์ให้มันยืดยาวได้

     

    สไปรท์มองขึ้นด้านบนเป็นไม่สนใจเขา เอนตัวทิ้งน้ำหนักลงกับแขนที่เท้าราวระเบียงอยู่

    “ไผ่ว่า...  เราน่ารักเมะ”

    ได้ผลทันที เขาหันมองเหมือนงงในคำถาม ดูอ้ำอึ้ง “ก็.....ก็ดี”

    “โหยไม่เอาดิ แบบนี้ไม่หนุกเลยอะ”

     

    สไปรท์บ่นงึมงำ มองเรียวหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มที่แค่ยิ้มแหยๆให้ถอนหายใจ ไล่สายตาเรื่อยจนจรดเข้าที่มือทั้งสอง ไม่รู้ทำไมสัมผัสอุ่นวาบที่ผิวแก้มมันร้อนขึ้นราวกับเรียกร้องให้กอบกุมอย่างที่เคยทำมันกลับทำให้เธอเลือกที่จะดึงมือเขา เข้ากุมผิวแก้มเธอไว้แม้ว่าไผ่ยังจะดูตกใจในการกระทำของเธออยู่บ้าง อืม...มันรู้สึกดี แต่ถ้าจะให้เทียบ เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเท่ากับ ขวัญ รึเปล่า

     

    แล้วทำไมต้องเอาไปเทียบด้วยหล่ะมันไม่จำเป็นเลยซักนิด คนตรงหน้าตะหากที่เธอควรให้ความสนใจ

    สไปรท์เลื่อนมือเข้ากุมใบหน้าไผ่ไว้ ช้อนตามองใบหน้าที่มันแดงลามไปถึงหูได้อย่างน่าตลก
    เผยอปากเพื่อเอ่ยแค่แผ่วแต่มันดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มคล้อยตามเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้จนกลายเป็นว่า
    …..
     

    “ทีนี้ตอบได้รึยัง ว่าเราสวยไหม”

     

     

     

     

     

     

    เรานั่งจูบกันอยู่ในห้องน้ำแคบๆนั่นเกือบทั้งคืน

     

     

    **





     

    เอาหล่ะ

     

    เธอคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าข่าวมันไปเร็วแค่ไหน ต้องนับถือความเร็วไวไฟของโรงเรียนจริงๆที่ทำให้ความโด่งดังของเธอเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกแล้ว อืม...ตั้งชื่อตอนว่า 'ชีวะ ห้องพิศวง'ดีไหมนะ

     

     

    เข็ดหรอ?   ไม่อะ

     

    วันนี้ก็วันครูแล้วหล่ะมันเป็นช่วงงเย็น แต่นักเรียนกึ่งจะหลังห้องอย่างเธอคงไม่ได้มีบทบาทอะไร
    คอยพูดตามเป็นหมาว่าง่ายตามคุณประธานเหมือนทุกปีนั่นแหละ ยืนเข้าแถวรวมกับเพื่อนห้องเดียวกันแล้วเผลอกุมแก้มข้างที่มันยังแสบนิดๆจากเรื่องเมื่อเช้า


     

    .


     

    .

    .

     

    เด็กหนุ่มวิ่งตามเส้นทางคุ้นเคยมีที่หมายเป็นเหลือบใช้สูบบุหรี่ระหว่างตึกเรียน
    เร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อจุดหมายใกล้เข้ามาให้ทันพอที่จะเห็นภาพ
    ....

     

     

    เพี๊ยะ!!!

     

    “พี่เป๊ก!

     

    สไปรท์ล้มกองกับพื้น

    ไผ่เรียกรุ่นพี่อย่างตกใจเมื่อภาพเด็กสาวล้มกองกับพื้นมันยิ่งทำให้ขาวิ่งไปยืนขวาง บอกให้เขาใจเย็น


    “มึงยังมีหน้ามาบอกให้กูใจเย็นหรอ เป็นมึงมึงจะทำยังไง!ถ้าแฟนมึงไปมั่ว!! ไปอ่อยให้ผู้ชายเอา”

    ไผ่ส่ายหน้า

    “ไม่ใช่ครับพี่ พี่เป็นพี่ที่ผมเคารพที่สุด แต่พี่อย่าทำอะไรสไปรท์เลย

     

    สไปรท์เงยหน้ามองไผ่อย่างไม่เชื่อหู ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไร เหมือนเขาจะเปิดปากราวกับจะสารภาพอะไรให้แฟนโมโหร้ายของเธอรับรู้ แต่เสียงของเพื่อนร่วมก๊วนไผ่ดังขึ้นจังหวะด้วยการลากคู่คดีของเธอผลักกลิ้งกระแทกพื้น

     

    “ได้ตัวมาแล้วครับพี่เป๊ก” พี่เป๊กเดินไปตบหัวมัน เผยิดหน้าให้พวกน้องรุมซึ่งพวกหัวเกรียนก็ทำตามอย่างเต็มใจ
    รุมกระทืบตี๋ที่ได้แต่ร้องขอให้หยุดดูน่าสมเพช จนเธอทนไม่ไหว “หยุด
    !!!

     สไปรท์ดันตัวขึ้น ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพี่เป็ก

     

    “ไอ่ตี๋มันไม่ได้ทำ

     

     

    มันไม่มีถุงยาง

    จบประโยคคนรักอารมณ์ร้ายจ้องหน้าเธออย่างไม่อยากจะเชื่อหู ชี้หน้าอย่างอดกลั้นอารมณ์

    แรดนะมึง! ไม่ได้เอากับผู้ชายเพราะไม่มีถุงยางเนี่ยนะ!! อย่าคิดว่ากูรักมึงมากขนาดที่มึงจะทำอะไรแบบนี้ก็ได้นะเว้ย”

    ทิ้งคำพูดเจ็บแสบก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป

     

    .

     

    .

    .
     

    ..

     





     

    จนถึงตอนเย็นหน้าเธอมันชาอยู่เลย เจ็บหน่ะใช่ แต่อายมากกว่า

     

     

     

    ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตรานุสาสกา
    ข้าขอประณตน้อมสักการ
    บูรพคณาจารย์
    ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา


     

    เสียงบทสรรเสริญพระคุณครูดังก้องไปทั้งลานอเนกประสงค์ที่สภาพไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาซักเท่าไหร่
    ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมต่างแค่การเติบโตของนักเรียนและประสบการณ์ที่เพิ่มพูนของครูบาอาจารย์ที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลง

    บทร้องจบไปแล้วและลำดับต่อไปคือการถวายพานให้ครูโดยตัวแทนของแต่ละห้อง งานแบบนี้มันน่าเบื่อจะตาย
    มีแต่เด็กเนิ้ดบนเวที เออะ....เว้นนายหัวเหลืองนั่นไว้ซักคนแล้วกัน ไอ่นี่ทำตัวเด่นอีกละ แต่พานมันเจ๋งดีแหะคิดได้ไง

     

    นักเรียนตัวแทนเดินเข่าเรียงแถวไปหน้าครูส่งพานแสดงความซึ้งในพระคุณที่ถึงแม้นักเรียนนักสิบจะอยู่ปนกันบนเวทีแต่กลับมีแผ่นหลังเพียงแค่คนเดียวที่ตรึงสายตาเธอได้อีกเช่นเคย

     

    ของขวัญยังคงยิ้มแย้มและเป็นที่เอ็นดูของครูเสมอ ถึงแม้เวลามันจะผ่านไปถึงสองปีแต่เธอกลับคิดว่าของขวัญไม่ได้ดูเปลี่ยนไปซักนิด นอกจากผมที่เกล้าหางม้ากับชุดเนคไทของม.ปลายที่ทำให้ดูโตขึ้น

    เหอะ...ที่จริงโตมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วไม่ใช่รึไง

     

    เพียงไม่นานนักเรียนล๊อคนี้ก็ลงจากเวทีเพื่อที่จะให้นักเรียนกลุ่มไหว้ถลายพานต่อ  
    แถวเราไม่ได้ใกล้กันมากมาย แต่จะด้วยความบังเอิญรึเปล่าที่ทำให้คนที่กำลังเดินกลับแถวหันมาสบตากันพอดี

     

    จากใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกลับคลายลงจนนิ่งสนิทติดจะไม่พอใจเมื่อเห็นว่าใครมองอยู่ สไปรท์เลือกที่จะหันหลบไม่ปล่อยให้ของขวัญหันหนีก่อนเหมือนทุกที มองศีรษะของเพื่อนด้านหน้าให้มันดึงดูดสายตาแทนหน้าใครอีกคนจนคิ้วขมวดเข้ารำคาญความรู้สึกที่ถึงคิดว่าจางหายไปได้เยอะแต่กลับลบได้ไม่หมดซักที

     

     น่าตลกดีนะ

     คำเดียวกันที่โดนไอ่แฟนเฮงซวยนั่นด่ากลับทำให้เจ็บเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บเมื่อมันเคยออกมาจากปากขวัญ ถึงจะเพราะส่งสารจากคำนินทาที่ได้ยินก็เหอะ ตอนนี้เธอกลับรู้สึกโดนด่า ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยสายตาที่จ้องมองมาเหมือนใช้คำนั้นประณามเหมาตัดสินตามลมปากคนอื่น ช่างสิ.....

     

     


     

    จะเมื่อก่อน หรือตอนนี้ เราก็ไม่เคยเชื่อใจกันอยู่แล้วนี่

     

    **




     

    การอยู่ในกลุ่มนักเรียนนักเลงแบบนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะหลีกเลี่ยงลูกหลง

    สไปรท์สะบัดแขนเต็มที่แต่มือที่เกาะอยู่กลับไม่ปล่อย
    ได้แต่ตะโกนใส่หน้าไอ่คู่อริกลุ่มของไผ่ที่มันดันแตกวงจากการไล่หวดของตำรวจมาจอเธอเข้าพอดี



     

    อั๊ค!!

     

    ร่างตรงหน้าเซล้มจากแรงถีบ สไปรท์หันไปมองตามทิศอย่างตกใจและหัวใจมันเต้นแรงขึ้นเมื่อเป็นไผ่ที่เข้ามาช่วย

    ทั้งสองเข้าฟัดกันที่เธอทำได้แค่ยืนมอง ไผ่ที่ยังคงได้เปรียบ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยแผลพากันหนีสะบักสะบอมขึ้นแทนซี่มาได้
    ที่สุดท้ายมันก็จบอยู่ที่คอนโดของเธอ





     

     อูย...

     

    “เจ็บหรอ”

     

    “นิดหน่อยหน่ะ”

    มันตลกนิดน่หอยนะกับการที่เค้าแสร้งทำเป็นไม่เจ็บแต่มันออกทางสีหน้าสุดๆเลยหล่ะ สไปรท์จับคางเขาให้หันมาดีๆ แตะสำลีชุ่มยาแดงแตะตามรอบปากแผล รอบข้างมีแต่ความเงียบในห้องนอนห้องเดิม มันผ่านไปสองปีแล้วแต่มันไม่ได้แตกต่างจากเก่าเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเทียบให้ถูก ถ้าจะหาความต่าง มันคงจะเป็นเตียงที่เธอรู้สึกว่ามันกว้างเกินไป

     

    “ไผ่”

    ไผ่หลุบตาลง มองตามการเผยอริมฝีปากบางของคนตรงหน้า

    “ขอบคุณนะ”

     

    ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลเคลื่อนเข้าใกล้ตามแรงดึงดูดจากริมฝีปากที่มีอิทธิพลมากเกินจะต้านทาน
    กดแนบที่ตำแหน่งเดียวกันเพื่อขยับเข้าตามอารมณ์ที่ปะทุจนร่างเอนลงให้ความนุ่มของเตียงมันรองรับร่างกาย

     

     

    .

     

    .

     

    .

    .


     

    “เธอรู้ตัวปะ ว่าเธอไม่เหมือนใคร”

     

    ยังไง? สไปรท์ถามทั้งยังกอดรัดเขา
    นอนซบอกที่มันอุ่นพอจะให้เธอพักพิง

     

    “เธอเป็นตัวของตัวเอง เธอมีความคิดที่ไม่เหมือนใคร

    ถึงใครจะว่ายังไงนะ   แต่เราคิดว่าเธอโอเค”

     

    น่าแปลกดี
    อยากจะคิดว่าโกหกแต่ดวงตาเขาไม่ได้บอกแบบนั้น สไปรท์ย่นจมูกใส่คนตรงหน้า

     

    “ถ้าเป็นคนอื่นบอกเราจะไม่เชื่อเลยรู้ปะ แต่มันเพราะเป็นเธอ ที่ไม่เหมือนใครเหมือนกัน”

     

     

    บางทีนะ  บางที....มันอาจจะดีจริงๆ

    อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้ ที่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นและพร้อมจะมองข้ามเรื่องที่เธอเคยผ่านต่างจากคนทั่วไป

     

     

    **

     


     

    ภาพโรงเรียนมันดูชินแต่ แต่แสงริบหรี่ของดวงอาทิตย์มันกลับปั้นแต่งให้สถาปัตยกรรมคุ้นตามันงดงามขึ้นได้อย่างน่าประหลาด

    เวลาห้าโมงเย็นมันมืดพอที่จะให้โรงเรียนร้างคนจนได้ยินแม้แต่เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินจากการก้าวเดิน





     

    แช๊ะ

     

    “ทำไมหมอกถึงชอบถ่ายรูปในช่วงเวลานี้อะ”

     

    ปากถามในสิ่งที่สงสัย แต่ขายังขยับเดินไปตามเส้นทางทอดยาวที่โอบคร่อมด้วยหลังคาทรงโค้งเคียงข้างเพื่อนร่วมห้องที่อุส่าห์วานมาช่วยงานในชมรมวารสารที่เธอเป็นประธาน  ของขวัญหันมองหนุ่มตัวไม่สูงนักที่เพิ่งลดกล้องลง เร่งฝีเท้านิดๆให้เดินทันกัน

     

    “ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่แสงสวยที่สุดหน่ะ แต่ส่วนมากคนไม่ค่อยสัมผัสกับบรรยากาศโรงเรียนในเวลานี้หรอก”

    ของขวัญพยักหน้าหงึกหงัก หยุดเดินเป็นระยะรอให้หมอกถ่ายภาพทิวทัศน์โรงเรียนเพื่อเตรียมประกอบนิตยสารให้เธอ

    หมอกลดกล้องลงเมื่อสภาพแสงมันไม่อำนวยพอจะถ่ายได้อีก

     

    “วันนี้แค่นี้ก่อนแล้วกัน แสงหมดละ”

    อื้อ เด็กสาวครางอือในลำคอเป็นว่ารับรู้
    เดินเอื่อยๆพลางเอียงคอมองหนุ่มรักการถ่ายภาพ

     

    “ขอยืมกล้องหน่อยดิ”

    มียื่นมือไปประมาณให้ส่งมาซะดีๆ ที่หมอกไม่ได้ขัดใจ ถอดสายคล้องคอออกยื่นกล้องตัวเก่งให้ของขวัญนางยื่นกระเป๋านักเรียนเปลี่ยนให้ถือแทน ก้มหน้าก้มตาดูสนใจกล้องฟิมล์มากมาย

     

    “ทำไมหมอกชอบถ่ายกล้องฟิลม์อะ ขอคำตอบยาวๆนะ”

    หมอกครางอืม..ในลำคอเหมือนเรียบเรียงคำพูด

    “อืม...ที่เราคิดนะ ภาพที่ถ่ายด้วยฟิลม์หน่ะมันไม่สามารถดูได้ทันทีต้องเอาไปล้างก่อน

    กว่าจะล้างเสร็จภาพมันก็กลายเป็นความทรงจำเรียบร้อยแล้ว ภาพนั้นมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่เตือนความทรงจำของเรา

    แถมภาพฟิลม์มันยังไม่สามารถลบออกไปจากชีวิตเราได้ด้วย”

     

    “โห.....ยาวจริงด้วย แต่ก็หน้าสนใจดีนะ”

     

    ของขวัญยิ้มอย่างถูกใจเหตุผลที่มันทำเอากล้องฟิลม์มันมีค่าขึ้นทันตา หมอกนี่เป็นคนลึกซึ้งดีนะ

    แอบเหล่หางตามองคนข้างตัวที่ทำแค่ยิ้มบางๆ เกิดนึกอะไรได้ให้ยิ้มกริ่ม ยกกล้องถ่ายภาพของเพื่อนขึ้นเล็ง
    กดแช๊ะอย่างรวดเร็วแต่คงชัดพอที่จะให้เจ้าของกล้องปรากฎอยู่ในแผ่นฟิลม์หล่ะมั้ง แช๊ะ

     

    เด็กสาวยิ้มตาหยีเมื่อหมอกหันตามเสียงอย่างงงงวย ทำเสียงขี้เล่น

    “แล้วรูปนี้ก็ลบไม่ได้ด้วยดิ”

     

    หมอกทำแค่หัวเราะไม่ว่าอะไรที่ให้เธอหัวเราะตาม พลิกดูกล้องอีกฝ่ายเล่นจนเราทั้งสองมาหยุดยืนที่ประตูโรงเรียนเนี่ยแหละ

    หืม...แม่ยังไม่มาอีกหรอ ของขวัญชะเง้อมองหารถคุนใหญ่ที่มันคุ้นตาแต่กลับไม่เจออย่างที่หวัง หันมองเพื่อนร่วมทางก็เห็นขาก้มมองมือถือดูเวลา

     

    “ขวัญ เอ่อ....เรามีธุระหน่ะ  จะเป็นไรไหมถ้าเราจะกลับก่อน”

     

    “เห้ยไม่เป็นไรเรารอคนเดียวได้ สบายมาก หมอกไปเหอะ”

     

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขารู้สึกผิดนิดๆที่ต้องปล่อยให้เธออยู่รอแม่คนเดียวทั้งที่โรงเรียนมันเริ่มมืด แต่ไม่เห็นเป็นไร ครูเข้าเวรก็ยังอยู่

    เห็นเขามีท่าทีลังเลขวัญเลยโบกมือให้ย้ำด้วยการกระทำที่ทำให้หมอกโบกมือลา วิ่งไปโบกแท็กซี่เหลือแค่เธอกับครูเข้าเวรที่ยืนอยู่ไกลๆ

     

     

    เห้อ....อยู่คนเดียวอีกแล้ว

    เด็กสาวถอนหายใจออกมานิดๆ หมุนตัวกลับจะหาที่นั่งรอก็สะดุดตากับม้าหินที่มีคนนั่งฝุบหลับอยู่ ก้มจนหน้าจะทะลุโต๊ะชนิดที่ว่าบังจากสายตาเธอได้อย่างมิดชิดสภาพดูหาที่นอนผิดที่จึงเดินไปใกล้ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ม้าหินฝั่งตรงข้าม ที่จริงอันอื่นก็มีนะ แต่อยู่แบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนแค่มีใครอยู่เป็นเพื่อนก็ยังดี เธอหน่ะนั่งหันออกมองไปทางประตูใหญ่ แต่หางตาดันให้ภาพลางๆของคนขี้เซานอนนิ่งอย่างกับจะหลับถึงชาติหน้าเล็ดรอดเข้ากรอบอยู่ได้

     

    คิดไปคิดมาก็ขำดี นี่ง่วงขนาดจะนอนโรงเรียนเลยรึไง

    แต่ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว ของขวัญยิ้มออกมานิดๆ ไม่รู้ว่าหันไปสนใจคนขี้เซาได้เต็มตาเมื่อไหร่ อืม...ดูจากชุดก็คงม.ปลายเหมือนกันหน่ะแหละ ม.4? อืม....หรือม.5? นั่งเท้าคางมองคนตรงหน้าในหัวก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่ต้องสะดุดเมื่อสาวตรงหน้าขยับตัว นางครางงือ....ดูขี้เกียจตื่นก่อนจะเหยียดแขนตามด้วยเสียงห้าว...ยาวๆที่แทบจะพร้อมกับการเงยหน้าขึ้น

     

     

     

    ให้เธอได้เห็นหน้าคนเคยรู้จักเต็มสองตา

     

    ...

     

     

    ของขวัญนิ่งอึ้ง ตาค้างจนลืมหันหนีเมื่อปะสายตากับสไปรท์ในระยะกระชั้น คนตรงหน้าก็ดูช็อคไม่แพ้กันถึงได้ทำตาโตปากค้างท่าหาวซะเห็นฟันเกือบครบทุกซี่  สไปรท์ยิ้มแหยๆกำมือชื้นเหงื่อที่รูผุมขนอัดให้ไหลซึมตามอัตราสูบฉีดที่มันเพิ่มขึ้น กลืนน้ำลายหนืดๆลงคอเมื่อของขวัญยังคงมองเธอตาค้างอย่างกับเจอเกิลกรุ๊ประดับชาติ


     

    เอ่อ....”หวัดดี”

    คำทักทายโง่ๆที่ทำเอาของขวัญสะดุ้งเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ ทำหน้าเลิ่กลั่ก มือไม้วางไม่ถูกจนไปปัดกระเป๋าบนโต๊ะเข้าจนมันหล่นกระแทกพื้นดังตุ้บ!ให้เจ้าของมองตาม สไปรท์เลิกคิ้วสูงช้อนตามองคนที่ลุกพรวด!คว้ากระเป๋าตัวเองทำท่าเหมือนจะหนีแต่รองเท้าไม่รักดีดันเกี่ยวขาเก้าอี้ม้าหินให้เจ้าตัวร้องเสียงหลง ด้วยทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้รวดเร็วจนคนมองได้แต่ทำหน้าตกใจ มองของขวัญถลาทิ่มใส่พื้นกองเป็นเพื่อนกระเป๋าเธอไปติดๆ

     

    ว๊าย!!! โครม!!



     

    “ขวัญ!!

     

    สไปรท์รีบถลาจากม้านั่งไปทรุดยองข้างคนที่ล้มคว่ำร้องโอดโอย รีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นนั่งที่ได้รับสิ่งตอบแทนเป็นการปัดมือเธอออกพร้อมสีหน้าเหวี่ยงๆอย่างกับไม่อยากให้เธอแตะตัว โอเค...  สไปรท์ถอนหายใจยาวปล่อยให้คนซุ่มซ่ามทำหน้าหงุดหงิดสำรวจมือไม้ที่ถลอกไปหมด หืม...เข่าเลือดออกด้วยนิ

     

    ยังไม่ทันที่จะสำรวจบาดแผลของคนตรงหน้า ของขวัญก็ชิงลุกขึ้นให้เธอได้แต่มองตามด้วยมุมที่ต่ำกว่า มองคนที่ก้มลงหยิบกระเป๋าชะงักไปเล็กน้อยเมื่อความแสบที่เข่าเล่นงานแต่ก็กัดปาดเหมือนไม่อยากแสดงความอ่อนแอ เดินกระเผลกผ่านหน้าคนที่ยังนั่งยองหมายจะเปลี่ยนที่รอแต่ยังไม่ทันจะได้ครบก้าวรองเท้าข้างเดิมมันก็หลุดผลุบจากที่เหนี่ยวเมื่อหูมันไม่เกี่ยวอย่างที่ควรจะเป็น

     

    เรื่องเยอะไปปะ

    ของขวัญคิดอย่างหงุดหงิด เล่นปล่อยไก่ไปตัวเท่าบ้านไม่พอยังจะตามมาระรอกสองอีกรึไง แอบเหลือบมองสไปรท์ซึ่งหล่อนก็ดันจ้องเธอไม่วางตาอย่างกับจะรอดูว่าเธอจะทำยังไงต่อ ไม่มีมาช่วยกันซักนิด ของขวัญกัดปากเมื่อสไปรท์ยกยิ้มมุมปากอย่างกับจะเยาะเย้ยสภาพเป็นลูกหมาขาเป๋

     

    สะใจ? เธอคิดว่าสไปรท์คงรู้สึกแบบนั้น

    เด็กสาวกรอกตาไปทางอื่นด้วยความโมโห ถอดรองเท้าลวกๆจะเดินมันเท้าเปล่าเลยนี่แหละ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าอีกข้างก็เกี่ยวรองเท้าคู่เก่งสลักล็อคหูพังสนิทไว้ให้มั่น เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องมาจากสไปรท์อยู่แล้วให้ยิ่งหงุดหงิดเล่น ของขวัญเร่งฝีเท้าเดินดุ่มๆคิดจะไปรอหน้าโรงเรียนไม่สนว่าเท้ามันจะเจ็บจากพื้นสากๆที่มันบาดผิวได้ทะลุผ้าบางๆของถุงเท้า

     

     

    เอ๊ะ

    ของขวัญร้องอย่างตกใจเมื่อรองเท้าหลุดหวืดจากมือ
    หันไปตามแรงดึงก็เจอกับหน้านิ่งๆของสไปรท์ในถือรองเท้าของเธอห้อยต่องแต่งอยู่ข้างตัว

     

    ขวัญยืนจ้องหน้าสไปรท์ไม่ได้โวยวายทวงของคืน อยากรู้หมือนกันว่าสไปรท์จะทำอะไร
    แกล้ง? ก็ไม่แน่นะสไปรท์คนนี้เธอรู้จักซะที่ไหน อาจจะเปลี่ยนนิสัยไปหมดแล้วก็ได้


     

    .....



     

    มันเงียบเกินไปและมากพอจะทำให้เธออึดอัด ของขวัญจิ๊ปาก ตะหวัดมองรองเท้าในมืออีกคนที่ไม่มีท่าทีจะส่งคืน อยากได้ก็เอาไป  เธอกำลังจะหมุนตัวกลับแล้วหล่ะ เบื่อหน้าสไปรท์เต็มทน แต่ร่างที่ขยับขาไปมาแล้วถอยไปยืนด้วยความสูงที่ลดลงมันกลับทำให้เธอก้าวไม่ออก ได้แต่ก้มลงมอง....


     

    รองเท้านักเรียนที่ใหญ่กว่าแค่ครึ่งเบอร์

    “ไว้ซื้อคู่ใหม่ค่อยเอามาคืนแล้วกัน”

     

    ไม่ต้อง เสียงค้านที่ดันตอกใส่ไม่ทันเมื่อสไปรท์ทำเป็นไม่สนใจ

    ใส่รองเท้าไม่สมประกอบลวกๆแล้วเดินลากขาไปนั่งที่เดิม

     

    ของขวัญมองอย่างไม่เข้าใจ และสิ่งที่กองตรงเท้าเธอนี่มันยิ่งทำให้สับสน รองเท้านักเรียนที่มันไม่ถึงกับเงาวับเพราะเจ้าตัวคงไม่ใส่ใจดูแลเท่าไหร่ แต่มันกลับมีแรงดึงดูดพอที่จะทำให้เธอกดดัน ของขวัญสะบัดหัวเร็วๆไล่ความคิดวุ่นวายในสมอง หมุนตัวจะใช่เท้าเปล่าย้ำพื้นขรุขระเหมือนเดิมแต่อะไรที่มันดันมีอิทธิพลเหนือกว่ากลับสั่งให้ขาชะงัก เหลือบกลับมองคนที่นั่งเล่นมือถือไม่ได้สนใจเธอ

     

    ของขวัญกัดปาก มองรองเท้าไร้คนสวมใส่อย่างช่างใจ เอาไงดี

    เด็กสาวขยับเท้าไปมาเมื่อพื้นมันร้อนจากอุณหภูมิที่แดดยามบ่ายฝังไว้ได้หนาแน่นจนถึงตอนนี้ เหลือบมองสไปรท์อีกครั้งให้แน่ใจว่าหล่อนยังคงสนใจมือถือโง่ๆนั่นมากกว่าหน้าเธอ แล้วค่อยขยับใส่รองเท้าอย่างรวดเร็ว กอดกระเป๋าเดินดุ่มๆไปประตูใหญ่

     

    เพราะร้อนเท้ามากหรอกนะ

     

     

     

     



     

    ไปรท์ รอนานปะ

     

    เสียงด้านหลังมันทำเอาของขวัญชะงักฝีเท้า หันกลับไปเจอไผ่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาสไปรท์ที่ลุกทันที มองไผ่อย่างขำๆ

    “อีกนิดจะไม่รอละ ครูกักตัวเธอนานอะ โดนสั่งติวเพิ่มแบบนี้จะสอบผ่านแน่ๆใช่ปะ”

     

    ของขวัญขมวดคิ้วอย่างลืมตัว ไผ่?กับไปรท์
     

    สไปรท์  เธอหมายถึง ทำไมอยู่ดีๆภาพสไปรท์คนเดิมที่เคยรู้จักมันมาซ้อนทับอยู่ตรงหน้า นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้เห็นสไปรท์ยิ้มกว้างขนาดนี้ มันคงไม่แปลกอะไรที่คนพรรคนั้นจะให้ผู้ชายวางแขนพาดไหล่หรือแม้แต่จะปล่อยให้เขาโยกหัว ท่าทีทำตัวง่ายกับผู้ชายเป็นสิ่งที่ทุกคนในโรงเรียนชินตา แต่นี่มันเหมือนเกินไป

     

    มือของเธอกำจิกแน่นจนระบม ต้องขอบคุณพระเจ้ารึเปล่าที่รถคันโตดันมาจอดเกยหน้าโรงเรียนซักที เธอถึงได้ละจากภาพหยอกล้อดูมีความสุขของทั้งสอง เดินดุ่มๆด้วยขาที่มันเกิดอ่อนแรงขึ้นมารีบเปิดประตูขึ้นรถ แม่ถามว่าเธอรอนานไหม อธิบายสาเหตุยืดยาวที่เธอทำแค่พยักหน้า ส่งยิ้มอ่อนๆไปให้คลายกังวล เปลี่ยนสีหน้าให้สดชื่นพูดอ้อนคนเป็นแม่ ปัดความหน่วงในอกข้างซ้ายทิ้งที่ทำได้แค่คิดเมื่อมันเกาะหนึบจนไม่อยากจะเข้าใจตัวเอง

     

     

    เคยเห็น และเคยเป็นคนเดียวที่ได้รับสายตาแบบนั้นที่สไปรท์ใช้มัน

    เพื่อมองแค่เธอ






    TBC.



    talk:

    เขียนชญแล้วแปลกๆแห๊ะ ภาษาเลยไม่ลื่นเท่าไหร่ #ลำเอียง แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×