ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คทาวิเศษแห่งอเดนเลีย

    ลำดับตอนที่ #3 : จอมโจรสาวร้อยเสน่ห์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 21
      0
      21 ก.พ. 47

    ตอนที่ ๓ จอมโจรสาวร้อยเสน่ห์





    อาณาจักรแรคดีแลนด์เป็นอาณาจักรที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย และเป็นที่รังเกียจของโลกภายนอกยกเว้นอาณาจักรแอลรีวัน แต่ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร...



    “แมคซิลล่า”เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกผู้หญิงอีกคนหนึ่ง



    “มีอะไรเหรอเพคะท่านแม่”องค์หญิงครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจถาม



    “ลูกแม่ แม่ไม่อยากให้ขัดท่านพ่อเรื่องสงครามอีกแล้ว”ราชินีคารีพูด



    “มันไม่ถูกต้องนี่เพคะ เราจะครองโลกอเดนเลียเพื่ออะไร”



    “เจ้าก็รู้ว่าพ่อเจ้าคิดยังไงกับจอมเวทและมนุษย์พวกนั้น”



    “เขาแค่ไม่ชอบเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมายึดเอาอาณาจักรของเราไป”



    “แต่แม่เห็นด้วยกับท่านพ่อของลูกนะ”



    “ทำไมล่ะเพคะ ทำไมท่านแม่ถึงเห็นด้วยในการทำสงคราม ที่จะทำให้ประชาชนพากันล้ม

    ตาย อาหารก็แพงมากขึ้น อาณาจักรจะเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง”



    “แมคซิลล่า ลูกนี่ไม่น่าเกิดมาเป็นชาวแรคดีแลนด์เลยนะ ลูกก็รู้ว่าโลกภายนอกดูถูกเรา เราสมควรจะทำให้เขาเห็นว่าเรามีดี และแม่คิดว่าแอลรีวันก็เห็นด้วยกับการทำสงคราม ลูกก็รู้ว่าแอลรีวันแข็งแกร่งขนาดไหน เท่ากับว่าศึกของเราครานี้ แรคดีแลนด์จะเป็นฝ่ายครองโลก ปีศาจจะเป็น

    ใหญ่ ไม่ใช่จอมเวทอีกต่อไปแล้ว”



    “ท่านแม่ ลูก...”แมคซิลล่าจะแย้ง



    “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าต้องเตรียมตัวสำหรับศึกครานี้ได้แล้ว”



    ..............................    ..................................



    ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของอาณาจักรซิเลอร์เนส ที่นี่จะเป็นบ้านนอกที่มีแต่อากาศสดใสในทุกๆเช้า หมอกลงบางๆ ไม่นานแสงอาทิตย์ก็ส่องแสงลอดใบไม้กระทบดวงตาที่ปิดสนิทของหญิงสาวคนหนึ่งในบ้านเล็กๆ เธอมีอายุเพียงสิบหกปี ความสวยของเธอเป็นที่เลื่องลือกันทั้งหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ต้องยอมรับในความงามของเธอ ดวงตาฟ้าครามอมน้ำผึ้ง เส้นผมสีดำยาวสลวยเพียงกลางหลังและหยักศกเล็กน้อย ผิวขาวเนียน เธอผู้นี้มีนามว่า “แซนนิน”



    แซนนินถูกปลุกให้ตื่นโดยแสงอาทิตย์ยามฟ้าส่อง เธอลุกขึ้นลงบันไดเข้าไปในครัวเล็กๆ ของบ้านเธอ “มิวลิซ” แม่ของเธอกำลังทำอาหารอยู่



    “เจ้าช่วยข้าหั่นผักหน่อยได้ไหม”มิวลิซสั่ง



    “นี่เหรอจ๊ะแม่”แซนนินชี้ไปที่จานที่มีผักวางอยู่



    “นั่นแหละ เร็วๆละกัน”



    แซนนินจัดการหั่นผักอย่างรวดเร็ว ผลออกมาก็คือผักที่เธอหั่นไม่ได้สวยงามได้รูปอย่างที่

    มิวลิซต้องการ เมื่อแม่ของเธอเห็นผักที่หั่นแล้วก็ร้องเสียงหลง



    “ต้าย ตายแล้ว นี่เวลาหั่นน่ะ ข้าเคยสอนเจ้าไปที่หนึ่งแล้วนะ”



    “ก็แม่บอกข้าว่า จะเอาเร็วๆนี่”



    “ลูกคนนี้ ยังไงนะ เป็นแบบนี้เวลาออกเรือนแล้วจะลำบาก”



    “โธ่ ข้าไม่เห็นสนเลย ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครดีพอสักคนเลย”



    “ทำไมจะไม่มี ก็ลูกเศรษฐีนีไงล่ะ”



    “แม่หมายถึง แดนดี ไม่หรอก ป่าเถื่อนจะตาย”



    “พอได้แล้ว เจ้านี่ก็อายุขนาดนี้แล้วทำไมไม่หาผู้ชายดีๆสักคนล่ะ จะได้เลิกเป็นโจรสักที”



    “แล้วไม่ใช่เพราะข้าหรือที่ทำให้เรามีกินถึงทุกวันนี้”



    “เออ เพราะเจ้า ทวงบุญคุณเชียวนะ”



    “แม่ ฉันจะออกไปโรงเหล้าสักหน่อย อาจจะแอบเอามาได้สัก 100-200 ลีร์”



    “แล้วระวังตัวละ”มิวลิซตะโกนบอกขณะที่แซนนินกำลังวิ่งขึ้นบันไดไปแต่งตัว



    หลังจากแต่งตัวเลียนแบบโสเภณีแถวนั้นเสร็จแล้ว เธอก็จะเดินออกไปที่โรงเหล้า โดยมีผ้าปิดหน้าสีขาวทึบ (เหมือนที่สาวแขกเขาใส่กัน) ปิดหน้าส่วนล่างของเธอไว้ไม่ให้ใครรู้ว่าคือเธอ



    ที่ร้านเหล้าประจำหมู่บ้านเป็น ร้านเล็กๆซ่อมซ่อหน่อย ๆ มักจะมีโสเภณีมาทำงานกันอยู่แถวนี้เสมอๆ แซนนินเดินดูทั่วร้านว่ามีลูกค้าคนไหนดูมีภูมิฐานมากที่สุด และไปสะดุดตาหนุ่มคนหนึ่งเข้า เขาแต่งกายดี ดูเป็นผู้ดีจากต่างแดน แซนนินจะเข้าไปหา



    “อยากหาเพื่อนคุยไหมล่ะ”แซนนินถาม



    หนุ่มคนนั้นพยักหน้า “เจ้าชื่ออะไร”เขามองดวงตาของเธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์



    แซนนินจะตอบไม่ตรงกับความจริงเสมอ “เอสเธอร์”เธอตอบชื่อที่ผุดขึ้นมาในสมอง



    “เป็นชื่อที่ไพเราะมาก”เด็กหนุ่มบอก และมองแซนนินอย่างหลงใหล (‘ไพเราะตาย’แซนนินคิด) แม้จะเห็นเพียงครึ่งหน้าของเธอก็ตาม แต่ก็ยังดูสวย “เจ้าถอดผ้าออกได้ไหม ข้าอยากเห็นหน้าเจ้า”



    “อย่างนั้นก็ตามข้ามาสิ”แซนนินเชิญชวน เธอลุกขึ้นยืนและเดินนำหน้าไป เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายก็เดินตาม แซนนินจะพามาที่พุ่มไม้อันมิดชิด



    “ถึงเวลาส่งเจ้าไปเมืองวิญญาณแล้ว แต่ไปเองนะ”แซนนินบอกอย่างน่ากลัว



    “เดี๋ยวสิ อะไร”เด็กหนุ่มงง



    แต่เขาจะได้พูดกับแซนนินเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แซนนินเตะที่กลางลำตัวชายคนนั้นและเอาท่อนไม้ตีที่หัว จนสลบไป แล้วแซนนินจะปลดทรัพย์สินที่ชายหนุ่มมีออกมาให้หมด นี่คือ “การปล้นแบบ แซนนิน”นั่นเอง



    .............................    ...................................



    “เรียกมอลฟามาพบข้า”เจ้าชายอีริคแห่งอาณาจักรซิเลอร์เนสบอกกับคนรับใช้



    “รอสักครู่ขอรับ”



    ไม่นานนักชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปี ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีม่วงแดงสว่างดูลึกลับก็เดินเข้ามาพบเจ้าชายอีริค ชายผู้นี้คือ มอลฟา จอมเวทคนหนึ่งผู้เก่งกาจ



    “มีอะไร”มอลฟาพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเจ้าชายเพราะทั้งสองเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทมากเสียด้วย



    “ข้าต้องให้เจ้าช่วยจับจอมโจรผู้หนึ่ง”อีริคบอก



    “โจร? ทำไมไม่ให้ทหารไปจับเล่า”



    “ข้าส่งไปแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จ”



    “เป็นใครกัน”



    “เป็นผู้หญิงที่สวยมาก ดวงตาฟ้าครามอมน้ำผึ้ง อยู่หมู่บ้านโฮลี่ อิเวิร์ท”



    “ผู้หญิงแล้วทำไมถึงจับไม่ได้ล่ะ”



    “ใครที่ไปก็หลงกลความงามความสวยของเธอ”



    “เลยให้ข้าไป ? บอกเวลาทำงานของเธอมา”



    “เธอไปที่ โรงเหล้าประจำหมู่บ้านทุกวันแหละ ตั้งแต่เช้าเลย จะแกล้งเป็นโสเภณี แล้วเธอจะมีผ้าสีขาวปิดหน้าช่วงล่างเอาไว้”



    “ข้าจะจัดการให้”



    “ขอบใจมอลฟา”



    “ถ้าข้าไปตอนนี้จะเจอเธอไหม”



    “ก็คงจะเจอ”เจ้าชายบอกแล้วยิ้มให้ “จะไปเลยหรือ”



    “ใช่”มอลฟาตอบสั้นๆและหนักแน่น



    มอลฟาออกมาที่คอกม้า เจ้าสพินนิ่ง ม้าสีน้ำตาล ตัวผู้ ยืนตระหง่านอยู่ในคอกม้าเมื่อเจ้าของ

    ของมันเดินเข้ามา



    “สวัสดียามเช้า สพินนิ่ง”มอลฟาทัก “ข้าคงต้องใช้เจ้าอีกแล้วล่ะ”



    สพินนิ่งผงกหัวอย่างเข้าใจนายของมัน มอลฟาจูงม้าออกมานอกคอกแล้วขึ้นขี่อย่างองอาจเขาขยับสายบังเหียนให้ม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า



    ...................................    ....................................



    แซนนินยังคงหาทางหลอกแขกที่ร้านเหล้า เธอไปที่ตามโต๊ะต่างๆแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี คนไหนดูดีมากพอ เธอจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ แล้วพลันสายตาของเธอก็ตวัดไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้านและนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง ดูจากการแต่งกายแล้ว แซนนินคิดว่าอาจเป็นพวกจากพระราชวัง เธอเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเธอ เขาเป็นคนที่มีดวงตาสวยที่สุดอย่างที่แซนนินไม่เคยเห็น แต่ดวงตาคู่นั้นก็ดูลึกลับพิกล มันมีสีม่วงแดงสว่าง ผมของชายหนุ่มเป็นสีน้ำตาล ใบหน้าดูเคร่งขรึมแค่หล่อมากทุกสิ่งทุกอย่างดูดีไปเสียหมด เขายังคงจ้องเธอ



    “อะไร”เขาถามห้วนๆ



    “เปล่า”แซนนินบอก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนในร้านเหล้าท่าทีเฉยเมยต่อเธอ



    “ข้ามีอะไรจะถามเจ้าหน่อย”มอลฟาเอ่ยถาม



    “ได้สิ ว่ามา”แซนนินบอก เธอแอบยิ้ม



    “เจ้านี่นะ เป็นพวกหน้าตาน่าเกลียดมากหรือไง ถึงได้เอาผ้ามาปิดเช่นนั้น”มอลฟารู้แล้วว่าเธอคือโจรสาวคนนั้น เพียงดูจากดวงตาก็รู้ เขาแกล้งเป็นทำหน้าตาอย่างใช้ความคิด (ซื่อๆ)



    “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า”แซนนินโมโห



    “ข้าต้องถามเจ้ามากกว่าว่ามีสิทธิ์อะไรมาขโมยเงินของชาวบ้านเขา”มอลฟาจี้



    “เจ้าเป็นใคร”



    “ข้าเป็นใครเหรอ ถ้าอยากรู้ตามมาสิ”มอลฟาบอก แล้วลุกขึ้นยืนประจันหน้าแซนนินเหมือนท้าเธอเป็นนัยๆ และแซนนินไม่ชอบให้ใครมาท้า เขาเดินไปที่หลังร้าน เมื่อเหลียวกลับมาก็ยังเห็นว่าแซนนินเดินตามมาเพียงเพราะว่าความอยากรู้เหมือนกับชายหนุ่มทั้งหลายที่เธอหลอกเอาเงินและต้องการเห็นหน้าเธอ สถานการณ์คล้ายคลึงกันเลยทีเดียว ‘ความอยากรู้ของมนุษย์พาพบจุดจบได้เสมอ’ (สอดรู้ สอดเห็น สอดเป็น สอดตาย)



    “เจ้ารู้เรื่องข้าได้ไง”แซนนินถามทำลายความเงียบ



    มอลฟาหยุดเดินกะทันหัน ทำให้แซนนินที่เดินมาอย่างไม่ดูทางเดินไปชนมอลฟาที่หลังของเขา มอลฟาหันมาพยุงแซนนินทันที ผ้าที่ปิดหน้าของแซนนินหล่นลงไปที่พื้น ทำให้มอลฟาได้เห็นเธออย่างเต็มๆ



    “ข้ารู้ได้ไง ข้าจะบอกให้เอาบุญนะ ถ้าเจ้าไม่รีบหนีไปตอนนี้ ข้าจะจับเจ้าเข้าคุก”มอลฟาบอก อย่างนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาทำไม เขาเหลือบมองแซนนินทางหางตานิดๆว่าเธอมีท่าทางอย่างไร



    แซนนินรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เขาคือคนที่จะมาจับตัวเธอไป ‘เมื่อรู้ได้อย่างนี้แล้วข้าจะอยู่ต่อทำไมให้โง่เล่า หนีสิ’แซนนินคิด แล้วกำลังจะก้าวขาออกวิ่ง มอลฟารีบจับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ และเอาแขนของเธอไขว้ไว้ด้านหลังของเธอ



    “ไหนบอกว่าให้โอกาสหนีไง”แซนนินโวยวาย



    “ใครจะให้คนร้ายหนีล่ะ โง่แล้วอย่างนั้น”มอลฟาบอก “เจ้าก็กลัวตายเป็นนี่”



    “ปล่อยข้านะ”แซนนินร้อง



    “ก็จำเอาไว้บ้างสิ ว่าก่อนจะทำคิดเสียก่อนว่าสมควรไหม แล้วถ้าทำลงไป ผลลัพธ์จะดีต่อตนเองหรือไม่”มอลฟาสอน



    “ไม่ต้องมาสอนข้านะ ข้าโตแล้ว”



    “นี่หรือโตแล้ว เจ้าเพิ่งจะอายุแค่ 14-15 เองนะถ้าข้าเดาไม่ผิด แล้วก็ดื้อมากเลยด้วยถ้าเป็นน้องสาวข้าล่ะก็ ข้าจะตีให้ตายเลยทีเดียว”



    “ข้าสิบหกต่างหากล่ะ ไม่ใช่สิบสี่สิบห้า แล้วข้าก็โตพอที่จะหาเลี้ยงแม่ตัวเองได้”



    “ด้วยวิธีผิดกฎหมายอย่างนั้นหรือ”



    คำพูดของมอลฟาประโยคนั้นทำให้แซนนินเงียบ มอลฟาใช้เวทมนตร์นำเชือกมามัดมือเธอและลากเธอไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบ แซนนินก็ทำลายโดยตะโกนว่า



    “ปล่อยข้านะ ช่วยด้วย”แซนนินตะโกนบอกคนทั้งหมู่บ้าน เมื่อคนในหมู่บ้านได้ยินก็เข้าใจว่าแซนนินโดนมอลฟาจับตัวไว้เป็นตัวประกันเพื่อการอะไรสักอย่าง จึงทำให้ชาวหมู่บ้านพากันนำเอาไม้กวาดจะมาไล่ตีมอลฟาไม่ได้คิดอะไรเลย เอาตัวแซนนินไปน่ะดีแล้ว แดนดีคนที่แอบชอบแซนนินอยู่รีบวิ่งโล่มาช่วยในทันที



    “แดนดีช่วยด้วย”แซนนินร้องอย่างเสแสร้ง



    “เจ้านี่ร้ายไม่เบาเลยนะ”มอลฟาทิ้งร่างแซนนินลงกับพื้น



    เขายืนตระหง่านท่ามกลางพวกของแดนดีที่พากันรุมล้อม ในขณะที่แซนนินกำลังใช้เวทของตัวเองเอาเชือกออกจากตัว แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เชือกที่มัดอยู่เป็นเชือกเวทมนตร์ จึงไม่สามารถเอาออกได้ง่าย นอกจากเจ้าตัวที่เป็นผู้มัดจะมาเอาออกให้ ถ้าเจอสถานการณ์เช่นนี้ก็เหมือนกับสู้กับม้าพยศสักตัวหรือมากกว่านั้น



    มอลฟาร่ายเวทใส่คนของแดนดีคนหนึ่งจนกระเด็นไปไกลเป็นไมล์เลยทีเดียว อีกคนกำลังเอาดาบมาฟันมอลฟา เขาร่ายเวทรับดาบไว้และส่งชายคนนั้นขึ้นฟ้าผลจะเป็นอย่างไรก็เดากันเอาเองนะ แดนดีนำดาบจะมาฟันกับมอลฟาและพูดท้าว่า



    “ถ้าเจ้าแน่จริงก็มาฟันดาบกับข้าตัวต่อตัวโดยมีแซนนินเป็นเดิมพันเอาไหมล่ะ หรือเจ้าไม่กล้า”แดนดีท้า



    “ได้ บอกกติกามา”มอลฟารับคำท้านั้น สำหรับเขาสบายมากแค่ฟันดาบ



    “ห้ามใช้เวท และเมื่อฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายล้มลงก่อนจะเป็นฝ่ายได้แซนนินไป”



    “เฮ้ย ข้าไม่ใช้สิ่งของนะ”แซนนินร้องขณะที่กำลังสู้กับกองเชือกยุ่งเหยิงที่มัดอยู่รอบมือเธอ แทนที่จะช่วยให้มันน้อยลงและขาดไป กลับกลายเป็นว่าเชือกที่พันเพิ่มความยาวให้ตัวเอง



    “เจ้าน่ะเงียบซะ”มอลฟาหันมาบอก “พยายามไปก็ไร้ผล”เขาบอกแซนนินทิ้งท้ายเกี่ยวกับเชือกที่มัดมือเธอยู่ แซนนินทำสีหน้าอาฆาตแค้นพร้อมกับส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ



    แดนดีและมอลฟาเริ่มต่อสู้กัน แดนดีเป็นฝ่ายรุกเข้ามาก่อนเขาจะฟาดดาบลงมาถูกไหล่ของมอลฟา เขารับแรงดาบนั้นได้ไว้ทัน และเริ่มเป็นฝ่ายรุกขึ้นมาบ้าง มอลฟาฟันดาบอย่างไม่ยั้ง แต่ทุกท่วงท่าของเขา แดนดีสามารถรับได้ทั้งหมด นั่นสร้างความหนักใจให้มอลฟาขึ้นมา แดนดีฟันดาบมาที่หัวไหล่ของมอลฟาและโดนด้วย ที่ไหล่ของชายหนุ่มมีแผลเป็นทางยาวลงมา นั่นทำให้มอลฟามีโทสะมากขึ้น ‘ข้ายังไม่ล้มและจะไม่มีวันล้มอย่างเด็ดขาด’ มอลฟาคิด เขาฟาดดาบลงมาที่ท่อนแขนของแดนดีแต่ยั้งมือไว้นิดหน่อย ไม่เช่นนั้นแขนของแดนดีได้ขาดเป็นสองท่อนแน่นอน มอลฟาฟันดาบมาที่ท้องของแดนดีเป็นแผลยาวและลึก จากนั้นมอลฟาก็เอาดาบเสียบเข้าไปที่หัวไหล่ของแดนดีในทันที ชายหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว



    “คราวนี้ไปกันได้หรือยัง”มอลฟาหันมาถามแซนนิน เธอยังคงสู้กับเชือกที่พันอยู่รอบตัวเธอ ตอนนี้มันพันยุ่งเหยิงเสียจนแซนนินขยับตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เธอดิ้นอยู่กับพื้น ในขณะที่คนของแดนดีกำลังห่ามอีแดนดีไปรักษา



    “พาท่านแดนดีไปหาจอยซ์รี”ลูกน้องของแดนดีพูดกัน



    “ไปได้แล้ว”มอลฟาดึงแซนนินขึ้นมาจากพื้น



    “แล้วอย่างนี้ข้าจะเดินยังไงล่ะ”แซนนินถาม



    มอลฟาโบกมือเพียงครั้งเดียวเชือกที่ยาวพันกันรอบตัวแซนนินก็หมดไป เหลือแค่เชือกที่มัดอยู่ที่แขนเท่านั้น



    มอลฟาเอาแซนนินขึ้นขี่ม้าของตัวเองก็เดินอยู่ข้างล่างแต่ยึดสายบังเหียนไว้ ทั้งสองคนเดินทางมุ่งสู่พระราชวัง



    “หมู่บ้านเจ้านี่เรื่องมากจริงเลยนะ”มอลฟาเอ่ย



    “ท่านเจ็บมากไหม”แซนนินถาม มองไปที่หัวไหล่ของมอลฟา



    “ไม่ถึงตายหรอกน่า”มอลฟาบอกห้วนๆ



    “นี่ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงท่านนะ”



    “ห่วงเหรอ แปลกนะข้าจับเจ้ามาจะเอาเจ้าเข้าคุกแต่เจ้ากลับมาเป็นห่วงข้า”



    “มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์เยี่ยงข้าที่รู้จักเป็นห่วงคนอื่น ท่านกับข้าไม่เคยมีอะไรบาดหมางกันมาก่อน ไม่จำเป็นที่ข้าจะห่วงท่านไม่ได้”



    “ขอบคุณนะ กับความหวังดีของเจ้า”



    “แต่น้ำสียงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนี่”



    “อย่าเรื่องมาก”มอลฟาทำเสียงเข้ม



    “ท่านเลิกทำตัวเป็นคนผู้ใหญ่จอมเครียดสักทีได้ไหม”



    “นั่นมันเรื่องของข้า”มอลฟาตะคอกใส่ แซนนินสบถเบาๆ



    จู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ยามนั้นก็เป็นยามเย็นแล้วเสียด้วย ฝนตกหนักมาก ถึงมากที่สุด ทำให้มอลฟาไม่สามารถเดินทางต่อได้



    “คงต้องค้างที่นี่สักคืน”มอลฟาบอก



    “ค้างเหรอ แล้วที่ไหนล่ะ”แซนนินถาม



    “ก็ใต้ต้นไม้นี่ไงเล่า”มอลหาตอบอย่างรำคาญๆ



    มอลฟาออกไปหาฟืนมาก่อกองไฟจะได้ทำให้อุ่นมากขึ้นกว่านี้ เขากลับมาอย่างรวดเร็ว จนแซนนินยังประหลาดใจ



    “ท่านเป็นที่ดูดไม้ฟืนหรือไงนะ”แซนนินถาม



    “ถ้าข้าไปนานเจ้าก็มีโอกาสหนีล่ะสิ”



    “ข้าคงหนีได้นะ ท่านเล่นมัดทั้งมือทั้งเท้าอย่างนี้”



    “ไม่รู้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะหนี”



    มอลฟาก่อกองไฟ โดยใช้เวทมนตร์เข้าช่วยไม่ให้โดนเม็ดฝนที่อยู่ภายนอก แซนนินขยับเข้ามาใกล้กองไฟที่มอลฟาก่อ มอลฟากำลังจัดการกับแผลตัวเองอย่างทุลักทุเล



    “มา...ข้าช่วยแต่ท่านแก้มัดข้าก่อนได้ไหม ข้าสัญญาว่าจะไม่หนี”แซนนินบอกอย่างมีสายตาที่จริงจังว่าเธอจะช่วย



    มอลฟาแก้มัดให้เธอ แซนนินนั่งทำแผลที่หัวไหล่ให้มอลฟา “ท่านถอดเสื้อออกสิ”แซนนินบอก มอลฟาทำตามอย่างว่าง่าย “ข้าจะออกไปหาสมุนไพรแถวนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่หนี”มอลฟาพยักหน้า ‘เชื่อได้แค่ไหนเนี่ย’เขาคิดแต่เขาก็จำต้องเชื่อ แซนนินลุกขึ้นและเดินออกไปหาสมุนไพร เธอไปเจอตรงแถวต้นไม้ไม่ไกลจากที่พวกเขานั่งพักอยู่ เธอเก็บมันมาเล็กน้อยพอประมาณที่จะใช้ และกลับมา นั่งข้างๆมอลฟา แล้วลงมือทำแผลให้ เมื่อนำสมุนไพรโปะลงไปเรียบร้อยแซนนินก็เอาผ้าสีขาวออกมาจากกระเป๋าย่ามที่เธอพกไปไหนมาไหนตลอดมาพันรอบปิดแผลเอาไว้



    “ข้าขอบคุณท่านนะที่จัดการแดนดีให้ข้าน่ะ”แซนนินบอก



    “เจ้านี่แปลก เจ้ายังเรียกให้หมอนั่นช่วยเจ้าอยู่เลย”



    “ข้าเกลียดเขา อีตานั่นชอบมายุ่งกับข้า ข้ารำคาญ”แซนนินกล่าวแล้วส่ายหัวไปมา ทำเสียงจิ๊กจั๊ก อย่างไม่พอใจเท่าใดนัก “อ้อ ข้าชื่อแซนนินนะ”



    “ถามจริง...เจ้าเป็นห่วงแม่เจ้าบ้างไหมเนี่ย”มอลฟาถาม



    “ห่วงทำไม ไม่มีข้าเขาก็อยู่ได้ ข้าไม่ใช่ลูกของเขาหรอกนะ อันที่จริงแม่ข้า ข้าหมายถึงแม่ข้าในปัจจุบันนะ พบข้าอยู่ที่แม่น้ำมีคนใส่ตะกร้ามา แล้วลอยมาตามน้ำแม่ก็เก็บข้าขึ้นมา ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาทวงบุญคุณตลอดเวลา เขาบังคับให้ข้าแต่งงานตั้งแต่ข้าเพิ่งจะสิบห้า”แซนนิน

    เล่าเรื่องของเธอให้มอลฟาฟัง



    “ถูกบังคับ... แล้วเจ้ารอดมาได้ไงล่ะ”



    “หมายถึงแต่งงานเหรอ ก็หนีออกจากบ้านสัก5-6วันแล้วกลับเข้าไป เขาก็เลิกพูดเอง”



    “ข้าง่วงแล้วล่ะ แต่ก่อนอื่น...”มอลฟาหันมามองแซนนิน แล้วใช้เชือกเวทมนตร์มัดเธอทั้งมือแล้วก็เท้าอีกครั้ง คราวนี้ มัดมืดเธอติดไว้กับมือเขาเลยด้วย



    “เฮ้อ...”แซนนินถอนหายใจ ขณะที่มอลฟาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วแซนนินก็ล้มตัวลงนอนข้างๆมอลฟาแล้วหลับไป



    (ยาวไปไหม ตอนนี้ หรือสั้นไป จัดให้ได้ตามต้องการนะ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×