ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : คนเลี้ยงข้าว
“โต้ง !”  ผมได้ยินเสียงคนเรียก  หลังจากหันหลังเดินกลับได้ไม่นาน
                “ทานข้าวยัง ?”  พี่โก้  ถามด้วยท่าทางใจดีมีน้ำใจ
                “ดูก็รู้ว่ายังไม่ได้ทาน  ไปทานด้วยกันซิปะ”  พี่โก้คว้ามือผมไปโรงอาหาร  คงไม่ใช่เพราะพี่โก้มองหน้าผมแล้วรู้ว่าผมยังไม่ได้ทานข้าวหรอก  คงเป็นเพราะได้ยินเสียงท้องร้องมากกว่า
                “พี่ขอบคุณมากนะครับ  ที่เลี้ยงข้าว”  ผมพูดหลังจากข้าวคำแรกตกถึงท้อง
                “เรื่องเล็กน้อยน่า  ไว้มาทานด้วยกันทุกวันนะ”  พี่โก้พูดพร้อมรอยยิ้ม
                “ครับ”  ผมตอบตาม  ภาวนาให้พี่เขาพูดจริงจะได้มีคนเลี้ยงข้าวผมทุกวัน  ผมจะได้ไม่หิวทุก ๆ วันอีกต่อไป
                “อ่อ ต่อไปเรียนที่ห้องไหนล่ะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”  พี่โก้ถามพร้อมกับเลื่อนจานข้าวมาไว้ข้าง ๆ
                “ตึก 2 อะครับ” 
                “ไปเลยไหม”  เขาคงสังเกตเห็นผมอิ่มนานแล้ว  จึงถาม
                “ครับ”
                “อ่า .พี่โก้ครับผมขอบคุณพี่โก้มากนะครับ  ที่ .”
                “ไม่เป็นไร  ถ้าเป็นโต้งพี่โก้ยินดีเลี้ยงทุกวันได้”  พี่โก้ชิงพูดออกมาเสียก่อน
                ละอองไอของความอบอุ่นฟุ้งเต็มระหว่างทางเดิน  ผมมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกนาน ๆ ทีที่ผมจะมีความรู้สึกแบบนี้กับใคร  นับตั้งแต่มาเมืองกรุงผมแทบไม่รู้จักความไว้วางใจ  รวมถึงความจริงใจ  ความรู้สึกที่ดี ๆ เหล่านี้ให้ไปกับใครผลตอบแทนกลับมาคือศูนย์  อย่างน้อยความรู้สึกนึกคิดที่ผมคิดเช่นนี้ก็ได้จางหายไปไม่น้อย  คนจริงใจ คนมีน้ำใจยังมีอยู่ในเมืองกรุง
                “เดี๋ยวกลับบ้านด้วยกันนะ  พี่จะมารอ”
                “ครับ”
                วิชาเคมีเป็นวิชาที่คร่ำเคร่งที่สุด  ถึงเป็นวิชาที่น่าเบื่อแต่ด้วยความจำเป็นจึงต้องอดทนเรียน  ถ้าหากผมไม่อยากตามใจอาม่าและอาโกแล้ว  ผมคงไม่มาทนทุกข์ทรมานมาเรียนสายวิทยาศาสตร์เป็นอันขาด  ทุกเวลาทุกนาทีดูมีค่ามากเหลือเกิน  นอกจากวิชาพื้นฐานแล้วยังมีวิชาที่ยาก ๆ อีกหลากหลายวิชา  วัน ๆ ผมแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย  นอกจากการท่องตำรับตำราและทำการบ้านแล้ว  เวลาที่เหลื่อก็คงหมดไปกับการพักผ่อน  ผมต้องดำเนินชีวิตที่จำเจและน่าเบื่อแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน  มีคนเคยพูดว่ากาลเวลาถ้าเรามองในแง่อนาคตมันจะนานแสนนาน  แต่ถ้ามองในแง่อดีตมันจะรวดเร็ว  ถ้าหากสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้จะส่งผลต่อความสุขของคนที่ผมรัก  ผมก็พร้อมจะทำทุกวิถีทาง
                “เฮ้ย ! เธอดูรุ่นพี่คนนั้นสิ”
                “ไหน ๆ อ๋อ พี่คนนั้นเหรอ”
                “เธอว่าไง”
                “อ๋อก็หล่อดี”
                “มารอใครอะ”
                “น่ารักด้วย  เรียนเก่งด้วย อยากได้มาเป็นแฟนจริง ๆ เลย”
                เสียงซุบซิบนินทาของเพื่อนนักเรียนหญิงดังขึ้น  ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไรเพราะมักจะได้ยินกันประจำทุกวันอยู่แล้ว  แม้แต่พระพุทธเจ้า  องค์พระศาสดาของศาสนาพุทธยังไม่พ้นคำติฉินนินทา  แล้วจะประสาอะไรกับมนุษย์มนาสองขาเดินดินอย่างเรา  ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าการนินทานั้นสนุกตรงไหนหากมาเปรียบเทียบกับตนเองแล้ว
                “แล้วเธอรู้จักชื่อเขาไหม”  เสียงนินทายังมีต่อไม่ขาดสาย
                “คุ้น ๆ ว่าชื่อโก้รึเปล่า”  ผมเริ่มเงี่ยหูฟังพร้อมกับกวาดสายตาออกไปดู  คงเป็นเพราะพี่โก้บอกว่าจะมารอรับผมตอนเลิก  เขาจึงมานั่งรอรับตามนัด  ผมสบตากับพี่เขาก่อนจะแลกรอยยิ้มกันเล็กน้อย  ความรู้สึกของผมตอนนี้คิดถึงแต่พี่โบว์อยู่เต็มหัวสมอง  เลิกเรียนแล้วพี่โบว์คงกำลังรอเรียงแถวออกจากโรงเรียนอยู่  พอหมดเวลาวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายแล้ว  ผมจึงรีบคว้ามือพี่โก้ตรงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
                “เอ้ย ! โต้งจะรีบไปไหน”
                “เหอะน่าพี่”
                เป็นไปตามคาดพี่โบว์กำลังเรียงแถวออกมาจากโรงเรียนเหมือนทุกวัน  ผิดตรงที่พี่โบว์ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเหมือนทุกวัน  กลับเป็นรุ่นพี่ที่ชนกับผมเมื่อเช้า  ความแปลกใจและความตกใจพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย  ถ้ามันเป็นคนดีสักนิดผมจะไม่คิดกังวลให้เปลืองสมองเลย  ผิดตรงที่มันเป็นสามีใหม่ของแม่ผมเพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมสรุปได้ว่า  มันเป็นคนเลว  แม่ไม่เคยชอบคนดีเพราะแม่บอกว่าแม่ไม่ใช่คนดี  ถ้าแม่ชอบคนดีสักนิดแม่กับพ่อคงไม่ทะเลาะกันอย่างนี้  ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าสิ่งที่ผมเห็นคงไม่เลวร้ายอย่างที่ผมคิด  ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามเหมือนกับที่ผมมองก็คงดี  ผมมองคนที่ผมรักสวยงาม  สิ่งสวยงามย่อมไม่เหมาะสมกับของบูดเน่า  ผมเชื่อว่าพี่โบว์กับมันต้องไม่มีอะไรกัน
                “โต้ง ! เป็นอะไรไป”  พี่โก้ทักพร้อมเอื้อมมือมากอดคอ
                “เห็นไอ้จ๊อบแล้วถึงกับยืนนิ่งเลยเหรอ  ยังไม่หายโกรธมันเหรอ”
                “เปล่าครับพี่  เราไปกันเถอะครับ”
                “แน่นะ”
                “แน่ดิ  พี่”
                รอยยิ้มของพี่โก้  ทำให้ผมคลายความกังวลไปได้บ้าง  ผมไม่อยากทำหน้าตาบูดเบี้ยวต่อหน้าคนที่มอบความจริงใจและความเอาใจใส่ต่อผมเป็นอย่างดี  เขาทำให้ผมสบายใจผมก็อยากจะมอบสิ่งนั้นกลับคืนแก่เขาบ้าง
                “อ๋อ  พาพี่ไปซื้อของที่เซ็นทรัลหน่อยดิ”  พี่โก้กล่าวคำชักชวน
                “ได้ครับพี่”  ผมรับปากเพราะมันคือกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว
                ผมเป็นคนแสดงละครเป็นอาชีพอยู่แล้ว  สิ่งที่ผมใฝ่ฝันคือการเป็นนักแสดงและนั่นหมายถึงการขัดต่อวัตถุประสงค์ของอาม่าและอาโกที่อยากให้ผมเป็นแพทย์  ท่านเป็นคนที่รักผมมากที่สุดและผมก็รักท่านมากที่สุดเช่นกัน  ความกตัญญูกตเวทีเปรียบเสมือนฮอร์โมนต่อมไร้ท่อต่อมหนึ่งภายในร่างกาย  บังคับวิถีทางการดำเนินชีวิตให้ผมต้องเดินก้าวไป  ไม่เช่นนั้นผมคงไขว่ขว้าตามความฝันอย่างสุดความสามารถ  แบบหนังตามฝันอย่างแบบตะวันตก  ที่มักลงท้ายด้วยความสำเร็จ และมีชื่อเสียง  แต่นั่นมันก็เป็นเพียงภาพยนตร์  เมื่อเทียบกับชีวิตจริงแล้วมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ผมแสดงละครยิ้มแย้มและร่าเริงต่อหน้าพี่โก้  ภายในใจแท้จริงกลับแฝงไปด้วยความสงสัย  ความกังวล  และความเป็นห่วงพี่โบว์
                คืนนี้เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ  แต่ต่างจากทุกคืนตรงที่คืนนี้ผมคิดถึงแต่สิ่งที่เลวร้ายผิดกับหลาย ๆ คืนที่คิดประติดประต่อเรื่องราว  กำหนดให้ผมเป็นพระเอกและพี่โบว์เป็นนางเอกแล้วลงท้ายด้วยความสมหวัง  แต่คืนนี้ผมกลับไม่ได้สร้างภาคต่อจากเมื่อวาน  เพราะภาพพี่โบว์กับไอ้จ๊อบยังคงวนเวียนอยู่ภายในสมองยากต่อการจินตนาการมากมายนัก
                “นี่เธอ ! เธอมาสายอีกแล้วนะ”  อาจารย์ฝ่ายปกครองสวดยาวเหมือนทุก ๆ วัน  คงเป็นเพราะความกังวลทำให้ผมมีเวลานอนเพียง 3 ชั่วโมง  การมาสายครั้งนี้จึงแตกต่างจากเมื่อวาน  สายตาของผมกวาดหาพี่โบว์อยู่  ผมหวังในใจว่าถ้าเจอจะได้ถามให้รู้เรื่อง  ความกังวลในหัวใจจะได้สลายไปเสียที
                “ไปได้ อย่ามาสายอีก”  อาจารย์ฝ่ายปกครองลงท้ายเหมือนทุกวัน
                “ทานข้าวยัง ?”  พี่โก้  ถามด้วยท่าทางใจดีมีน้ำใจ
                “ดูก็รู้ว่ายังไม่ได้ทาน  ไปทานด้วยกันซิปะ”  พี่โก้คว้ามือผมไปโรงอาหาร  คงไม่ใช่เพราะพี่โก้มองหน้าผมแล้วรู้ว่าผมยังไม่ได้ทานข้าวหรอก  คงเป็นเพราะได้ยินเสียงท้องร้องมากกว่า
                “พี่ขอบคุณมากนะครับ  ที่เลี้ยงข้าว”  ผมพูดหลังจากข้าวคำแรกตกถึงท้อง
                “เรื่องเล็กน้อยน่า  ไว้มาทานด้วยกันทุกวันนะ”  พี่โก้พูดพร้อมรอยยิ้ม
                “ครับ”  ผมตอบตาม  ภาวนาให้พี่เขาพูดจริงจะได้มีคนเลี้ยงข้าวผมทุกวัน  ผมจะได้ไม่หิวทุก ๆ วันอีกต่อไป
                “อ่อ ต่อไปเรียนที่ห้องไหนล่ะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”  พี่โก้ถามพร้อมกับเลื่อนจานข้าวมาไว้ข้าง ๆ
                “ตึก 2 อะครับ” 
                “ไปเลยไหม”  เขาคงสังเกตเห็นผมอิ่มนานแล้ว  จึงถาม
                “ครับ”
                “อ่า .พี่โก้ครับผมขอบคุณพี่โก้มากนะครับ  ที่ .”
                “ไม่เป็นไร  ถ้าเป็นโต้งพี่โก้ยินดีเลี้ยงทุกวันได้”  พี่โก้ชิงพูดออกมาเสียก่อน
                ละอองไอของความอบอุ่นฟุ้งเต็มระหว่างทางเดิน  ผมมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกนาน ๆ ทีที่ผมจะมีความรู้สึกแบบนี้กับใคร  นับตั้งแต่มาเมืองกรุงผมแทบไม่รู้จักความไว้วางใจ  รวมถึงความจริงใจ  ความรู้สึกที่ดี ๆ เหล่านี้ให้ไปกับใครผลตอบแทนกลับมาคือศูนย์  อย่างน้อยความรู้สึกนึกคิดที่ผมคิดเช่นนี้ก็ได้จางหายไปไม่น้อย  คนจริงใจ คนมีน้ำใจยังมีอยู่ในเมืองกรุง
                “เดี๋ยวกลับบ้านด้วยกันนะ  พี่จะมารอ”
                “ครับ”
                วิชาเคมีเป็นวิชาที่คร่ำเคร่งที่สุด  ถึงเป็นวิชาที่น่าเบื่อแต่ด้วยความจำเป็นจึงต้องอดทนเรียน  ถ้าหากผมไม่อยากตามใจอาม่าและอาโกแล้ว  ผมคงไม่มาทนทุกข์ทรมานมาเรียนสายวิทยาศาสตร์เป็นอันขาด  ทุกเวลาทุกนาทีดูมีค่ามากเหลือเกิน  นอกจากวิชาพื้นฐานแล้วยังมีวิชาที่ยาก ๆ อีกหลากหลายวิชา  วัน ๆ ผมแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย  นอกจากการท่องตำรับตำราและทำการบ้านแล้ว  เวลาที่เหลื่อก็คงหมดไปกับการพักผ่อน  ผมต้องดำเนินชีวิตที่จำเจและน่าเบื่อแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน  มีคนเคยพูดว่ากาลเวลาถ้าเรามองในแง่อนาคตมันจะนานแสนนาน  แต่ถ้ามองในแง่อดีตมันจะรวดเร็ว  ถ้าหากสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้จะส่งผลต่อความสุขของคนที่ผมรัก  ผมก็พร้อมจะทำทุกวิถีทาง
                “เฮ้ย ! เธอดูรุ่นพี่คนนั้นสิ”
                “ไหน ๆ อ๋อ พี่คนนั้นเหรอ”
                “เธอว่าไง”
                “อ๋อก็หล่อดี”
                “มารอใครอะ”
                “น่ารักด้วย  เรียนเก่งด้วย อยากได้มาเป็นแฟนจริง ๆ เลย”
                เสียงซุบซิบนินทาของเพื่อนนักเรียนหญิงดังขึ้น  ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไรเพราะมักจะได้ยินกันประจำทุกวันอยู่แล้ว  แม้แต่พระพุทธเจ้า  องค์พระศาสดาของศาสนาพุทธยังไม่พ้นคำติฉินนินทา  แล้วจะประสาอะไรกับมนุษย์มนาสองขาเดินดินอย่างเรา  ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าการนินทานั้นสนุกตรงไหนหากมาเปรียบเทียบกับตนเองแล้ว
                “แล้วเธอรู้จักชื่อเขาไหม”  เสียงนินทายังมีต่อไม่ขาดสาย
                “คุ้น ๆ ว่าชื่อโก้รึเปล่า”  ผมเริ่มเงี่ยหูฟังพร้อมกับกวาดสายตาออกไปดู  คงเป็นเพราะพี่โก้บอกว่าจะมารอรับผมตอนเลิก  เขาจึงมานั่งรอรับตามนัด  ผมสบตากับพี่เขาก่อนจะแลกรอยยิ้มกันเล็กน้อย  ความรู้สึกของผมตอนนี้คิดถึงแต่พี่โบว์อยู่เต็มหัวสมอง  เลิกเรียนแล้วพี่โบว์คงกำลังรอเรียงแถวออกจากโรงเรียนอยู่  พอหมดเวลาวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายแล้ว  ผมจึงรีบคว้ามือพี่โก้ตรงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
                “เอ้ย ! โต้งจะรีบไปไหน”
                “เหอะน่าพี่”
                เป็นไปตามคาดพี่โบว์กำลังเรียงแถวออกมาจากโรงเรียนเหมือนทุกวัน  ผิดตรงที่พี่โบว์ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเหมือนทุกวัน  กลับเป็นรุ่นพี่ที่ชนกับผมเมื่อเช้า  ความแปลกใจและความตกใจพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย  ถ้ามันเป็นคนดีสักนิดผมจะไม่คิดกังวลให้เปลืองสมองเลย  ผิดตรงที่มันเป็นสามีใหม่ของแม่ผมเพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมสรุปได้ว่า  มันเป็นคนเลว  แม่ไม่เคยชอบคนดีเพราะแม่บอกว่าแม่ไม่ใช่คนดี  ถ้าแม่ชอบคนดีสักนิดแม่กับพ่อคงไม่ทะเลาะกันอย่างนี้  ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าสิ่งที่ผมเห็นคงไม่เลวร้ายอย่างที่ผมคิด  ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามเหมือนกับที่ผมมองก็คงดี  ผมมองคนที่ผมรักสวยงาม  สิ่งสวยงามย่อมไม่เหมาะสมกับของบูดเน่า  ผมเชื่อว่าพี่โบว์กับมันต้องไม่มีอะไรกัน
                “โต้ง ! เป็นอะไรไป”  พี่โก้ทักพร้อมเอื้อมมือมากอดคอ
                “เห็นไอ้จ๊อบแล้วถึงกับยืนนิ่งเลยเหรอ  ยังไม่หายโกรธมันเหรอ”
                “เปล่าครับพี่  เราไปกันเถอะครับ”
                “แน่นะ”
                “แน่ดิ  พี่”
                รอยยิ้มของพี่โก้  ทำให้ผมคลายความกังวลไปได้บ้าง  ผมไม่อยากทำหน้าตาบูดเบี้ยวต่อหน้าคนที่มอบความจริงใจและความเอาใจใส่ต่อผมเป็นอย่างดี  เขาทำให้ผมสบายใจผมก็อยากจะมอบสิ่งนั้นกลับคืนแก่เขาบ้าง
                “อ๋อ  พาพี่ไปซื้อของที่เซ็นทรัลหน่อยดิ”  พี่โก้กล่าวคำชักชวน
                “ได้ครับพี่”  ผมรับปากเพราะมันคือกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว
                ผมเป็นคนแสดงละครเป็นอาชีพอยู่แล้ว  สิ่งที่ผมใฝ่ฝันคือการเป็นนักแสดงและนั่นหมายถึงการขัดต่อวัตถุประสงค์ของอาม่าและอาโกที่อยากให้ผมเป็นแพทย์  ท่านเป็นคนที่รักผมมากที่สุดและผมก็รักท่านมากที่สุดเช่นกัน  ความกตัญญูกตเวทีเปรียบเสมือนฮอร์โมนต่อมไร้ท่อต่อมหนึ่งภายในร่างกาย  บังคับวิถีทางการดำเนินชีวิตให้ผมต้องเดินก้าวไป  ไม่เช่นนั้นผมคงไขว่ขว้าตามความฝันอย่างสุดความสามารถ  แบบหนังตามฝันอย่างแบบตะวันตก  ที่มักลงท้ายด้วยความสำเร็จ และมีชื่อเสียง  แต่นั่นมันก็เป็นเพียงภาพยนตร์  เมื่อเทียบกับชีวิตจริงแล้วมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ผมแสดงละครยิ้มแย้มและร่าเริงต่อหน้าพี่โก้  ภายในใจแท้จริงกลับแฝงไปด้วยความสงสัย  ความกังวล  และความเป็นห่วงพี่โบว์
                คืนนี้เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ  แต่ต่างจากทุกคืนตรงที่คืนนี้ผมคิดถึงแต่สิ่งที่เลวร้ายผิดกับหลาย ๆ คืนที่คิดประติดประต่อเรื่องราว  กำหนดให้ผมเป็นพระเอกและพี่โบว์เป็นนางเอกแล้วลงท้ายด้วยความสมหวัง  แต่คืนนี้ผมกลับไม่ได้สร้างภาคต่อจากเมื่อวาน  เพราะภาพพี่โบว์กับไอ้จ๊อบยังคงวนเวียนอยู่ภายในสมองยากต่อการจินตนาการมากมายนัก
                “นี่เธอ ! เธอมาสายอีกแล้วนะ”  อาจารย์ฝ่ายปกครองสวดยาวเหมือนทุก ๆ วัน  คงเป็นเพราะความกังวลทำให้ผมมีเวลานอนเพียง 3 ชั่วโมง  การมาสายครั้งนี้จึงแตกต่างจากเมื่อวาน  สายตาของผมกวาดหาพี่โบว์อยู่  ผมหวังในใจว่าถ้าเจอจะได้ถามให้รู้เรื่อง  ความกังวลในหัวใจจะได้สลายไปเสียที
                “ไปได้ อย่ามาสายอีก”  อาจารย์ฝ่ายปกครองลงท้ายเหมือนทุกวัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น