ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพพาดกลอน

    ลำดับตอนที่ #7 : แคทอาย ไทเกอร์อาย

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 58


    “พลบอกว่า นายต้องรู้จักเครื่องประดับชิ้นนี้มาก่อนแน่ๆ” มินตราเสิร์ฟชามะลิร้อนๆ ให้ หลังจากที่เห็นเขาสูดอย่างชื่นใจเมื่อวันก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่หล่อนคาด ทันทีที่ควันหอมของน้ำชาลอยแตะจมูก ชายหนุ่มก็ยืดอกสูดควันเข้าไปเต็มปอด 

    “ช่างที่ทำเครื่องประดับพวกนี้ เป็นเพื่อนกันกับฉัน”

    มินตราเขยิบเข้าใกล้ ถามอย่างสนใจ เธอสนใจทั้งเรื่องราวของเขาและแคทอายน้ำงาม “เพื่อนที่บ้านป่าน่ะเหรอ”

    แสงขาลพยักหน้า “คนที่นับเป็นเพื่อนมีไม่มากนักหรอก” 

    “เพื่อนนายคงตัวเล็กกว่านายเยอะ” มินตราดึงแหวนออกจากกล่องกำมะหยี่ หรี่ตาข้างหนึ่งชูแหวนขึ้นมาเพ่งส่องกับแสงไฟ ยามต้องแสงนีออนสามารถมองเห็นริ้วแสงเป็นเส้นขีดพาดผ่านเม็ดพลอยเหลืองอมเขียว พอขยับไปมาริ้วนั้นก็วูบไหวเคลื่อนที่ไปตามแสง ดูเพลินตา

    “น่าจะไล่ๆ กับเธอนี่ล่ะ”

    มินตราชะงัก ค่อยลดมือเก็บแหวนเสียบเข้ากล่องตามเดิม สงสัยว่าเพื่อนที่เขาเอ่ยถึงอาจจะเป็นผู้หญิง ซึ่งช่างทำเครื่องประดับหากเป็นหญิงก็ไม่น่าจะแปลก ความรู้สึกแปลบๆ แล่นเข้ามาทั้งที่ยังไม่ทันได้จินตนาการหน้าตาของเพื่อนหญิงคนนั้น “คงเป็นเพื่อนที่นายรักเป็นพิเศษ” มินตราไม่สามารถสนทนาใดๆ ต่อได้ เหมือนลูกกระเดือกตัวเองใหญ่ขึ้นจนจุกแน่นคอ

     “พิเศษมาก” แสงขาลตอบอย่างซื่อตรง  “หากมันเป็นเพียงพลอยไพฑูรย์ดิบ เหมือนสมัยที่ฉันครอบครอง ฉันคงยกให้เธอไปแล้วมินตรา เห็นเธอว่า มันเหมาะกับราศีเกิดของเธอ”

     “ไม่เอา” มินตราสะบัดเสียงใส่ คางเชิดสูง “ไม่อยากได้ของของใคร เก็บไว้ให้เพื่อนนายเถอะ” มินตราจงใจกระแทกเสียงใส่คำว่าเพื่อน ก่อนสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง

    ชายหนุ่มแปลกใจกับท่าทีเปลี่ยนไปอย่างปุปปัป ไม่รู้ตัวว่าเขาพูดอะไรผิด “ของที่คุณได้มา ก็มีค่าไม่แพ้ไพฑูรย์”

    “ฮึ พูดได้” มินตราย่นจมูก ยกสร้อยไทเกอร์อายขึ้นแกว่งไปมา “ไพฑูรย์น้ำงามสีที่หายากที่สุด เทียบกันกับคดไม้สักนี่นะ”

    “มันไม่ได้เป็นคดไม้สักอย่างที่คุณคิดหรอก อันที่จริงมันคืออัญมณีดีๆ นี่เอง ที่เขาเรียกคดไม้สักเพราะเขาเปรียบเทียบว่ามันเหมือนไม้กลายเป็นหิน เหมือนเวลาที่พวกเธอเรียกไพฑูรย์ว่าตาแมวนั่นแหละ”

    คำอธิบายอย่างใจเย็น ไม่มีวี่แววว่าจะกวนประสาทเหมือนอย่างเคย ประกอบกับแววตาแบบที่มินตราเห็นเมื่อวานนี้ แววตาที่เธออิจฉายามเขามองดูเจ้าเหมียวเบงกอล พลางใช้มือใหญ่ไล้ใต้คางเลยมาถึงแผงอกของแมวสาว บัดนี้หล่อนไม่คิดอิจฉาเจ้าเบงกอลแล้ว เพราะแววตาอ่อนโยนคู่นั้นทอดส่งให้มินตราโดยตรง

     “แล้วไง ค่าไม่แพ้กันตรงไหน” สัตวแพทย์สาวรู้ดีว่าน้ำเสียงตัวเองฟังแปร่งๆ ไปจากเดิม เว้นจังหวะพอให้มั่นใจว่าเสียงเป็นปกติจึงพูดต่อ “แล้วยิ่งบอกว่าทำมาเพื่อใช้เป็นแพนดูลั่ม คราวนี้ล่ะยิ่งใช้งานไม่เป็นเลย เครื่องมือหมอดูชัดๆ” ปกติแล้วหล่อนเป็นคนมีภูมิต้านทานความหล่อสูงทีเดียว และกับคนตรงหน้า แม้ว่าเครื่องหน้าของเขาจะงดงามสมบูรณ์แบบ แต่มินตราก็มั่นใจว่าหัวใจที่เต้นผิดจังหวะนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะแค่สายตาได้สัมผัสรูปอันพึงใจ หญิงสาวใช้นิ้วเกี่ยวพันสายสร้อย ม้วนวนไปมารอบนิ้วหวังบรรเทาอาการประหลาดที่ผุดขึ้นในใจ

    แสงขาลจับมือเล็กไว้ แล้วใช้ปลายเล็บเกี่ยวสายสร้อยสแตนเลสเส้นบางที่พันรอบนิ้วของมินตรา เขาค่อยแกะออกอย่างเบามือ ส่วนมือบางนั้นยิ่งควบคุมก็เหมือนมันยิ่งสั่น และความอุ่นร้อนของมือชายหนุ่มก็ทำให้หล่อนรู้ว่าขณะนี้มือของหล่อนต้องเย็น เฉียบแน่ๆ

    ใบหน้าชายหนุ่มยังเรียบเฉย พอกับมือใหญ่อุ่นนั้นที่นิ่งเบาทว่าแกะอย่างว่องไว พอสายสร้อยพ้นออกจากมือของมินตราได้ เขาก็ยิ้มภูมิใจโชว์เขี้ยวแหลมที่โผล่ตรงมุมปากด้านซ้าย

    มินตราถอนใจ หัวใจเสือหนอ จะรู้สึกรู้สาอะไร

     “ตาเสือ เป็นของศักดิ์สิทธิ์จากธรรมชาติ มีพลังงานอันบริสุทธิ์ หากใช้ทำสมาธิก็จะช่วยให้จิตใจสงบ และผลจากจิตอันสงบนั้น ประมาณค่าไม่ได้เลย ไม่ว่าเธอจะมีไพฑูรย์ หรือทรัพย์สมบัติล้ำค่ากี่ร้อยพันชิ้นก็ตาม” 

    “นายพูดเสียจนฉันเคลิ้มว่ากำลังฟังเรื่องตำนานเหล็กไหล”

    “ต่อให้มีเหล็กไหล หากตั้งประดับเรือนไว้เฉยๆ ก็เท่านั้น ดีไม่ดีเขาก็จะจากไปไม่บอกกล่าว”

    เขาที่ชายหนุ่มพูดถึง คงจะหมายถึงเหล็กไหล มินตราก็เคยได้ฟังมาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คิดว่าคงจะเป็นแร่นิดหนึ่งตามธรรมชาติ ซึ่งผู้คนเชื่อถือร่ำลือกันว่าเป็นของวิเศษ เพราะมีเรื่องเงินทองอยู่เบื้องหลังมากกว่า “แล้วตาเสือชิ้นนี้ล่ะ ถ้าไม่เก็บเอาไว้เฉยๆ จะให้ทำอะไร”

    แสงขาลพันส่วนบนสุดของสร้อยไว้กับนิ้วชี้เพียงสองรอบ แล้วทิ้งตาเสือให้ดิ่งลงมาลอยตั้งฉากกับพื้น “ใช้ได้หลายอย่างเชียว ง่ายๆ เลยก็ถือไว้แบบนี้ แล้วพูดกับตาเสือ ออกคำสั่งให้นิ่ง...นิ่ง หากมือนิ่งแปลว่าใจนิ่ง”

    ทั้งที่เพิ่งหย่อนสายสร้อยแท้ๆ แต่เหมือนดวงตาของแสงขาลที่จ้องนิ่งอยู่นั้น กำลังออกคำสั่งโดยตรงกับแพนดูลั่ม ดั่งเขาสามารถสะกดอัญมณีในมือให้เชื่อฟังได้ ไม่มีส่วนใดไหวติงไม่ว่าจะเป็นสายสร้อย หรือแม้แต่ก้อนไทเกอร์อาย รวมทั้งร่างทั้งร่างของชายหนุ่ม ทุกอย่างนิ่งงันราวกับเป็นเพียงรูปปั้นหรือรูปวาดในทันที

    “ง่ายจะตาย ใครก็ทำได้ แค่นั่งนิ่งๆ” มินตราคว้าแพนดูลั่มมาถือบ้าง ใจก็คิดว่าแม้จะนิ่งได้ไม่เท่าชายหนุ่ม แต่ชั่วเวลาเพียงอึดใจ หล่อนก็น่าจะทำได้ใกล้เคียง หล่อนจัดแจงพันสายสร้อยกับนิ้วเลียนแบบแสงขาล แล้วหย่อนแพนดูลั่มลง เจ้าเครื่องรางชิ้นน้อยหมุนติ้วเป็นลูกข่าง “สักครู่นะ มันต้องใช้เวลานิดนึง” รีบแก้ตัวเมื่อพบว่าการหมุนดูท่าจะต่อเนื่องไม่สงบลงง่ายๆ แบบเขา เจ้าไทเกอร์อาย ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับผู้เป็นเจ้าของเอาเสียเลย ยิ่งรอคอยก็ยิ่งหงุดหงิดและเหมือนว่ายิ่งหงุดหงิด สายสร้อยในมือก็ยิ่งเหวี่ยงแรงขึ้น แต่อารมณ์อยากเอาชนะก็ทำให้มินตราไม่ปล่อยมือออกจากสายสร้อย

    “อย่าอารมณ์เสีย หายใจลึกๆ” ชายหนุ่มแนะเสียงนุ่ม แล้วเดินอ้อมมาทางด้านหลังของมินตรา

    มินตราทำตามคำแนะนำด้วยการหายใจลึกๆ สองสามครั้ง สายตาหล่อนจ้องนิ่งอยู่ที่ส่วนปลายแหลมของไทเกอร์อาย ...ได้ผล!... อัญมณีรูปทรงดิ่งค่อยแกว่งช้าลง ช้าลง

    “ดี ประคองลมหายแบบนั้น ให้สม่ำเสมอ แบบนั้น” 

    มินตราทำตามอย่างว่าง่าย ใจเบิกบานขึ้นเมื่อเห็นว่าส่วนปลายของอัญมณีเคลื่อนที่น้อยลงๆ เรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงบังคับลมหายใจจะมีผลทำให้มือนิ่งได้รวดเร็วขนาดนี้ เธอเผลอละสายตามองไล่ไปที่สายสร้อยซึ่งยังไกวตัวเพียงเล็กน้อย

    เสียงนุ่มทุ้มกระซิบอยู่ที่ใบหู “มองจุดเดิม อย่าเคลื่อนสายตา”

    หญิงสาวเหลือบมองสันจมูกโด่งที่ลอยเข้ามาประชิดหัว ไรหนวดเฉียดเบาๆ ที่ขอบใบหูด้านบน ทำเอาขนลุกเกรียวอย่างห้ามไม่อยู่ กลิ่นลมหายใจเหมือนป่าที่ต้องสายฝน ใครกันนะที่พูดว่ากลิ่นสาบเสือนั้นเหม็นอย่างรุนแรง จนสัตว์น้อยใหญ่ไม่กล้าเข้าใกล้ หรือว่ากลิ่นที่ต้องจมูกหล่อนในเวลานี้จะไม่ใช่กลิ่นสาบเสือ มินตราเผลอเอนตัวอย่างผ่อนคลายจนแผ่นหลังแตะกับอกหนา หล่อนกำลังคิดอยากจะหลับตา

    “เอ้า บอกให้ทำสมาธิมองจุดเดิม ตั้งใจสิ”   

    คำสั่งเข้มแกมดุของเขา ปลุกมินตราให้ตื่นจากภวังค์ ตกลงว่าเจ้าไทเกอร์อายก้อนจิ๋วนี่ มันใช้เป็นเครื่องมือทำสมาธิหรือใช้สะกดจิตกันแน่ “ฉันทำไม่ได้หรอกแสงขาล วันนี้ฉันยังไม่พร้อม”

    เขายักไหล่ แล้วดันร่างเล็กออกจากแผ่นอก “ดีเหมือนกัน กลิ่นตัวของคุณทำให้ผมเวียนหัว”

    “กลิ่นตัวของฉัน” มินตราเสียงหลง ยกแขนขึ้นเอาจมูกฝังกับรอยพับใต้วงแขน สูดกลิ่นฟุดฟิด “ฉันอาบน้ำแล้วนะ”

    “ไม่ใช่ กลิ่นมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก” พูดพร้อมยื่นจมูกเข้ามาใกล้ซอกคออีกครั้ง จนมินตราผงะหนี แต่พื้นที่ที่นั่งอยู่ทำให้ขยับไปได้เล็กน้อย “ไม่ใช่กลิ่นมนุษย์ กลิ่นแบบสารเคมี แบบดอกไม้แต่ฉุนเอียนๆ”

                    พอเกิดการประชิดตัวบ่อยครั้งเข้ามินตราก็หมดความอดทน ไม่ได้โกรธเขา แต่โกรธตัวเองที่มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง โดยมีเขาเป็นผู้กำหนดอยู่เบื้องหลัง เหมือนเอาความรู้สึกตัวเองไปหย่อนใส่ในอุ้งมือเขา

                    “แสงขาล นายรู้ไหม สุภาพบุรุษเขาไม่ทำตัวใกล้ชิดผู้หญิงที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมากเกินไป มันดูรุ่มร่าม นายควรต้องเว้นระยะห่างระหว่างเพศ ถือเป็นเรื่องของมารยาท”

                    แสงขาลนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะผละออกห่างจากร่างหญิงสาว คิ้วหนาขมวดมุ่นเพราะขบคิด ทบทวนบางอย่าง เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย “ฉันขอโทษนะมินตรา ฉันไม่ทันคิดเรื่องมารยาท อันที่จริงฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ ไม่ได้คิดจริงๆ”

                    “โอเค” มินตราแค่นเสียง มือกอดอก “รู้แล้วว่าไม่ได้คิดจริงๆ ไม่ต้องย้ำ” ความน้อยใจวิ่งแปลบปลาบไปทั่วร่าง อยากถามต่อไปอีกว่า ไม่คิด และ ไม่รู้สึกด้วยหรือเปล่า 

                    ชายหนุ่มเดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จิบชามะลิต่อ “ผมคงมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องมารยาท”

                    “เรื่องพวกนั้น นายเรียนรู้ได้จากหนังและละคร ซึ่งฉันจะจัดการให้แน่นอน แต่ฉันก็อยากรู้เรื่องของนายเหมือนกัน นายมีเงินเป็นฟ่อนและยังมีอัญมณีหายากติดตัวอีก” มินตราเว้นจังหวะเล็กน้อย นึกไปถึงผู้กองเพื่อนรักที่ขอร้องให้สืบเรื่องของแคทอายสีสวย หล่อนพูดเน้นคำ อย่างช้าๆ และชัดเจน “และได้โปรดเล่าเรื่องจริง”

                     “ผมไม่เคยพูดปด มินตรา” เขาตอบหนักแน่น

    สายตาสงบนิ่งมองตรงประสานกับดวงตากลมของหญิงสาว ให้ความรู้สึกแตกต่างกันกับเมื่อครู่ แน่นอน หล่อนชอบแววตาแบบที่เขามีให้เจ้าเบงกอลแมวดำนั่นมากกว่า ทว่าสายตาแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้มินตรารู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันทำให้เธอวางใจ เชื่อใจด้วยซ้ำ

    “ฉันเชื่อนายแสงขาล ฉันถามเพราะรู้สึกว่าเราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน” มินตราพูดแล้วชะงักไว้ นึกทบทวนกาลเวลาที่เนิ่นนานกว่าสิบห้าปีจากวันนั้นจนวันนี้ “หรืออาจจะนานมาแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องของนายเท่าที่ควร”

    มินตาเองก็ไม่ได้พูดปดแต่อย่างใด ความสงสัยในตัวของเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาดูไม่รู้เรื่องราวของคนเมือง หนำซ้ำการกระทำบางอย่างยังหนักข้อกว่าคนบ้านป่า แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้มีความป่าเถื่อนโหดเหี้ยมผิดแปลกมนุษย์แต่อย่างใด นอกจากนั้นยังเป็นผู้ครอบครองอัญมณีหายาก และพกเงินเป็นฟ่อนมากมายกว่าคนเมืองด้วยซ้ำ

    คราวนี้หล่อนสบตาเขาได้โดยไม่มีความรู้สึกแปลกๆ อะไรมารบกวนเหมือนเมื่อครู่ ไม่ว่าเรื่องราวที่เขากำลังจะเล่าต่อไปนี้จะเกี่ยวข้องกันกับเรื่องที่พลรบอยากรู้หรือไม่ก็ตาม หล่อนก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ผืนป่าแห่งนั้นไม่ใช่ป่าทั่วไป และเขา ... ผู้ชายตรงหน้าหล่อนก็ไม่ใช่ผู้ชายทั่วๆ ไป มนต์ขลังแห่งดินแดนในป่าลึกถูกถ่ายทอดโดยผู้ที่เติบโตขึ้นในป่านั้น ... ใครเล่าจะไม่อยากฟัง  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×