RETURN ไขรหัสวิญญาน ตอนพิเศษ Cross Road Memory - RETURN ไขรหัสวิญญาน ตอนพิเศษ Cross Road Memory นิยาย RETURN ไขรหัสวิญญาน ตอนพิเศษ Cross Road Memory : Dek-D.com - Writer

    RETURN ไขรหัสวิญญาน ตอนพิเศษ Cross Road Memory

    ...ความรัก แม้ว่าจะไม่สุขสมหวังไปเสียทุกๆสิ่ง หากแต่ ความทรงจำดีๆนั้น ไม่มีทางที่จะจางหายไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดก็ตาม...

    ผู้เข้าชมรวม

    156

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    156

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ต.ค. 54 / 12:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ...กีรติ ชายหนุ่มผู้มีความรู้สึกดีๆให้กับผู้หญิงคนนึง ที่บังเอิญเข้ามาในชีวิตของเขา...

    ...ทัศนีย์ หญิงสาวที่เฝ้ารอคอยที่จะได้พบกับผู้ชายที่เธอหลงรัก...

    ...วังวนของเรื่องราวทั้งหมด จะถูกผูกโยง ด้วยเส้นด้ายที่เชื่อมต่อระหว่าง โลกหนึ่ง กับอีกโลกหนึ่ง...


    ...เส้นด้ายที่มีนามว่า ธีระศักดิ์ หรือ ที่บรรดาสัมภเวสี ได้ทำการขนานนามเขาว่า...

    ...นักสืบวิญญาน...

    ...ชะตากรรมของตัวละครทั้ง2คนในบทนี้จะเป็นเช่นไร คงต้องติดตามอ่านกันต่อไป กับ...

    ...RETURN ไขรหัสวิญญาน ตอนพิเศษ Cross Road Memory...


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ...องค์ที่1 ความรัก...


      ...ทุกๆท่านเชื่อมั๊ยครับ ว่าบางที คนเราก็มักเจอกับประสบการณ์ที่เหลือเชื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ...
      ...อย่างเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี่แหล่ะครับ...
      ...ผมชื่อกีรติครับ อายุ25ปี มีชื่อเล่นที่บุพการีอุตส่าห์กรุณาตั้งให้ว่า"จืด"ครับ ซึ่งผมไม่ชอบชื่อนี้เลยจริงๆให้ฟ้าผ่าหมาดิ้นตายสิเอ๊า ผมกลับชอบชื่อที่เพื่อสมัยเรียนมัธยมใช้เรียกหาว่า"ติ"มากกว่า เลยใช้ชื่อติเรียกแทนตัวเองมาตลอดตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งปัจุบัน...
      ...หน้าที่การงานก็พึ่งแปรสภาพมาจากพนักงานออฟฟิศของบริษัทที่มีนายจ้างเป็นชาวต่างชาติบริษัทนึงกลายสภาพมาเป็นพนักงานขายรองเท้าภายในห้างครับ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องทัศนะคติเรื่องงานกับหัวหน้าที่ทำงานเก่านิดหน่อย แหมๆ อย่าให้ผมพูดเลยดีกว่า ว่าไอ้ตี๋ใส่แว่นหัวหน้าเก่าผมมันทำตัวทุเรศยังไง เอาเป็นว่า สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวเลยชิงลาออกมาหางานใหม่ซ่ะก่อน...
      ...เรื่องหัวใจนะเหรอ โสดสนิทศิษย์ส่ายหน้าเลยครับ อายุก็ปาไปตั้ง25แล้ว แถมหน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ทำไม๊ทำไม ผมถึงยังโสดรอดพ้นมือสาวๆมาได้จนบัดนี้ก็ไม่รู้ เฮ้อ...
      ...ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาคุยด้วยหรอกนะครับ แต่ผมมันพวกขี้อาย ทำอะไรไม่ถูกทุกทีเวลาที่ต้องเข้าใกล้สาวๆในระยะประชิดเนี่ย แถมถ้าต้องคุยกันสองต่อสองก็มักจะปากสั่น หน้าซีด ตัวสั่นระริก(ผมนึกว่ามันเป็นอาการสั่นสู้นะนั่น555)สมองก็สับสนไม่สามารถจะประติดประต่อเรื่องราวอะไรมาคุยกับเค้าได้เลย หนักๆเข้าสาวๆเค้าก็คงเบื่อแหล่ะครับ กี่คนต่อกี่คนมาแล้วก็แจวหนีผมไปหมดเลยT.T...
      ...อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ผมเองก็พึ่งจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้พบกับความรักกับเค้าเหมือนกันครับ น่าเสียดาย ที่ผมชิงลาออกจากงานที่เดิมมาก่อน...
      ...ครับ เธอทำงานอยู่ที่เดียวกับผม(ที่ทำงานเดิมนะครับ) เป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนๆกับผมนี่แหล่ะครับ...
      ...เธอชื่อต่ายครับ เป็นสาวผมบ๊อบผิวขาว รูปร่างดีเอามากๆ ยิ่งตาเธอนี่นะ กลมบ๊อกยังกะตุ๊กตาเลยครับ น่าเสียดายอย่างเดียว เธอห้าวเป้งยังกะผู้ชาย จนผมเองยังอดนึกไม่ได้ ว่าเธอเป็นทอมรึเปล่าเนี่ย???...
      ...มีอยู่ครั้งนึง เธอลืมเอาบัตรพนักงานติดตัวลงมาด้วยตอนพักกลางวัน ทีนี้ปัญหามันเกิดตอนกำลังจะกลับไปเข้างานตอนบ่ายสิครับ เมื่อรปภ.หน้าตึกไม่ยอมให้เธอเข้าไปในตึกเพราะไม่มีบัตรประจำตัว(เพราะพี่รปภ.เค้าพึ่งมาใหม่ด้วยแหล่ะ ถ้าเป็นคนที่อยู่มานานเค้าจะรู้จักและคุ้นเคยกับหน้าตาของพวกเราดี) ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่ามันเป็นหน้าที่ของพี่เค้า แต่ต่ายเค้าโมโหมาก เลยทะเลาะกับพี่รปภ.คนนั้นซ่ะเป็นเรื่องใหญ่โต เดือดร้อนถึงรุ่นพี่ในออฟฟิศต้องลงมาเคลียร์ให้กันวุ่นวาย..
      ...เพราะเหตุการณ์นี้ละมั้ง ทำให้ผมได้รับรุ้ความจริงข้อนึงว่า ยัยต่ายนี่หน้าตาน่ารักก็จริง แต่ดุยังกะเสือ แถมใจร้อนเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก-*-...
      ...แต่เรื่องดีๆของต่ายก็มีมากเหมือนกันนะครับ ตอนที่ผมเข้างานมาใหม่ๆก็ได้เธอนี่แหล่ะช่วยเทรนงานให้ ซึ่งเธอก็ช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่โดยไม่เกี่ยงงอนอะไร แม้ว่าบางอย่างผมจะทำผิดพลาด แต่เธอก็ไม่เคยบ่นแบบไร้สาระเลยครับ เพราะทุกครั้งที่ผมทำงานพลาดเธอจะเรียกผมมาคุยพร้อมทั้งอธิบายว่าผมผิดพลาดตรงไหนยังไง แล้วให้ผมไปปรับปรุงเนื้องานเอาเอง...
      ...อีกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับเธอมากๆ ก็เพราะมีอยู่วันนึง ผมแอบไปเห็นเธอเอาอาหารไปให้สุนัขจรจัดที่อยู่ใกล้ๆกับที่ทำงานครับ...
      ...เพราะว่า วันนั้นพอเธอทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ผมเห็นเธอแวะซื้อคอหมูย่างพร้อมทั้งข้าวเปล่ากับแม่ค้าอีก ตอนนั้นผมก็นึกสงสัยแล้ว เพราะออฟฟิศเรามีกฏห้ามนำอาหารขึ้นไปทานบนออฟฟิศ ผมจึงแอบตามเธอไป เพื่อดูว่าเธอจะเอาอาหารไปให้ใคร(ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะเอาไปให้แฟนเธอล่ะ เลยตามไปดูว่าแฟนเธอหน้าตาเป็นยังไง เป็นผู้ชายรึว่าผู้หญิง ฮาๆๆ)ปรากฏว่าเธอเดินลัดอ้อมไปยังหลังตึก แล้วก็ไปหยุดอยู่ตรงพุ่มไม้ไผ่เตี้ยๆหลังตึกนั่นเอง ก่อนที่เธอจะทรุดตัวนั่งยองๆลง พร้อมทั้งผสมข้าวกับคอหมูย่างหั่นที่เธอพึ่งซื้อมาเข้าด้วยกันในถุงเดียว...พร้อมทั้งทำเสียงเหมือนกับกำลังกระดกลิ้นในลำคออย่างต่อเนื่อง...
      ...สักพัก ก็มีลูกสุนัข6-7ตัว วิ่งกระดิกห่างออกมารอบล้อมตัวเธออย่างคุ้นเคย ก่อนที่ตัวแม่มันจะเดินตามออกด้วย ซึ่งก็ดูท่าทางมันเชื่องกับเธอมาก ทั้งๆที่ปรกติเวลาที่สุนัขมีลูก มันจะดุเอามากๆด้วยความหวงลูกมัน ซึ่งผมเองก็มีประสบการณ์ถูกสุนัขแม่ลูกอ่อนกัดมาแล้วในสมัยเด็ก สงผลให้แก้มผมมีรอยบุ๋มจากการถูกกัดเป็นรอยแผลอยู่จนทุกวันนี้เลยทีเดียว(ไม่ต้องไปทำศัลยกรรมลักยิ้มเลย เหอๆ) แต่นี่ไม่เลย อาจคงเป็นเพราะต่ายคงเอาอาหารมาให้มันบ่อยๆ จนมันคุ้นเคยก็เป็นได้...
      ...ในตอนนั้น ใบหน้าเธอดูอ่อนโยนมากๆ จนผมเองยังอดที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอไม่ได้ ผมแอบย่องเข้าไปจนใกล้ตัวเธอ ซึ่งเธอเองก็คงไม่รู้สึกตัวหรอก เพราะผมอยู่ด้านหลังของเธอ แถมเดินเสียงเบาเอามากๆ ก่อนที่ผมจะกระแอมในลำคอทีนึง พร้อมทั้งพูดออกมาว่า...
      .."อะ แฮ่ม แอบมาทำอะไรลับๆล่อๆอยู่คนเดียวครับ"..เล่นเอาเธอหันมาทำตาเขียวใส่ผมทีนึง ก่อนจะพูดกับผมว่า...
      .."ยุ่งไรด้วย กลับไปทำงานเลยปะ"..
      .."คุณต่ายเอาข้าวมาให้ลูกหมาพวกนี้เหรอครับ ใจดีจังเลย"ผมเปลี่ยนประเด็นไปที่เหล่าบรรดาลูกสุนัขหน้าตาบ๊องแบ๊วตรงหน้าเธอแทน...
      .."ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก แค่ไม่อยากเห็นมันมาอดข้าวตายอยู่ใต้ตึกหรอก เชอะ" สิ้นเสียงเชอะ เธอก็สะบัดหน้าพรืด เดินตรงกลับไปที่ออฟฟิศทันที..
      ...น่าน เอากะคุณเธอสิ มีซึนเดเระด้วย(พวกปากไม่ตรงกับใจ) ผมแอบยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามเธอขึ้นไปบนออฟฟิศ...
      ...ไม่รู้ทำไมนะ เวลาที่ผมคุยกับต่าย ผมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเกร็งแบบที่เป็นกับผู้หญิงคนอื่นเลย อาจจะเป็นเพราะ เธอไม่ได้ทำตัวน่ารักเหมือนกับที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำก็ได้ละมั้งครับ มันเลยทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเอง เหมือนกำลังคุยกับเพื่อนๆผู้ชายด้วยกันมากกว่า...
      ...แถมอะไรหลายๆอย่าง ก็ทำให้ผมรู้สึกดีเอามากๆ จนบางครั้ง ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ว่าผมคิดกับเธอแบบไหนกันแน่ คิดเป็นเพื่อนรึว่าเกินเลยไปกว่านั้นก็ไม่รู้สิ...
      ...เฮ้อ ยิ่งนึกถึง ก็ยิ่งอยากเจอหน้า นี่ผมก็ออกจากที่ทำงานเก่ามาได้ร่วมสองเดือนแล้ว แถมไม่มีเวลาจะกลับไปเจอหน้าเธอตอนเธอเลิกงานด้วย แหมก็งานห้างมันยุ่งจะตาย กว่าจะเลิกงานก็ปาไปดึกดื่นค่อนคืนแล้วด้วย...
      .."เอ่อ........พี่ครับ พี่ใช่พี่ติรึเปล่าครับ" เสียงนี้ทำเอาผมสะดุ้งหลุดจาภวังค์แทบจะทันที..
      .."ห๊ะ อ่าครับ" ผมตอบ ก่อนจะหันไปมองที่คู่สนทนาอย่างพินิจ...
      ...คนที่เรียกผม เป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะราวๆ16-17ละมั้ง หน้าตาจัดว่าดีเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ที่ผมแปลกใจยิ่งกว่านั่นคือ ผมว่าผมไม่เคยรู้จักกับเด็กคนนี้มาก่อนเลยนี่นา แล้วทำไม เด็กคนนี้ถึงได้เรียกชื่อผมถูกล่ะ...
      .."น้อง....เรารู้จักกันมาก่อนเหรอครับ" ผมถามด้วยความประหลาดใจ...
      .."ไม่หรอกครับ แต่ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยเป็นการส่วนตัวครับ" เด็กคนนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จนแทบจะกลบความสงสัยของผมลงไปหมดเลยทีเดียว...เพราะรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญานว่า เรื่องที่เด็กคนนี้กำลังจะพูดกับผม เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ...
      .."ก็...ว่ามาสิ"ผมพูด...
      .."ไม่ใช่ตรงนี้ครับ ผมไม่สะดวกจะพูดตรงนี้"...
      .."แต่...พี่ทำงานอยู่นะ จะให้ไปคุยที่อื่นพี่คงไปไม่ได้หรอก"
      .."ก็...บอกหัวหน้าพี่สิครับ ว่าขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง ขอร้องละครับ เรื่องที่ผมอยากจะบอกนี่มันสำคัญจริงๆ"เด็กคนนั้นยังคงพูดด้วยสีหน้าจริงจังไม่เปลี่ยน จนผมไม่อาจปฏิเสธได้เลย...
      .."เอ๊า ก็ได้ เดี๋ยวรอพี่แป๊บนึงนะ"..
      .."ผมรอที่หน้าร้านพิชซ่านะครับ" เด็กคนนั้นบอก..
      .."อือ ก็ได้ เดี๋ยวพี่ตามไป" ผมพูด ก่อนจะเดินไปหาหัวหน้าเพื่อทำตามที่เด็กคนนั้นบอก...
      ...ซึ่งการพบกันกับเด็กคนนี้เอง กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเอามากๆในชีวิตของผม ในเวลาต่อมา...








      ...องค์ที่2 การรอคอย...

      ...ทุกๆท่านเชื่อไหมคะ ว่าบางที ชีวิตคนเราก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เหมือนกัน...
      ...ฉันชื่อทัศนีย์ค่ะ มีชื่อเล่นว่าต่าย  อายุ26ปี แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องนั้นมันไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วในตอนนี้...
      ...เพราะไม่ว่าจะชื่อเอย อายุเอย สถานะอะไรต่อมิอะไรเอย มันแทบจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปแล้ว เมื่อต้องอยู่ในสภาพแบบที่ฉันเป็นอยู่...
      ...ทุกๆวัน ฉันมักจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ที่เก้าอี้ตัวนี้ ที่สี่แยกแห่งนี้ เพื่อที่จะรอด้วยความหวังว่า อาจจะได้พบกับใครบางคน ใครคนนั้นที่ฉันเฝ้ารอว่าสักวันนึง เขาจะเดินผ่านมายังที่แห่งนี้...
      ...แต่ก็ไม่เคยสมหวังเลยแม้แต่วันเดียว...ทั้งที่ นี่ก็เป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว ที่ฉันทำแบบนี้...
      ...ฉัน...อยากจะก้าวเดินออกไป แล้ว...ไปหาเขาด้วยตัวของฉันเอง หากแต่...เรื่องนั้นกลับไม่สามารถทำได้... เพราะว่า...ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ตั้งแต่...เขาออกจากงานไปเมื่อ2เดือนที่แล้ว... จึง...ทำได้แค่เฝ้ารอ...
      ...รอ และเป็นการรอโดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่...

      ...บางทีชะตากรรมของคนเรามันก็เล่นตลกนะคะ คนบางคนที่เราไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้พบเจอ แต่บางครั้ง เราก็ได้เจอ เหมือนกับว่า มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดพวกเราเข้าหากัน...
      ...ฉันมีความทรงจำในวัยเด็กกับที่แห่งนี้ค่ะ แม้จะเป็นความทรงจำที่บางเบาและเลือนลางมากแล้ว แต่ฉันก็ยังจำได้เป็นอย่างดี ว่าเมื่อสมัยตอนที่ฉันยังเป็นเด็กหญิง ฉันเคยอยู่แถวๆนี้มาก่อน...
      ...ค่ะ เมื่อสมัยเด็กๆ ฉันเคยอยู่ที่นี่ค่ะ หากแต่ว่า เนื่องด้วยครอบครัวฉันต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่ต่างจังหวัด ทำให้ฉันต้องติดตามครอบครัวไปด้วย...
      ...นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนสมัยฉันอายุได้ราวๆ9ปีค่ะ...
      ...ตอนนั้น ฉันมีเพื่อนที่สนิทกันมากคนนึง เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าฉันปีนึงค่ะ ซึ่งฉันก็ชอบที่จะอาศัยความที่ตนเองอายุมากกว่า บังคับให้เขาเรียกพี่(มันเป็นความภูมิใจนะคะ ที่มีอาวุโสมากกว่า)และให้เขาทำตามคำสั่งของฉันเป็นประจำ...
      ...ซึ่งเขาก็ยอมทำตามฉันแต่โดยดีค่ะ...
      ...ตอนนั้นพวกเราทั้งคู่ชอบเล่นด้วยกันประจำ และก็ซนๆกันตามประสาของเด็กทั่วๆไปแหล่ะค่ะ...
      ...มีอยู่ครั้งนึง เราสองคนแอบไปเล่นในบ้านร้างแห่งหนึ่งกัน โดยที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่า ในบ้านหลังนั้น จะมีสุนัขที่เพิ่งคลอดลูกอยู่ด้วย และด้วยความที่มันเป็นสุนัขแม่ลูกอ่อน ทำให้มันดุร้ายมากเป็นพิเศษ มันจึงไล่กัดพวกเราเพราะนึกว่าจะไปทำร้ายลูกๆของมัน ตอนนั้นฉันกลัวมาก พยายามจะวิ่งหนี แต่ดันพลาดสะดุดขาตัวเองหกล้ม หากแต่ เป็นเขาที่เข้ามาขวาง จนถูกสุนัขตัวนั้นกัดจนได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าเลยทีเดียว(ซึ่งฉันประทับใจในความกล้าของเขามากเลยค่ะ)..
      ...นึกถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ฉันยังอดที่จะอมยิ้มให้กับตนเองไม่ได้ เพราะดันนึกไปเห็นภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆผอมๆคนนึง ที่พุ่งเข้ามาขวางระหว่างฉันกับสุนัขตัวนั้น ทั้งๆที่เขาเองก็กลัวแสนกลัว แต่ก็ยังพยายามจะปกป้องฉันให้ได้ จนถูกกัดเข้าจนได้ แถมพอเราทั้งคู่กลับไปที่บ้าน เรายังถูกแม่ของฉันตีซ้ำเข้าให้อีก เรียกว่าเจ็บตัวทั้งขึ้นทั้งล่องเลยค่ะ...
      ...และอาจจะเพราะเรื่องนี้ด้วยละมั้ง ตอนที่ฉันย้ายบ้าน ฉันจึงรู้สึกเศร้าที่ไม่ได้บอกลาเขาแม้แต่คำเดียว..
      ...หากแต่ว่า เหมือนกับชะตาเล่นตลกค่ะ ผ่านไป17ปี ฉันก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง โดยที่เขาเข้ามาสมัครเป็นพนักงานใหม่ในที่ทำงานของฉัน ตอนแรกๆฉันเองก็จำเขาไม่ได้เหมือนกันค่ะ อาจเพราะไม่ได้ใส่ใจกับพนักงานใหม่ด้วยนั่นแหล่ะ แต่ดันบังเอิญที่หัวหน้าขอให้ฉันเป็นคนดูแลเขา ทำให้เราต้องมาทำความรู้จักกัน...
      ...ซึ่งสิ่งที่ทำให้ฉันจดจำเขาได้ในทันทีที่พบหน้า ก็คือ รอยแผลเป็นที่เป็นรอยบุ๋มบนแก้มของเขานั่นเอง...แต่ว่าน่าน้อยใจอยู่บ้าง ที่เขาดันจำฉันไม่ได้ซ่ะนี่...
      ...และฉันก็นึกสนุกพอที่จะไม่บอกซ่ะด้วยสิ...
      ...หลังจากที่เขาเข้ามาทำงาน ฉันก็รู้สึกสนุกที่จะมาทำงานขึ้นมากเลยค่ะ ไม่รู้ทำไมนะคะที่เวลาเจอหน้าเขาแล้วอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก แต่บางครั้งก็น่าหมันไส้ค่ะ(เลยมีแอบแกล้งเขาประจำ) เพราะเรื่องนี้เอง ทำให้ฉันรู้ว่า นิสัยบางอย่างของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเลย โดยเฉพาะ เรื่องที่เขามักจะเป็นสุภาพบุรุษต่อผู้หญิง...
      ...มีอยู่วันนึงค่ะ หลังเลิกงานแล้วฝนตกหนักมากๆ ฉันเองก็ไม่ได้เอาร่มมาด้วย ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะกลับบ้านได้ยังไง ก็มีรถแท๊กซี่คันนึงเข้ามาจอด ก่อนที่กระจกจากที่นั่งผู้โดยสารทางด้านหลังจะลดลง พร้อมทั้งเสียงเรียกจากเขาว่า...
      .."คุณต่าย กลับด้วยกันมั๊ยครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง"..
      .."ไปส่ง แท๊กซี่อะนะ?" ฉันทำเสียงสูงทำนองถามกลับพร้อมทั้งเลิกคิ้วสูง...
      .."ก็ใช่สิครับ ขึ้นมาเถอะ ยืนตรงนี้เดี๋ยวเปียกนะ"..เขาเชิญชวน...
      ...สุดท้าย ฉันก็ขึ้นรถมากับเขาจนได้ แม้จะพยายามโต้แย้งตัวเองในใจ ว่าไม่ได้อยากกลับด้วยหรอกนะ แต่กลัวเปียกฝนต่างหากเลยมาด้วยก็ตาม...
      .."บ้านคุณต่ายอยู่แถวไหนครับ" เขาถามขึ้นเมื่อฉันขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว..
      .."จรัญสนิทวงศ์35" ฉันตอบ..
      .."อ้าว เลยบ้านผมไปอีกเหรอเนี่ย"..
      .."ก็ไม่ต้องไปส่งก็ได้นี่ นายก็ลงบ้านนายไป เดี๋ยวชั้นนั่งรถเลยไปลงที่บ้านชั้นเอง"
      .."ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมนั่งรถย้อนกลับมาก็ได้ ผมก็ไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว" เขาตอบพร้อมยิ้มกว้าง บ้าชะมัด ทำไมต้องใจเต้นด้วยนะฉันนี่...
      .."นี่ไง บ้านผมเข้าไปที่ซอยนี้แหล่ะ" เขาชี้มือชี้ไม้ให้ฉันดู เมื่อผ่านสี่แยกหน้าปากทางเข้าบ้านของเขา เพียงแต่ฉันกลับนึกในใจว่า รู้หรอกย่ะ เมื่อก่อนฉันก็อยู่ตรงนี้นี่...หลังจากนั้น เขาก็ชวนฉันคุยนั่นคุยนี่อีกมากมาย จนกระทั้งถึงที่ๆฉันลงรถ(ซึ่งตอนนั้นฝนหยุดแล้ว)...
      .."แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ" เขาพูดพร้อมทั้งยิ้มกว้างและโบกมือลา...
      .."อือ..."ฉันพยักหน้ารับไปแกนๆ...
      ...หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงเขาจะยังจำฉันไม่ได้อยู่ดี แต่เราก็มีอะไรโรแมนติกมากขึ้น จนเกินกว่าระดับที่จะเรียกว่าเพื่อนร่วมงานธรรมดาได้อีกแล้ว จนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พากันแซวทั้งเชียร์ฉันกับเขาเสียยกใหญ่...
      ...หากแต่ ทำไมนะ เวลาแห่งความสุข มันช่างแสนสั้นนัก...
      ...ตอนที่เขาลาออก ฉันกลับไม่รู้เรื่องเลย นั่นเป็นเพราะว่าฉันต้องไปดูงานของบริษัทที่ต่างประเทศถึง7วัน ฉันไม่รู้ว่าช่วงที่ฉันไม่อยู่นี้เกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเล่าให้ฟังเมื่อตอนกลับมาว่า เขามีปัญหากับหัวหน้าเรื่องงาน จนลาออกไป...
      ...ถึงจะรู้แบบนั้น ฉันก็พยายามมาหาเขาที่บ้านเพื่อสอบถามเรื่องราว แต่กลับกลายเป็นว่า เขาเองก็ย้ายบ้านไปแล้ว เนื่องจากต้องการไปอยู่ใกล้ๆกับที่ทำงานใหม่ และป้าเจ้าของบ้านเดิมของเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาย้ายไปไหนเสียด้วย แม้ว่ายังพอมีความหวังที่จะได้พบกันอยู่บ้าง เนื่องจากเขาลืมของบางอย่างเอาไว้ตอนที่ย้ายบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเอามันตอนไหน วันไหน นั่นแหล่ะปัญหา...
      ...เป็นครั้งที่สองแล้วสินะ ที่เราสองคนต้องจากกันโดยไม่ได้ร่ำลา...
      ...ฉันยังมีอะไรค้างคาใจอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้บอกเขา จึงได้แต่เฝ้ารอ ให้เขากลับมา รออย่างเงียบๆ ทุกๆวัน รอโดยที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะได้เจอกันอีกรึเปล่า...
      ...ซึ่งฉันก็ทำได้แค่นี้เอง...



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×