คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ไกรทอง ตอนที่15 (แก้ไข)
ชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่นั่งเอนหลังพิงหมอนขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มรุ่นลูกทั้งสามด้วยใบหน้านิ่งขรึม เขาไม่เข้าใจว่าเหตุฉไนเจ้าพวกนี้ถึงได้มีเรื่องราวในการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นมาอีก ...ด้วยเพราะเขาไม่ชอบใจที่คนในปกครองของตนไปเรื่องทะเลาะวิวาทกับพวกอันธพาลให้เสื่อมเสียเกีรยติลูกผู้ชาย จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าแค่รู้สึกเคืองใจเท่านั้นย่อมถูกต้องกว่า เพราะพ่อของไอ้สองตัวนั่นดันขึ้นเสียงมาด่าว่าเขาฉอดๆ หาว่าเลี้ยงคนไม่ดี เลยทำตัวน่ารังเกียจมาทำร้ายลูกตัวเอง...ความจริงมันนะด่าแรงกว่านี้แต่ถ้าจะให้ใส่ใจกับคำด่าของมันนะเรอะ ฝันไปเถอะ ฟังไปก็ร้อนหูปล่าวๆ
ถึงจะว่าไม่เอาคำคนพาลมาให้รกสมอง แต่ยังไงก็ต้องมีปรามกันบ้างให้พอเป็นพิธี ประเดี๋ยวมันจะเอาด่าลับหลังว่าเขาไม่รู้จักสั่งสอนหลาน ไม่ว่ากล่าวเตือนเด็ก และไม่ดัดนิสัยคนในปกครองให้เป็นคนดี...เฮ้อ!รำคาญโว้ย
“พวกเอ็งนี่มันยังไงกันวะถึงมีเรื่องกันได้ไม่หยุดหย่อน”
บ่นไปหนึ่งประโยคก็จิบชาแก้คอแห้งคำหนึ่ง ด่าไปสองประโยคก็ซดชาหมดไปหนึ่งจอก คราวนี้ด่าไปครบรอบพอดีชาเหลืออยู่ครึ่งกา
“แต่พวกมันมาหาเรื่องเราก่อนนะลุงคำ”
“แล้วไง”
“เพราะงั้นพวกเราก็ไม่ผิด อีกอย่างนะลุงคำพวกมันกล้ามาหาเรื่องขนาดนี้ เราจะปล่อยให้มันเหิมเกริมเหรอจ๊ะ...คิดดูนะพวกมันกล้ายกพรรคพวกมาเยอะแยะคงกะเล่นงานพวกฉันเสียเต็มที่ ฉันถือคติประจำใจ...ถ้าเราไม่เอาตีนทาบหน้าศัตรูก่อน เราจะเสียเปรียบมันหนาลุงคำ”
เศรษฐีคำจิบชาไปพลางรับลมเย็นที่พัดมาไปพลาง โดยมีมือลูกสาวทั้งสองคอยบีบแขน นวดขาดูแลเอาใจอยู่ข้างกายเอาใจพ่อ สองหูก็คอยฟังพี่ชายผิวถ่านพล่ามไปเรื่อยประสาคนช่างเจรจา ต่างจากไกรทองกับนันที่นั่งเงียบไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น
‘จริงของไอ้เจ้าทองดำ...ถ้าจะปล่อยให้ตีนคนอื่นมาทาบหน้า สู้เราเอาตีนตัวเองไปทาบหน้าคนอื่นมันไม่ดีกว่าเหรอ’
ยิ่งฟังยิ่งนึกคล้อยตามคารมของเด็กหนุ่มรุ่นลูก
“อือ...จริงของเอ็ง”
หากเมื่อได้ลองคิดดูดีๆแล้วประเด็นมันอยู่ตรงนั้นเสียที่ไหนกันเล่า...ไอ้นี่มันสาลิกาลิ้นทองจริงโว้ย พูดเสียข้าเกือบเคลิ้มตาม
“แต่ครานี้เรื่องราวมันใหญ่โต เด็กหนุ่มเกือบทั้งหมู่บ้านโดนพวกเอ็ง เอ็ง และ เอ็ง เล่นงานเสียยับเยิน โดยเฉพาะไอ้เพลิงกับไอ้ไม้พ่อพวกมันจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องมันพัดผ่านไปเฉยๆแน่”
ทองดำรีบคลานปร๋อมานั่งแหมะใกล้ๆป้องปากกระซิบข้างหูยุแหย่
“ถ้าฝ่ายนั้นมันกล้าเอาเรื่องเราก็เอาเรื่องมันกลับสิจ๊ะ”
“หือ?เรื่องไหนว่ะ”
“อ้าว!? ลุงคำก็เรื่องของน้องแก้วกับน้องทองไงละจ๊ะ...เสร็จจากเรื่องนี้ไม่ทันข้ามเดือนพวกมันเสือกวิ่งแจ้นมาหาเรื่องพวกฉันทันที...ลุงคำอาศัยจังหวะนี้จัดการเลย”
“เออ จริง...”
เศรษฐีคำพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดทองดำ...เออดี จะได้เอาเรื่องพวกมันต่อให้สะใจเล่น
“ลุงคำแค่แกล้งบอกว่าไอ้เพลิงกับไอ้ไม้มันเจ็บใจที่แพ้พวกมันเลย...โอ๊ย!!!”
ทองดำยิ่งพูดยุยิ่งสนุกปากเลยโดนมะเหงกหนักๆแบบเน้นๆเขกเข้ากลางกบาลมันจังๆจนมึนหัวไปวูบหนึ่ง
“เสือกมากเกินไปละไอ้ทองดำ เอ็งมานั่งกับข้าเลยมา”
ไกรทองทนนั่งฟังเพื่อนพล่ามต่อไปไหวรีบลากคอมันลงมานั่งข้างกันทันที หลังจากจัดการปิดปากไอ้เพื่อนเกลอตัวแสบสำเร็จ เด็กหนุ่มก็หันคอมาจ้องเขม็งใส่คนด้านข้างที่นั่งหัวเราะชอบใจโดยไม่นึกสนใจจะห้ามปรามเลยสักนิด
เมื่อเจอสายตาตำหนิส่งมาคนถูกจ้องจึงแกล้งเสหน้าหันไปชมนกชมไม้กลบเกลื่อน จากนั้นสายตาก็หันไปทางตะเภากับตะเภาทอง แต่สองสาวกลับไหวตัวรีบแกล้งประจบพ่อทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
...แต่ละคน...น่าเขกกระบาลเสียจริงเชียว
ทางเศรษฐีคำนั้นโดนนางทองมาดักทางเอาไว้แล้วเช่นกัน
“พี่คำแก่แล้วอย่าริทำตัวเป็นเด็กให้ชาวบ้านเขานินทาลับหลังเอาได้”
เมื่อโดนเมียรักเอ่ยปรามเจ้าตัวรีบคว้าหมากพลูเข้าปากเคี้ยวแก้เก้อท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลูกสาว
“เจ้าพ่อไกรแน่ใจนะว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายกันอีก”
“จ๊ะป้า ต้องขอบใจฝีปากของไอ้ทองดำเลยนะจ๊ะ ชาวบ้านคนอื่นๆจึงไม่เอาเรื่องเอาราวฉันกับพี่นัน”
ไอ้ไกรเอ๋ย...ไอ้เพื่อนซื่อบื้อที่ชาวบ้านไม่เอาความ ไม่ใช่เพราะข้าไปเจรจาขอให้พวกเขายอมความ แต่มันเป็นเพราะเอ็ง.....ทุกคนในหมู่บ้านนั้นรู้ไส้รู้พุงกันดีจึงไม่มีใครนึกเวทนาไอ้หมาหมู่พวกนั้น ยิ่งโดยเฉพาะพวกมันเพิ่งจะทำอื้อฉาวยังไม่ทันซา ดันเสือกอันธพาลพาพรรคพวกไปหาเรื่องมึงกับพี่นันจนเป็นกลายข่าวใหญ่โต
...อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะ ขนาดพ่อแม่ไอ้พวกที่ถูกกระทืบเขายังไม่นึกเวทนาสงสาร แล้วคนในหมู่บ้านจะไปนึกเห็นใจทำไม งานการไม่เคยช่วยเอาแต่เที่ยวสำมะเลเทเมาพอย่ามใจเข้าหน่อยก็เที่ยวเตร่เกี้ยวสาวไปทั่วไม่มีอะไรดีสักอย่าง
ส่วนนางทองมาไม่คิดอะไรมากแค่ได้คำยืนยันจากปากหลานชายเจ้าหล่อนจึงค่อยคลายใจลงมากโข ไม่ต้องกลัวว่าไกรทองจะถูกชาวบ้านด่าประนามแล้วขับไล่ออกจากหมู่บ้านให้ต้องระหกระเหินไปไหน
“ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก...พี่คำครอบครัวเราถือโอกาสนี้จัดงานบุญใหญ่ขึ้นมาคิดว่าดีไหมพี่?”
เศรษฐีคำนั่งเคี้ยวหมากในปากจั๊บๆพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเมียรัก
“งั้นวันพรุ่งนี้พ่อจะลองไปปรึกษากับหลวงตาคงดูแล้วกันนะ ว่าหมู่บ้านเราสมควรจะจัดงานทำบุญวันไหน...ดีเหมือนกันช่วงนี้บ้านเรามีแต่คราวเคราะห์ ทำบุญแล้วเผื่ออะไรมันจะดีขึ้น”
เมื่อได้ยินว่าหมู่บ้านจะมีการจัดงานทำบุญ สองศรีพี่น้องตะเภาแก้ว ตะเภาทองรวมถึงสามหนุ่มใบไม่เถาล้วนต่างตื่นเต้นดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ตามประสาอารมณ์หนุ่มสาวที่อยากเที่ยวงานรื่นเริงสนุกๆ
“จะได้แต่งตัวสวยๆเนอะพี่แก้ว”
“จ๊ะน้องทอง เราจะได้เดินเล่นทั่วงานให้สนุกไปเลย”
พอเห็นลูกสาวทั้งสองแสดงอาการเกินงาม นางทองมาจึงขยับปากจะสอนสั่งแต่กลับมีมือใหญ่ๆกอบกุมปรามไว้...นางเลยหยุดไม่ว่ากล่าวบุตรสาว...ต้องถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้านทั้งๆไม่ได้ทำผิดคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย จึงไม่แปลกที่ตระเภาแก้วและตระเภาทองจะเผลอไผลแสดงอาการดีใจจนเกินงามเยี่ยงนี้
ไอ้ทองดำนั้นไม่ยอมน้อยหน้า สมองของมันเริ่มวาดฝันวิมานกลางอากาศถึงบรรยากาศสนุกสนานในงานบุญ งานรื่นเริง ไม่ว่าเป็นขนม ของกิน และยังรวมไปถึง...
“ดีเหมือนกันนะ เราสามหนุ่มรูปงามจะได้มีโอกาสเกี้ยวสาวให้ชุ่มชื้นหัวใจสักสองหรือสามคน...กึ๋ยๆ”
เห็นตาปรือปรอยฝันหวานของมันแล้ว ไกรทองนึกคันไม้คันมืออยากจะตบหัวเกลอรักอีกสักผัวะให้หายหมั่นไส้ น่าเสียดายคราวนี้ทองดำไม่ยอมเสียทีให้เขาอีกเป็นครั้งที่สอง พอมือเริ่มง้างมันเลยรีบกระเถิบตัวหนีห่างรัศมีไปเสียไกลลิบ...ฝากไว้เถอะไอ้ทองดำเดี๋ยวเอ็งกับข้ามีบัญชีที่ต้องสะสางกันอีก
“แล้วพี่นันละคิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร”
นันเอามือกอดอกลูบคางทำท่าครุ่นคิด
“เออ นั่นดิ ทำอะไรดี...เกี้ยวสาวกับทองดำมันก็ไม่เลวแต่ขนมกับของกินมันก็น่าสนใจเหมือนกัน”
“ถ้างั้นพอถึงวันงานข้ากับทองดำจะพาพี่เที่ยวให้ทั่วงานเลยนะ”
ครั้นพอเห็นเพื่อนคุยท่าทางสนุก ทองดำเลยรีบแสลนหน้าขยับเข้าใกล้พร้อมสอดปากร่วมเข้าวงสนทนาเข้ามาทันทีทันใด โดยมันลืมนึกถึงกำปั้นเกลอรักไปเสียสนิท
“ไม่ต้องห่วงฉันรู้ว่าเจ้าไหนอร่อย ยิ่งไปกับไอ้ไกรรับรองได้กินฟรีทุกเจ้าแน่ๆ”
กินฟรี...ใบหน้าคมสันรู้สึกสดใส สดชื่นขึ้นมาทันทีทันใดก่อนจะหันมามองหน้าไกรทองตั้งความหวังไว้เต็มที่ จนเด็กหนุ่มทำหน้าเมื่อยๆปากบ่นขมุบขมิบ ‘โดนไอ้ทองดำมันเล่นงานคืนเข้าให้แล้ว’
ความสนิทสนมของไกรทองกับนัน ทำให้ตระเภาแก้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยใจ...ตั้งแต่พี่นันเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน นอกจากมาช่วยงานที่บ้านแล้วพี่ไกรก็ไม่ค่อยจะมาคุยเล่นกับข้าเหมือนเมื่อก่อน เหตุใดพี่ถึงเหินห่างกับฉันแบบนี้...ถ้าหากฉันเป็นผู้ชายพี่ไกรจะให้ความสำคัญมากกว่าพี่นันหรือปล่าวนะ
“ดีเหมือนกันหากมีการจัดงานบุญใหญ่ๆ บางทีไอ้เสนียดจัญไรที่มีอยู่ในหมู่บ้านมันจะได้กระเด็นหายไปเสียให้หมด”
คำว่า ‘เสนียดจัญไร’ ที่เอ่ยออกมาจากปากประจวบเหมาะ เมื่อเจ้าของคำพูดหันมองหน้าไกรทองพอดิบพอดี ให้อากาศดีๆที่เคยมีเริ่มขุ่นมัวลงจนแทบหายใจหายคอแทบไม่ออก
เศรษฐีขวานหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของหมู่บ้านปรากฏตัวแล้ว.....ชายกลางคนผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรงพอๆกันกับเศรษฐีคำ ซึ่งในความจริงแล้วทั้งคู่ก็ล้วนแต่เคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาคง และก็เท่ากับว่าทั้งสองเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับขุนไกร
บริเวณหอนั่งอันกว้างขวางของบ้านในตอนนี้กลับคับแคบลงถนัดตา เมื่อมีผู้คนนั่งกันอยู่อย่างคับคั่ง คือหลวงตาคง เศรษฐีคำ ไกรทอง ทองดำ นัน เศรษฐีขวาน เพลิงและไม้นั่งอยู่ใจกลาง ส่วนพื้นที่โดยรอบล้วนมีชาวบ้านทั้งหมู่บ้านนั่งจับจองอยู่แน่นขนัด.....โดยมีพวกบ่าวไพร่คอยนั่งฟังเป็นพยานทั้งด้านบนและหน้ากระไดของบ้าน
เสียงโอดโอยระงมดังเป็นระยะและไอ้เสียงโอดครวญอยู่รายรอบนั้นไม่ใช่เสียงอื่นไกลจากที่ไหน มันก็มาจากปากของเพลิงกับไม้ ในคราวนี้พวกมันมีพ่อมานั่งพับเพียบหน้าเหี้ยมถมึงทึงอยู่ด้านขวามือของหลวงตาคง ตรงข้ามคือเศรษฐีคำที่นั่งพับเพียบจ้องหน้าคู่อาฆาตไม่ยอมลดละ ถัดมาจากด้านหลังของเศรษฐีคำคือฝ่ายจำเลย ประกอบด้วย ไกรทอง ทองดำ และนัน ที่นั่งนิ่งรอฟังคำตัดสินอยู่เงียบๆ...ฝ่ายนางทองมาครั้นพอเห็นว่าผู้ใดมาเยียนบ้าน นางจึงรีบร้อนพาตระเภาแก้วกับตระเภาทองเข้าห้องไปทันที
เรื่องของเรื่องคือ ไกรทองกับนันและทองดำที่โดนหางเลข ถูกเหล่าหนุ่มๆในหมู่บ้านให้ความว่า โดนเขาทั้งสามช่วยกันรุมทำร้ายบาดเจ็บกันไปประมาณหลายสิบคน จนเดือดร้อนต้องให้เศรษฐีขวานออกหน้าพามาให้หลวงตาคงเป็นผู้ตัดสินคดีความ ทั้งๆที่เรื่องนี้มิใช่กิจของสงฆ์แท้ๆ โดยมีเศรษฐีคำเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายจำเลยและเศรษฐีขวานรับผิดชอบแทนพวกฝ่ายโจทย์
“ครานี้ข้าไม่ยอมความหรอกนะไอ้คำลูกข้าสองคนโดนเล่นงานเจ็บหนักปางตายถึงเพียงนี้”
เศรษฐีคำเอือมระอากับไอ้สามคนพ่อลูกคู่นี้เต็มทน...ขนาดลูกสาวข้าสองคนเกือบโดนลูกมึงฉุดคร่า มึงยังไม่นึกเห็นใจเอาแต่เข้าข้างลูก...สะใจกูนัก
“งั้นรึแต่สายตาของข้ากลับยังเห็นพวกมันสองคนแค่บาดเจ็บไม่ยักกะปางตายตามคำกล่าวเกินจริงของเอ็ง...อีกอย่างเจ้าเพลิงกับเจ้าไม้ก็เจ็บหนักพอๆกับเจ้าไกรแต่ไม่ยักกะเห็นมันร้องโอดครวญเกินจริงเหมือนลูกเอ็งเลยสักนิด”
“เอ็งดูยังไงวะไอ้คำว่าไอ้...เอ่อ...เจ้าไกรมันเจ็บพอๆกันลูกข้า...ลูกข้าสองคนเจ็บหนักกว่าเห็นๆ”
เศรษฐีคำยักไหล่ไม่นึกสนใจคำพูดของเศรษฐีขวานแต่กลับหันหน้าประนมมือขอความช่วยเหลือจากหลวงตาคง
“เรื่องในครั้งนี้กระผมคงต้องนิมนต์ให้หลวงตาช่วยตัดสินแล้วนะขอรับ เพราะถ้ากระผมตัดสินความเดี๋ยวใครบางคนแถวนี้มันจะกล่าวหาว่ากระผมเข้าข้างเด็กมัน”
“ไอ้คำ!!!”
“พอได้แล้วโยมขวานแก่จนปูนนี้แล้วยังเลือดร้อนเหมือนตอนสมัยเด็กๆอีกนะ”
เมื่อหลวงตาคงเอ่ยปากปรามเศรษฐีขวานจึงยอมสงบลง เนื่องจากว่าท่านเป็นพระสงฆ์และยังเคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อนชายกลางคนเลือดร้อนจึงย่อมต้องเคารพยำเกรงเป็นธรรมดา
“เหตุการณ์มันเป็นไงมาไงถึงได้เกิดเรื่องราวแบบนี้ได้...เริ่มจากโยมขวานก่อนแล้วกัน ไหนเล่ามาสิ”
เศรษฐีขวานประนมมือตอบคำถามด้วยท่าทีและน้ำเสียงมั่นใจ...ฮึ! พยานเยอะแยะเพียงนี้ต่อให้หลวงตาคิดจะหาทางเข้าข้างเห็นทีคงจะลำบาก
“ขอรับ...คือว่าเจ้าไกร เจ้าคนแปลกถิ่น และเจ้าทองดำช่วยกันรุมทำร้ายสมัครพรรคพวกของลูกกระผม โดยเฉพาะเพลิงกับไม้ที่โดนทำร้ายหนักที่สุดขอรับหลวงตา”
ภิกษุชราสำรวจใบหน้าปูดบวมของเด็กหนุ่มแต่ละคน ก็เห็นจริงดังคำกล่าวเศรษฐีขวานว่าไว้ ยิ่งโดยเฉพาะเพลิงกับไม้นั้นมีใบหน้าปูดบวมจนตาเกือบลืมไม่ขึ้น เจ้าสามคนนี้ลงมือหนักไปจริงๆ
“แล้วพวกเอ็งสองคนล่ะว่ายังไง...”
เมื่อหลวงตาคงกล่าวถามเพลิงไม่รอช้ารีบเล่าเรื่องบิดเบียนใส่สีตีไข่ให้ร้ายไกรทองกับนันทันทีตามที่ซักซ้อมไว้กับทุกคนก่อนจะมาที่นี่ ซึ่งมันหวังแค่ไว้ว่าจบการตัดสินคดีความในครั้งนี้ พ่อของเขาจะใช้สิทธิ์และอำนาจที่มีเฉดหัวพวกมันออกไปจากหมู่บ้านให้หมด ไม่อยู่ให้เป็นหนามตำตาตำใจอีก
“พวกกระผมรวมกลุ่มกันเพื่อไปเที่ยวเล่นกันตามประสาหนุ่มๆ หากแต่อยู่ดีๆก็โดนไอ้ไกร ไอ้ทองดำ และไอ้นัน มาดักลอบทำร้ายบาดเจ็บกันหนักไปหลายคนขอรับ”
“อืม”
ครานี้หลวงตาหันไปถามเศรษฐีคำบ้างเพื่อจะได้ฟังเหตุการณ์จากฝ่ายจำเลยทั้งสามแล้วนำมาเปรียบเทียบกัน เพราะท่านถือว่าการฟังหูไว้หูย่อมดีกว่าฟังความข้างเดียว
“ว่าไงโยมคำ”
“กระผมได้สอบถามพวกนี้แล้วขอรับ ได้ความว่าเหตุที่เจ้าสามคนนี้ลงมือทำร้ายพวกเจ้าเพลิงจริง แต่หากที่ทำไปเป็นเพราะต้องป้องกันตัวเองจากการถูกรุมทำร้ายขอรับ”
เศรษฐีขวานที่นั่งฟังอยู่เอ่ยโพล่งออกมาอย่างไม่เชื่อในคำพูดที่เศรษฐีคำเอ่ยออกมา
“พวกมันกล้าปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ร้ายว่าลูกข้าเลยรึ!”
“ใครกันแน่ที่พูดโกหกไอ้ขวาน!”
“เจ้าไกรไงที่มันพูดโกหกสันดานพ่อมันเป็นยังไงสันดานลูกมันก็ไม่ต่างกัน” ชายกลางคนชี้หน้าไกรทอง อ้าปากด่ากราดไม่ยอมไว้หน้าอินหน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น...โดยลืมไปว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่ด่าไปนั้นเป็นหลานชายของใคร
แม้จะนั่งฟังนิ่งๆไม่ตอบโต้ หากแต่พอสองหูได้ยินขวานด่าว่าพ่อของตนเอง ไกรทองจึงเงยนั่งจ้องตาฝ่ายตรงข้ามเขม็งสองมือหมัดกำแน่นอย่างเจ็บใจ
สายตาเช่นนี้ แววตาแบบนี้ มึงมันหมือนไอ้ขุนไม่มีผิดทั้งหน้า กิริยา...ถ้ามึงมีเค้าแก้วผกาสักนิดกูคงไม่นึกชังและรังเกียจเดียดฉันท์ขนาดนี้หรอกไอ้ไกรจะโทษก็ต้องโทษพ่อมึง
“นี่มันเรื่องของเด็ก ไอ้ขุนมันเกี่ยวอะไรด้วยเถียงไม่ออกเอ็งอย่าพาลสิวะไอ้ขวาน”
หลวงตาคงเริ่มเห็นว่าเรื่องราวจะบานปลายจึงอาศัยผ้าเหลืองเอ่ยปากห้ามปรามเป็นครั้งที่สอง ก่อนที่นี่จะกลายเป็นเวทีมวยคนแก่ให้ขายขี้หน้าชาวบ้านและเด็กหนุ่มๆกันเสียปล่าว
“พอๆอย่าทะเลาะให้ขายขี้หน้าใครเขา โยมคำถือว่าหลวงตาขอล่ะอย่ามีเรื่องกันเลย และหลวงตาก็อยากจะขอฟังเรื่องราวจากปากพวกเด็กๆทางนี้บ้างเพื่อความยุติธรรม ...เจ้าไกรพูดมาเถอะมีสิ่งใดจงเอ่ยออกมาอย่ามดเท็จ...ส่วนโยมขวานแก่จนหัวขาวเกือบหมดหัวแล้ว ต่อไปก่อนจะพูดสิ่งใดขอให้นึกคิดตรึกตรองให้ดี อย่าเอาคนตายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนเป็น”
ไกรทองยังจ้องเศรษฐีขวานตาขวางไม่ยอมเลิกลา เดือดร้อนทองดำต้องรีบเอ่ยเล่าเรื่องราวออกมาแทน
“กระผมนั้นถึงจะมาไม่ทันเหตุการณ์ทั้งหมด แต่สิ่งที่เห็นในตอนนั้นคือไอ้ไกรกำลังจะโดนไอ้เพลิงเอาไม้ท่อนเท่าแขนจะฟาดหัวมันให้กบาลแยกขอรับ”
“มึงโกหก!!!”
“จริงนะขอรับไอ้ทองดำคนนี้ขอเอาหัวเป็นประกัน”
หลวงตาคงมองหน้าทองดำสลับมองสภาพสองพี่น้อง ความจริงคดีความนี้มันไม่มีสิ่งใดตัดสินยากเลย ไม่ต้องให้ท่านพูดตัดสินหรอกแค่เหล่าชาวบ้านที่นั่งอยู่รอบๆนี้ก็ตัดสินได้ว่าผู้ใดพูดความจริงผู้ใดพูดโกหก
...ภิกษุชรานึกสังเวชใจและลำบากใจไม่น้อย ด้วยเกรงว่าหากท่านตัดสินไปตามตรงเห็นทีจะไม่มีคนในที่นี้ไม่เข้าใจ แล้วกล่าวหาว่าเข้าข้างกันแต่ถ้าไม่ตัดสินกันดีๆเจ้าหนุ่มทั้งสามคนนี้ก็จะเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย...เอาเช่นไรดีหนอ
‘งั้นให้ชาวบ้านทุกคนในบริเวณนี้เป็นผู้ตัดสินแล้วกัน’
“เหตุการณ์วิวาทที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่มีคนอื่นรู้เห็นด้วยนอกจากพวกโยมทั้งหมด ฉะนั้นหากจะบอกว่าผู้ใดกล่าวเท็จหรือกล่าวจริงย่อมตัดสินใจลำบาก ด้วยเกรงว่าจะเป็นการใส่ร้ายคนผิดทำให้คนดีต้องเดือดร้อน…”
แววตาเยาะเย้ยสะใจหลายคู่มุ่งเป้ามาทางสามหนุ่มยิ่งไกรทองจะโดนเยอะที่สุด
“เช่นนั้นหลวงตาเลยจะขอตั้งคำถามโยมสองคนหน่อยจะได้หรือไม่โยมเพลิง โยมไม้”
“ได้ขอรับ”
“ไหนโยมสองคนลองนับดูสิว่าหนุ่มๆในหมู่บ้านที่บอกว่าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บนั้นมีกันประมาณกี่คน?”
เมื่อได้ยินคำถามแรกของหลวงตา พี่ชายคนโตอย่างเพลิงจึงอาสานับคนเจ็บตามข้อสงสัยโดยไม่ทันนึกเฉลียวใจ
“สิบห้าคนขอรับ”
เมื่อได้รับคำตอบแล้วพระชราจึงพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอ่ยกล่าวเสริมคล้ายน้ำเสียงชื่นชมเล็กน้อยให้ได้ยินกันถ้วนทั่วทุกคน “เจ็บเยอะเนอะแสดงว่าโยมสามคนนี้สู้เก่ง เพราะแค่คนสามคนก็สามารถล้มพวกโยมที่เยอะกว่าได้”
คำพูดเนิบๆของหลวงตาคงช่างตรงกับใครหลายๆคนในที่นี้ จนเริ่มส่งเสียงวิจารณ์กันเซ่งแซ่ ‘คนตั้งสิบห้าคนโดนสามคนรุมทำร้ายได้เช่นไร ต้องบอกว่าคนสิบห้าคนรุมทำร้ายคนสามคนถึงจะถูก
“คำถามข้อสอง พวกโยมไปทำอะไรที่ท้ายหมู่บ้านและทำไมต้องเป็นที่บ้านของโยมนัน” หลวงตาคงไม่สนใจเสียงซุบซิบรอบข้าง ตั้งคำถามข้อต่อไปทันที
เงียบสนิทไม่มีเสียงผู้ใดกล้าตอบออกมา...
“เพลิงตอบหลวงตาไปสิว่า พวกเจ้ารวมตัวกันไปหว่านแหจับปลา”
เศรษฐีขวานรีบสอดปากบอกทางรอดให้แก่ลูกชาย
“เอ่อ...ใช่ขอรับพวกกระผมรวมตัวกันไปหาปลามาเผากินแกล้มเหล้ากัน”
เศรษฐีคำหรี่ตามองแบบจับผิด
“ไหนละแห? ข้าไม่เห็นเครื่องมือจับปลาอย่างที่พวกเอ็งว่าสักอัน...”
“เด็กมันเจ็บหนักกันปานนั้นผู้ใดจะมานึกถึงเครื่องมือจับปลากัน”
“แก้ตัวกันน้ำขุ่นๆนี่หว่าไอ้ขวาน...ทำไม?พวกมันทุกคนเก่งกันจนถึงขนาดจับปลาได้ด้วยมือปล่าวกันงั้นรึ? ที่สำคัญท่าน้ำที่อื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมต้องเจาะจงไปท้ายหมู่บ้านด้วย...บังเอิญหรือจงใจ?”
“มึง!!!”
ตัวแทนชาวบ้านนามว่าเจิดที่นั่งอยู่ใกล้สุดทนไม่ไหวจึงทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“เศรษฐีขวานพอเถอะพวกข้าหาใช่ควายไม่ถึงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หลวงตาท่านถามออกมา...คนผิดคือพวกท่านอย่าได้ใส่ไคล้พวกไอ้ไกรอีกเลย... ตั้งแต่ที่ข้าเห็นไอ้จอมลูกข้าเจ็บหนักกลับมาบ้าน มันก็เอาแต่ด่าว่าไอ้ไกร ไอ้นันและไอ้ทองดำทำมันเจ็บ ข้าขอยอมรับอย่างไม่ละอายปากเลยนะว่า ข้าไอ้เจิดและเมียข้าไม่มีใครเชื่อลมปากลูกชายแท้ๆของข้าแม้แต่ครึ่งคำเพราะข้ารู้จักสันดานมันดีว่ามันเป็นไม่เอาถ่านหากเปรียบเทียบกับฝ่ายไอ้สามคนนั่นแล้ว”
จบคำพูดของเจิดก็มีเสียงชาวบ้านตะโกนออกมาพร้อมกันว่า ‘ใช่ๆ’
“พอเถอะโยมขวาน ผู้ใดผิดก็ว่ากันไปตามผิดหรือถ้าโยมไม่พอใจจะให้หลวงตาลงหวายเด็กๆมันก็ได้ แต่ต้องโดนโทษเท่ากัน...ว่าไง?”
ใบหน้าของเศรษฐีขวานมีสีแดงเข้มดูน่ากลัว จากอาการกระหยิ่มยิ้มย่องในตอนแรกเริ่มแตกยับเยิน...นับตั้งแต่ไอ้ขุนจนมาถึงไอ้ไกรพวกมันมีดีอะไรทุกคนดันเข้าข้างไอ้เด็กเวรนี้กันหมดไม่เว้นแม้แต่หลวงตา
“งั้นกระผมลากลับนะขอรับหลวงตา...ไปเพลิง ไม้กลับบ้าน”
เศรษฐีขวานรีบกระแทกเท้าปึงปังลงจากเรือนไปพร้อมลูกชายทั้งสองคน แต่ยังไม่วายหันมาจ้องมองไกรทองด้วยสายตาแค้นเคืองเจ็บใจที่ดวงดีสามารถเอาตัวรอดไปได้อีกครั้ง
“ยังดีที่ยังรู้จักร่ำลาบ้าง ไม่มองหลวงตาเป็นหัวหลักหัวตอ” ภิกษุชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันขัดกับแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล...ผ่านมาหลายสิบปีเอ็งยังเครียดแค้นไม่จบไม่สิ้น...ความอาฆาตแค้นพยาบาลกัดกร่อนจิตใจคนให้บิดเบี้ยวถึงขนาดนี้เชียวรึ...
“นี้ใกล้จะได้เวลาฉันเพลแล้วหลวงตาคงจะต้องขอตัวกลับวัดแล้ว”
ไกรทองกับทองดำรีบขยับกายนิมนต์หลวงตากลับวัดอย่างรู้ในหน้าที่
“เจ้าสองคนอยู่ช่วยงานโยมคำที่นี่ให้เสร็จตามหน้าที่เถอะ...หลวงตากลับเองได้”
“ถ้าเช่นนั้นกระผมจะให้หัวหน้าบ่าวในบ้านนิมนต์กลับนะขอรับ”
เห็นแก่น้ำใจเศรษฐีคำหลวงตาคงจึงพยักหน้ารับนิมนต์ แต่ก่อนที่ท่านจะกลับวัดหลวงตาเอ่ยคำกล่าวเนิบๆให้สองเด็กหนุ่มจนหนาวสันหลังรู้สึกเสียววูบ
“เสร็จงานเมื่อไรเจ้าสามคนต้องตามไปที่วัดเพื่อรับโทษจากหลวงตา โดยเฉพาะเจ้าไกรกับเจ้าทองดำต้องโดนหนักเป็นพิเศษ ส่วนโยมนันถึงจะเป็นคนต่างถิ่นเพิ่งมาอยู่ใหม่เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษเหมือนกัน”
ครั้นเมื่อหลวงจากไปแล้ว นันถึงได้เอ่ยปากถามสองหนุ่มด้วยความสงสัย
“เคยได้ยินคำร่ำลือว่าหลวงตาคงลงหวายหนักมือ...เจ็บมากไหม?”
ไกรทองกับทองดำพูดเปล่งออกมาพร้อมกันว่า
“มาก!”
ความคิดเห็น