ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ FIC EXO ] ARE U SURE ? แน่ใจมั้ยว่าไม่บ้า [KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 3 เด็กหูกาง

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 57


     
     

    CHANEOL   :  เอาน่าพี่โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ

    KRIS  :   มันใช่เหรอวะ -O-!

    TAO x BAEK x HUN  :  เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง -_-;;


     

    ----------  ARE U SURE ? แน่ใจมั้ยว่าไม่บ้า  ----------

     อู๋ ปี้ ฟาน


    ปี้พ่อง!! เห็นแล้วอยากจะตะโกนตอกหน้าไอ้ช่างเวรนี่ว่า ถึงครอบครัวเขาจะเป็นคนจีนแท้ๆ แต่ก็อยู่กินที่ประเทศไทยมากว่าสามปีแล้วโว๊ย! นอกจากจะรู้ว่ามึงเขียนมั่ว กูยังรู้ความหมายมันอีกด้วย!


    “โทษนะ แต่เหมือนนายจะเขียนผิด”


    “หอยสวยแล้วไง!” มันเกี่ยวอะไรกับหอยวะ


    คริสยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ นิสัยหลุดโลกแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขานึกถึงไอ้เด็กบ้าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย นับตั้งแต่วันนั้น คริสก็ไม่เจอเด็กนั่นอีกเลย ไม่รู้ว่าโชคช่วย หรือมันจงใจหลบหน้าเขากันแน่


    “แก้ไม่ทันแล้วด้วยทำไงดีวะ” เหมือนทั้งห้องจะตกอยู่ในความเงียบสักพัก ก่อนที่ร่างโปร่งจะหันกลับมาหาคริส “เอางี้พี่ ทำเป็นลืมๆ มันไปเถอะ สวัสดีประเทศไทย”


    ไม่ต้องมาทำเป็นมารยาทงามยกมือไหว้เลยมึง! คริสนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเขาคว้าหูกางๆ นี่ช้าไปอีกนิดเดียว ไอ้เด็กนี่จะตีมึนหายไปเหมือนเมื่อคราวก่อนหรือเปล่า ใช่หน้าแบบนี้ หูแบบนี้ นิสัยแบบนี้แหละ!


    ไอ้เด็กหลุดโลก!!


    “จะไปไหน มาแก้ให้กูเลยนะ”


    “โรคจิต! กลางวันแสกๆ ยังไม่เว้น นี่พี่! ที่นี่ประเทศไทย จิตใจหัดมีธรรมะบ้างเหอะ ถัดไปอีกสองซอยมีวัดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่างๆ เข้าไปนั่งวิตถารบ้างก็ได้นะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน!


    นั่งวิปัสสนาโว๊ยยยย! แล้วมึงเองนั่นแหละ ภาระที่หนักอึ้งของโลกเลย!


    “จิตใจหยาบเหมือนหนังหน้าไม่เปลี่ยนเลยนะ ไอ้เด็กเวร!” ยิ่งเห็น ยิ่งขึ้นครับ คริสเพิ่มแรงบิดใบหูนี่จนไอ้เด็กโย่งร้องโอดโอย ย่อตัวลงมาจนจะชิดกับอกเขาอยู่แล้ว


    “พี่ๆๆ พี่! ผมเจ็บบบบบ” เห็นกับมนุษยธรรมหรอกนะ ถึงได้ยอมปล่อยน่ะ คริสกอดอกมองเด็กโย่งที่กำลังลูบๆ คลำๆ หูแดงเถือกของตัวเอง แล้วก็อดขำไม่ได้ คนบ้าอะไรวะ หูกางยิ่งกว่าจานดาวเทียม


    “ก่อนอื่น มึงไปแก้ไอ้คำตรงกลาง เสร็จแล้วค่อยมาเคลียร์เรื่องอื่นต่อ”


    “เคลียร์? เรื่อง?”


    เห็นหน้าเหลอหลาของไอ้เด็กบ้าแล้วมันน่านัก! คริสเงื้อมือจะเบิ้ดกะโหลกเตือนความจำมันซะหน่อย แต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยดวงตาแป๋วๆ เหมือนลูกหมาคู่นั้นเสียก่อน


    รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตีลูกหมาไม่มีทางสู้ยังไงไม่รู้วุ้ย!


    “ผมมาอยู่ไทยยังไม่ถึงเดือนเลย พูดรู้เรื่องได้นี่ก็บุญแล้วนะพี่ เห็นใจผมเหอะ”


    “เห็นใจมันก็ส่วนเห็นใจเว้ย! แต่เฮ้อ นี่มึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่มึงเขียนมันหมายถึงอะไร ไหนบอกว่าพูดรู้เรื่องวะ” คริสบ่นพึมพำ เขาล่ะหมดปัญญาจะมานั่งอธิบายอะไรง่ายๆ ให้กับคนที่เข้าใจยากแบบนี้


    “นี่ห้องพี่เหรอ งั้นนั่นก็ชื่อพี่ดิ”


    “เออสิ” ทำชื่อกูเสียหายป่น ปี้เลยนะมึง


    “อืมเอาเป็นว่าผมเข้าใจนะพี่ ถ้ามีคนมาเรียกผมว่าชานหยอย ผมก็คงไม่แฮปปี้เหมือนกัน แต่ก็นะ โลกเราก็เป็นแบบนี้แหละ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วจะเอาอะไรกับเด็กหน้าตาดีไปวันๆ อย่างผม คนเรานะพี่ เกิดมาก็ไม่มีใครเพอร์เฟคหรอก ถึงผมจะมีหน้าตาที่ดี ส่วนสูงก็ชนะเลิศ ความสามารถสารพัด แต่ผมก็ต้องมีข้อบกพร่องบ้าง ถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตามผมอยากให้พี่มองข้ามจุดเล็กๆ และปล่อยผมกลับคืนสู่สังคม เพื่อจะพัฒนารถไฟไทยให้เจริญนะพี่นะ”


    “ระ รถไฟ?”


    “ส่วนเรื่องค่ารถ อันนั้นเขาเรียกว่า น้ำใจไงพี่ ถึงเราจะพลัดบ้านจากถิ่นมาไกล แต่ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ควรจะซึมซับเอาวัฒนธรรมอันดีงามของเขาไว้ เรื่องอะไรยอมได้ก็ยอมไปเถอะ เก็บไว้ก็รกสมองเปล่าๆ เนอะ เอาเวลาไปพัฒนาสามจีให้แรงได้เท่าครึ่งนึงของแดดประเทศไทยดีกว่า”


    “สะสามจี?”


    “สวัสดีประเทศไทย แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”


    คริสยืนหมาตายควายตะลึงอยู่กับที่ คำพูดยาวเหยียดที่หาสาระอะไรไม่ได้มันยังวนเวียนอยู่ในหัว ชวนให้เขาคิดตาม เราพูดถึงเรื่องอะไรก่อนหน้านี่นะ….ทาสี ใช่ ทาสี แล้วมันวกเข้าเรื่องรถไฟกับสามจีได้ไงวะ?


    แล้วอะไรทำให้กูเงิบแดก ปล่อยมันวิ่งหนีไปเป็นครั้งที่สองวะเนี้ย!




     

    ----------  ARE U SURE ? แน่ใจมั้ยว่าไม่บ้า  ----------



    ตึกๆๆ


    “ฟ่าน! เบาๆ สิลูก ค่อยๆ เดิน เดี๋ยวบ้านก็ถล่มหรอก”


    “มะ...หม้า” คริสที่ยังมึนงงกับสถานการณ์ถึงกับต้องสะบัดหัวแรงๆ หลายๆ ทีเพื่อเรียกวิญญาณกลับสู่ร่าง “ไอ้เด็กนั่น เอ่อผมหมายถึงช่างทาสีของหม้าน่ะ เขาไปไหนแล้ว”


    “ก็กลับไปแล้วน่ะสิ”


    “ฮะ! แล้วหม้าปล่อยไปได้ไง ไอ้เด็กบ้านั่นมัน” มันทำให้ผมกำลังประสาทแดกตายนะครับหม้า!


    “แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็เค้าเห็นบอกว่าจะรีบไปทำงานที่อื่นต่อ รับเงินเสร็จ ก็ปั่นจักรยานออกไปเลย” คุณนายอู๋ยักไหล่อย่างไม่สนใจ หันกลับมาตักข้าวในโถใส่จานให้ลูกชาย


    “หม้าพอจะรู้จักเด็กนั่นมั้ย” ลึกๆ แล้วคริสก็ยังเชื่อมั่นในแม่ของตัวเองอยู่ ว่าคงไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเดินดุ่มๆ เข้ามาทาสีห้องลูกชายตัวเองหรอกนะ


    “เออแฮะ หม้าไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเลยนี่นา ฮ่าๆๆ ตลกจังเลยฉันเนี้ย”


    “ตลกตรงไหนหม้า นี่ผมซีเรียสนะ หม้าพาคนแปลกหน้าเข้าบ้านได้ยังไง เกิดมันเป็นโจรขึ้นมาล่ะ” ใช่! อย่างเด็กนั่นมันเก่งเกินโจรแล้ว!


    “ไม่ใช่หรอก หม้าดูคนเป็น” คุณนายอู๋ระบายยิ้มบางๆ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะชวนเด็กคนนั้นมาทาสีที่บ้าน “เขามาถือของช่วยหม้า พาหม้าข้ามถนน ตอนหม้าออกไปซื้อของที่ตลาด”


    “ฮะ?”


    “แล้วก็พูดอะไรตลกๆ ให้หม้าฟังตั้งหลายเรื่อง พูดไม่หยุดเลยนะ พูดตั้งแต่หน้าปากซอยจนถึงหน้าบ้านเรา” โอ้โหนี่มึงไม่เมื่อยขากรรไกรปากบ้างเหรอวะ พูดไม่หยุดตลอดระยะทางสามกิโลกว่าเนี้ยนะ! “หม้าเลยถามเขาว่า ทาสีเป็นมั้ย เขาก็บอกว่าพอได้ แต่ขอใช้สีอะคริลิคแทน ฮ่าๆๆ”


    คนดีๆ ที่ไหนเค้าจะพกสีอะคริลิคไว้กับตัวถ้าเกิดไม่ได้ทำงานด้านนั้น


    หรือไม่ก็เรียนด้านนั้น ?


    “ฟ่านอยากฟังมั้ยว่าเด็กคนนั้นเล่าอะไรบ้าง มานั่งๆ กินข้าวกับหม้าก่อนแล้วค่อยอาบก็ได้หรอกน้ำน่ะ เด็กคนนั้นน่ะนะ


    แล้วหม้าก็พูดจ้อไม่หยุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงเพราะได้ฟังเรื่องราวไร้สาระจากเด็กคนนั้น ในเรื่องร้ายๆ เด็กนั่นก็ดูมีคุณงามความดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เล็กพอๆ กับขนาดเล็บขบบนซอกเหลือบนิ้วโป้งเท้าข้างขวาของเขานั่นแหละ




     

    #บ้ารักคนสติออบซอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×