ชายคนนี้เป็นพลเมืองดี...จริงหรือเปล่า? - ชายคนนี้เป็นพลเมืองดี...จริงหรือเปล่า? นิยาย ชายคนนี้เป็นพลเมืองดี...จริงหรือเปล่า? : Dek-D.com - Writer

    ชายคนนี้เป็นพลเมืองดี...จริงหรือเปล่า?

    ผู้เข้าชมรวม

    1,590

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.59K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 พ.ค. 52 / 00:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องนี้ เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริง!!! ที่เราอยากนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านกัน...



      เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน เวลาราวๆบ่ายสองโมงครึ่ง ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุง ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ย่านที่ขึ้นชื่อว่าคนพลุกพล่านที่สุด เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคมต่างๆ ซึ่งไม่น่าที่จะเกิดเหตุการณ์อุกอาจต่างๆขึ้นได้



      ในตอนนั้น มีพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นพี่ที่เรารู้จักได้เรียกให้เราดู ผู้ชายกับเด็กหญิงอายุราวๆเด็กมัธยมต้นสองคนกำลังยืนพูดคุยกันที่หน้าห้างสรรพสินค้าด้านบนสะพานลอย(ซึ่งในขณะนั้นมีคนอยู่พลุกพล่านมากๆ) พี่เค้าบอกว่าลักษณะของผู้ชายมีพิรุธ และอาการของเด็กทั้งสองเกิดอาการหวาดกลัว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในอาการร้องไห้ ตื่นตกใจ และหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เราเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งตามไป



      ขณะนั้นเองผู้ชายคนนั้นเห็นเราเดินตามเขามาจึงรีบนำตัวเด็กทั้งสองคนเดินลงจากสะพานลอยอย่างรวดเร็ว เรากลัวว่าจะตามเด็กไม่ทัน จึงรีบวิ่งตามไป แล้วตะโกนเรียกให้ชายคนนั้นหยุด ผู้ชายคนนั้นจึงรีบนั่งลงตรงม้านั่งเหล็กสีเขียวที่อยู่ทางหน้าห้าง และนี่คือบทสนทนาต่างๆที่เกิดขึ้น....



      เรา: มีอะไรรึปล่าว เด็กทำอะไรผิดงั้นหรือ?



      ชาย: (ชายที่เราเห็นมีลักษณะสูงประมาณไม่เกิน170 ผิวขาว หน้าตาดี รูปร่างท้วมนิดๆ ผมแสกข้าง อายุประมาณ 27 ปี แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงทำงานผู้ชายสีดำ ทีคอห้อยเชือกที่สำหรับแขวนป้ายสีน้ำเงิน มีอักษรเขียนว่า สำนักงานเขตบางกอกน้อย) ปล่าวครับ คือว่า..ผมเป็นสารวัตรนักเรียน ผมเห็นเด็กสองคนนี้กระทำความผิด ผมจึงว่ากล่าวตักเตือน ก็แค่นั้น.. (ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงนุ่มๆและสุภาพ)



      เด็ก: ...... (เด็กได้แต่นิ่งเงียบ ไม่กล่าวอะไรเนื่องจากอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจ)



      เรา: ทำไมหรือ เด็กทำอะไรผิดงั้นหรือ?

      ชาย: เด็กแต่งชุดนักเรียน แล้วไปเดินเล่นในห้าง ไปเล่นในชั้นที่มีคาราโอเกะ กับเกมส์ซึ่งเป็นแหล่งมั่วสุม มันผิดกฏ ผมจึงต้องจับ นี่ผมจะต้องไปฟ้องกับทางโรงเรียนและต้องฟ้องกับผู้ปกครองของเด็กให้รับทราบด้วย!!!



      เรา: (เราหันไปคุยกับเด็ก)แล้วนักเรียนเลิกเรียนแล้วหรือยัง ถึงมาเดินในห้างแบบนี้?



      เด็ก: เลิกเรียนแล้วค่ะ วันนี้โรงเรียนปล่อยเร็วค่ะ พวกหนูถึงได้มาเดินที่ห้าง..



      เรา: แล้วได้ไปเล่นคาราโอเกะกับเกมบ้างหรือปล่าว ?



      เด็ก: ปล่าวค่ะ หนูยังไม่ได้ทำอะไรเลย หนูแค่เดินเข้ามาดูของในห้างเฉยๆค่ะ



      เรา: ในเมื่อเด็กก็ยังไม่ได้กระทำความผิด และอีกอย่างก็อยู่ในช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิกแล้ว คุณจะจับกุมเด็กเพื่ออะไร?



      ผู้ชาย: แต่มันผิดกฏนะครับ เด็กใส่ชุดนักเรียนอยู่ห้ามมาเดินในห้างซึ่งเป็นพื้นที่แบบนั้น มันไม่สมควร ไมไม่เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดาก่อนแล้วค่อยมาเดินล่ะ ทำแบบนี้มันผิดกฏ ผมต้องเอาเรื่อง!!! ผมจะแจ้งทางโรงเรียนและเชิญผู้ปกครองเพื่อมารับทราบ



      เด็ก: ....(เด็กยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เพราะเด็กกลัวการถูกโรงเรียนและทางผู้ปกครองลงโทษ)



      ชาย: นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขาจะร้องไห้ทำไม "เด็กคนอื่นๆที่ผมเคยจับ ยังไม่เห็นร้องไห้แบบนี้เลย" ดูซิ เค้าทำให้คนอื่นๆมองว่าผมทำมิดีมิร้ายน้องเขากันไปหมดแล้ว.. (เล่นขู่ว่าจะฟ้องทางโรงเรียนกับฟ้องผู้ปกครอง เด็กดีๆประเภทที่เป็นเด็กเรียบร้อยจะไม่หวาดกลัวได้ยังไง ตอนนั้นยอมรับว่าเราสงสารเด็กมากๆเลย)



      ชาย: จริงๆผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรน้องเลย ก้อแค่จดชื่อกับเลขประจำตัวน้องเค้าเอาไว้ "ไม่เคยคิดว่าจะพาน้องเขาไปไหนเลยจริงๆ".. ผมก้อแค่พาเขามาคุยตรงม้านั่งตรงนี้นี่เอง (ก้อใช่อะสิ ถ้าเราไม่วิ่งตามมาก้อคงพาเด็กผู้หญิงไปไหนต่อไหนหมดแล้ว เพราะม้านั่งตรงนั้นเป็นม้านั่งตัวมุมสุด ซึ่งถัดไปก้อเป็นซอยรถตู้ที่จอดกันอยู่เรียงรายเป็นโขยง)ไม่เชื่อลองถามเด็กดูสิว่าผมทำอะไรน้องเค้ารึยัง..

      (พร้อมกับหันไปมองที่หน้าเด็ก)



      เด็ก: .....(เด็กคนนึงนั่งนิ่งก้มหน้าก้มตาเงียบ อีกคนยังร้องไห้อยู่)



      เรา: แล้วคุณเป็นใคร เป็นสารวัตรนักเรียนจากไหนหรอ?



      ชาย: อ๋อ ผมมาจากสาธารณะสุข..



      เรา: หา!!!......(จะบ้าเรอะ.....คิดในใจ)



      ชาย: อ๋อปล่าวครับ ผมพูดผิด ผมมาจากกระทรวงศึกษาครับ (ขณะนั้นเราก้อมองไปที่สายห้อยชื่อของเขา..) ผมสังกัดเขตบางกอกน้อยครับ..



      เรา: หรอ งั้นขอดูบัตรหน่อยได้ไหม?



      (ว่าแล้วชายคนนั้นจึงส่งนามบัตรให้แบบลังเล บัตรมีลักษณะเป็นบัตรธรรมดาเคลือบด้วยพลาสติกใสในบัตรมีรูปภาพชายคนนี้ พร้อมระบุชื่อว่า ว่าที่ร.ต สยาม( นามสกุลสองพยางค์ขอละไว้เนื่องจากทางกฏหมายนะ มีความหมายแปลว่า ร่ำรวย แต่ไม่ใช่พวกล่ำซำหรอกนะ ในนามบัตรเขียนไว้ว่าสังกัดเขตบางกอกน้อย แต่ไม่ระบุตำแหน่งว่าเป็นตำแหน่งอะไร เราเองก็ไม่เคยเห็นบัตรสารวัตรนักเรียนเสียด้วย..กรรม)



      เรา: เอาเถอะ ถึงอย่างไรเด็กก็ยังไม่ได้กระทำความผิด(แค่เดินห้างหลังเลิกเรียนเพื่อเดินตากแอร์เย็นๆดูของสวยๆงามๆระหว่างกลับบ้าน มันจะผิดอะไร ถ้าผิดป่านนี้เด็กเป็นร้อยๆพันๆไม่ต้องโดนจับหมดหรือไง) สิ่งที่คุณกระทำได้ก็เพียงว่ากล่าวตักเตือน และนี่คุณก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว ขอให้คุณปล่อยตัวเด็กกลับบ้านเถอะ



      เด็ก:..... (เด็กได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น น่าสงสารมากๆ)



      (ชายคนนั้นมีท่าทีจะไม่ยอมปล่อยเด็กไปง่ายๆ จะเอาผิดเด็กให้ได้ แถมขู่เด็กว่าพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน เราจึงเสียเวลากับการอธิบายว่าเด็กยังไม่ได้กระทำความผิดอะไร จนในที่สุดเขาจึงหมดเหตุผลโต้แย้งเสียที)



      ชาย: ก็ได้.. ผมไม่ฟ้องทางโรงเรียนแล้ว พอใจไหม งั้นก็เลิกร้องไห้เสียทีนะ



      เด็ก: พี่.. เค้าจะฟ้องโรงเรียนกะพ่อแม่หนูไหม T-T



      เรา: ไม่แล้วล่ะ หนูยังไม่ได้กระทำความผิดนี่ ไม่ต้องกลัวนะอย่าร้องไห้เลย..(พูดไปก้อเอามือลูบหัวเด็กไปพลางๆ)



      เรา: ถ้างั้นก้อถือว่าคุณตักเตือนเด็กแล้วนะ ไงก้อขอบคุณมากนะ เดี๋ยวขอให้เราตักเตือนเด็กเอง ขอบคุณมากนะ(ย้ำ)



      ชาย: ไม่เป็นไรครับ น้องก้อไม่ต้องร้องนะ พี่ก็ไม่ได้เอาเรื่องน้องแล้วไง ไม่ต้องร้องแล้ว พี่ก้อปล่อยน้องกลับบ้านได้แล้วนะ



      เรา: งั้นขอเราคุยกับน้องก่อนนะ



      ชาย: ไมไม่ให้น้องกลับบ้านล่ะ ผมก้อไม่ได้เอาเรื่องเอาราวน้องเขาแล้ว (กิริยาเหมือนไม่อยากให้เราคุยกับเด็กงั้นแหละ)



      เรา: (ชักโมโหนิดๆ)เห็นไหมเด็กร้องไห้อยู่ ขอปลอบน้องเขาก่อนได้ไหม ไงก้อขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากๆ!!! (ประมาณว่าไปซะทีสิอยากคุยกับเด็กตามลำพัง แล้ว ผู้ชายคนนั้นก็เลยรีบเดินหนีไป)



      จากนั้นเราจึงปลอบให้เด็กหายตกใจ และให้เด็กเล่าเรื่อง เด็กทั้งสองเล่าว่า ขณะหลังกลับจากโรงเรียน ได้เดินผ่านห้างจึงแวะมาเดินเที่ยว ชายคนนี้ได้เดินตามมาตั้งแต่ชั้นล่างขึ้นมาจนถึงชั้นสาม และได้เข้าจับกุมน้องเค้า และบอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องทางโรงเรียนและผู้ปกครอง และให้เด็กสองคนนี้เดินตามมาและได้โทรศัพท์เรียกเพื่อนบอกว่า "จับเด็กนักเรียนหญิงได้สองคน" ให้นำรถตู้มารับ และบอกกับทางเด็กว่า ให้ขึ้นรถตู้เดี๋ยวจะไปส่งที่โรงเรียนเพื่อลงโทษ



      พอเราได้ยินคำว่า"รถตู้" รู้สึกเอะใจมากๆ จึงบอกเด็กว่าดีนะที่ไม่ได้ขึ้นไป แล้วเราก็ลองตรวจสอบหาเบอร์โทรศัพท์สำนักงานเขตบางกอกน้อยดู ว่าทางสำนักงานเขตมีสารวัตรนักเรียนด้วยหรือ จึงทราบมาว่า สำนักงานเขตนั้นไม่มีสารวัตรนักเรียน สารวัตรนักเรียนจะขึ้นกับทางกระทรวงศึกษาหรือขึ้นกับทางโรงเรียนเท่านั้น พอได้ยินดังนั้นจึงสอบถามว่ามีคนชื่อว่าที่ร.ต.สยาม.... ไหม ทางเขตบอกว่ามี ไม่ได้เป็นสารวัตรนักเรียน หรือมีตำแหน่งหน้าที่ข้องเกี่ยวกับทางเรื่องนี้เลย เป็นเพียงลูกจ้างชั่งคราวของสำนักงานเขตเท่านั้น..



      ขณะนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าชายที่เราพบจะใช่ชื่อสยามจริงหรือไม่ เขาอาจมีการใช้บัตรปลอมก็ได้ เราจึงพาเด็กสองคนไปนั่งในที่ปลอดภัย และบอกเด็กว่าชายคนนั้นเป็นคนแอบอ้างว่าเป็นสารวัตรนักเรียน โชคดีมากๆที่เด็กสองคนนั้นไม่ได้ไปขึ้นรถตู้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหากเด็กได้ขึ้นไปแล้วจะเกิดอะไรกับเด็กบ้าง เด็กทั้งสองก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงชั้นม.1ตัวเล็กๆเท่านั้น จะช่วยเหลือตัวเองจากเงื้อมือคนพวกนี้ได้อย่างไร



      จากนั้นเราจึงโทรศัพท์ไปแจ้งกับผู้ปกครองของเด็กให้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วทางผู้ปกครองเด็กได้แจ้งกับทางห้างเพื่อดูภาพถ่ายวงจรปิดภายในห้างเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี ผู้ปกครองเด็กก้อมารับตัวเด็กกลับไป พร้อมกล่าวขอบคุณและให้เงินตอบแทนเรา แต่เราก้อไม่ได้รับไว้ เพราะว่าเราคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำในฐานะเพื่อนมนุษย์คนนึงก็เท่านั้น



      ต่อมาทางฝ่ายผู้ปกครองเด็กได้แจ้งความดำเนินคดีให้แก่ทางสำนักงานตำรวจในเขตท้องที่ที่ดูแลอยู่ ตำรวจได้นำภาพถ่ายของคนที่ชื่อสยามให้เด็กดู เด็กก้อบอกว่าคล้ายมาก แต่ในรูปดูอ้วนกว่าตัวจริงนิดหน่อย (อาจเป็นเพราะรูปถ่ายมาจากบัตรประชาชนส่วนใหญ่ก็ดูอืดขึ้นทั้งนั้น) แล้วทางผู้ปกครองเด็กก็นำมาให้เราและพยานทั้งฝ่ายทางห้างสรรพสินค้าหลายๆคนดู ก้อยืนยันว่าใช่คนเดียวกันจริง..



      จากนั้นไม่นาน ทางฝ่ายผู้ปกครองเด็กก้อโทรศัพท์มาเล่าให้เราฟังว่า ทางตำรวจได้เรียกตัว"ผู้ต้องสงสัย"รายนี้ไป เมื่อเขาไปถึงทางตำรวจก้อปล่อยให้ทางฝ่ายผู้ปกครองเจ้าทุกข์และผู้ต้องสงสัยเคลียร์กันเอง ชายคนนั้นอ้างว่าเค้าไม่ได้ทำอะไรเด็ก ที่แสดงตัวแบบนั้นเพียงแค่ต้องการว่ากล่าวตักเตือนเด็กเท่านั้น เห็นเด็กทำแบบนั้นแค่อาจตักเตือนเฉยๆ ไม่ได้คิดทำมิดีมิร้ายน้องเค้าเลย ที่อ้างว่าเป็นสารวัตรนักเรียนก้อแค่อยากขู่เด็กก้อเท่านั้น เพราะไม่อยากให้เด็กประพฤติตัวไม่เหมาะสม (โอ้โห..เป็นคนดีน่าดูชม) และผมก้อไม่ได้จะพาเด็กไปไหน (ไหนว่าจะพาไปขึ้นรถตู้ไง ไหงเวลาเจอตำรวจกับผู้ปกครองเด็กขึ้นมาถึงได้ล้มเลิกความตั้งใจซะได้ล่ะ อืมม..ล่อลวงเด็กผู้หญิงสองคนขึ้นรถตู้เนี่ย เป็นไปได้ไหมว่า"ล่อลวง"เพื่อไปกินขนมแล้วส่งกลับ โอ้โหหห..ใจดีอีกแระ) แถมยังอารัมภบทยืดยาวว่าเป็นคนดีชอบช่วยเหลือสังคนอย่างงั้นอย่างโง้น แถมยังออดอ้อนออเซอะฉอเลาะผู้ปกครองเด็กอีกว่าภรรยาตั้งครรภ์ หรือมีลูกสาวอะไรนี่แหละ อย่าเอาผิดผมเลยผมก้อแค่หวังดีจริงจรี๊งงง (หวังแต่แต่ประสงค์...อะดิไม่ว่า แล้วไม่คิดเหรอว่าเด็กสองคนนั้นก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน ไม่ได้เกิดจากไม้ไผ่เสียหน่อย ถึงจะล่อลวงเขาไปง่ายๆน่ะ) หลังจากยกแม่น้ำทั้งห้าตามด้วยยกแยงซีเกียงไปชนกะฮวงโห แล้วหิ้วคงคากะสินธุมาทั้งบางจนกล่อมคุณตำรวจกะคุณผู้ปกครองเด็กจนเคลิ้ม เห็นกงจักรเป็นดอกบัวฝังเพชร จนคุณตำรวจลงบันทึกประจำวันว่าเป็นเพียงการตักเตือนเด็กเท่านั้น (กลายเป็นพลเมืองดีเสียนี่ อ้าว!!! งี๊เราไปขัดขวางการตักเตือนของคุณพลเมืองดีแบบนี้ เราไม่กลายเป็นพลเมืองร้ายเสียแล้วเรอะ กรรมจริง)



      เจอเรื่องแบบนี้ ทำเอาเราเซ็งไปเหมือนกัน ตอนนี้คนชั่วกับคนดีมันปะปนกันไปเสียหมด จนแยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใคร หลังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจเรามากมาย..



      - ชายคนนี้ประสงค์อะไรกับเด็ก ถึงพยายามล่อลวงเด็กว่าเป็นสารวัตรนักเรียน พยายามนำขึ้นรถตู้ นำไปทำอะไร เพื่ออะไร?......อืมม..คงแค่อยากตักเตือนเด็กจริงๆอะมั้ง แล้วก้อจะพาไปส่งถึงที่โรงเรียนเพราะเป็นห่วงเด็กว่าขากลับจะอันตราย (พยายามคิดในแง่ดี๊ดีน่าดู)



      - หากวันนั้นพี่เค้าไม่ชี้ให้เราเห็นสิ่งผิดปกติ หรือเรานิ่งนอนใจ ไม่สนใจ ปล่อยให้เด็กสองคนนี้ขึ้นรถตู้ไปกับชายผู้นี้ ชะตากรรมของเด็กสองคนนี้จะเป็นอย่างไร?..... รึคงกลับบ้านอย่างปลอดภัย กินข้าวอาบน้ำและนอนบนเตียงอันอบอุ่นไปด้วยอ้อมกอดของพ่อแม่ล่ะมั้ง (พยายามมองในแง่ดีอีกแระ)



      - เราต้องรอให้เด็กขึ้นรถตู้ก่อน รอให้เด็กโดนข่มขืนก่อน รอให้เด็กถูกขายบริการก่อน รึแม้แต่รอให้เด็กโดนฆ่าทิ้งเสียก่อน แล้วเราถึงจะเอาผิดคนไม่ดีได้ใช่ไหม ?..



      - การที่ผู้ปกครองผู้เสียหายบางคนปล่อยให้เรื่องจบๆไป เพียงเพราะว่า "ฉันรอดแล้ว แล้วฉันก้อไม่ได้เป็นอะไรด้วย.. " ตรงนี้ยอมรับเลยว่า ตรงนี้เรารู้สึกไม่ดีมากๆ ทำไมไม่คิดว่าว่าหากเราไม่ช่วยลูกเขาจะเป็นอย่างไร และไม่คิดรึว่าหากคนกระทำผิดเมื่อถูกจับได้ แต่ไม่ได้รับการลงโทษ ทางจิตวิทยาฟรอยด์เชื่อว่าจะมีแนวโน้มกระทำผิดซ้ำอีก แล้วไม่คิดรึว่าต่อไปอาจเป็นตาของลูกสาวบ้านไหนก้อได้ รึไม่ก้อลูกสาวคุณ!!?



      -ชายคนนี้จะได้ผลจากการกระทำเช่นไร จากการที่เขากระทำเช่นนี้ และหากกระทำผิดจริง(สมมุตินะคร๊าบบ..สมมุติ) แล้วถูกปล่อยตัวกลับไปในฐานะพลเมืองดี๊ดีล่ะ...?



      - และท้ายที่สุด ที่เราสงสัยที่สุดก็คือ ตกลงชายคนนี้เป็นพลเมืองดีหรือพลเมือง...????



      อะนะ ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายนี้ก้อขอเตือนทุกๆคนที่ได้อ่านข้อความนี้ ถึงแม้คุณจะเลยวัยจะลวงขึ้นรถตู้แล้วก้อเถอะ อยากให้ช่วยตักเตือนบุตรหลานของท่าน หรือแม้แต่เตือนเพื่อนๆรึใครก้อตามว่า หากเกินเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นสารวัตรนักเรียนรึไม่อย่างไร หรือจะอ้างอะไรต่างๆนานา ได้โปรดอย่าตามเขาไป!!(คุณคงไม่โชคดีเหมือนเด็กสองคนนี้ที่มีคนมาช่วยเหลือทันเสียก่อนหรอกนะ) ไม่ว่าเขาจะอ้างว่าหากไม่ตามไปจะโดนลงโทษอะไรก้อตามแต่ ทางที่ดีให้อยู่ในแหล่งที่มีคนอาศัยพลุกพล่าน แล้วโทรเรียกผู้ปกครองรึอาจารย์ทางโรงเรียนมาสถานที่เกิดเหตุยังดีเสียกว่าที่จะตามเขาไปไหนต่อไหน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะเอาเราไปต้มยำทำแกงอะไรที่ไหนรึปล่าว พยายามตั้งสติให้ดี อย่าไปไว้ใจอะไรง่ายๆเป็นอันขาด ช่วงนี้..ยิ่งได้ข่าวลวงเด็กขึ้นรถตู้ไปล่อลวงทำอนาจาร ข่มขืน หรือแม้แต่ไปเร่ขายบริการเสียบ่อยๆ และที่สำคัญอยากให้ทุกๆคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากเห็นอะไรผิดปกติขอให้ช่วยกันสอดส่อง อย่าไปคิดว่าไม่ใช่เรื่องของฉันฉันไม่เกี่ยวล่ะ เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์นั้นกับคุณบ้าง แล้วไม่มีใครคิดที่จะช่วยเหลือคุณบ้างคุณจะเป็นอย่างไร จริงไหม?? 
      ที่มา : dek-d.com
      เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×