ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพพาดกลอน

    ลำดับตอนที่ #1 : เ้หลือเชื่อ เสือเป็นคน

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 58


    “โอยๆ นังมินนี่ นังผู้หญิงใจร้าย หล่อนจะไม่บอกจริงๆ หรือยะ ว่าผู้ชายกล้ามใหญ่คนนั้นเป็นใคร หล่อนจะทรมานฉันไปถึงไหน อย่าบอกนะว่าแกแอบซุกผู้ชายไว้กินคนเดียว เพราะอิจฉาฉัน โอย ฉันอยากกรีดร้อง ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย”

    ได้ฟังเสียงโหยหวนของเพื่อนลอดมาตามสาย มินตราถึงกับถอนหายใจเฮือก “แกพล่ามบ้าอะไรของแก พล”

    “พร”  พลรบรีบแก้ไขชื่อตัวเอง ชื่อพรแม้จะเชยไม่แพ้ชื่อพล แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ถูกเรียก รู้สึกเป็นผู้หญิงมากขึ้น “ตบปากเดี๋ยวนี้ สอนไม่จำ หยาบคาย” 

    “เออ นังพร” มินตรานึกขำ เมื่อนึกถึงหน้าคนปลายสาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงกำลังส่งสายตาค้อนควักใส่เครื่องโทรศัพท์อยู่  มินตรากลั้นหัวเราะพูด “แอบซุกผู้ชายไว้กินคนเดียวน่ะ มันนิสัยแกหรอก อย่าโบ้ยมาลงที่ฉัน”

                    “นี่ อย่ามาไขสือ คุณพ่อเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว”

                    มินตราถอนใจเฮือก คุณพ่อที่เพื่อนเอ่ยถึงคือพ่อของหล่อนนั่นเอง คุณพ่อจอมหวงลูกสาว ทั้งที่หล่อนเองก็ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะคบใครตั้งแต่เรียนจบ

                    “คุณพ่อเล่าให้ฟังหมดแล้ว แล้วแกมาถามฉันทำไม”

                    “ปั้ดโถ่ นังมินนี่ ฉันจะไปถามอะไรคุณพ่อได้ล่ะ คุณพ่อโทรหาฉันแต่เช้า แล้วถามว่าผู้ชายคนที่พักอยู่กับแกน่ะ สนิทกันมากไหม เคยเรียนห้องเดียวกันจริงไหม ทำไมแกไม่เคยพูดถึง โอยฉันจะบ้า”

                    “แล้วแกตอบคุณพ่อว่า…” มินตราซักอย่างตื่นเต้น

                    “หึ” เสียงพลรบหัวเราะขึ้นจมูก ตอบกลับอย่างผู้คุมเชิงเหนือกว่า “ฉันก็ตอบตามที่มโนเดี๋ยวนั้นว่า เขาเป็นพืชพรรณในป่าเดียวกับฉัน และเรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่มอปลาย เฮ้อ แกจะโกหกอะไรก็ไม่เตี๊ยมกับฉันก่อน ดีนะว่าฉันสวยและฉลาด”

                    “หา...” มินตราหัวเราะคิก “แกบอกว่าเขาเป็นพวกเดียวกับแก”

                    “ใช่สิยะ ถ้าไม่อย่างนั้นแกคิดว่าคนอย่างท่านพลตำรวจเอกพนา จะยอมปล่อยให้ลูกสาวคนเดียว งาบผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาไว้ในห้องหรือยะ”

                    พลรบลากเสียงคำว่า งาบยาวนาน อย่างตั้งใจประชดประชัน

                    “ขอบใจ” มินตราไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายที่มีเพื่อนไหวพริบดีแต่ดันขี้ประชดประชัน “แล้วคนอย่างผู้พันพลรบด้วยหรือเปล่า ที่กลัวเพื่อนรักจะงาบผู้ชายที่ไหนเข้ามาก็ไม่รู้” มินตราดัดเสียง ทำสำเนียงล้อเลียนพลรบ รู้แกวที่นายตำรวจเพื่อนรักซักไซร้ไล่เลียง ไม่ใช่เพียงแค่บิดาที่นั้นที่หวงหล่อน แต่ผู้กอง แอบสาว รายนี้ หวงเพื่อนไม่น้อยหน้าไปกว่าพ่อบังเกิดเกล้าเลย “แกจำเรื่องที่ฉันเคยหลงป่าเมืองกาญจน์ได้ไหม พล” จู่ๆ มินตราก็เปลี่ยนเป็นถามเสียงเครียด จนพลรบไม่กล้าตามแก้ชื่อตัวเองเหมือนครั้งก่อน

                    “จำได้” พลรบตอบก่อนจะทำเสียงฮึมๆ เหมือนคิดทบทวนบางอย่างอยู่พักหนึ่ง “แกเล่าน้อยมากนะ แล้วไง เขาเป็นเพื่อนแกสมัยไปเที่ยวเมืองกาญจน์เมื่อตอนเด็กๆ หรือ”

                    “ว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง” มินตราลดเสียงต่ำลง แทบกลายเป็นกระซิบ ทั้งที่อยู่กันลำพังแค่สองคน “มีบางอย่างที่ฉันเล่าให้แกฟังไม่หมด แกฟังนะ...” 

                    จากนั้น เรื่องชายแปลกหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นในราตรีกาล ก็ค่อยๆ ถ่ายทอดจากความทรงจำอันสดชัดของมินตรา วินาทีนั้น คู่หู คู่สนทนาทั้งสอง ไม่อาจรู้ได้เลยว่า นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะนำทั้งสองไปพบเจอกับเรื่องแปลกประหลาดกว่านั้นอีกมากมายในเร็ววันนี้  

    ............................................................................
                     เสียงเกรี้ยวกราดของสุนัขพันธุ์บางแก้ว ดังลอดออกมาจากห้องตึกแถวติดถนน ที่มีป้ายติดด้านหน้าว่า
    "มินนี่ เพ็ทแคร์คลีนิค" ด้านในประตูกระจก พอคล้อยหลังเจ้าของแล้ว เจ้าสี่ขาพันธุ์บางแก้วแสยะปากโชว์แผงเขี้ยวในปากทั้งแผง ขู่กรรโชกอย่างบ้าคลั่งเสียงดังขรมเชือกที่ล่ามไว้ในคอถูกรั้งตึงเพราะมันพยายามจะพุ่งเข้าใส่มนุษย์ที่ยืนสงบอยู่ฝั่งตรงข้าม

    คนถูกขู่เอามือซุกกระเป๋าเสื้อกาวน์อย่างสบายอารมณ์เปิดยิ้มอวดฟันสวยเป็นระเบียบเข้าสู้กับเขี้ยวคมวับ เป็นคนอื่นคงกลัวกับแผงเขี้ยวใหญ่ๆ นั่น แต่คุณหมอสาวเคยเจอเขี้ยวชิ้นใหญ่กว่านั้นมาแล้ว "อารมณ์ไม่ดีหรือคะรูปหล่อ... จุ๊ๆ...อย่าทำแบบนั้น มันไม่น่ารักนะคะ ถุงทอง"

    ได้ฟังเพียงเสียงเรียกชื่อและสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตของมนุษย์สาวจังๆ เจ้าขนปุยพันธุ์บางแก้วก็เหมือนถูกสะกดนิ่งงันไป เสียงกรรโชกเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ เหลือเพียงแค่ฮึม ฮึม เบาๆ ในลำคอ

    "ชื่อถุงทองใช่ไหม ชื่อดูมีฐานะดีนี่นา เศรษฐีนี่เอาแต่ใจกันทุกคนหรือเปล่า...ฮึ" หญิงสาวเย้าประหนึ่งว่าเจ้าถุงทองรู้ภาษา พร้อมดีดนิ้วดังเป๊าะ! สิ้นเสียงดีดนิ้วเจ้าถุงทองก็เก็บเขี้ยวไว้ในปากอย่างเรียบร้อย หล่อนลงนั่งยองตรงหน้าเจ้าบางแก้ววางมือแหมะบนต้นคอ เริ่มลูบและตบเบาๆ เจ้าบางแก้วที่ขึ้นชื่อว่าดุแสนดุก็กระดิกหางเข้าใส่จากช้า เป็นเร็ว เร็วขึ้นและดูรื่นเริงขึ้น ราวกับเป็นสุนัขคนละตัวกับเมื่อนาทีก่อน"ดี... อย่างนั้น ...ดีมาก...เป็นเด็กดีนะ"

    โฮ่ง เสียงคำรามกลายเป็นเสียงทักทาย ตาใสๆ ของเจ้าถุงทอง กับการกระดิกหางเข้าใส่ริกๆ ดูเหมือนจงใจจะล้างผิดให้อาการเกเรของตนเมื่อครู่ แม้เจ้าถุงทองจะพูดไม่ได้ แต่สัมผัสเย็นที่แผ่ออกจากมือเรียวบางนั้น มันไม่เคยได้รับจากที่ใดมาก่อน ไม่มีแม้แต่ในสัมผัสของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ เป็นความเย็นที่มันก็บอกไม่ถูก ไม่เหมือนเย็นจากอากาศ ความเย็นอันอ่อนโยน ทว่าเข้มข้นนั้นซึมผ่านไปทุกอณูของร่างกาย ช่วยให้จิตใจที่ขุ่นมัวกระจ่างใส เบิกบานขึ้นในพริบตา

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หญิงสาวมั่นใจว่าเจ้าถุงทองมันจะไม่อยู่ในอาการคุ้มคลั่งอีก เพราะไม่ว่าจะดุร้ายขนาดไหน เธอก็กำราบได้เพียงแค่ดีดนิ้ว หรือเคาะนิ้ว เพียงครั้งเดียวเท่านั้นต่อให้สัตว์มีพิษอย่างงูเห่า จงอางหรือต่อให้เป็นแมงมุมที่พิษร้ายแรงที่สุดในโลก หรือจะสัตว์มีพิษชนิดไหนๆ ก็ตามที เธอก็ไม่เคยหวาดกลัว จะว่าเป็นพรสวรรค์ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะส่วนใหญ่พรสวรรค์มักติดตัวมาแต่เกิด แต่สำหรับเธอแล้วพรสวรรค์ประหลาดนี้ เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว หากไม่มีเหตุกาณ์เฉียดตายเกิดขึ้นในป่าเมื่อครั้งนั้น เธอก็คงไม่ได้มีอำนาจสะกดสัตว์ดุร้ายได้อย่างทุกวันนี้

    “ฉันชื่อหมอมินนี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” มีนาบอกชื่อเล่นเพื่อแนะนำตัวพลางเกาคอให้เพื่อนใหม่ “ไง... สบายล่ะสิ หนุ่มๆ กลัดมันแบบนายน่ะ ไม่เกินมือฉันหรอกนะ พูดแล้วจะหาว่าคุย ตัวใหญ่กว่านาย สิบเท่า ยี่สิบเท่า ฉันก็เคยเจอตัวต่อตัว ตาต่อตา มาแล้ว”

    มีนานึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นในป่าเมื่อ ครั้งที่เธอเจอหมีตัวใหญ่มหึมา ร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังจะเข้าไปอยู่ในกรงเล็บหมี เสือโคร่งตัวใหญ่ก็กระโจนเข้ามาช่วยไว้ ใครจะเชื่อว่าเสือช่วยคน เพราะบุญคุณของเสือลายพาดกลอนตัวนั้น ทำให้หล่อนรอดชีวิตจนได้มาเป็นสัตวแพทย์และมานั่งคุยโวให้เจ้าถุงทองฟังอยู่ในวันนี้

    จู่ๆ หางที่กระดิกอย่างร่าเริง ก็ลีบลู่ลง หมอบตัวลงทำหูหลุบพับร้องครางอิ๋งๆ อย่างไม่มีสาเหตุ หญิงสาวกำลังจะบอกกับเจ้าขนปุยว่า ที่เล่ามาไม่ได้ตั้งใจขู่นะแต่เสี้ยวนาทีนั้นก็ฉุกคิดทันว่าเจ้าสี่ขาไม่น่าจะฟังรู้เรื่อง มันคงกลัวอะไรบางอย่าง ไวเท่าความคิด เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

    “ขี้คุย!”   

    มีนาหันหลังไปมอง แล้วรีบลุกขึ้นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ผู้มาเยือนเป็นชายร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างหนา จนเสื้อช่วงอกค่อนจะตึงคับ ผมหยักศกยาวถูกมัดรวบต่ำไว้ ใบหน้าของเขานิ่ง ราบเรียบ จนหญิงสาวเดาไม่ถูกว่ามาดีหรือมาร้าย 

    “สวัสดีค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” มีนาค้อมศีรษะให้ลูกค้าแปลกหน้าพร้อมกันนั้นก็ถอยหลังอย่างระมัดระวังตัว “ตอนนี้คลีนิคปิดแล้วค่ะ รบกวนมาใหม่พรุ่งนี้นะคะ”

    บอกพลางลอบสำรวจที่ตัวชายหนุ่ม เผื่อว่ามีกระรอก ลูกแมวเพิ่งคลอด หรือสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาพกพามา... แต่ไร้วี่แวว นั่นยิ่งทำให้สัตวแพทย์สาวใจฝ่อ เขาไม่ได้พาสัตว์เลี้ยงมารักษาแน่ๆ พยายามนึกว่าวางโทรศัพท์ไว้ตรงไหน คิดไปจนถึงว่าจะมีโอกาสได้แจ้งตำรวจไหม สัตว์ต่างๆที่อยู่ในห้องเล็กๆนั้นพร้อมใจกันเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงขยับตัวเหงื่อเม็ดเป้งผุดที่ไรผมแถวหน้าผากของสัตวแพทย์ แผ่นหลังทั้งหลังเย็นวาบไปหมด...

    ลูกค้าแปลกหน้ายืนจังก้าจ้องหน้าเจ้าของสถานที่ด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตา เหมือนเมื่อครู่ที่หล่อนจ้องเจ้าถุงทองไม่ผิดเพี้ยน แขกไม่ได้รับเชิญค่อยสาวเท้าเข้าประชิดตัว สัตวแพทย์สาวถูกตรึงด้วยดวงตาคู่นั้น ไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว ไม่มีแม้แต่เสียงจะเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก

    มือหนาใหญ่ ตะปบเข้าที่ปกคอเสื้อ ตัวที่อยู่ด้านในเสื้อกาวน์ ผ้าเนื้อบางค่อนข้างเก่าฉีกขาดอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นเนินอกที่มีรอยแผลเป็นคล้ายรูปเขี้ยวสัตว์ ตำหนิเดียวที่อยู่บนเรือนร่าง... ตำหนิในร่มผ้าที่น้อยคนจะได้เห็น แต่บัดนี้กำลังถูกชายแปลกหน้ายืนจ้องมองตาไม่กระพริบ

    หล่อนทั้งอาย โกรธ กลัว ระคนกัน น้ำตารื้นขึ้นคลอหน่วยตา... มือใหญ่หนายั้งไว้เพียงเท่านั้น ไม่ได้ทำรุ่มร่ามอื่นใดเขาละมือจากเสื้อตัวใน เปลี่ยนไปจับปกเสื้อกาวน์ดึงมาปิดให้ “ใช่จริงๆ”

    จังหวะที่เขาผละออกจากร่างหญิงสาวด้วยการก้าวถอยหลังก้าวหนึ่ง หล่อนก็ได้รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเหวี่ยงฝ่ามือลงที่ใบหน้าเขา ... ทว่าไม่ได้เฉียดแม้ปลายเล็บ เขาหลบด้วยความไวที่เกินคนปกติ รวดเร็วจนเธอตกตะลึง

    พอขยับมือไม้ได้ มีนาก็รู้ทันทีว่าร่างที่ถูกบางอย่างยึดตรึงพันธนาการไว้ บัดนี้เป็นอิสระแล้ว เธอเปล่งเสียงตะโกนลั่น

    “เลว ... ออกไปจากคลีนิคฉันเดี๋ยวนี้ ไอ้โรคจิต ช่วยด้วย ช่วยด้วย” มีนาคิดไม่ออก ว่ายามนี้จะมีอาวุธใดที่มีอานุภาพมากกว่าเสียงแหลมอันทรงพลังของเธอ

    ชายแปลกหน้าเข้าประชิดตัวหญิงสาวอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้มือสองข้างประกบข้างกกหูหล่อน ประคองหน้าคุณหมอให้อยู่ตรงกันกับหน้าของเขา จ้องตาอีกครั้ง ... เสียงโวยวายเงียบสนิทร่างทั้งร่างถูกตรึงอีกครั้งแน่นอนว่าที่ปากและเสียงในลำคอของหญิงสาวก็ถูกควบคุมไว้ด้วย

    “ฟังผมนะ ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ คือ... ผมลืมไปว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทที่ฉีกเสื้อคุณ”

    มีนาพยายามด่าด้วยการทำตากรอกไปมา ไอ้บ้าลืมบ้านแกน่ะสิ คนดีๆ ที่ไหนเขาไล่ฉีกเสื้อคนอื่นหา หน้าตาก็ดีไม่น่าเป็นพวกโรคจิต นี่แกเป็นมิจฉาชีพ หรือนักสะกดจิต ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ แต่ดูเหมือนเสียงก่นด่านั้น ก้องกังวาลอยู่ในหัวของหล่อนแต่ผู้เดียว

    เขายังคงบังคับให้หญิงสาวฟัง “ผมขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ ขอโทษจริงๆ ผมเคยเจอคุณเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว และวันนี้ผมจำเป็นต้องมาที่นี่ เพราะผมต้องการของที่คุณเคยเอาไป มันเป็นของของผม เป็นของอาจารย์ของผม”

    มีนาเริ่มสับสน ตกลงว่าเขาไม่ได้เป็นขโมย แต่กำลังกล่าวหาว่าเธอเป็นขโมย...ใช่หรือไม่...

    ชายหนุ่มคลายมนต์สะกดอีกครั้ง หล่อนไม่รู้ว่าเขาคลายอย่างไร ไม่อยากจะรู้ด้วย เพราะหน้าที่ของหล่อนมีเพียงตะโกนให้สุดเสีย

    “ช่วยด้วยยยยยย” คราวนี้มีนาหลับตาปี๋ ไม่ยอมสบตาให้ตัวเองต้องเล่ห์มนต์สะกดอีก

    เสียงคำรามแทนการตวาดก้องดังจนกลบเสียงแหลมแจ๋นของเธอ หล่อนได้แต่อ้าปากค้าง คราวนี้ไม่ใช่เพราะโดนมนต์สะกด เพราะเสียงเมื่อครู่ที่ได้ยิน มันเป็นเสียงคำรามของเสือชัดๆ เสียงที่เคยได้ยินเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ผู้ชายตรงหน้าคำรามเหมือนสัตว์ป่าได้!!!

    “หยุด!แล้วฟัง อย่าให้ผมต้องโมโห” เขาออกคำสั่งห้วนสั้น

    มีนายืนนิ่ง หากเขาจะทำอันตรายหล่อน เขามีโอกาสทำเนิ่นนานแล้ว ไม่ปล่อยเธอยืนแผดเสียงแหวอยู่ให้หนวกขู บางทีอาจมีเรื่องที่ต้องการบอกจริงๆ หล่อนพยายามทบทวน ... แล้วเมื่อครู่เขาจะบอกอะไรนะ เคยเจอกัน และเขาจะเอาของ...ของที่เธอเคยเอาของเขามา... ของอะไรกัน

    “นายจะเอาอะไร หยิบไปได้เลยในคลีนิคนี้ อยากได้อะไรก็เอาไป เอาไปให้หมด ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกตำรวจ”  หัวขโมยเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว นี่คงกะชิงทรัพย์ก่อนแล้วฆ่า

    “ผมมาเอาเขี้ยว... เขี้ยวของผมที่อยู่ในอกของคุณ”

    “ว่า...ว่าไงนะ” มีนาพูดตะกุก ตะกัก

    “สิบห้าปีก่อนมีเสือตัวหนึ่งรักษาแผลให้คุณโดยใช้เขี้ยวเพชร เขี้ยววิเศษที่มีแสงประกายเจิดจ้า”

    ชายหนุ่มแปลกหน้าพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างถูกต้อง เรื่องที่ไม่น่าจะมีใครอื่นที่รู้ มีเพียงเธอกับเสือโคร่งตัวนั้น

    “นี่นายจะบอกว่า... นายคือ....”  

    “ผมคือเสือ” เขาต่อประโยคให้ “เสือตัวที่คุณตั้งชื่อว่า เจ้าเขี้ยว” เขาไม่สบอารมณ์กับชื่อนี้เอาเสียเลย แต่เอาเถอะ เรื่องที่รู้กันอยู่สองคน มันอาจจะทำให้หล่อนสงบและเชื่อฟังเขาง่ายขึ้น

    “มันจะเป็นไปได้ยังไง ตลกตายล่ะ!” คุณหมอสาวพยายามคิดหาคำพูดที่บอกให้เขารู้ว่าเธอไม่เชื่อ หากแววตานั้นเบิกกว้าง ทั้งตกใจทั้งทึ่งระคนกัน ไม่ใช่เรื่องตลกอย่างคำที่เธอพูด เจ้าเขี้ยวชื่อของเสือตัวนั้น เธอตั้งให้มันในป่า และมั่นใจว่าไม่เคยเรียกให้ใครได้ยิน  

    ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอา “คุณคิดว่าเสือธรรมดาๆ ที่ไหน จะยอมช่วยคุณให้พ้นจากเขี้ยวหมี โดยไม่คิดชำแหละเนื้อคนเข้าปาก”

    “แต่ตอนนี้... ที่ยืนอยู่ตรงนี้ นายเป็นคน... นี่นายบอกมาตรงๆ เถอะ ว่าที่ลงทุนมาปั้นเรื่องหลอกฉัน นายจะเอาอะไร”

    ชายหนุ่มถอนหายใจ “ก็ผมพยายามบอกอยู่นี่ไง ว่าผมไม่ใช่เสือธรรมดา”

    “เชอะ... ไม่ใช่เสือธรรมดา” หล่อนเบ้ปาก ดัดเสียง เลียนคำพูดเขาอย่างหมั่นไส้ “แล้วเป็นอะไร... เป็นเสือเทวดางั้นสิ”

     “น่าเบื่อชะมัด”  ชายหนุ่มยกมือขึ้นใช้นิ้วปัดหน้าผากตัวเองเบาๆ  

    “นี่...นายว่าใครน่าเบื่อฮึ นายบุกรุกคลินิกของฉัน เดินเข้ามาฉีกเสื้อฉัน มาเล่านิทานบ้าอะไรให้ฉันฟัง แล้วตอนนี้นายว่าฉันน่าเบื่อ” เจ้าของคลินิกชี้มือไปทางประตู ออกปากไล่แขก “นายออกไปจาก...”

    หล่อนเบิกตาค้าง ตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ผู้มาเยือนยืนตัวสั่นเทา ริ้วพาดกลอนค่อยๆ เข้มขึ้นๆ บนใบหน้า จมูกของเขาโตขึ้นๆ และสีคล้ำขึ้น ริมฝีปากและคาง ค่อยๆ เลือนหายไป ปรากฏเป็นส่วนนูนขึ้นออกมาด้านหน้า เขาอ้าปากขึ้นโชว์เขี้ยววาววับเกือบเต็มปาก ขาดไปก็แต่ตำแหน่งของเขี้ยวชิ้นใหญ่ด้านขวา เขี้ยวที่สัตวแพทย์สาวรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันหายไปไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×