ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
    ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวหนังที่เย็นเฉียบและยังเปรอะเปื้อนไปด้วยบาดแผลและคราบเลือดอย่างที่คุณเห็นแล้วจะต้องรู้สึกสยดสยองอย่างที่จะต้องไม่นึกอยากกินอะไรไปชั่วขณะ
    ผมกวาดสายตา มองไปรอบๆอย่างงงงวย  แหงหละ  ไม่ว่าใครก็ต้องตกอยู่ในอาการงงงวยงุนงงอย่างผมทั้งนั้น ถ้าหากว่าคุณหลับในอีกที่และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่อีกที่หนึ่ง 
    ผมมองไปรอบๆ พยายามใช้หัวสมองโง่ๆคิดว่าที่นี่มันที่ไหน  ผมมาที่นี่ได้อย่างไร  และใครพาผมมา  สถานที่แห่งนี้มันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในร่องรอยความทรงจำหรือช่วงเวลาในอดีตของผมเลยสักนิด  มันดูเหมือนอุโมงค์แคบๆที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง  มืดมากจนแทบมองอะไรไม่เห็นนอกจากคุณเอาเทียนพรรษามาจุดไว้นั่นแหละ  นั่นก็อาจจะช่วยได้บ้างหากว่าเปลวไฟอันน้อยนิดจะไม่กลายเป็นน้ำแข็งเพราะเจอกับอุณหภูมิที่ติดลบขนาดนี้ซะก่อน
    ผมเดินคลำทาง สะเปะสะปะไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมายและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่ผมเหยียบย่างลึกเข้าไปเรื่อยๆนี้คือส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์หรือเปล่า  หรือไม่แน่  ไม่แน่ว่าผมอาจจะกำลังก้าวเข้าสู่นรกภูมิที่ที่คนดีๆเขาไม่อยู่กันก็ได้
บ้าน่า!!
    ผมยังไม่ตายสักหน่อย  ใช่!! ผมยังไม่ตาย คนดีๆอย่างผมจะต้องมาตายในสภาพนี้เนี่ยนะ  ให้ตายเถอะ ไม่มีทาง  ผมต้องทำอะไรสักอย่าง  ทำอะไรสักอย่าง  คิดเข้าสิเคซีย์  นายมันหัวดีอยู่แล้วนี่รีบคิดหาทางออกจากที่นี่ซะก่อนที่นายจะรู้สึกอยากบ้าไปมากกว่านี้!!
    หลังจากที่ผมพยายามเพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามคิดว่าที่นี่มันที่ไหน  ฉับพลัน สายตาของผมก็มองเห็นอะไรบางอย่าง  อะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ  อะไรบางอย่างที่ทำให้ขนหัวผมลุกชัน
ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ในขณะที่สายตายังจับจ้องมองตรงไปข้างหน้าพลางพยายามข่มจิตใจตัวเองไม่ให้คิดเตลิดไปไกลถึงภูตผีปีศาจซะก่อน 
เอาเถอะ  ผมยอมรับว่าผมอาจจะกล้าบ้าบิ่นมากกว่าคนปกติธรรมดาอยู่สักหน่อย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าผมต้องมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นหูคุ้นตา ผมจะยังซ่าส์ได้อย่างเดิมนี่
ผมกลัว  นี่ล่ะถูกต้องที่สุด  ผมกำลังตื่นกลัว  กลัวในสิ่งที่ไม่รู้  กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น  กลัวในสิ่งที่........
ผมสะดุ้งสุดตัวพลางถอยหลังออกมาด้วยความเร็วที่คุณคงไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะทำได้
ผมมองเห็น  บางสิ่งบางอย่าง  บางอย่างที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า  บางอย่างที่น่าขนลุกขนชัน  บางอย่างที่
ให้ตายเถอะ!!!  พระเจ้าช่วย  ใครก็ได้ช่วยบอกหน่อยว่าผมไม่ได้ฝัน  ผมไม่ได้ฝัน!!!
    ร่างใหญ่มหึมาเบื้องหน้ากำลังมองกลับมาที่ผม  สายตาแข็งกร้าว  ดุดัน  ม่านตาสีแดงเพลิงคู่นั้นเบิกกว้างราวกับจะกลืนกิน  และที่ข้างหลังไอ้หมอนั่น  ผมเห็นอะไรสักอย่าง  อะไรสักอย่างที่คนทั่วไปเรียกว่าปีก  แต่มันเป็นศัพท์เฉพาะที่ไว้ใช้กับสัตว์ปีกเท่านั้นนี่  แล้วทำไมปีกสีดำที่ใหญ่โตมโหฬารจึงได้แผ่ขยายอยู่ข้างลำตัวของหมอนี่  ร่างกายของมันเปลือยเปล่า และลวดลาย  ไม่สิ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของพวกคลั่งศาสนาหรือลัทธิอะไรสักอย่าง ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ  สัญลักษณ์พวกนั้นถูกเขียนไว้ทั่วร่างกายราวกับพวกนักร้องวงร็อคโง่ๆที่นิยมทำรอยสักให้เนื้อตัวสกปรกและสนองความซาดิสต์ของตัวเอง
ผมหวาดกลัวพลางถอยหลังหนีขณะที่ในหัวสมองกำลังคิดอย่างสับสน  ผมคุ้นหน้าหมอนี่  ผมอาจจะรู้จักมัน  ผมอาจจะ.......
ให้ตายเถอะ!!  ไม่ว่ามันจะเป็นใครหรือตัวอะไรก็ตาม ผมก็ไม่ควรจะอยากรู้อะไรมากไปกว่าการรักษาชีวิตเอาไว้
เวลานี้มันกำลังเคลื่อนตัวมาใกล้ๆผม  สายตาของมัน    จับจ้องมาที่ผม  มองมาที่ผม
บ้าชะมัด!!  ทำไมผมถึงไม่ถอยหลังหนี  ทำไมขาของผมมันไม่ยอมขยับ  ทำไมผมหยุดนิ่ง  ทำไมผมต้องหยุดอยู่กับที่
ให้ตายสิ!!  ทำไมขาผมต้องมาเป็นตะคริวตอนนี้ด้วยนะ!!
    ผมภาวนา ร่ำร้องเงียบๆอยู่ในใจ  และได้แต่หวังว่าไอ้ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าจะเข้าใจภาษามนุษย์โลกอย่างผม อย่างน้อย ถ้าผมจะอ้อนวอนขอชีวิตมัน มันก็อาจจะเมตตาผมบ้าง  แต่ถ้าเกิดมันไม่เข้าใจภาษาที่ผมพูดล่ะ  บางทีมันอาจจะเข้าใจภาษาฝรั่งเศสมากกว่าภาษาอักฤษก็ได้    บ้าชะมัด    ถ้ามันเป็นอย่างนั้นผมก็แย่น่ะสิ  ทำไมผมถึงไม่ตั้งใจเรียนภาษาฝรั่งเศสให้มากกว่าการแอบหลับในห้องเรียนนะ  ให้ตาย!!
    ระหว่างที่ผมกำลังก่นด่าตัวเองในใจโดยที่มันก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับตัวผมได้มากไปกว่าอาการปวดประสาทที่ทวีเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า
ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อไอ้ปีศาจร่างยักษ์นั้น  เคลื่อนตัวมาใกล้และหยุดอยู่ตรงหน้าผม และ.............
ให้ตายเถอะ!!  ผมกรีดร้อง  ตะโกน  สาปแช่ง  และร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่ในใจ
นี่มันฝันร้ายชัดๆ 
มันต้องไม่มีทางเป็นไปได้ 
มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง
ไม่มีทาง .
มันต้องไม่ใช่ ..
ปีศาจตนนั้นคือผม!!!
    ผมถอยหลังหนีอย่างไม่เชื่อสายตา  รู้สึกเหมือนกำลังมองดูตัวเองอยู่ในกระจก  กระจกบ้าๆที่อาจจะทำให้ผมเห็นภาพหลอน  กระจกบ้าๆที่ทำให้คุณคงไม่นึกอยากส่องอีกเป็นครั้งที่สองหลังจากที่มองเห็นตัวเองเป็นปีศาจ!!
    ตัวผม  ไม่สิ คนที่เหมือนผมกำลังจ้องกลับมา  เขม่นสายตาก่อนจะยื่นมือใหญ่โตมโหฬารกว่าคนปกติธรรมดาสักสองเท่ามาที่ตัวผม  สัมผัสผม และ...........
    ร่างผมถูกยกขึ้น ลอยขึ้นเหนือพื้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งก่อนจะถูกเหวี่ยงไปในห้วงอากาศ ลอยละลิ่ว 
ลอยละลิ่ว
ลอยละ.....
    ผมกรีดร้อง  พลางพร่ำภาวนาขออย่าให้ร่างกายของผมต้องเละตุ้มเปะอย่างขนมเค้กที่ถูกเด็กเอาแต่ใจเขวี้ยงไปที่พื้นเลย  ผมรู้ว่าศพมันคงจะไม่สวย  แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่    ผมกำลังจะตายต่างหาก  เนี่ยสิที่ผมต้องเป็นกังวล
    ผมแหกปากร้องโวยวายอยู่หลายนาทีราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะที่ตีลังกาโค้งไปรอบๆและดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ  บางทีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่กำลังบังคับเครื่องรถไฟอาจจะไปแอบหลับคาอกสาวที่ไหนอยู่ก็ได้ ใครจะรู้
    แต่นี่มันเรื่องบ้าอะไร  แค่ผมถูกเหวี่ยงมันยังไม่พออีกหรือไง  ทำไมต้องทรมาณผมด้วยการปล่อยให้ร่างกายลอยค้างเติ่งอยู่ในอากาศราวกับจะไม่ให้รู้วินาทีตายอย่างไรอย่างนั้น  ผมคงมีเวลาแหกปากร้องเพลง it my life ของ bon jovi หรือสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าเมตตาผมได้อีกหลายนาทีกว่าที่ร่างของผมจะแฉลบตกถึงพื้นและทะลักเอาเครื่องใน ลำไส้ ตับ ม้าม ปอด หัวใจและอีกสารพัดที่ทำให้ผมในตอนนี้ไม่นึกอยากเป็นคนช่างจินตนาการหลุดทะลักออกมา
ให้ตายสิ!!  นี่มันขัดกับหลักทฤษฎีและกฏตามธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมร่างของผมไม่ตกลงไปและกระแทกกับอะไรสักอย่างที่รออยู่ข้างล่างแล้วก็ตายๆไปซะเลยล่ะ
ทำไมต้องทรมาณผมให้จมอยู่กับความสับสนงุนงงและปวดหัวเล่น อย่างนี้
ทำไมและทำไม!!
และแล้ววินาทีอันโหดร้ายที่สุดในชีวิตก็มาถึง  ร่างของผมกำลังร่วงลงไปราวกับถูกใครดึงเชือกที่โยงตัวผมในอากาศชักกระตุกลงมากระชากลงมา
และอีกไม่นานร่างของผมก็จะเละตุ้มเปะแหลกเหลวเป็นโจ๊กที่คุณคงไม่นึกอยากต่อให้หิวจนตาลายอยู่ข้างล่าง
ร่วงลงไป
ร่วงลงไป
และ........
 
    ผมลืมตาตื่น สะดุ้งสุดตัว  และขอย้ำว่าเป็นการตื่นแบบสะดุ้งสุดตัวจริงๆ    สะดุ้งแบบตอนที่มีใครเอาเข็มแหลมๆมาทิ่มก้นเวลาที่คุณนั่งหันหลังโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละครับ
ผมสะดุ้งแบบนั้นเลย
    ผมพยุงตัวลุกขึ้นอย่างมึนๆพลางเพ่งสายตาที่บวมช้ำมองตรงไปข้างหน้า  ใครบางคนกำลังมองกลับมาที่ผม  ใครบางคนที่ผมนึกอยากเจอเป็นคนสุดท้ายของโลกในเวลานี้
    “มานอนทำอะไรที่นี่”  ทรีน่าเอ่ยถามด้วยท่าทางที่บอกได้คำเดียวว่า ใสซื่อบริสุทธ์
      ยัยนี่หวังว่าผมจะมานอนนับดาวอยู่ที่นี่หรือยังไง  เธอดูไม่ออกเหรอว่าผมถูกอัด  ใช่! และขอย้ำว่าผมถูกอัด แถมเป็นการโดนอัดแบบไม่ปราณีปราศัยเสียด้วย
ผมจ้องยัยทรีน่าด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักก่อนจะค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นโดยมียัยนี่ยืนมองแบบทอดอาลัย
    “ไม่ยักรู้ว่าเธอชอบนอนข้างถนน  เธอชอบที่แบบนี้เหรอ”
    เป็นคำถามที่ดี และทำให้ผมนึกอยากตอบพอๆกับการเดินเข้าไปหาไอ้พวกนั้นและนอนให้มันอัดอีกรอบเลยล่ะ  ทำไมคนที่มาเห็นผมในสภาพนี่ต้องเป็นยัยนี่ด้วยนะ  ให้ตายเถอะ!!
    “เธอมาทำอะไรแถวนี้”  ผมย้อนถามกลับไปบ้าง  รู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ยัยนี่พูดอยู่คนเดียวผมอาจจะคลั่งหรือไม่ก็อาจจะอยากเอามีดจี้คอเธอก็ได้
ทรีน่ามองผม  ท่างเฉยเมยและนิ่งๆอย่างคนที่ไม่อยากตอบอะไร
  “ฉันมาเดินเล่น”
    แหม !! ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ    เดินเล่นข้างนอกตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะช่างน่าสนุกพอๆกับขึ้นไปนั่งบนรถไฟเหาะหลังจากที่เพิ่งจะเขมือบเส้นสปาเกตตี้เข้าไปเลยทีเดียว
    “ทำไมตัวเธอถึงได้มีแต่      แผลพวกนั้น”  ทรีน่าพูดแบบเว้นจังหวะเพื่อที่จะสำรวจสายตาไปรอบๆตัวผมซึ่งถูกประทับไว้ด้วยผลงานอันวิจิตรบรรจงเพียงแต่ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมาณเสียหน่อยหากอยากได้ร่องรอยพวกนี่มาประดับประดา
    “อย่าถามโง่ๆไปหน่อยเลยน่า  เธอคงไม่คิดว่าฉันไปขอร้องให้ใครทำแผลพวกนี้ให้หรอก ใช่ไหม ”  ผมตวาดกลับอย่างรู้ทัน  ก็ยัยนี่ตั้งใจจะยั่วโมโหผมและดูเหมือนว่าเธอจะทำได้ดีซะด้วยสิ    ทรีน่ากำลังทำให้ร่างกายผมตึงเขม็งด้วยความโกรธอีกครั้ง  และ 
เอาล่ะ  ผมรู้ว่าผมต้องใจเย็น  ใจเย็นเข้าไว้เคซีย์  ใจเย็นเข้าไว้  อย่าได้คิดว่ายัยนี่เป็นไอ้หัวเขียวคนนั้นเชียว  อย่าได้คิดเชียว
    ผมกับทรีน่าไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกและยังคงนิ่งเงียบทั้งคู่  ทรีน่านั่งนิ่งอย่างคนใช้ความคิดในขณะที่สายตาสีเขียวมรกตเหม่อมองไปในความมืดที่ครอบคลุมอยู่โดยรอบ  ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน  แต่สำหรับผม  กำลังอยู่ในอาการมึนงงอย่างมากที่สุดเลยล่ะ
    ผมไม่อยากจะเชื่อว่าภาพเมื่อครู่ที่ผมเห็น ที่ผมรู้สึก ที่ผมถูกกระทำ จะเป็นเพียงแค่ความฝัน  ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งร่องรอยของการถูกสัมผัสยังติดตรึงอยู่ทั่วร่างกายของผม  มันไม่น่าเป็นไปได้ที่ความฝันของคนๆหนึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนจริงได้มากขนาดนี้  ความหวาดกลัวและความสับสนยังวนเวียนอยู่ในหัวสมองทึ่มๆของผมอยู่ตลอดเวลา
    ผมพยายามคิด  คิด คิด  คิดถึงสาเหตุ  เหตุผล  หลักการ  ทฤษฎีหรือแม้แต่ความน่าจะเป็นที่มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย  มันต้องมีกฏหรือทฤษฎีอะไรสักอย่างมาอธิบายถึงเหตุและผลของเรื่องบ้าๆพวกนี้ได้สิน่า  ผมรู้สึกเหมือนถูกแยกเป็นสองภาค  รู้สึกเหมือนมีผมอยู่สองคน  อีกคนคือเคซีย์เจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิดอย่างผม  และอีกคนคือชายร่างใหญ่มหึมาที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ 
ปีศาจ   
ผมอีกคนคือปีศาจ!!
    เฮ้ย!!  อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่าเคซีย์  นายก็แค่ฝันร้ายหลังจากที่มึนเมาด้วยฤิทธิ์ของบาทาก็เท่านั้น  มันก็แค่ภาพความฝันโง่ๆที่จะตามหลอกหลอนนายเวลาที่รู้สึกอ่อนแอเท่านั้นเอง  ใช่แล้ว  นี่หละ  ข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด  และสิ่งเดียวที่จะลบล้างความอับอายจนอยากจะมุดดินหนีของนายได้ก็คือ
ทำให้ไอ้เวรพวกนั้นรู้สึกไม่แตกต่างจากการตกนรกหลังจากที่พวกมันได้กระทำเรื่องชั่วๆกับนายไงล่ะ!!
    ระหว่างที่ผมกำลังปล่อยจิตใจตัวเองให้เตลิดไปกับความคิดบ้าๆเกี่ยวกับการแก้แค้นสารพัดรูปแบบอย่างที่มนุษย์ปกติบนโลกคงไม่คิดจะทำกัน  ทรีน่าที่นั่งเงียบอยู่นานก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางเพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างระแวดระวังภัย  เธอขมวดคิ้ว นิ่วหน้า เขม่นสายตา มองไปรอบๆ และทำอีกสารพัดท่าทางที่ผมบอกได้คำเดียวว่าแทบจะมองไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกหรือคิดอะไรหรืออยู่ในอารมณ์แบบไหน  บางทีผมยังอดคิดไม่ได้ว่าทรีน่าอาจจะใส่หน้ากากไว้ที่หน้าอยู่ตลอดเวลาก็ได้  ก็ดูหน้าเธอสิครับเฉยเมยและเฉยชาขนาดว่ามีอันตรายมาจ่อรออยู่ตรงหน้าก็ยังนิ่งเป็นปลาแช่แข็งอยู่ได้
    “เธอเห็นอะไร”    ผมตัดสินใจถามหลังจากที่ทนอ่านสีหน้ายัยนี่ไม่ไหว
ทรีน่าหันมามองผม นิ่งๆเฉยๆราวกับเธอไม่ได้มองเห็นอะไรผิดปกติมากไปกว่าการเห็นหางงอกออกมาจากก้นผม
เธอนิ่งมากจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีชีวิตจิตใจอย่างคนปกติได้เลยจริงๆ
    “เปล่าหรอก    ฉันแค่สงสัยว่าทำไมฉันถึงมองเห็นในที่มืดๆไม่ชัดเท่านั้นเอง” ทรีน่าตอบ และ........
ให้ตายสิ!!  ยัยนี่เป็นผู้หญิงที่น่าอัดชะมัด  เป็นคำตอบที่ผมนึกอยากฟังมากที่สุดในโลกเลยจริงๆ
    ผมกระฟัดกระเฟียด หัวฟัดหัวเหวี่ยงราวกับมีใครเดินมาเตะก้นผมหลังจากที่เพิ่งจะถูกเข็มแหลมๆพุ่งมาแทงอย่างไรอย่างนั้น ผมลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ  ยืนโงนเงนแบบคนแก่วัย 90 กว่าๆนั่นแหละคับ ยืนแบบไม่ค่อยจะตรง 
    ทรีน่าทำท่าจะเดินมาประคองผมแต่ผมสั่งให้เธอหยุดด้วยสายตาและท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก  ผมไม่รู้สึกอยากอยู่ใกล้ยัยนี่สักวินาทีเลยจริงๆ    ทรีน่าเป็นตัวอันตราย  เธอมีประสิทธิภาพที่สามารถใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้  เธอมีความสามารถในการยั่วยวนอารมณ์ผมให้ประทุเป็นเปลวไฟและพร้อมที่จะระเบิดหรือคลุ้มคลั่ง  บางทีผมน่าจะมอบโล่หรือประกาศณีย์บัตรแม่สาวยั่วประสาทดีเด่นให้เธอนะ  เผื่อเธอจะรู้สึกภูมิใจและจะได้เลิกยุ่งเลิกกวนประสาทผมซะทีไงล่ะ
    “นั่นเธอจะไปไหน”    ทรีน่าถามผม  แต่สายตากลับเลื่อนลอยเหม่อมองไปทางอื่น  บางที ยัยนี่อาจจะไม่มีวิญญาณประดับร่างเหมือนคนทั่วๆไปก็ได้  ไม่อย่างนั้น เธอคงจะไม่ดูเหม่อลอยได้มากขนาดนี้
    “ไปให้ห่างๆเธอน่ะซิ”  ผมหันไปตอบและเดินหนีออกมา
    “เดี๋ยวก่อน  เคยซีย์”  ทรีน่าสั่ง  อ่านไม่ผิดหรอกคับ  เธอกำลังสั่งผม และผมก็ดันปัญญาอ่อนมากพอที่จะหยุดทำตามคำสั่งเธอซะด้วยสิ
      “มีเรื่องอะไรกับฉันอีก”  ผมเค้นคำพูดออกมาจากลำคอและอยากจะพูดต่อว่ายัยปีศาจซะจริง  แต่ผมก็ไม่กล้า ทำไงได้ ผมยังไม่อยากถูกยัยนี่ตบหลังจากที่เพิ่งจะถูกไอ้เด็กนรกพวกนั้นรุมอัดหรอกนะ
      “เธอเชื่อเรื่องสัมผัสพิเศษหรือเปล่า”  ทรีน่าถามแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียง  เธอไม่ได้มองหน้าผม ถึงแม้เธอจะหันมาทางผมแต่เธอก็ไม่ได้มองผม เธอมองผ่าน  มองเลยไปด้านหลัง  เหมือนกำลังมองใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม ใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม  ใครอีกคนที่ซ่อนกลายอยู่ในตัวผม!!
      “อะไร  เธออยากจะถามเรื่องปัญญาอ่อนพวกนี้เพื่อทดสอบว่าฉันโง่งี่เง่าได้มากขนาดไหนรึไง”  ผมย้อนถามเสียงดังอย่างเคลือบแคลงใจ หรืออาจจะตวาดเธอเลยด้วยซ้ำ
      “ทำไมล่ะ เธอไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือไง”  ทรีน่าว่า  ท่าทางมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน  เธอคงจะหงุดหงิดที่เห็นผมเป็นพวกชอบยั่วประสาทไม่แพ้เธอ  “เธอไม่แปลกใจบ้างเหรอที่เมื่อเช้าทำไมฉันถึงเข้ามาเตือนเธอไม่ให้มีเรื่อง  เธอไม่แปลกใจบ้างหรือไงว่าทำไมฉันถึงออกมาเดินข้างนอกตอนเที่ยงคืนอย่างนี้”
      “ทำไมฉันต้องแปลกใจ  เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ  ฉันไม่เห็นจะสน”  ผมว่า แต่.....
....นั่นก็ใช่  ถูกของเธอ  ทำไมผมไม่แปลกใจล่ะ  ทำไมผมไม่ทันคิดว่าทรีน่าอาจจะรู้อะไรมากกว่าการยั่วประสาทหรือการยุ่งเรื่องของคนอื่นล่ะ  ทำไมผมไม่ทันคิดว่ายัยนี่อาจจะมีอะไรพิเศษๆมากกว่าคนอื่น  อย่างเช่น
    เธอเป็นพวกบ้าพลังจิตและก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครหลังข่าวบางเรื่องที่มีสัมผัสพิเศษบ้างล่ะ  เออ  นั่นก็สมเหตุสมผลดีอยู่  ยัยนี่เป็นพวกชอบทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่แล้วนี่
ผมมองทรีน่า  มองแบบไม่อยากจะมอง มองแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังต้องมอง
ทรีน่ามองผมพลางถอดถอนลมหายใจ
      “เอาล่ะ ฟังฉันให้ดีพ่อรูปหล่อสมองทึ่ม  ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  อะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ในตัวเธอ  อะไรบางอย่างที่เป็นอันตรายกับเธอ  อะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเธอ ฉัน หรือใครก็ตามต้องไม่ชอบแน่ๆ  ฉันมีสัมผัสพิเศษ ฟังดูอาจจะงี่เง่าและเหลือเชื่อมากไปหน่อย  แต่ฉันมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  และมันก็ค่อนข้างจะถูกต้องเสมอซะด้วย”
ทรีน่าพูดกับผม ช้าๆทีละคำราวกับกำลังอธิบายว่า1+1=2 ไม่ใช่ 3 ให้เด็กอนุบาลฟัง
ผมจ้องทรีน่าพลางอ้าปากค้างอย่างคนไม่เชื่อหูราวกับมีใครเอาไม้มาค้ำขากรรไกรผมเอาไว้
      “อะไรนะ”  ผมถามเสียงดังก่อนจะรีบลดเสียงลงมาจนเกือบกระซิบ  “เธอจะบ้าหรือเปล่า  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะมีพลังจิตหรือสัมผัสพิเศษอะไร  แต่ฉันว่าเธอควรจะไปเช็คสมองภายใต้ผมสีบลอนของเธอบ้างนะ เผื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติในนั้นไง อย่างน้อยเธอก็จะรักษาได้ทัน  บางทีนะทรีน่า  บางทีเธออาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังเรื่องแม่สาวพลังจิตอยู่ก็ได้  และขอย้ำชัดๆนะทรีน่า  เธอกำลังเข้าใจผิด นี่มันไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาอย่างในหนังฮอลลิวู้ดที่เธอเข้าใจ  เธอไม่ได้มีสัมผัสพิเศษหรือรู้อะไรมากไปกว่าควรจะออกมาเดินเล่นเวลาไหน และที่สำคัญ ชีวิตฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรแปลกๆอย่างที่เธอคิด  และถ้ามันจะมีอะไรที่แปลกล่ะก็นะทรีน่า  ฉันว่ามันเกิดขึ้นกับเธอนั่นแหละ ไม่ใช่ฉัน ”  ผมพูดจนจบก่อนจะหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย
ทรีน่าจ้องผม  ท่าทางเดือลดาลไม่แพ้น้ำที่ถูกต้มจนเดือดเลยทีเดียว
    “อ้อ! เธอคิดว่าที่ฉันพูดเตือนเธอเมื่อเช้าเป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ  เธอคิดว่าที่ฉันเสี่ยงออกมาเดินข้างนอกตอนเที่ยงคืนอย่างนี้เพราะอยากมาเดินเล่นอย่างที่บอกจริงๆอย่างนั้นหรือไง  เอาล่ะ เคซีย์  ถ้าหากว่าเธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆนะ นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ได้ฉลาดไปมากกว่าที่ฉันคิดไว้เท่าไหร่เลย”
    ช่างเป็นการจบประโยคสนทนาได้อย่างเจ็บแสบแบบไม่มีที่ติ  ผมอาจจะปล่อยหมัดแย็บออกไปข้างหน้าบ้างแล้วก็ได้ถ้าทรีน่าไม่ใช่ผู้หญิง  ผมอาจจะกระโดดเตะก้านคออย่าง *R V D ไปแล้วก็ได้ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิง!!             
ผมยืนจ้องหน้าเธออยู่นานและพยายามนิ่งให้มากที่สุดทั้งๆที่มือทั้งสองข้างกำไว้แน่นข้างลำตัว
      ผมไม่ปฏิเสธว่าที่ทรีน่าพูดนั้นมีส่วนที่ถูกและน่าคิดมากแค่ไหน  แต่ผมก็แค่ไม่อยากยอมรับ  ผมรู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ ผมมองเห็นสัญญาณอันตรายที่เริ่มก่อรูปก่อร่างในชีวิตผม  แต่ผม ..
      เอาเถอะ  ผมยอมเป็นไอ้โง่สุดทึ่มและไม่ขอรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น  และหนทางเดียวที่ผมจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความคิดเหล่านี้ได้  ผมต้องเขี่ยยัยทรีน่าออกไปให้พ้นๆจากชีวิตของผมซะ  เขี่ยเธอออกไปอย่างตอนที่สั่งน้ำมูกใส่ทิชชู่และดีดมันลงถังขยะนั่นแหละ
    “ฟังนะ ทรีน่า  ฉันไม่สนว่าเธอจะรู้อะไรหรือมีอะไรที่เหนือกว่าคนปกติธรรมดามากแค่ไหน  เพราะในสายตาฉัน  เธอก็แค่ผู้หญิงพูดมากชอบอวดรู้ไปซะทุกเรื่องก็เท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น ไปให้ห่างจากชีวิตฉันได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะอยากคลั่งเพราะต้องอยู่ใกล้เธอ”  ผมพูดเน้นเสียงทุกคำอย่างจงใจพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้  พยายามทำสีหน้าให้ดูน่ากลัวอย่างที่คนอื่นมาเห็นจะต้องชะงักและก้าวถอยหลังอย่างน้อยหนึ่งหรือสองก้าว  แต่นั่น 
ไม่ใช่กับทรีน่า
    เธอนิ่ง เงียบ ไม่ถอยหลังหนีหรือพูดอะไรเลย  ผมคาดว่าเธอคงกำลังตั้งใจจะระงับสติอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ภายใน
และเธอ  ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับตอไม้  ไม่รู้สึก ไม่แยแส  ไม่ใส่ใจ  ส่วนผม.......
บ้าอยู่คนเดียว!!
ผมจ้องหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินถอยหลังหนีออกมา  และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทรีน่าคงจะไม่พูดอะไรเพื่อหยุดการก้าวขาของผมอีก 
ผมกลับถึงบ้านและแทบจะคลานสี่ขาทันทีที่ขาก้าวพ้นประตูห้อง...........
* ชื่อนักมวยปล้ำ
------------------
adventure in monster word
รักเธอ - - ยัยขี้แย
nj  venus
    ผมกวาดสายตา มองไปรอบๆอย่างงงงวย  แหงหละ  ไม่ว่าใครก็ต้องตกอยู่ในอาการงงงวยงุนงงอย่างผมทั้งนั้น ถ้าหากว่าคุณหลับในอีกที่และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่อีกที่หนึ่ง 
    ผมมองไปรอบๆ พยายามใช้หัวสมองโง่ๆคิดว่าที่นี่มันที่ไหน  ผมมาที่นี่ได้อย่างไร  และใครพาผมมา  สถานที่แห่งนี้มันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในร่องรอยความทรงจำหรือช่วงเวลาในอดีตของผมเลยสักนิด  มันดูเหมือนอุโมงค์แคบๆที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง  มืดมากจนแทบมองอะไรไม่เห็นนอกจากคุณเอาเทียนพรรษามาจุดไว้นั่นแหละ  นั่นก็อาจจะช่วยได้บ้างหากว่าเปลวไฟอันน้อยนิดจะไม่กลายเป็นน้ำแข็งเพราะเจอกับอุณหภูมิที่ติดลบขนาดนี้ซะก่อน
    ผมเดินคลำทาง สะเปะสะปะไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมายและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่ผมเหยียบย่างลึกเข้าไปเรื่อยๆนี้คือส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์หรือเปล่า  หรือไม่แน่  ไม่แน่ว่าผมอาจจะกำลังก้าวเข้าสู่นรกภูมิที่ที่คนดีๆเขาไม่อยู่กันก็ได้
บ้าน่า!!
    ผมยังไม่ตายสักหน่อย  ใช่!! ผมยังไม่ตาย คนดีๆอย่างผมจะต้องมาตายในสภาพนี้เนี่ยนะ  ให้ตายเถอะ ไม่มีทาง  ผมต้องทำอะไรสักอย่าง  ทำอะไรสักอย่าง  คิดเข้าสิเคซีย์  นายมันหัวดีอยู่แล้วนี่รีบคิดหาทางออกจากที่นี่ซะก่อนที่นายจะรู้สึกอยากบ้าไปมากกว่านี้!!
    หลังจากที่ผมพยายามเพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามคิดว่าที่นี่มันที่ไหน  ฉับพลัน สายตาของผมก็มองเห็นอะไรบางอย่าง  อะไรบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ  อะไรบางอย่างที่ทำให้ขนหัวผมลุกชัน
ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ในขณะที่สายตายังจับจ้องมองตรงไปข้างหน้าพลางพยายามข่มจิตใจตัวเองไม่ให้คิดเตลิดไปไกลถึงภูตผีปีศาจซะก่อน 
เอาเถอะ  ผมยอมรับว่าผมอาจจะกล้าบ้าบิ่นมากกว่าคนปกติธรรมดาอยู่สักหน่อย
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าผมต้องมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นหูคุ้นตา ผมจะยังซ่าส์ได้อย่างเดิมนี่
ผมกลัว  นี่ล่ะถูกต้องที่สุด  ผมกำลังตื่นกลัว  กลัวในสิ่งที่ไม่รู้  กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น  กลัวในสิ่งที่........
ผมสะดุ้งสุดตัวพลางถอยหลังออกมาด้วยความเร็วที่คุณคงไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะทำได้
ผมมองเห็น  บางสิ่งบางอย่าง  บางอย่างที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า  บางอย่างที่น่าขนลุกขนชัน  บางอย่างที่
ให้ตายเถอะ!!!  พระเจ้าช่วย  ใครก็ได้ช่วยบอกหน่อยว่าผมไม่ได้ฝัน  ผมไม่ได้ฝัน!!!
    ร่างใหญ่มหึมาเบื้องหน้ากำลังมองกลับมาที่ผม  สายตาแข็งกร้าว  ดุดัน  ม่านตาสีแดงเพลิงคู่นั้นเบิกกว้างราวกับจะกลืนกิน  และที่ข้างหลังไอ้หมอนั่น  ผมเห็นอะไรสักอย่าง  อะไรสักอย่างที่คนทั่วไปเรียกว่าปีก  แต่มันเป็นศัพท์เฉพาะที่ไว้ใช้กับสัตว์ปีกเท่านั้นนี่  แล้วทำไมปีกสีดำที่ใหญ่โตมโหฬารจึงได้แผ่ขยายอยู่ข้างลำตัวของหมอนี่  ร่างกายของมันเปลือยเปล่า และลวดลาย  ไม่สิ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของพวกคลั่งศาสนาหรือลัทธิอะไรสักอย่าง ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ  สัญลักษณ์พวกนั้นถูกเขียนไว้ทั่วร่างกายราวกับพวกนักร้องวงร็อคโง่ๆที่นิยมทำรอยสักให้เนื้อตัวสกปรกและสนองความซาดิสต์ของตัวเอง
ผมหวาดกลัวพลางถอยหลังหนีขณะที่ในหัวสมองกำลังคิดอย่างสับสน  ผมคุ้นหน้าหมอนี่  ผมอาจจะรู้จักมัน  ผมอาจจะ.......
ให้ตายเถอะ!!  ไม่ว่ามันจะเป็นใครหรือตัวอะไรก็ตาม ผมก็ไม่ควรจะอยากรู้อะไรมากไปกว่าการรักษาชีวิตเอาไว้
เวลานี้มันกำลังเคลื่อนตัวมาใกล้ๆผม  สายตาของมัน    จับจ้องมาที่ผม  มองมาที่ผม
บ้าชะมัด!!  ทำไมผมถึงไม่ถอยหลังหนี  ทำไมขาของผมมันไม่ยอมขยับ  ทำไมผมหยุดนิ่ง  ทำไมผมต้องหยุดอยู่กับที่
ให้ตายสิ!!  ทำไมขาผมต้องมาเป็นตะคริวตอนนี้ด้วยนะ!!
    ผมภาวนา ร่ำร้องเงียบๆอยู่ในใจ  และได้แต่หวังว่าไอ้ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าจะเข้าใจภาษามนุษย์โลกอย่างผม อย่างน้อย ถ้าผมจะอ้อนวอนขอชีวิตมัน มันก็อาจจะเมตตาผมบ้าง  แต่ถ้าเกิดมันไม่เข้าใจภาษาที่ผมพูดล่ะ  บางทีมันอาจจะเข้าใจภาษาฝรั่งเศสมากกว่าภาษาอักฤษก็ได้    บ้าชะมัด    ถ้ามันเป็นอย่างนั้นผมก็แย่น่ะสิ  ทำไมผมถึงไม่ตั้งใจเรียนภาษาฝรั่งเศสให้มากกว่าการแอบหลับในห้องเรียนนะ  ให้ตาย!!
    ระหว่างที่ผมกำลังก่นด่าตัวเองในใจโดยที่มันก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับตัวผมได้มากไปกว่าอาการปวดประสาทที่ทวีเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า
ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อไอ้ปีศาจร่างยักษ์นั้น  เคลื่อนตัวมาใกล้และหยุดอยู่ตรงหน้าผม และ.............
ให้ตายเถอะ!!  ผมกรีดร้อง  ตะโกน  สาปแช่ง  และร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่ในใจ
นี่มันฝันร้ายชัดๆ 
มันต้องไม่มีทางเป็นไปได้ 
มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง
ไม่มีทาง .
มันต้องไม่ใช่ ..
ปีศาจตนนั้นคือผม!!!
    ผมถอยหลังหนีอย่างไม่เชื่อสายตา  รู้สึกเหมือนกำลังมองดูตัวเองอยู่ในกระจก  กระจกบ้าๆที่อาจจะทำให้ผมเห็นภาพหลอน  กระจกบ้าๆที่ทำให้คุณคงไม่นึกอยากส่องอีกเป็นครั้งที่สองหลังจากที่มองเห็นตัวเองเป็นปีศาจ!!
    ตัวผม  ไม่สิ คนที่เหมือนผมกำลังจ้องกลับมา  เขม่นสายตาก่อนจะยื่นมือใหญ่โตมโหฬารกว่าคนปกติธรรมดาสักสองเท่ามาที่ตัวผม  สัมผัสผม และ...........
    ร่างผมถูกยกขึ้น ลอยขึ้นเหนือพื้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งก่อนจะถูกเหวี่ยงไปในห้วงอากาศ ลอยละลิ่ว 
ลอยละลิ่ว
ลอยละ.....
    ผมกรีดร้อง  พลางพร่ำภาวนาขออย่าให้ร่างกายของผมต้องเละตุ้มเปะอย่างขนมเค้กที่ถูกเด็กเอาแต่ใจเขวี้ยงไปที่พื้นเลย  ผมรู้ว่าศพมันคงจะไม่สวย  แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่    ผมกำลังจะตายต่างหาก  เนี่ยสิที่ผมต้องเป็นกังวล
    ผมแหกปากร้องโวยวายอยู่หลายนาทีราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะที่ตีลังกาโค้งไปรอบๆและดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ  บางทีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่กำลังบังคับเครื่องรถไฟอาจจะไปแอบหลับคาอกสาวที่ไหนอยู่ก็ได้ ใครจะรู้
    แต่นี่มันเรื่องบ้าอะไร  แค่ผมถูกเหวี่ยงมันยังไม่พออีกหรือไง  ทำไมต้องทรมาณผมด้วยการปล่อยให้ร่างกายลอยค้างเติ่งอยู่ในอากาศราวกับจะไม่ให้รู้วินาทีตายอย่างไรอย่างนั้น  ผมคงมีเวลาแหกปากร้องเพลง it my life ของ bon jovi หรือสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าเมตตาผมได้อีกหลายนาทีกว่าที่ร่างของผมจะแฉลบตกถึงพื้นและทะลักเอาเครื่องใน ลำไส้ ตับ ม้าม ปอด หัวใจและอีกสารพัดที่ทำให้ผมในตอนนี้ไม่นึกอยากเป็นคนช่างจินตนาการหลุดทะลักออกมา
ให้ตายสิ!!  นี่มันขัดกับหลักทฤษฎีและกฏตามธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด
ทำไมร่างของผมไม่ตกลงไปและกระแทกกับอะไรสักอย่างที่รออยู่ข้างล่างแล้วก็ตายๆไปซะเลยล่ะ
ทำไมต้องทรมาณผมให้จมอยู่กับความสับสนงุนงงและปวดหัวเล่น อย่างนี้
ทำไมและทำไม!!
และแล้ววินาทีอันโหดร้ายที่สุดในชีวิตก็มาถึง  ร่างของผมกำลังร่วงลงไปราวกับถูกใครดึงเชือกที่โยงตัวผมในอากาศชักกระตุกลงมากระชากลงมา
และอีกไม่นานร่างของผมก็จะเละตุ้มเปะแหลกเหลวเป็นโจ๊กที่คุณคงไม่นึกอยากต่อให้หิวจนตาลายอยู่ข้างล่าง
ร่วงลงไป
ร่วงลงไป
และ........
 
    ผมลืมตาตื่น สะดุ้งสุดตัว  และขอย้ำว่าเป็นการตื่นแบบสะดุ้งสุดตัวจริงๆ    สะดุ้งแบบตอนที่มีใครเอาเข็มแหลมๆมาทิ่มก้นเวลาที่คุณนั่งหันหลังโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละครับ
ผมสะดุ้งแบบนั้นเลย
    ผมพยุงตัวลุกขึ้นอย่างมึนๆพลางเพ่งสายตาที่บวมช้ำมองตรงไปข้างหน้า  ใครบางคนกำลังมองกลับมาที่ผม  ใครบางคนที่ผมนึกอยากเจอเป็นคนสุดท้ายของโลกในเวลานี้
    “มานอนทำอะไรที่นี่”  ทรีน่าเอ่ยถามด้วยท่าทางที่บอกได้คำเดียวว่า ใสซื่อบริสุทธ์
      ยัยนี่หวังว่าผมจะมานอนนับดาวอยู่ที่นี่หรือยังไง  เธอดูไม่ออกเหรอว่าผมถูกอัด  ใช่! และขอย้ำว่าผมถูกอัด แถมเป็นการโดนอัดแบบไม่ปราณีปราศัยเสียด้วย
ผมจ้องยัยทรีน่าด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักก่อนจะค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นโดยมียัยนี่ยืนมองแบบทอดอาลัย
    “ไม่ยักรู้ว่าเธอชอบนอนข้างถนน  เธอชอบที่แบบนี้เหรอ”
    เป็นคำถามที่ดี และทำให้ผมนึกอยากตอบพอๆกับการเดินเข้าไปหาไอ้พวกนั้นและนอนให้มันอัดอีกรอบเลยล่ะ  ทำไมคนที่มาเห็นผมในสภาพนี่ต้องเป็นยัยนี่ด้วยนะ  ให้ตายเถอะ!!
    “เธอมาทำอะไรแถวนี้”  ผมย้อนถามกลับไปบ้าง  รู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ยัยนี่พูดอยู่คนเดียวผมอาจจะคลั่งหรือไม่ก็อาจจะอยากเอามีดจี้คอเธอก็ได้
ทรีน่ามองผม  ท่างเฉยเมยและนิ่งๆอย่างคนที่ไม่อยากตอบอะไร
  “ฉันมาเดินเล่น”
    แหม !! ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ    เดินเล่นข้างนอกตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะช่างน่าสนุกพอๆกับขึ้นไปนั่งบนรถไฟเหาะหลังจากที่เพิ่งจะเขมือบเส้นสปาเกตตี้เข้าไปเลยทีเดียว
    “ทำไมตัวเธอถึงได้มีแต่      แผลพวกนั้น”  ทรีน่าพูดแบบเว้นจังหวะเพื่อที่จะสำรวจสายตาไปรอบๆตัวผมซึ่งถูกประทับไว้ด้วยผลงานอันวิจิตรบรรจงเพียงแต่ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมาณเสียหน่อยหากอยากได้ร่องรอยพวกนี่มาประดับประดา
    “อย่าถามโง่ๆไปหน่อยเลยน่า  เธอคงไม่คิดว่าฉันไปขอร้องให้ใครทำแผลพวกนี้ให้หรอก ใช่ไหม ”  ผมตวาดกลับอย่างรู้ทัน  ก็ยัยนี่ตั้งใจจะยั่วโมโหผมและดูเหมือนว่าเธอจะทำได้ดีซะด้วยสิ    ทรีน่ากำลังทำให้ร่างกายผมตึงเขม็งด้วยความโกรธอีกครั้ง  และ 
เอาล่ะ  ผมรู้ว่าผมต้องใจเย็น  ใจเย็นเข้าไว้เคซีย์  ใจเย็นเข้าไว้  อย่าได้คิดว่ายัยนี่เป็นไอ้หัวเขียวคนนั้นเชียว  อย่าได้คิดเชียว
    ผมกับทรีน่าไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกและยังคงนิ่งเงียบทั้งคู่  ทรีน่านั่งนิ่งอย่างคนใช้ความคิดในขณะที่สายตาสีเขียวมรกตเหม่อมองไปในความมืดที่ครอบคลุมอยู่โดยรอบ  ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน  แต่สำหรับผม  กำลังอยู่ในอาการมึนงงอย่างมากที่สุดเลยล่ะ
    ผมไม่อยากจะเชื่อว่าภาพเมื่อครู่ที่ผมเห็น ที่ผมรู้สึก ที่ผมถูกกระทำ จะเป็นเพียงแค่ความฝัน  ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งร่องรอยของการถูกสัมผัสยังติดตรึงอยู่ทั่วร่างกายของผม  มันไม่น่าเป็นไปได้ที่ความฝันของคนๆหนึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนจริงได้มากขนาดนี้  ความหวาดกลัวและความสับสนยังวนเวียนอยู่ในหัวสมองทึ่มๆของผมอยู่ตลอดเวลา
    ผมพยายามคิด  คิด คิด  คิดถึงสาเหตุ  เหตุผล  หลักการ  ทฤษฎีหรือแม้แต่ความน่าจะเป็นที่มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย  มันต้องมีกฏหรือทฤษฎีอะไรสักอย่างมาอธิบายถึงเหตุและผลของเรื่องบ้าๆพวกนี้ได้สิน่า  ผมรู้สึกเหมือนถูกแยกเป็นสองภาค  รู้สึกเหมือนมีผมอยู่สองคน  อีกคนคือเคซีย์เจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิดอย่างผม  และอีกคนคือชายร่างใหญ่มหึมาที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ 
ปีศาจ   
ผมอีกคนคือปีศาจ!!
    เฮ้ย!!  อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่าเคซีย์  นายก็แค่ฝันร้ายหลังจากที่มึนเมาด้วยฤิทธิ์ของบาทาก็เท่านั้น  มันก็แค่ภาพความฝันโง่ๆที่จะตามหลอกหลอนนายเวลาที่รู้สึกอ่อนแอเท่านั้นเอง  ใช่แล้ว  นี่หละ  ข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด  และสิ่งเดียวที่จะลบล้างความอับอายจนอยากจะมุดดินหนีของนายได้ก็คือ
ทำให้ไอ้เวรพวกนั้นรู้สึกไม่แตกต่างจากการตกนรกหลังจากที่พวกมันได้กระทำเรื่องชั่วๆกับนายไงล่ะ!!
    ระหว่างที่ผมกำลังปล่อยจิตใจตัวเองให้เตลิดไปกับความคิดบ้าๆเกี่ยวกับการแก้แค้นสารพัดรูปแบบอย่างที่มนุษย์ปกติบนโลกคงไม่คิดจะทำกัน  ทรีน่าที่นั่งเงียบอยู่นานก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางเพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้าอย่างระแวดระวังภัย  เธอขมวดคิ้ว นิ่วหน้า เขม่นสายตา มองไปรอบๆ และทำอีกสารพัดท่าทางที่ผมบอกได้คำเดียวว่าแทบจะมองไม่ออกว่าเธอกำลังรู้สึกหรือคิดอะไรหรืออยู่ในอารมณ์แบบไหน  บางทีผมยังอดคิดไม่ได้ว่าทรีน่าอาจจะใส่หน้ากากไว้ที่หน้าอยู่ตลอดเวลาก็ได้  ก็ดูหน้าเธอสิครับเฉยเมยและเฉยชาขนาดว่ามีอันตรายมาจ่อรออยู่ตรงหน้าก็ยังนิ่งเป็นปลาแช่แข็งอยู่ได้
    “เธอเห็นอะไร”    ผมตัดสินใจถามหลังจากที่ทนอ่านสีหน้ายัยนี่ไม่ไหว
ทรีน่าหันมามองผม นิ่งๆเฉยๆราวกับเธอไม่ได้มองเห็นอะไรผิดปกติมากไปกว่าการเห็นหางงอกออกมาจากก้นผม
เธอนิ่งมากจนไม่อยากจะเชื่อว่ามีชีวิตจิตใจอย่างคนปกติได้เลยจริงๆ
    “เปล่าหรอก    ฉันแค่สงสัยว่าทำไมฉันถึงมองเห็นในที่มืดๆไม่ชัดเท่านั้นเอง” ทรีน่าตอบ และ........
ให้ตายสิ!!  ยัยนี่เป็นผู้หญิงที่น่าอัดชะมัด  เป็นคำตอบที่ผมนึกอยากฟังมากที่สุดในโลกเลยจริงๆ
    ผมกระฟัดกระเฟียด หัวฟัดหัวเหวี่ยงราวกับมีใครเดินมาเตะก้นผมหลังจากที่เพิ่งจะถูกเข็มแหลมๆพุ่งมาแทงอย่างไรอย่างนั้น ผมลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ  ยืนโงนเงนแบบคนแก่วัย 90 กว่าๆนั่นแหละคับ ยืนแบบไม่ค่อยจะตรง 
    ทรีน่าทำท่าจะเดินมาประคองผมแต่ผมสั่งให้เธอหยุดด้วยสายตาและท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก  ผมไม่รู้สึกอยากอยู่ใกล้ยัยนี่สักวินาทีเลยจริงๆ    ทรีน่าเป็นตัวอันตราย  เธอมีประสิทธิภาพที่สามารถใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้  เธอมีความสามารถในการยั่วยวนอารมณ์ผมให้ประทุเป็นเปลวไฟและพร้อมที่จะระเบิดหรือคลุ้มคลั่ง  บางทีผมน่าจะมอบโล่หรือประกาศณีย์บัตรแม่สาวยั่วประสาทดีเด่นให้เธอนะ  เผื่อเธอจะรู้สึกภูมิใจและจะได้เลิกยุ่งเลิกกวนประสาทผมซะทีไงล่ะ
    “นั่นเธอจะไปไหน”    ทรีน่าถามผม  แต่สายตากลับเลื่อนลอยเหม่อมองไปทางอื่น  บางที ยัยนี่อาจจะไม่มีวิญญาณประดับร่างเหมือนคนทั่วๆไปก็ได้  ไม่อย่างนั้น เธอคงจะไม่ดูเหม่อลอยได้มากขนาดนี้
    “ไปให้ห่างๆเธอน่ะซิ”  ผมหันไปตอบและเดินหนีออกมา
    “เดี๋ยวก่อน  เคยซีย์”  ทรีน่าสั่ง  อ่านไม่ผิดหรอกคับ  เธอกำลังสั่งผม และผมก็ดันปัญญาอ่อนมากพอที่จะหยุดทำตามคำสั่งเธอซะด้วยสิ
      “มีเรื่องอะไรกับฉันอีก”  ผมเค้นคำพูดออกมาจากลำคอและอยากจะพูดต่อว่ายัยปีศาจซะจริง  แต่ผมก็ไม่กล้า ทำไงได้ ผมยังไม่อยากถูกยัยนี่ตบหลังจากที่เพิ่งจะถูกไอ้เด็กนรกพวกนั้นรุมอัดหรอกนะ
      “เธอเชื่อเรื่องสัมผัสพิเศษหรือเปล่า”  ทรีน่าถามแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียง  เธอไม่ได้มองหน้าผม ถึงแม้เธอจะหันมาทางผมแต่เธอก็ไม่ได้มองผม เธอมองผ่าน  มองเลยไปด้านหลัง  เหมือนกำลังมองใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม ใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม  ใครอีกคนที่ซ่อนกลายอยู่ในตัวผม!!
      “อะไร  เธออยากจะถามเรื่องปัญญาอ่อนพวกนี้เพื่อทดสอบว่าฉันโง่งี่เง่าได้มากขนาดไหนรึไง”  ผมย้อนถามเสียงดังอย่างเคลือบแคลงใจ หรืออาจจะตวาดเธอเลยด้วยซ้ำ
      “ทำไมล่ะ เธอไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือไง”  ทรีน่าว่า  ท่าทางมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน  เธอคงจะหงุดหงิดที่เห็นผมเป็นพวกชอบยั่วประสาทไม่แพ้เธอ  “เธอไม่แปลกใจบ้างเหรอที่เมื่อเช้าทำไมฉันถึงเข้ามาเตือนเธอไม่ให้มีเรื่อง  เธอไม่แปลกใจบ้างหรือไงว่าทำไมฉันถึงออกมาเดินข้างนอกตอนเที่ยงคืนอย่างนี้”
      “ทำไมฉันต้องแปลกใจ  เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ  ฉันไม่เห็นจะสน”  ผมว่า แต่.....
....นั่นก็ใช่  ถูกของเธอ  ทำไมผมไม่แปลกใจล่ะ  ทำไมผมไม่ทันคิดว่าทรีน่าอาจจะรู้อะไรมากกว่าการยั่วประสาทหรือการยุ่งเรื่องของคนอื่นล่ะ  ทำไมผมไม่ทันคิดว่ายัยนี่อาจจะมีอะไรพิเศษๆมากกว่าคนอื่น  อย่างเช่น
    เธอเป็นพวกบ้าพลังจิตและก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครหลังข่าวบางเรื่องที่มีสัมผัสพิเศษบ้างล่ะ  เออ  นั่นก็สมเหตุสมผลดีอยู่  ยัยนี่เป็นพวกชอบทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่แล้วนี่
ผมมองทรีน่า  มองแบบไม่อยากจะมอง มองแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังต้องมอง
ทรีน่ามองผมพลางถอดถอนลมหายใจ
      “เอาล่ะ ฟังฉันให้ดีพ่อรูปหล่อสมองทึ่ม  ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง  อะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ในตัวเธอ  อะไรบางอย่างที่เป็นอันตรายกับเธอ  อะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเธอ ฉัน หรือใครก็ตามต้องไม่ชอบแน่ๆ  ฉันมีสัมผัสพิเศษ ฟังดูอาจจะงี่เง่าและเหลือเชื่อมากไปหน่อย  แต่ฉันมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  และมันก็ค่อนข้างจะถูกต้องเสมอซะด้วย”
ทรีน่าพูดกับผม ช้าๆทีละคำราวกับกำลังอธิบายว่า1+1=2 ไม่ใช่ 3 ให้เด็กอนุบาลฟัง
ผมจ้องทรีน่าพลางอ้าปากค้างอย่างคนไม่เชื่อหูราวกับมีใครเอาไม้มาค้ำขากรรไกรผมเอาไว้
      “อะไรนะ”  ผมถามเสียงดังก่อนจะรีบลดเสียงลงมาจนเกือบกระซิบ  “เธอจะบ้าหรือเปล่า  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะมีพลังจิตหรือสัมผัสพิเศษอะไร  แต่ฉันว่าเธอควรจะไปเช็คสมองภายใต้ผมสีบลอนของเธอบ้างนะ เผื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติในนั้นไง อย่างน้อยเธอก็จะรักษาได้ทัน  บางทีนะทรีน่า  บางทีเธออาจจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังเรื่องแม่สาวพลังจิตอยู่ก็ได้  และขอย้ำชัดๆนะทรีน่า  เธอกำลังเข้าใจผิด นี่มันไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาอย่างในหนังฮอลลิวู้ดที่เธอเข้าใจ  เธอไม่ได้มีสัมผัสพิเศษหรือรู้อะไรมากไปกว่าควรจะออกมาเดินเล่นเวลาไหน และที่สำคัญ ชีวิตฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรแปลกๆอย่างที่เธอคิด  และถ้ามันจะมีอะไรที่แปลกล่ะก็นะทรีน่า  ฉันว่ามันเกิดขึ้นกับเธอนั่นแหละ ไม่ใช่ฉัน ”  ผมพูดจนจบก่อนจะหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย
ทรีน่าจ้องผม  ท่าทางเดือลดาลไม่แพ้น้ำที่ถูกต้มจนเดือดเลยทีเดียว
    “อ้อ! เธอคิดว่าที่ฉันพูดเตือนเธอเมื่อเช้าเป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ  เธอคิดว่าที่ฉันเสี่ยงออกมาเดินข้างนอกตอนเที่ยงคืนอย่างนี้เพราะอยากมาเดินเล่นอย่างที่บอกจริงๆอย่างนั้นหรือไง  เอาล่ะ เคซีย์  ถ้าหากว่าเธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆนะ นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ได้ฉลาดไปมากกว่าที่ฉันคิดไว้เท่าไหร่เลย”
    ช่างเป็นการจบประโยคสนทนาได้อย่างเจ็บแสบแบบไม่มีที่ติ  ผมอาจจะปล่อยหมัดแย็บออกไปข้างหน้าบ้างแล้วก็ได้ถ้าทรีน่าไม่ใช่ผู้หญิง  ผมอาจจะกระโดดเตะก้านคออย่าง *R V D ไปแล้วก็ได้ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิง!!             
ผมยืนจ้องหน้าเธออยู่นานและพยายามนิ่งให้มากที่สุดทั้งๆที่มือทั้งสองข้างกำไว้แน่นข้างลำตัว
      ผมไม่ปฏิเสธว่าที่ทรีน่าพูดนั้นมีส่วนที่ถูกและน่าคิดมากแค่ไหน  แต่ผมก็แค่ไม่อยากยอมรับ  ผมรู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ ผมมองเห็นสัญญาณอันตรายที่เริ่มก่อรูปก่อร่างในชีวิตผม  แต่ผม ..
      เอาเถอะ  ผมยอมเป็นไอ้โง่สุดทึ่มและไม่ขอรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น  และหนทางเดียวที่ผมจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความคิดเหล่านี้ได้  ผมต้องเขี่ยยัยทรีน่าออกไปให้พ้นๆจากชีวิตของผมซะ  เขี่ยเธอออกไปอย่างตอนที่สั่งน้ำมูกใส่ทิชชู่และดีดมันลงถังขยะนั่นแหละ
    “ฟังนะ ทรีน่า  ฉันไม่สนว่าเธอจะรู้อะไรหรือมีอะไรที่เหนือกว่าคนปกติธรรมดามากแค่ไหน  เพราะในสายตาฉัน  เธอก็แค่ผู้หญิงพูดมากชอบอวดรู้ไปซะทุกเรื่องก็เท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น ไปให้ห่างจากชีวิตฉันได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะอยากคลั่งเพราะต้องอยู่ใกล้เธอ”  ผมพูดเน้นเสียงทุกคำอย่างจงใจพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้  พยายามทำสีหน้าให้ดูน่ากลัวอย่างที่คนอื่นมาเห็นจะต้องชะงักและก้าวถอยหลังอย่างน้อยหนึ่งหรือสองก้าว  แต่นั่น 
ไม่ใช่กับทรีน่า
    เธอนิ่ง เงียบ ไม่ถอยหลังหนีหรือพูดอะไรเลย  ผมคาดว่าเธอคงกำลังตั้งใจจะระงับสติอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ภายใน
และเธอ  ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับตอไม้  ไม่รู้สึก ไม่แยแส  ไม่ใส่ใจ  ส่วนผม.......
บ้าอยู่คนเดียว!!
ผมจ้องหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินถอยหลังหนีออกมา  และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทรีน่าคงจะไม่พูดอะไรเพื่อหยุดการก้าวขาของผมอีก 
ผมกลับถึงบ้านและแทบจะคลานสี่ขาทันทีที่ขาก้าวพ้นประตูห้อง...........
* ชื่อนักมวยปล้ำ
------------------
adventure in monster word
รักเธอ - - ยัยขี้แย
nj  venus
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น