ลำดับตอนที่ #84
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #84 : เพชรโฮป หลังจากที่เพื่อนๆอ่านคำสาป10อย่างไปล่ะ เลยเอามาให้อ่านเพิ่ม
เพชรมหาภัย
เรื่องของคำสาปที่ฮิตติดอันดับความเลื่อลือคราวนี้ ต่างจากคำสาปอื่นๆ สักหน่อย ค่าที่เป็นคำสาปคติดมากับอัญมณีเม็ดสำคัญๆ มันเป็นคำสาปจากพลังแห่งความศรัทธาของผู้ที่นำอัญมณีมีค่านั้นมาพลีบูชาแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพเลื่อมใส เพชรพวกนี้พา เอาหายนะมาสู่ผู้ครอบครอง ซึ่งได้มันมาด้วยวิธีไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก เลยพาให้คำสาปแช่งที่ติดอยู่กับของมีค่านั้น สร้างความวิบัติ อย่างน่ากลัวไม่น้อยกว่าแบบอื่นๆเลย ทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ ความงามของอัญมณีเม็ดสำคัญๆ มันก็ยั่วกิเลสจนอดใฝ่หาไม่ได้หรอกครับ เป็นเวลานับพันๆ ปีมาแล้วนี่ครับที่ มนุษย์เรา ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีต่างก็เสาะหาเครื่องประดับที่ประกอบด้วยอัญมณีมีค่า ทั้งในแง่เพื่อความสวยงามและเป็น เครื่องลางคุ้มภัย นำโชคลาภมาสู่ตน อะไรทำนองนี้ ในบรรดาอัญมณีที่ต่างแบ่งเป็นชนิดต่างๆ "เพชร" จัดเป็นยอดแห่งอัญมณีทีเดียวละครับ ทั้งมันยังเป็นแร่ที่แข็งที่สุดในบรรดา วัตถุที่พบได้ตามธรรมชาติ เมื่อนำมาเจียระไนก็คงความใสสว่างแพรวพราวจับตางดงามมากขึ้นอีก ใครๆ ก็ต่างพากันเชื่อว่าผู้ที่ได้ ครอบครองเพชรจะประสพโชคดีในด้านความรัก และความแข็งแรง มีสุขภาพดี มีกำลังใจ กล้าหาญ ไม่อยากสะกิดท่านผู้อ่านเลยครับว่า เมื้อแท้ของมันไม่ต่างไปกับถ่านหรือคาร์บอนที่เราใช้หุงข้าวต้มแกงเลย เพียงแต่ว่ามันไปจม อยู่ลึกใต้บาดาลเสียนานนับล้านๆ ปี ถูกความกดดันใต้โลกบีบเอาอย่างหนักหน่วงผสมกับความระอุของความร้อนข้างในโลก ทำ ให้เจ้าถ่านดำๆ เป็นคาร์บอนที่ว่า กลายเป็นหินก้อนใสแจ๋ว ส่งประกายวับวามมีราคาค่างวดขึ้นมาทันที แต่เพชรเม็ดเขื่องๆ ชนิดที่คนเห็นแล้วต้องร้องอื้อฮือกันไปตามๆนั้น เป็นของสวยงามหายาก (ซึ่งเป็นแบบที่เราไม่ต้องถามถึง ราคาค่างวดของมันหรอกครับ แค่ขนาดเท่าขี้ตาเล็นยังไม่มีปัญญา) ชนิดที่แทบจะเรียกว่างมเข็มในมหาสมุทรเท่านั้น กระทั่งใน จำนวนบ่อเพชรมากมายในโลกที่มนุษย์รู้จักหาสะสมกันมานับพันๆ ปี ยังมีเพชรระดับ"โครต" ที่ว่านี้ไม่กี่ก้อน ทั้งบางเม็ดยังมี ประวัติความเป็นมา อันพิลึกกึกกือมีอาถรรพณ์ในตัวเองที่ให้ทั้งคุณและความพินาศหายนะแก่เจ้าของที่ได้มันเอาไว้ จนกลายเป็น ตำนานประจำตัวเพชรแต่ละเม็ด ไม่มีใครพิสูจน์ได้เลยครับ เพชรระดับ "โครต" ที่เราจะพูดถึงวันนี้เม็ดแรกก็เห็นจะไม่พ้นเม็ดที่เรียกว่า "ค็อห์-ไอ-นูร์" ซึ่งขณะนี้ประดับอยู่บนมงกุฎของ สมเด็จพระบรมราชินีอลิซาเบ็ธแห่งอังกฤษ เพชรเม็ดนี้เดินทางลุยเลือดและความพินาศมาจากตะวันออก กว่าจะขึ้นประดับเป็นศรี สง่าเหนือพระเศียรของราชินีหลายพระองค์ "ค็อห์-ไอ-นูร์" เป็นภาษาอินเดียครับ แปลว่า "ขุนเขาแห่งแสงสว่าง" เดิมนั้นเป็นสมบัติหวงแหนอยู่ในความครอบครองของ กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลแห่งชมพูทวีป ซึ่งเก็บงำไว้อย่างดีในเดลฮีซึ่งเป็นเมืองหลวงของอินเดีย การได้มาของเพชรเม็ดนี้ไม่มีประวัติ ที่แน่ชัด แต่ก็เชื่อกันว่าขุดขึ้นมาจากบ่อเพชรโบราณแห่งหนึ่งในอัฟริกา อันเป็นแหล่งที่ทุกวันนี้ยังมีการทำเหมืองเพชรเป็นล่ำเป็น สันมากที่สุดในโลก คาดกันว่า กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลหลายพระองค์ที่มีโอกาสได้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ไว้ มันเพิ่งจะมาเผยโฉมตัวเองออกมาให้โลกรู้จักเมื่อปี พ.ศ.2228 นี่เอง เมื่อเพชรเม็ดนี้ตกอยู่ในความครอบครองของ นาเดียร์ ชาห์ กษัตริย์ผู้ปกครองเปอร์เซียอันได้แก่อิหร่านทุกวันนี้ โดยได้มาจากการปล้นพระคลังหลวงของจักรพรรดิโมฮัมหมัด กษัตรย์ราช วงศ์โมกุลอีกที หลังจากนาเดียร์ ชาห์สิ้นพระชนม์ ชาห์รุคก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ทายาทองค์ใหม่ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ทีนี้เมื่อหัวหน้าเผ่า อัฟกันดินแดนข้างเคียงยกทัพเข้าตี เปอร์เซียก็ล่ม และเพชร "ค็อห์-ไอ-นูรื" ก็เปลี่ยนเจ้าของมาอยู่ในครอบครอง อาห์เหม็ด ชาห์ หัวหน้าเผ่าอัฟกันที่ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเปอร์เซียแทน ทายาทของอาห์เหม็ด ชาห์คือ ชาห์ ซูจาห์ พระองค์ครอบครองเพชรเม็ดนี้เอาไว้ได้ไม่นาน อาถรรพณ์ของ "ค็อห์-ไอ-นูรื" ที่จะต้อง เปลี่ยนมือจากเจ้าของหนึ่งมาเป็นอีกเจ้าของหนึ่งก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก เมื่อชาห์ ซูจาห์มีอันต้องมอบมันให้กับ รานจิต สิงห์ "สิงห์ ผยองแห่งปัญจาป" ด้วยการถูกขู่บังคับ ครั้นเมื่ออังกฤษเข้ายึดชมพูทวีปเอาเป็นอาณานิคมโดยบริษัทอีสต์ อินเดียเป็นหัวหอก เพชร "ค็อห์-ไอ-นูร์" ก็ถูกนำมามอบให้กับบริษัทนี้ในปี พ.ศ.2392 แล้วถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาถวายแก่สมเด็จพระนางเจ้า วิคตอเรีย พระราชินีผู้โด่งดังของอังกฤษ สองปีหลังจากนั้น คือ พ.ศ.2394 "ค็อห์-ไอ-นูร์" ก็ได้อวดโฉมของมันท่ามกลางผู้ลากมากดีทั้งหลายของอังกฤษในงานแสดงที่ ลอนดอน ในฐานะเพชรที่เคยประดับบนผ้าโพกศีรษะของผู้ครองอาณาจักรแห่งชาวสิกข์ เดิมเพชร "ค็อห์-ไอ-นูร์" นี้มมีน้ำหนักทั้งสิ้น 191.10 กะรัตหรือ 186 1/16 กะรัตอินเดียโบราณ แต่นำมาตัดและเจียระไนเป็นรูป ทรงใหม่ในลอนดอน ไม่นานหลังจากนั้นคือในปี พ.ศ.2395 เพชรเม็ดนี้ก็ลดน้ำหนักลงมาเหลือแค่ 108 1/3 กะรัต มันยังคงนอน นิ่งสงบอยู่ในท้องพระคลังของอังกฤษจนกระทั่งปี พ.ศ.2480 จึงมีการนำออกมาประดับไว้ที่มงกุฎที่จะสวมในพิธีสถาปนาพระ บรมราชินีอลิซาเบ็ธ (ซึ่งปัจจุบันคือพระพันปีหลวง พระราชชนนีของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่สองพระราชินีของอังกฤษ) ตำนานของเพชร "ค็อห์-ไอ-นูร์" นี้กล่าวกันว่า ผู้ที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของจะได้เป็นใหญ่เป็นโตถึงเจ้าโลก แต่จะต้องเป็นสตรีเท่า นั้น ไม่มีบุรุษใหมีสิทธิ์ประดับเพชรเม็ดนี้ได้โดยราบรื่น จะต้องมีอันเป็นไปทุกที "ขุนเขาแห่งแสงสว่าง" เม็ดนี้จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งนำ โชคของสตรีเท่านั้น งานนี้ผู้ชายไม่เกี่ยว ส่วนเพชรอีดเม็ดหนึ่งที่มีความเฮี้ยนอย่างน่าประหลาด โหดยิ่งซะกว่า "ค็อห์-ไอ-นูร์" ก็คือเม็ดที่จะเล่าต่อไปนี้ละครับผม ใครที่เคยไปเที่ยววอชิงตันในสหรัฐ คงจะเคยแวะเยี่ยมชมสถาบันสมิธโซเนี่ยนอันเลื่องชื่อ สถานที่นี้มีพิพิธภัณฑ์อันเก่าแก่ที่โด่งดัง ที่สุดของอเมริกา สะสมของโบราณมากมายหลายประเภท น่าสนใจทั้งประวัติและตัวของมันเอง มีอยู่จำนวนมากชนิดดูกันเป็นวันๆ ยังไม่หมดที่สถาบันนี้เองยังมีแผนกหนึ่งซึ่งมีผู้คนสนใจเข้าคิวชมกันอย่างคับคั่ง และสิ่งที่ใครต่อใครพากันสนใจมากที่สุดในแผนก ก็คือ เพชร เป็นเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่มากเม็ดหนึ่งที่ส่งประกายวาววับจับตา ทว่าขณะเดียวกันใครๆ ที่ได้เห็นต่างพากันยืนยันว่า มีรังสีของความเยือกเย็นออกมาด้วย ความเย็นเยือกที่มันส่งประกายออกมาเต็มไปด้วยเรื่องราวอันยาวนาน ซุ่มไปด้วยเลือดและ ชีวิตของคนไม่น้อยกว่า 20 คนที่หลงติดบ่วงเสน่าหาของมันจนต้องพบชะตากรรมสยดสยองกันมาแล้ว เพชรเม็ดนี้มีชื่อว่า "โฮป" เห็นชื่อไพเราะแปลว่าความหวังอย่างนี้ คนที่แตะต้องมันกลับต้องหมดหวังไปเสียทั้งหมด ทั้งกษัตริย์และคนเข็ญใจ โจรและขุนนาง ที่เข้ามายุ่งกับมันต่างลงเอยด้วยความบ้าคลั่งและความตายอันน่าทุเรศเป็นเวลากว่าสามศตวรรษเชียวละครับ ตามประวัติ ว่ากันว่ามันถูกขุดพบที่เหมืองริมฝั่งแม่น้ำกฤษณาทางตะวันตกเฉียงใต้ของชมพูทวีป และถูกนำไปประดับไว้กลาง นลาฏของพระศิวะในเทวาลัยแห่งหนึ่ง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายแรกของโฮปตามที่เล่าไว้ในตำนานกว่าห้าร้อยปีก่อน ได้แก่นักบวชฮินดู ที่หาญกล้าแกะเพชรเม็ดสำคัญออก หรือจะพูดให้ถูกก็คือขโมยนั่นแหละ ปรากฆว่าดันถูกจับได้และถูกเจี๋ยนไปตามระเบียบ จากนั้นมันก็หายเงียบไปนาน จนมาโผล่อีกทีในปี พ.ศ.2185 ในยุโรปโดยปรากฏว่าเป็นสมบัติของพ่อค้านักลักลอบซื้อขายของ โบราณชื่อ นายจัง แบบติสเต ทาเฟอร์นิเอร์ เขาขายเพชรเม็ดนี้ไป ได้เงินได้ทองมามากมายพอที่ซื้อหายศถาบรรดาศักดิ์และบ้าน เรือนที่อาศัย แต่ลูกชายของเขาซีครับเกิดสำลักความรวย เลยไปเล่นการพนันจนเป็นหนี้สินจำนวนมหาศาล ทำให้นายจัง แบบ ติสเต ทาเฟอร์นิเอร์ ผู้เป็นพ่อ ถึงกับต้องขายบ้านช่องทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดเพื่อชำระหนี้ แต่ไม่ใช่เท่านั้นนะครับ คำสาปเพชรยัง เล่นงานเขาต่ออีก เมื่อหมดเนื้อหมดตัวเข้า พ่อค้าของโบราณต้องกลับไปตั้งต้นหาโชคลาภในอินเดียใหม่ แต่เขาไม่มีทางได้ตั้งตัว อย่างที่หวังเลย เพราะมันจบลงด้วยความตาย จัง แบบติสเต ทาเฟอร์นิเอร์ ถูกฝูงหมารุมกัดทึ้งกลางถนนในอินเดียนั่นเอง ต่อจากนั้นไม่นานเพชรมหาภัยก็ไปปรากฏโฉม ในคนสังคมชั้นสูงได้ยลในฐานะพระราชทรัพย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่ง เศสคราวนี้มันถูกตัดออกเจียระไนใหม่จากน้ำหนักเดิม 112.5 กะรัตเหลือเพียง 67.5 กะรัตเท่านั้น แต่แม้ขนาดจะเล็กลงก็ไม่ได้ หมายความว่าอาถรรพณ์ของมันจะน้อยลงด้วย นิโคลัส ฟอร์เกท์ เจ้าหน้าที่ราชสำนักฝั่งเศสกลายเป็นเหยื่อคนต่อมา เขาติดตาต้อง ใจมันแต่แรกเห็น ถึงขนาดลงทุนขอยืมพระเจ้าแผ่นดินไปประดับในงานราตรีสโมสรครั้งหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มีอัน ต้องถูกจับในข้อหารีดไถกรรโชกทรัพย์และถูกตัดสินให้ติดคุกจนต้องตายคาคุกบาสตีลล์ ไม่มีโอกาสได้รับอิสรภาพ ส่วนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝร่งเศส ผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ แม้จะมีฐานะเป็น "สุริยราช" ก็กลับสิ้นพระชนม์ด้วยสภาพที่ผู้คน เกลียดชัง เนื่องจากพระองค์และราชสำนักใช้จ่ายเงินฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นำมาซึ่งความหายนะแก่ส่วนรวมในเวลาต่อมา ยังไม่พอครับ เพราะเหตุที่ไม่เชื่ออาถรรพณ์ของเพชรเม็ดนี้สมาชิกในราชตระกูลของฝร่งเศสต่างล้มตายไล่เลี่ยกันด้วยสาเหตุและ โรคภัยที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน และชะตากรรมอันน่าขนพองสยองเกล้าก็เกิดขึ้นกับสมาชิกบูร์บองอีก สามพระองค์ต่อมา หลังจากที่นำเอาเพชรเม็ดนี้ไปประดับมงกุฏที่ใช้สวม เจ้าหญิงเดอ ลัมเบลล์ ซึ่งเคยใช้มงกุฏนี้ประสพความตายด้วยการถูกพวกเหล่าร้ายกลุ้มรุมกันทำร้าย ส่วนพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ พระนางมารี อังตัวเน็ตต์พระมเหสีซึ่งรับมรดกตกทอดเพชรเม็ดนี้มา ก็ประสพวาระสุดท้ายด้วยกิโยตินบนตะแลงแกงหลังจากเกิด การปฏิวัติขึ้นในแผ่นดิน ความวุ่นวายปั่นป่วนในกรุงปารีสยังคงดำเนินไปหลังจากการปฏิวัติใหญ่ เพชรอาถรรพณ์ก็พลอยหายไปนานกว่า 40 ปี ไปโผล่อีก ที่ในมือของ จ้าค ชีลอต์ พ่อค้าเพชรชาวฝรั่งเศส ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่หลงใหลในความงามของเพชรเม็ดนี้มาก แต่ลงท้ายปร่กฏว่า เขาเกิดสติฟั่นเฟือนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วก็ประกอบอัตวินายาตกรรมไปเรีบยร้อย จากนั้นเพชรตกมาเป็นสมบัติของเจ้าชาย อีวาน คานิตอฟกี้ในเวลาต่อมา และพระองค์ก็ประทานเพชรให้กับสนมชาวปารีเซียงคน หนึ่งไม่นานนักก็เกิดเหตุยิงสนมคนนั้นตายก่อนที่เจ้าชายเองจะฆ่าตัวตายตามโดยไม่มีสาเหตุรุนแรงถึงขั้นต้องฆ่า เชื่อกันว่า แม้กระทั่งพระนางแคทเธอรีน มหาราชแห่งรัสเซีย ครั้งหนึ่งก็เคยได้เพชรเม็ดนี้ไว้เชยชม ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ไปด้วย โรคเส้นโสหิตในสมองแตก เพชรเม็ดนี้หายไปจนกระทั่งมาเจอะเจอกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อช่างเจียระไนชาวดัทช์จัดการตัดเพชรเม็ดนี้ลงอีกเหลือแค่ 44.5 กะรัตอันเป็นน้ำหนักขนาดเพชรที่คงอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน แต่ต่อมาช่างเจียระไนรายนี้ก็ฆ่าตัวตายเมื่อโดนหลานชายแอบดอดเข้ามาขโมยเพชรไปหลังการตัด เพชรดังกล่าวเปลี่ยนมือไปมือ แล้วมือเล่า หนทางของมันล้วนชุ่มไปด้วยเลือดตลอดทั่วทวีปยุโรปทั้งสิ้น จนกระทั่งในทีสุดก็ตกมาเป็นสมบัติของนายธนาคารชาว ไอริชผู้มั่งคั่งคนหนึ่งชื่อ เฮนรี่ โธมัส โฮป เขารับซื้อเพชรเม็ดนี้ไว้ในราคาเพียงแค่ 30,000 ปอนด์ และตั้งชื่อเพชรตามชื่อตัวเอง จนเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานมาจนปัจจุบันว่า "โฮป" แต่หลานชายของมหาเศรษฐีนายธนาคารรายนี้ ก็ต้องชะตากรรมตายไปด้วยความ อดอยากและไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เก๊เดียว ในปี พ.ศ.2451 สุลต่าน อับดุล ฮามิด ตกลงซื้อเพชรเม็ดนี้ไว้ด้วยราคา 400,000 ดอลลาร์ สุลต่านมอบเพชรเป็นของขวัญแก่ชายา สุบายา แต่ไม่นานนักตัวสุลต่านเองกลับฆ่าชายตนนี้ด้วยการกระหน่ำแทงจนตาย หนึ่งปีต่อจากนั้นพระองค์ต้องมีอันต้องกระเด็น ออกจากบัลลังก์ตายเหมือยขอทานอยู่ข้างถนน เพชรโฮปเดินทางต่อไปยังอเมริกา มีคนรับซื้อไปในราคา 145,000 ดอลลาร์ โดยผู้ซื้อได้แก่เจ้าพ่อวงการธุรกิจระดับมหาเศรษฐีผู้ หนึ่งคือ เน็ต แมคลีน ในปี พ.ศ.2454 อีก 40 ปีจากนั้น วิบัติก็บังเกิดขึ้นกับครอบครัวนักธุรกิจรายนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หลานชายของแมคลีนถูกรถชนตาย ตัวแมคลีนเอง ค้าขายขาดทุนย่อยยับและไปตายในโรงพยาบาลบ้า ลูกสาวของเขาก็ตายในปี พ.ศ.2489 เพราะใช้ยาเสพติดมากเกินขนาด ส่วน ภรรยาของแมคลีนคืออีเวลีนนั้นกลายเป็นคนไข้เสพติดมอร์ฟีนขนาดหนัก เห็นจะมีเจ้าของที่ได้ครอบครองเพชรโฮปเพียงรายเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นอาถรรพณ์ของมันมาได้ คนๆนี้ คือ แฮรี่ วินสตัน ซึ่งรับ ซื้อเพชรโฮปมาจากทายาทคนสุดท้ายของตระกูลแมคลีน การรอดพ้นความสยดสยองดันเกิดจากอาถรรพณ์ของเพชรโฮปมาได้ จากการที่เขาแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายที่สุด นั่นก็คือการให้ วินสตันบริจาคเพชรเม็ดนี้ให้กับสถาบันสมิธโซเนี่ยน และนับจากนั้นมาเพชรโฮปยอดอาถรรพณ์ก็สงบนิ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของ สถาบันนี้ โดยไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งมันอาจจะแผลงฤทธิ์ปล่อยอาถรรพณ์ให้กับใครต่อใครอีก หากมันถูกเปลี่ยนมือไปเป็นคนใด คนหนึ่งแทนที่จะเป็นสถาบันใดสถาบันหนึ่งอย่างที่มันสงบอยู่ในวอชิงตันเวลานี้ ท่านผู้อ่านอ่านแล้วขยาดกับอัญมณีมั่งรึเปล่า ผมว่าทางที่ดี น่าจะลองสาวประวัติของอัญมณีที่ท่านประดับดูมั่งก็ดีนะ โดยเฉพาะ พวกที่มีระดับขนาด"โครต" ทั้งหลายนั่นละ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น