แค่เพียง "เสี้ยววินาที" - แค่เพียง "เสี้ยววินาที" นิยาย แค่เพียง "เสี้ยววินาที" : Dek-D.com - Writer

    แค่เพียง "เสี้ยววินาที"

    ผู้เข้าชมรวม

    537

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    537

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 พ.ค. 52 / 00:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่ง
      เมื่อครั้งผมยังเป็นน้องใหม่ในโรงเรียนมัธยม

      ผมเห็นเด็กคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันกำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน
      ผมจำได้ว่าเขาชื่อไคลล์

      ดูราวกับว่าเขากำลังขนหนังสือทุกเล่มของเขากลับบ้านด้วย
      ผมคิดว่า
      “ทำไมนะถึงยังมีคนหอบหนังสือทั้งหมดของตัวกลับบ้านในวันศุกร์ด้วย
      หมอนี่มันจะต้องเป็นพวกคนประหลาดแน่ ๆ
      เลย]


      ผมเองนั้นมีแผนการสำหรับวันหยุดเอาไว้แล้วนั่นคือไปงาน party และเล่นฟุตบอลกับพวกเพื่อนๆตอนบ่ายพรุ่งนี้


      คิดไปแล้วผมก็ยักไหล่จะเดินจากไป
      แต่ขณะนั้นผมก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งแข่งกันตรงมายังไคลล์

      จนชนเขาล้มลงคลุกฝุ่นข้างทาง
      หนังสือในอ้อมแขนของเขาก็ตกกระจัดกระจาย





      ผมเห็นแว่นตาของเขากระเด็นไปตกบนพื้นหญ้าห่างจากตัวเขาประมาณ 10 ฟุต เขาเงยหน้าขึ้น
      และผมก็ได้เห็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดในดวงตาของเขา



      ใจผมวูบลงทันที ผมวิ่งเยาะ ๆ
      ไปหาเขา



      ขณะที่เขากำลังคลำหาแว่นตาของตัวเองอยู่

      ผมสังเกตเห็นว่าตาของไคลล์มีน้ำตาคลอ

      ขณะที่ผมยื่นแว่นตาให้เขา
      ผมก็พูดกับเขาว่า
      "งี่เง่าพวกนั้นน่ะ มันน่าจะเก็บซะจริงๆ"


      ไคลล์มองผมและพูดว่า "เฮ้ ขอบคุณนะ"
      ด้วยใบหน้าที่สดใสขึ้นจากรอยยิ้มที่แสดงถึงความสำนึกขอบคุณอย่างจริงๆ


      ผมช่วยเขาเก็บหนังสือ และถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
      มันน่าแปลกใจมากที่กลายเป็นว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆบ้านผม

      ผมถามเขาว่าทำไมผมถึงไม่เคยพบเขามาก่อนเลย
      เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาได้ไปเข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชน
      ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยได้คบหากับเด็กโรงเรียนเอกชนด้วย


      ผมช่วยเขาหอบหนังสือและเราสองคนก็พูดคุยกันไปตลอดทางที่กลับบ้าน
      ผมพบว่าไคลล์เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจทีเดียว


      ผมถามเขาว่าต้องการจะมาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับผมและเพื่อนในวันเสาร์รึเปล่า

      เขาตอบตกลง

      ดังนั้นเราสองคนก็ได้ใช้เวลาในวันหยุดด้วยกันกับพวกเพื่อนๆ ผม

      และยิ่งผมได้รู้จักไคลล์มากขึ้นเท่าไรผมก็รู้สึกชอบเขามากขึ้นเท่านั้น


      พวกเพื่อน ๆของผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
      ในเช้าวันจันทร์ถัดมาผมก็ได้เจอไคลล์อีกพร้อมหนังสือกองโตเต็มหอบแขน
      ผมหยุดเขาและพูดกับเขาว่า


      "ให้ตายเถอะ
      นายคิดที่จะเพาะกล้ามด้วยกองหนังสือพวกนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ!?"

      ไคลล์หัวเราะและแบ่งหนังสือครึ่งหนึ่งให้ผมช่วยถือ
      จากวันนั้นมาจนตลอด 4ปี
      ไคลล์และผมก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
      จนเมื่อพวกเราได้เป็นรุ่นพี่ปีสุดท้าย
      พวกเราก็ต่างเริ่มคิดถึงเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย

      ไคลล์ตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Georgetownส่วนผมก็จะไปเรียนที่Duke

      ผมรู้ดีว่าเราจะยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เสมอและระยะทางห่างไกลนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับความสัมพันธ์ของเราเลย

      ไคลล์จะเรียนให้จบแพทย์

      และผมก็จะเรียนทางด้านธุรกิจโดยใช้ทุนการศึกษาของทีมฟุตบอล

      ไคลล์ถูกเลือกให้เป็นผู้กล่าวคำอำลาในพิธีจบการศึกษาของชั้นเรา
      ผมยังคงล้อเลียนเขาอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ว่าเขาเหมือนพวกคนประหลาด






      ในขณะที่เขาต้องเตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานการจบการศึกษา
      ผมก็รู้สึกดีใจมากที่ไม่ใช่เป็นผมที่จะต้องขึ้นไปพูดบนเวที


      ในวันงานจบการศึกษา
      ผมมองดูไคลล์


      และคิดว่าเขาดูดีมากทีเดียว






      ไคลล์นับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่มที่ในที่สุดก็สามารถค้นพบตัวเองในช่วงชีวิต



      ของนักเรียนมัธยม

      ไคลล์มีรูปร่างล่ำสันขึ้น

      และดูเหมาะมากกับแว่นตา
      เขามีนัดกับสาว ๆ
      มากกว่าผมอีก

      และพวกผู้หญิงก็รักเขาทุกคน

      ให้ตายเถอะมันทำให้ผมอดนึกอิจฉาไม่ได้ในบางครั้ง

      ผมสังเกตเห็นว่าไคลล์กำลังกังวลเกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์



      ผมจึงเข้าไปตบหลังให้กำลังใจและพูดว่า
      "เฮ้ หนุ่ม

      ..นายจะต้องทำได้เยี่ยมอย่างแน่นอน!"




      ไคลล์มองผมด้วยสายตาเช่นทุกครั้ง

      สายตาที่แสดงความขอบคุณอย่างจริง


      เขายิ้มพร้อมพูดว่า
      "ขอบคุณ"
      ไคลล์กระแอม และ ได้เริ่มต้นสุนทรพจน์ของเขาว่า…

      "
      วันจบการศึกษา

      เป็นโอกาสที่เราจะได้ขอบคุณบรรดาผู้ซึ่งได้ช่วยเหลือพวกเราให้ผ่านพ้นปีแห่งความย
      กลำบาก

      พวกเขาเหล่านั้นก็คือ
      พ่อ
      แม่
      คุณครู
      พี่น้องของคุณ

      หรือแม้แต่โค้ชกีฬาของคุณด้วย


      แต่อันที่จริงแล้วผู้ที่คอยช่วยเหลือคุณมากที่สุดนั้นก็คือเพื่อนๆ
      ของคุณนั่นเอง ผมได้มายืนอยู่ ณ ที่นี้ก็เพื่อที่จะบอกคุณทุกคนว่า

      การได้รับความเป็นเพื่อนจากใครบางคนนั้น

      นับเป็นการได้รับของขวัญอันสุดวิเศษ

      และผมขอยืนยันสิ่งนี้ด้วยการเล่าเรื่องของผมให้พวกคุณ… "


      ผมมองไคลล์


      เพื่อนคนนี้ของผมอย่างไม่เชื่อสายตา
      ในขณะที่เขาเล่าถึงวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน

      เขาเล่าว่าเขาได้วางแผนที่จะฆ่าตัวตายในช่วงวันหยุด


      โดยเขาเตรียมการทำความสะอาดล๊อคเกอร์เก็บของที่โรงเรียน และขนของทุกอย่างในนั้นกลับบ้าน
      เพื่อที่แม่ของเขาจะได้ไม่ต้องลำบากมาทำให้เขาอีกในภายหลัง

      ไคลล์มองนิ่งมาที่ผมพร้อมยิ้มน้อยๆ

      น่าขอบคุณจริง ๆ

      ที่ผมได้ถูกช่วยชีวิตไว้…เพื่อนของผมช่วยผมไว้จากการตัดสินใจกระทำสิ่งซึ่งจะ


      ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มายืนพูดอยู่ ณที่นี้อีกเลย


      ผมได้ยินเสียงเฮือกหายใจจากกลุ่มคนที่อยู่ในพิธี

      ในขณะที่ได้ฟังเด็กหนุ่มรูปหล่อที่เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขาเล่าให้ฟังถึงช่วง เวลาแห่งความอ่อนแอในชีวิต…ผมได้เห็นแม่และพ่อของไคลล์มองมาที่ผม

      พร้อมรอยยิ้มแสดงความขอบคุณอย่างเดียวกันและในบัดนั้นเองที่ผมได้เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งของคำที่ว่า

      คนเราไม่ควรประเมินค่าในการกระทำของตนเองน้อยไป
      เพราะเพียงแค่สิ่งเล็กน้อยที่คุณแสดงต่อใครบางคน
      ก็สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาคนนั้นได้ทันที
      ไม่ว่าจะเป็นในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม
      ในความเป็นเพื่อนนั้น

      พวกเราได้ถูกกำหนดให้มาพบเจอกันเพื่อที่จะได้ช่วยเป็นแรงผลักดันในชีวิตของกันและ

      ันในทางใดทางหนึ่ง...


      ไคลล์จบสุนทรพจน์ของเขาว่า
      ....


      เพราะ…เพื่อนคือเทพหรือนางฟ้า

      ผู้ที่จะช่วยโอบอุ้มเราให้สามารถยืนหยัดบนขาได้อีกครั้ง

      เมื่อปีกของเราลืมวิธีการที่จะบินไปชั่วขณะหนึ่ง
      ที่มา : ซ้อเหมา
      เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×